ถ้าคนที่เป็นกระเทยต้องการบวชทดแทนบุญคุณของพ่อแม่
จะสามารถบวชเป็นพระได้มั้ยค่ะ
จะผิดศีลหรือเป็นบาปไหมค่ะ


ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้คำแนะนำนะค่ะ
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

บันเทาะ บวชไม่ได้นะงับ

เสี่ยงในการบาปยิ่งกว่าเดิมนะ
ท่านห้าม ก้คือห้าม แต่ที่เห็นมีกันอยู่เพราะว่าพระอุปปัชฌาท่านไม่ทราบ

แล้วตอนบวชพระท่านจะขานถามบาลีว่า คันโท?
แปลว่าเป็นกระเทยไหม เป้นผู้ชายแท้ๆไหม จิตไม่ปกติหรือเปล่า

คนก็ไปโกหกพระว่า ไม่ครับ ไม่เป็น ปกติดี
เป็นอันว่าลงนรกตั้งแต่ยังไม่ทันครองผ้าเหลือง

พระพุทธเจ้าท่านว่า การตอบแทนพ่อแม่ที่ได้บุญมากที่สุดคือชักนำให้พ่อแม่ถือศีลปฏิบัติธรรม
ผมจำอ้างอิงในพระไตรปิฏกไม่ได้ ถ้าคนแถวๆนี้ทราบก็คงจะช่วยยกอ้างอิงมาให้ดูนะครับ

มีวิธีตอบแทนพ่อแม่ที่ไม่เสี่ยงตั้งเยอะตั้งแยะนะ
แต่เป็นกระเทยรู้อยู่แก่ใจแล้วไปขอบวชนี่ พ่อแม่อาจจะได้บุญจริง ปลื้มใจ
แต่ลูกนี่ลงนรกแน่นอน

ครูบาอาจารย์ท่านเล่าว่า
คนบวชเพราะประเพณีนี่ ลงนรกมากมายมหาศาล
ที่บวชแล้วได้ดีอย่างหวังจริงๆนี่มีน้อย

อันตรายนะ ไม่ใช่ของทำเล่น
ถือศีลปฏิบัติธรรมอยู่ข้างนอกก็เหลือเฟือแล้วจ๊ะ

ผมมีความเห็นต่อไปนี้ถูกไหมครับ

ถึงแม้สาวประเภทสองจะบวชไม่ได้ด้วยเหตุผลบางประการ

แต่สาวประเภทสองก็บรรลุธรรมสิ้นอาสวะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้

สาวประเภทสองประกอบกุศลได้เช่นปุถุชน

หากเข้าใจเข้าถึงคำสั่งสอนของพระตถาคต

จะบวชหรือไม่

ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ


น้องชาติสยามคิดเห็นอย่างไรครับ

ต้องขอติงหน่อยว่า ความเชื่อที่ว่าบวชคือการทดแทนคุณพ่อแม่นี้ ไม่ใช่ถูก
ทั้งหมด ถ้าพ่อแม่ถือเช่นนี้ก็ถูก แต่ก็บางส่วน วิธีการทดแทนคุณนั้นมีมากกว่านี้
และก็ไม่สามารถทดแทนได้หมดสิ้น ลองนึกว่า บวชแทนคุณแล้วสึกมาและเทะ
ทำตัวไม่ดีละ เยอะแยะไปนะ โจรชื่อดังบางคนบวชมาแล้วทั้งนั้น แต่บวชแทน
คุณ ก็จัดว่าเป็นการแทนคุณบูชาคุณชั้นสูงเหมือนกัน คู่ควรกับบูชาแทนคุณของพ่อ
ของแม่นั่นแหละ

เข้าเรื่องดีกว่า
ทำความเข้าใจเรื่องบัณเฑาะก์กันนิดหนึ่งก่อน

บัณเฑาะก์(กระเทย) ๕ ชนิด

๑.อาสิตตบัณเฑาะก์ คือ ผู้เอาปากอมองคชาตของชายเหล่าอื่น ถูกน้ำอสุจิรดเอาแล้ว
ความเร่าร้อนจึงสงบไป
ข้อนี้หมายถึงผู้มีรสนิยมทางเพศหลากหลาย ไม่จำกัดว่าหญิงหรือชายโดยเพศแท้จริงของตน
แต่จำกัดที่การกระทำว่า พอใจ ยินดี ราคะสงบลง(ชั่วคราว)ด้วยการเสร็จกิจกับเพศเดียวกัน
๒.อุสุยยบัณเฑาะก์ คือ ผู้เห็นอัชฌาจารของชนเหล่าอื่น เมื่อความริษยาเกิดขึ้นแล้ว
ความเร่าร้อนจึงสงบไป
หมายถึงผู้ที่ชอบแอบมองหรือเห็นเพศเดียวกันที่ต้องใจตนเองแล้วไปสำเร็จความใคร่ได้
๓.โอปักกมิยบัณเฑาะก์ คือ ผู้มีอวัยวะดับพืชทั้งหลาย ถูกนำไปปราศแล้ว(คือ ถูกเขาตอนเสียแล้ว) ด้วยความพยายาม
หมายถึง ผู้ที่แปลงเพศแล้ว ส่วนที่ตัดไป ขาดไป เพราะอุบัติเหตุ หรือโดนตัดไปแบบไม่เต็มใจ
เช่นเมียตัด เป็นต้น ไม่เข้าข้อนี้ เพราะข้อนี้หมายถึงบัณเฑาะก์หรือคนที่หลากหลายทางเพศ
(เกย์กระเทยทุกประเพศทั้งหญิงชาย) คือ ต้องเป็นคนเหล่านี้ก่อน แต่เมื่อโดนตัดไปแล้ว เปลี่ยนรสนิยมเป็นพวกบัณเฑาะก์
จัดเข้าข้อนี้ได้
๔.ปักขบัณเฑาะก์ คือ บางคนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์ ด้วยอานุภาพแห่งอกุศลวิบาก แต่ข้างขึ้น
ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป
หมายถึงเป็นบัณเฑาะก์เพราะวิบากกรรม ข้างแรมเป็น ข้างขึ้นไม่เป็น คือไม่มีจิตแปรปรวนทางเพศ
ในข้างขึ้น
๕.นปุงสกบัณเฑาะก์ คือ พิการมาแต่กำเนิดเลย ไม่มีเพศมา
ข้อนี้แปลกหน่อย ไม่จำเป็นต้องมีจิตใจแปรปรวนทางเพศ แต่กายที่แปรปรวน จัดเป็นคนพิการอย่างหนึ่ง

ตามอรรถกถากุรุนที ท่านแก้ไว้ว่า เฉพาะ ๒ อย่างแรกคือ อาสิตตบัณเฑาะก์และอุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้าม
การบวช ส่วนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์ข้างขึ้นไม่เป็นนั้น ห้ามให้บวชเมื่อข้างแรม ข้างขึ้นบวชได้
แต่ข้างแรมต้องสึก สลับไปมา ยุ่งยากพอสมควร ส่วนนอกจากนี้ห้ามโดยประการทั้งปวง

ข้อสันนิฐานว่า ทำไมไม่ห้ามทั้งหมด เข้าใจว่า บัณเฑาะก์นี้จัดเป็นอภัพพบุคคล คือห้ามมรรคผล
แต่ไม่ห้ามสวรรค์ ส่วนในบัณเฑาะก์ที่ไม่ห้ามบวชนั้น คงเพราะจำพวกนี้ มีโอกาสฝึกใจได้โดยไม่มี
กรรมมาขัด เท่าที่ค้นดูพบว่า คนที่พิการมาแต่กำเนิดบางพวก จัดเป็นอเหตุกะปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตที่มาเกิด
นั้นประเภทเดียวกับสัตว์ในภพภูมิที่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ บัณเฑาะก์ที่แปลงเพศนั้น จัดว่าได้
ทำเหตุให้มีอเหตุกปฏิสนธิจิตแล้วจึงห้ามมรรคผล ส่วนที่พิการไม่มีเพศมานั้นก็เพราะอเหตุกปฏิสนธิจิตนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม บัณเฑาะก์ทุกประเภทไม่ห้ามสวรรค์ ฉนั้น การทำความดีก็มีผลเป็นสุขวิบาก และห้ามมรรค
ผลในอัตภาพนี้เท่านั้น ถ้ามีเหตุปัจจัยถึงพร้อม หรือสร้างไว้ตั้งแต่เป็นบัณเฑาะก์ในอัตตภาพนี้ ภพหน้าก็
ไม่ห้ามมรรคผลเช่นกัน ถ้าถามว่า ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เกี่ยวอะไรกับบวชละ บวชก็ทำความดีได้ไม่ไช่เหรอ
คำตอบก็คือ ที่ห้ามผู้ที่แปลงเพศบวชนั้น ก็ตัดปัญหาไป เพราะถ้าบวชแล้วไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ก็เสี่ยงที่จะ
ทำกรรมตามใจตัวเองได้ ปัญหามากกว่าผลดี ไม่บวชจะสะดวกกว่า ส่วนที่เกิดมาไม่มีเพศนั้น เมื่อไม่บรรลุธรรม
วันหนึ่งพอใจเพศชายถือเอาเพศชาย อีกวันหนึ่งพอใจเพศหญิงถือเอาเพศหญิง ก็ยุ่ง แล้วจะยุ่งอีกว่าบวช
สำนักไหนดี ภิกษุหรือภิกษุณี (ส่วนตัวผมคือ ไม่มีหลักฐานมาแสดงว่าเป็นเพศชาย) อีกอย่างเมื่อบวช
แล้วการดูแลกันระหว่างภิกษุเอง อาจเกิดรังเกียจข้อสงสัยเรื่องอาบัติได้

สรุป บัณเฑาะก์ตามข้อ ๑ และ ๒ ไม่ห้ามบวช ตามข้อ ๓ ห้ามบางเวลา นอกนั้นห้ามหมด
ถ้าปล่อยบวชไปแล้ว เมื่อรู้ท่านให้สึกครับ

อ้างอิงพระวินัยปิฎก มหาวรรค

ด้วยความเกรงใจอย่างสูง แต่เมื่อเห็นว่าไม่ค่อยตรงนัก อาจไม่ไช่ด้วยความไม่รู้ แต่อาจพลั้งเผลอ
ผมก็ถือว่าช่วยแก้ๆกันไป

คัณโฑ หรือ คณฺโฑ หมายถึงโรคปุ่ม หรือ ตุ่ม ต่อม เช่น ฝี เป็นต้น

ส่วนที่ท่านถามว่า เป็นผู้ชายแท้ๆไหมนั้น ท่านถามตรงคำว่า ปุริโส สิ แปลว่า เป็นผู้ชายหรือไม่
สรุปตรงนี้คือถามว่าเป็นผู้ชายไหมและรวมความว่า เป็นแมนหรือเปล่า

ของแถมท้าย
อันตรายิกธรรม หมายถึงธรรมที่เป็นอันตรายของการบรรพชาอุปสมบท หลักๆที่ถาม ดังนี้

กุฏฐัง โรคขี้ทูต โรคทำนองนี้
คัณโฑ โรคตุ่ม ปุ่ม ต่อม เช่น ฝี
กิลาโส โรคผิวหนัง เช่น กลาก เรื้อน ชนิดไม่รุนแรงแบบข้อแรก
โสโส โรคเปลี้ย ง่อย เช่น โปลิโอ ชนิดที่กล้ามเนื้อไม่มีแรง
อะปะมาโร โรคค่อม เช่นหลังค่อม ข้อนี้กระดูก
มะนุสโส เป็นมนุษย์หรือไม่
ปุริโส เป็นบุรุษหรือไม่
ภุชิสโส เป็นไทหรือไม่ (ห้ามบวชให้ทาสที่นายไม่อนุญาต)
อะณะโน เป็นหนี้หรือไม่
นะ ราชะภะโฏ มีภาระทางราชการหรือไม่ หมายถึงหนีคดีความกับคนราชการต้องขออนุญาตบวช
อะนุญญาโต มาตาปิตูหิ พ่อแม่อนุญาตแล้วหรือ
ปะริปุณณะวีสติวัสโส อายุครบ ๒๐ ปีหรือยัง
ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง บาตรและจีวรครบหรือเปล่า

อ้าวเหรอ แหมๆ ขออำภัยด้วย
ขอบพระคุณคุณกามโภคีด้วยนะ


ใจก้คิดอยู่นะ เอ๊ะทำไมมันพ้องกับ"คันทสูตร(ฝี)"

(ลืมคุยกับคุณพี่ชายไปเสียได้นะคับนี่)

คนเราก็มีแต่จิตกับขันธ์ เหมือนกันหมด
ที่ว่า คน สัตว์ ชาย หญิง กระเทย รวย จน ฯลฯ ล้วนแล้วเพราะเราไม่เห็นความจริง
เลยมีทิฐิว่ามีเขา มีเรา มีชาย มีหญิง มีกระเทย มีช้าง ม้า วัว ควาย มีดี มีชั่ว
ที่จริงแล้วมันเท่ากันหมด ไม่งั้นไม่มาเวียนว่ายตายเกิดด้วยกัน

ครูบาร์อาจารยืท่านสอนให้ฝึกจิตฝึกใจให้มันสามารถเข้าไปดูความจริงข้อนี้ให้ได้
จะได้ถอดถอนความเชื่อผิดๆว่ากายนี้ของเรา กายนี้เป้นชาย กายนั้นเป้นหญิง กายโน้นเป็นกระเทย ฯลฯ

ความเท่าเทียมกันแบบนี้
มันยิ่งกว่าคำว่า freedom หลายเท่าเลยล่ะครับ คำนั้นมันเด็กๆไปเลยนะผมว่า
คำว่า Freedom นี้ มันเป้นความเท่ากันเพราะพยามปรับทิฐิให้เท่ากัน

แต่เท่ากันแบบพระโสดาบันถอดถอนสักกายทิฐิได้นี่มันเท่าแบบว่า
เท่ากันเพราะความเป็นจริง จริงๆ
เห็นความจริงเลยยอมรับโดยปราศจากข้อโต้แย้ง ว่าเรากับเขาเท่ากันหมดจริงๆ
ความดีชั่ว สูงต่ำ ปกติ-ไม่ปกติ อะไรทำนองนี้ มันเป้นแค่ทิฏฐิ-รสนิยม-ค่านิยม-ความคุ้นเคย
อะไรทำนองนั้นเท่านั้นเอง

การบวช ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย
เข้าใจว่าอุปัชฌาชย์คงไม่บวชให้แน่นอน

b8: [/quote](ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวช)

ขนมเกิดขึ้นแก่สงฆ์ (เหลือเฟือ) พระผู้มีพระภาคจึงทรงโปรดให้พระอานนท์แจกทานแก่คน อดอยาก พระอานนท์จึงแจก มีนักบวชนอกศาสนาที่เป็นผู้หญิงมารับแจกด้วย เผอิญให้เกินไป 1 ก้อน แก่นักบวชหญิงนั้น ด้วยเข้าใจผิด พวกเขาเองจึงล้อกันว่า พระอานน์เป็นชู้ของหญิงนั้น และภิกษุรูปหนึ่งฉันเสร็จก็เอาข้าวสุกคลุกเนยใสให้แก่อาชีวกผู้หนึ่ง มีผู้เห็นว่าไม่เหมาะสม (เพราะการยื่นให้ด้วยมือแสดงคล้ายเป็นศิษย์ หรือคฤหัสถ์ประเคนของพระ จะกลายเป็นเหยียดหยามตัวเองลงเป็นคฤหัสถ์) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามให้อาหารแก่ชีเปลือย แก่ปริพพาชก ด้วยมือของตน ทรงปรับอาบัติปาจิตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด


ขออำนาจกุศลที่ข้าพเจ้าแผยแพร่ธรรมนี้บูชา คุณครูอาจารย์ด้วยความเคารพนอบน้อมตลอดทั้งบูชามารดาบิดาด้วยบุญนี้หนอ และขอให้กัญญามิตรมีดวงเห็นธรรมทุกท่านเทอญ
( หากมีข้อความผิดพลาดกลาบขออภัยในความผิดนี้ด้วยจิตที่นอบน้อมครับ )


เทพบุตร