วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 22:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


พระเจ้าพิมพิสาร ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งแคว้นมคธ เป็นพระ

โสดาบันยังเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ ชีวกโกมารภัทรเป็นหมอเป็นพระโสดาบัน

ยังรักษาพระภิกษุได้คนอื่นๆ ด้วย วิสาขามีคารมาดา(และ)ท่านอนาถบิณ-

ฑิกเศรษฐีก็เป็นพ่อค้านักธุรกิจก็เป็นพระโสดาบันแล้ว

ให้ทราบว่าแต่ละชีวิตเกิดในขณะที่ปฏิสนธิประมวลมาซึ่ง

กรรมและสิ่งซึ่งมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไปในชาตินั้นตามที่ได้ประมวลมา

สำหรับปฏิสนจิตในขณะนั้น เมื่อเกิดเป็นคน ก็เป็นผลของกุศลกรรม

ประกอบด้วยปัญญาและไม่ประกอบด้วยปัญญา อันนี้ก็ต่างกันนัยหนึ่งนะ

ก็จะเห็นได้ถึงแต่ล่ะบุคคลมีความสนใจมีความเข้าใจธรรม มีการศึกษาประ-

พฤติปฏิบัติละเอียดขึ้นหรือเปล่า ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นไปตามการสะสม เรา

จะทำให้คนที่เขาไม่ได้สะสมปัญญา ให้เขามีความเข้าใจธรรม จนกระทั่งมี

ความสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมได้ไหม ? ...ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเขา

มีฉันทะมีความพอใจที่จะเป็นนักดนตรี ที่จะเป็นนักกฎหมาย ที่จะเป็นวิศวกร

จะไปเปลี่ยนความที่เขาสะสมมาที่จะมีฉันทะในทางนั้นๆ ได้ไหม ? ...ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าการสะสมมาทั้งหมดในแสนโกฏิกัปนี้น่ะ ก็

ประมวลมาที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เป็นไปพร้อมด้วยสิ่งที่ได้สะสมมา

ต่างๆ กันไป ไม่ต้องคิดว่าเป็นพระโสดาบันแล้วจะไม่ช่วยใครหรือว่าเป็นพระ

สกทาคามีแล้ว จะไม่ทำประโยชน์ ...ไม่ใช่อย่างนั้นเลย คนที่ไม่รู้ความ

จริงอกุศลมาก อกุศลเป็นประโยชน์แก่ใครแม้กับตัวเองหรือคนอื่นก็ไม่ใช่ ใช่

ไหมแต่เวลาที่กุศลเกิดขึ้นไม่ใช่กับตัวเองเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

ด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่หวั่นไหวเลยนะคะในเรื่องของการที่ว่าเมื่อรู้สภาพธรรม

แล้ว จะไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น หรือที่ใช้ คำว่า สังคมแต่จะเป็นผู้ที่หนัก

แน่นมั่นคงในธรรมที่เป็นกุศล มีชีวิตที่ไม่เป็นไปในทางที่ทุจริตแต่กว่าจะถึง

อย่างนั้นนะ ภาวนาธิษฺฐานชีวิตเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วย การอบรมที่มั่นคง

เพื่อที่จะได้รู้ความจริงด้วยการดำเนินชีวิตที่เป็นสัมมาอาชีวะๆ นี้ กาย วาจา

สุจริตด้วยนะคะรวมทั้งการอาชีพ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็วันหนึ่งก็สามารถที่จะอบรม

เจริญปัญญายิ่งๆ ขึ้น แล้วก็ล่ะอกุศลได้ตามกำลังของปัญญา


เมื่อมัคควิถีจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดสืบต่อหลายขณะแล้ว ปัจจ-

เวกขณะวิถีก็เกิดขึ้นพิจารณามัคคจิตวาระ ๑ ผลจิตวาระ ๑ พระนิพพานวาระ ๑

กิเลสที่ดับแล้ววาระ ๑ กิเลสที่ยังเหลือวาระ ๑ รวมเป็นปัจจเวกขณะวิถี ๕ วาระ

เมื่อมัคควิถีดับไปแล้ว ปัจจเวกขณะวิถีต้องเกิดต่อทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้

พระอริยบุคคลจึงไม่เข้าใจผิดในคุณธรรมที่ตนบรรลุคือพระโสดาบันบุคคล ไม่

เข้าใจผิดว่าท่านเป็นพระสกทาคามีบุคคล พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระ

อรหันต์ก็โดยนัยเดียวกัน

การบรรลุอริยสัจจธรรมขั้นต่อไป คือสกทาคามิมัคควิถี อนาคามิมัค-

ควิถีและอรหัตตมัคควิถีนั้น มหากุศลที่เป็นโคตรภู ก็เปลี่ยนเป็นโวทาน

(ผ่องแผ้วขึ้น) เพราะท่านข้ามพ้นความเป็นปุถุชนแล้ว



ถ้าเป็นโลกุตตรฌานจิตขั้นใด ก็เกิดร่วมกับองค์ฌานขั้นนั้น คือถ้า

เป็นโลกุตตรทุติยฌาน ก็ไม่มีวิตกเจตสิกซึ่งเป็นสัมมาสังกัปปะเกิดร่วมด้วย ถ้า

เป็นโลกุตตรตติยฌาน ก็ไม่มีวิจารเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าเป็นโลกุตตรจตุตถ-

ฌาน ก็ไม่มีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าเป็นโลกุตตรปัญจมฌาน ก็มีอุเบกขาเวท-

นาเกิดร่วมด้วยแทนโสมนัสสเวทนา

มัคควิถีจิตของผู้บรรลุอริยสัจจธรรมได้รวดเร็วนั้น เป็น ติกข-

บุคคล ไม่จำเป็นต้องมีบริกัมม์ ฉะนั้น มัคคชวนวิถีจึงมีแต่...

อุปจาร ๑ ขณะ

อนุโลม ๑ ขณะ

โคตรภู ๑ ขณะ

มัคคจิต ๑ ขณะ

และ ผลจิตเพิ่มจาก ๒ ขณะ เป็น ๓ ขณะ

รวมเป็นชวนวิถีจิต ๗ ขณะ

เมื่อปัญญาอบรมสมบูรณ์ พร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประกอบด้วย

องค์ของการตรัสรู้ คือ โพชฌงค์ ๗ สมบูรณ์ด้วย โพธิปักขิยธรรม ๓๗ (สติ-

ปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์

๗ มัคค์มีองค์ ๘) แล้ว โลกุตตรจิต ประกอบด้วยมัคค์มีองค์ ๘ ครบทั้ง ๘

องค์ คือ สัมมาทิฏฐิเจตสิก สัมมาสังกัปปเจตสิก สัมมาวาจาเจตสิก สัมมา-

กัมมันตเจตสิก สัมมาอาชีวเจตสิก สัมมาวายามเจตสิก สัมมาสติเจตสิก สัม-

มาสมาธิเจตสิก ก็เกิดขึ้นประจักษ์แจ้งสภาพของพระนิพพาน เป็น มัคควิถี ทาง

มโนทวารดังนี้ คือ ...

ภวังค์ เป็นวิบากญาณสัมปยุตตจิต

ภวังคจลนะ เป็นวิบากญาณสัมปยุตตจิต

(ประเภทเดียวกับภวังค์)

ภวังคุปัจเฉทะ เป็นวิบากญาณสัมปยุตตจิต

(ประเภทเดียวกับภวังค์)

มโนทวาราวัชชนะ เป็นกิริยาจิต

บริกัมม์ ๑ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต

อุปจาร ๒ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต

(ประเภทเดียวกับบริกัมม์)

อนุโลม ๓ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต

(ประเภทเดียวกับบริกัมม์)

โคตรภู ๔ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต

(ประเภทเดียวกับบริกัมม์)

โสตาปัตติมัคคจิต ๕ เป็นโลกุตตรกุศลจิต

โสตาปัตติผลจิต ๖ เป็นโลกุตตรวิบากจิต

โสตาปัตติผลจิต ๗ เป็นโลกุตตรวิบากจิต

ภวังคจิต เป็นวิบากญาณสัมปยุตตจิต





--------------------------------------------------------------------------------
๑ - ๗ เป็นชวนวิถีจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การดำเนินชีวิตด้วยปัญญา
ไม่เศร้าโศกผุดผ่องพ้นผองภัย
เป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ในโลกา
สามสิบแปดมงคลดลสวัสดิ์
พูนพิพัฒน์อำนาจวาสนา
ถึงชิงชัยไม่แพ้แก่ปัจจา
อยู่ไปมาสวัสดีทุกที่เอยฯ

การดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ทำให้คนเรารู้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่หลงโลก เป็นคนสมบูรณ์แบบ หรือมนุษย์โดยสมบูรณ์ มีธรรมนูญชีวิต พุทธจริยธรรมเพื่อชีวิตที่ดีงาม :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร