วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 21:34
โพสต์: 56


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องเล่าจาก หญิงผู้หนึ่งที่หันมาทานอาหารมังสวิรัติตลอดชีวิต
——————————————————————–

ปรกติข้าพเจ้าก็มิได้สนใจธรรมะมาก่อนหรอกค่ะ ก็ดำเนินชีวิตของปุถุชนไปตามปรกติ
แต่ข้าพเจ้าเริ่มมาสนใจก็ตอนที่ ครั้งหนึ่งคุณแม่ของข้าพเจ้าได้พาไปพบพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่ธุดงธ์อยู่ในป่าในถ้ำเป็นเวลานาน ผู้คนไม่ค่อยรู้กัน ข้าพเจ้าไม่ขอเอ่ยนามของพระคุณเจ้าท่านนั้นและชื่อสถานที่นะคะ พระองค์นั้นดูมีอายุมากแล้ว ข้าพเจ้าและคุณแม่ จึงเรียกท่านว่า หลวงตา แล้วกัน สิ่งใดที่หลวงตาท่านนั้นสอน ข้าพเจ้าก็เก็บมาจดจำและบันทึกได้หมด

หลวงตาเมตตาว่า “ธรรมะ คือ สัจธรรม มองไปรอบๆสิโยม ภูเขา ป่าไม้ ต้นไม้ใบหญ้า ผืนดิน ดินฟ้าอากาศ และสภาพแวดล้อม รอบตัวเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทุกอย่างก็คือธรรมะอยู่อย่างนั้นเองแล้ว”

ข้าพเจ้าฟังก็เริ่มจะอยากฟังธรรมต่อแล้วสิ

“โยมไม่ต้องไปปรุงแต่งแต้มสีสันให้ธรรมชาติเลยนะ โยม แต่จิตใจมนุษย์ปัจจุบันมิได้เหมือนธรรมชาติแล้ว เพราะจิตเวไนยสัตว์กลับแต่งเติมไปด้วยสีสันมากมายจนไม่เหลือจิตที่เป็นธรรมชาติแรกเดิมแล้ว จิตก็ปรุงแต่งไปเรื่อยทุกวัน ทุกภพทุกชาติจนไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้อีก เป็นจิตใจที่แบ่งแยกไปจากธรรมชาติ เช่น เราต่างก็มองว่า สัตว์เดรัจฉานก็คือสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ก็คือมนุษย์ แต่ลืมนึกไปนะว่า เราแม้ต่างกันเพียงกายเนื้อแต่จิตใจก็ไม่ต่างกัน เวลาโยมศึกษาธรรมะ โยมอย่าได้ยึดติดตัวตนของอาตมา หรือ พระพุทธเจ้า เทวดา หรือ ตัวบุคคล หรือ แม้แต่คัมภีร์ใดๆเลยนะโยม ให้โยมเดินตาม ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าโยมเท่านั้น โยมจะเข้าใจ สัจธรรมเองนะโยม เพราะ ธรรมะ คือ ความจริง ธรรมชาติก็คือ ความจริง กฏแห่งกรรมก็คือ ความจริงเลยนะโยมเพราะ กฏแห่งกรรมคือ กฏแห่งธรรมชาติ มันเป็นเนื้อเดียวกันในจักรวาล”

นั่งฟังจนเพลินแล้วข้าพเจ้าก็ถามหลวงตาต่อว่า “คือ โยมสงสัยอ่ะค่ะว่า ทานเนื้อสัตว์บาปไหมเจ้าคะเพราะเรื่องนี้ พระสงฆ์และฆารวาสเอาเรื่องนี้มาขัดแย้งโต้เถียงกันไม่รู้จบสิ้นเสียที หลวงตาเมตตาด้วยนะคะ”

พระองค์นั้นก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วเมตตาว่า “เพราะความไม่รู้จัก “ความจริงของธรรมชาติ” จึงหลงผิด เป็นอวิชชานะโยม ทำไมต้องไปวิ่งครำหาคำตอบให้วุ่นกับคนอื่นหรือพระสงฆ์ด้วยหล่ะ จริงไหมโยม คำตอบอยู่ข้างหน้าโยมแท้ๆ อาตมาจะบอกอะไรให้นะโยม เรื่องแบบนี้ อาตมาบอกให้สั้นๆเลยว่า ให้โยมและโยมแม่ไปที่โรงฆ่าสัตว์ดูเองสักครั้ง แล้วจงดูธรรมชาติของสัตว์เหล่านั้นเถิด ต่อหน้าต่อตาโยม จะเป็นคำตอบอันแท้จริงให้กับคุณโยมเอง”

“ยังไงเหรอคะ หลวงตา โยมลูกยังไม่กระจ่าง”

“….อาตมาขอบอกว่า เวลาโยมไปโรงฆ่าสัตว์ หรือ ตลาดสดที่เขาขายสัตว์เป็นๆน่ะโยม ไปดูตรงนั้นก็พอ โยมจะเห็นเองว่า สัจธรรมข้างหน้าโยมคือคำตอบข้อนี้”

“อ่อค่ะ หลวงตา หลวงตาหมายความว่า ให้โยมพิจารณาและสังเกต ความจริงที่เกิดขึ้นใช่ไหมเจ้าคะ”

“สาธุ ความจริง คือ สัจธรรมแท้ โยมไปโรงฆ่าสัตว์ โยมจะเห็นธรรมเองจ้า”

“ขอบพระคุณหลวงตาเมตตาเจ้าค่ะ”

“เมื่อโยมเห็นธรรม จิตใจโยมจะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาตินะโยม”

“หลวงตาหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”

“เมื่อโยมไปโรงฆ่าสัตว์ อาตมาคิดว่า โยมคงไม่อยากดู และโยมก็คงเกิดจิตเมตตาขึ้นนะโยม อยากช่วยสัตว์เหล่านั้นก็อยากช่วย แต่ก็สุดจะทนใช่ไหมโยม นึกเสียเองว่าหากเราเป็นพวกเขา เราคงรู้สึกเหมือนพวกเขาในสภาพนั้น นี้แหละ ธรรมะที่เกิดขึ้นจากตัวโยมเอง อย่าได้เอาธรรมแยกออกจากธรรม อาตมาเคยเห็นนรกคนตาย อาตมาก็เกิดดวงตาเห็นธรรม สงสารวิญญาณบาปที่หัวเป็นสัตว์ต่างๆแต่กายเป็นคนน่ะ แต่ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะสรรพสัตว์ต่างสร้างกรรมต่อกัน สงครามของมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานไม่มีจบสิ้น จึงผลัดกันมาลงนรก ชดใช้กรรมกัน”

“หนูกลัวนรกจังเลยค่ะ ทำไงถึงไม่ตกนรกคะ”

“ศีล 5 นะโยม แต่โยมต้องมอง ความจริง เท่านั้น จึงจะเห็นธรรมนะโยม ศึกษาธรรมะจากรอบตัวโยมนั้นแหละ จะเห็นสัจธรรม แต่หากโยมเดินตามคัมภีร์หรือคำสอนของมนุษย์ผู้ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรมะหรือเข้าถึงความเป็นจริง โยมจะเดินหลงผิดตามกระแสได้ เพราะคำสอนเหล่านั้นอาจผิดเพี้ยนได้ ครูที่ดีที่สุดของโยม คือ สัจธรรม ความจริงของสรรพสิ่งจะสอนโยมเอง พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้หลายครั้งว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นตถาคต” เพราะฉะนั้นโยมอย่าได้เดินตามตัวตนของพระพุทธองค์ด้วยความยึดติด อย่าเดินเกาะชายผ้าเหลืองของพระพุทธองค์ โยมต้องเดินตามธรรม บางที โยมอาจเห็นนิมิตของพระพุทธเจ้าหรือ พระโพธิสัตว์ ก็อย่าเพิ่งตัดใจเชื่อว่าเป็นพระองค์ท่าน เพราะนั่นอาจเกิดจาก หมู่มารมา นิรมานกายเป็นพระพุทธองค์เพื่อหลอกโยมให้เดินหลงทางลงนรกก็เป็นได้

หลังจากที่ได้พบพระธุดงธ์องค์นั้น แม่และข้าพเจ้าก็ใจปิติสว่างจังเลย เหมือนได้เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง สัจธรรมที่อยู่ตรงหน้าเราเอง ไม่ต้องไปสรรหาพึ่งพาคัมภีร์ หรือ กระแสความคิดเห็นที่แตกต่างของคนอื่นจนไม่สามารถหาคำตอบที่แน่แท้ได้ คือ ท่านสอนให้เราใช้ปัญญาพิจารณาความเป็นจริงที่อยู่รอบตัวเรา ตรงนี้ ข้าพเจ้าสามารถเอามาเชื่อมโยงกับ ศีลข้อที่ 1 ได้เลย

ข้าพเจ้าไม่ได้เอาหลักฐานหรือคัมภีร์ หรือ พระไตรปิฏกมาเป็นเครื่องยืนยันใดๆ แต่ข้าพเจ้าเดินตาม สัจธรรม หรือ ธรรมชาติดีกว่า คือ ดูที่ความเป็นจริง ธรรมะมีอยู่รอบตัวเราทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ที่โรงฆ่าสัตว์ ข้าพเจ้าก็ถือว่า มีธรรมะให้พวกเราได้ศึกษาเช่นกัน เกี่ยวกับ ชีวิตของจิตญาณผู้โชคร้ายที่ต้องมาจุติในร่างของสัตว์เดรัจฉานเพื่อชดใช้กรรม

นั้นไงหล่ะ คือ คำตอบที่หลวงตาองค์นั้นได้เมตตาไว้ หลวงตาก็แปลกนะ ไม่ได้ตอบคำถามข้าพเจ้าตรงๆ แต่ให้ข้าพเจ้าใช้ปัญญาไปดูเอาเอง ดีจังเลยค่ะ

ตามสัจธรรมแล้ว แน่นอนคนที่กินเนื้อสัตว์ ต่างก็หาเหตุผลต่างๆนานามาเป็นข้ออ้างเพื่อเอาตัวรอด ถือว่า เป็นการอยู่เพื่อกินอิ่มท้องไปวันๆตามกิเลส หรือเพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ นี้ก็แสดงให้เห็นจริงว่า “สัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์ทั้งหลายยังรักตัวกลัวตายเลย” กลัวตายแบบที่ว่า กลัวอดอยากขาดสารอาหาร กลัวไม่มีของอร่อยๆให้กินอีก กลัวว่าจะไม่ได้เสพเลือดเนื้ออร่อยๆอีกก็เท่านั้นเอง คือ กลัวไปหมด บ้างก็อ้าง หรือ พูดบอกปัดอย่างง่ายๆว่า “อยู่กินง่ายๆ ไม่ต้องเรื่องมาก” แล้วการอยู่กันแบบง่ายๆของพวกท่านไม่เป็นสาเหตุของการตายของเพื่อนร่วมโลกมากมายเชียวหรือ กินทุกวันจนไม่รู้สีรู้สาเสียแล้ว ปฎิบัติธรรมในหมู่มนุษย์ด้วยกันเองแต่ไม่เมตตาเวไนยสัตว์ภพภูมิอื่นก็จะเรียกได้ว่า เข้าใจธรรมะได้อย่างไร

คนกินเนื้อสัตว์ยังกลัวอดอยาก กลัวเจ็บกลัวตายเลย สัตว์เดรัจฉานก็กลัวเจ็บกลัวตายเช่นกัน จะต่างกันได้อย่างไร ข้าพเจ้าคิดว่า นี้แหละคือ ธรรมะที่แท้จริงที่ว่า สัตว์โลกต่างดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด แต่การดิ้นรนเอาชีวิตรอดของสัตว์ประเสริฐดูจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบไปเสียหน่อย เพราะ ยืมเลือดเนื้อสัตว์อื่นผู้อ่อนแอกว่ามาต่อลมหายใจตนเอง ต่อเท่าไหร่ก็ไม่หมด เพราะต้องเสพไปเรื่อยๆนั้นแล

เอาเป็นว่า ข้าพเจ้าเชื่อ 100% ว่า กินเนื้อผู้อื่นเป็นบาปและเกี่ยวกรรม

สงสารคนที่ต้องลงมือฆ่าสัตว์ หรือ พ่อค้าแม่ค้า หรือ เจ้าของกิจการที่เกี่ยวกับการฆ่าจังเลย แทบทุกรายที่ต้องชดใช้กรรมด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรือ ตายด้วยอุบัติเหตุ หรือ ภัยพิบัติ อย่างที่ข่าวเขาลงกันตามสื่อต่างๆ หรือ คนไข้ที่นอนป่วยปางตายอยู่ตามโรงพยาบาล แล้วแสดงอาการร้องเสียงเหมือนสัตว์ บ้างก็ทำท่าทางเหมือนสัตว์ แล้วก็มาทราบภายหลังว่า ต่างเป็นพ่อค้าแม่ค้า อาชีพค้าเนื้อสัตว์ หรือ เจ้าของกิจการโรงฆ่าสัตว์ หรือไม่ก็เป็นคนที่ฆ่าสัตว์มากมายให้ผู้อื่นมาบริโภคเป็นประจำ

คนเหล่านี้ นอกจากจะต้องรับกรรมที่ทุกข์ทรมานจากโรคภัยแล้ว เมื่อตายลง ก็ต้องลงไปชดใช้กรรมในนรกด้วย แล้วเมื่อพ้นกรรมในนรก ก็ต้องถูกตัดสินให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาให้คนฆ่ากินอีก กงกรรมกงเกวียนแท้ๆ

บอกตรงๆเลยว่า สงสารผู้ที่ลงมือฆ่ามากๆ คนซื้อคนกินอ่ะไม่รู้สำนึกเลยนะเนี่ยว่าตนเองคือ สาเหตุของทุกขบวนการ

ทำไมคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์ไม่มาลงมือฆ่ากินเองหล่ะคะ จะได้รู้ว่า นรกมีจริง ตนเองไม่ฆ่าเองกลับหลงคิดว่า ไม่บาป ดันให้คนอื่นฆ่าให้อีก เหมือนให้เขาเป็นแพะรับบาปแทนน่ะ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า สัจธรรมย่อมยุติธรรมแน่นอน ยังไงคนกินก็ต้องรับผลกรรมไปด้วยไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้านู้น


แหล่งข้อมูล :: http://www.mindcyber.com/?p=243


ชอบบทความนี้มากเลยค่ะ อ่านแล้วเห็นภาพ จากปกติงดเฉพาะวันพระ
ตอนนี้ตั้งใจพยายามจะงดไปตลอดชีวิตแล้วค่ะ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
๐ การเป็นผู้ฟังบ้างก็ไม่เสียหายอะไร จะได้รู้ว่าสิ่งที่เข้าใจมากนั้นผิดหรือถูก ๐


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



อนุโมทนาจ้าน้องพลอยใส สาธุ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ.. :b8:

สมัยพุทธกาลเทวทัตเคยทูลขอพระพุทธเจ้าให้บัญญัติเป็นวินัยเลยว่า ห้ามกินเนื้อสัตว์
แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงคล้อยตาม เรื่องนี้หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านพูดว่า ช้าง ม้า วัว ควาย มันกินแต่หญ้า ฉะนั้นมันคงนิพพานก่อนมนุษย์เราใม๊.....

เรื่องนี้ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณา โดยแต่ละคนปฏิบัติตามกำลังของบุญของตน


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ย. 2008, 20:43
โพสต์: 42


 ข้อมูลส่วนตัว


เคยนับถือนิกายหนึ่งเค้าถือเรื่องมากๆ วันหนึ่งได้มีโอกาสกราบครูจารย์ท่านเมตตาตอบไว้ว่า
โยมถืออย่างนี้ วัว แมลงที่กินผักคงเต็มสวรรค์เต็มนิพานเสียกระมั่ง รู้ที่ใจสบายๆที่เป็นกลางรู้อย่างมีสติสัมปะนี้น่า เกี่ยวเนื่องด้วยธาตุรู้สบายๆนะ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร