เรียนญาติธรรมที่เคารพทุกท่าน

ขออนุญาตนำคำสอนของครูบาอาจารย์มาถ่ายทอดให้ญาติธรรมทุกท่านได้พิจารณาในเรื่องของทุกข์ - การแก้ทุกข์ ด้วยตนเองนะครับ:
ครูบาอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า "สัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมนำมาเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ พวกพ้อง ฯลฯ - สัตว์โลกทังหลายจึงมีความแตกต่างกันเนื่องจากสาเหตุดังกล่าว.. มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีปัญญาติดตัวมา (มากน้อยแตกต่างกันไป) บางคนมีทุกข์มาก บางคนมีทุกข์น้อย บางคนมีสุขมาก บางคนมีสุขน้อย แต่ก็ยังโชคดีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา และได้ศึกษาพระพุทธศาสนาตามความเป็นจริง ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แนวสติปัฏฐานสี่ ทางสายเอกแห่งการพ้นทุกข์ ด้วยความตั้งใจ อดทน มีสัจจะ และความเพียร เป็นบาทฐาน จนกระทั่งพบเห็นความจริงด้วยความเป็นจริง (สัมปชัญญะ) จากการกำหนด (จิต+สติ+สมาธิ) สภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวน ดับไป ในปัจจุบัน.. ปัญญาเกิด... เมื่อปฏิบัติได้คล่องแคล่ว ชำนาญ สติก็จะทำหน้าที่ของตัวมันเองโดยอัตโนมัติต่อทุก ๆ สภาวธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

ขณะปฏิบัติตามรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเดินจงกรม หรือ นั่งปฏิบัติก็ตาม เมื่อมีเหตุปัจจัยเข้าแทรกซ้อน ก็หยุดปฏิบัติ ให้เปลี่ยนมากำหนดสภาวธรรมของเหตุปัจจัยที่เข้ามาแทรกซ้อนแทน..เหตุปัจจัยดังกล่าวจะเกิดขึ้นแทรกผ่านอายตนะทั้ง 6 คือ ตา-เห็น หู-เสียง จมูก-กลิ่น ลิ้น-รส กาย-สัมผัส ใจ-ความคิด ... ครูบาอาจารย์ท่านได้เน้นไว้ว่า ควรกำหนดอย่างเท่าทัน ต่อเนื่อง ตลอดสาย (โดยไม่ต้องมีการวิเคราะห์วิจารณ์ใด ๆ) จนกว่าจะพบกับการดับไปของสภาวธรรมที่กำหนดนั้น ไม่ว่าจะได้รับทุกขเวทนาสักเพียงใดก็ตาม (ไม่เคยมีใครเคยตายในการปฏิบัติ) จะรับรู้ถึงสาเหตุแห่งการเกิดสภาวธรรมที่กำหนดนั้นในมโนทวาร เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน เมื่อรู้แล้ว ก็ให้กำหนดรู้ (รู้หนอ) ที่ลิ้นปี่จนพบกับความเบาโล่งโปร่งสบายของจิต แล้วจึงกลับมาปฏิบัติต่อไป
ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม ย่อมจะพบกับความทุกข์ ความสุข ความไม่ทุกข์ไม่สุข เป็นธรรมดา แต่จะรับรู้ถึงความทุกข์ ได้มากกว่า ความสุข และความไม่ทุกข์ไม่สุข เมื่อเกิดความทุกข์ ผู้ที่เคยฝึกปฏิบัติมาแล้ว ก็จะสามารถนำเอาวิธีการปฏิบัติ คือ การกำหนดปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ได้ตามครรลองของแต่ละบุคคล ก็จะสามารถสกัดกั้นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดอกุศลกรรมต่อไปได้ ส่วนผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติ ก็จะไม่เข้าใจถึงเหตุปัจจัยที่จะก่อให้เกิดอกุศลกรรมต่อไป จึงได้รับเอาความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น เข้ามาปรุงแต่งในจิตของตน ให้เกิดทุกข์เพิ่มขึ้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะไม่เข้าใจในกฎแห่งกรรม ทุกข์จึงเกิดขึ้นในจิตใจของตนเอง ทำให้เศร้าหมอง อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดอกุศลกรรมต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ... อธิบายอย่างพื้น ๆ ก็หมายความว่า ผู้ที่ไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม ก็จะเพ่งโทษไปยังผู้อื่น และคิดว่า ผู้อื่นเป็นผู้กระทำให้ตนเองเกิดความทุกข์ โดยคิดไม่ออกว่า ตัวเราเองต่างหากเป็นผู้ที่รู้ไม่เท่าทัน ไปรับเอาเหตุปัจจัยภายนอก เข้ามาปรุงแต่งในจิตให้เกิดความทุกข์ ความเศร้าหมอง...

อานิสงส์ของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แนวสติปัฏฐานสี่ อย่างถูกต้อง เมื่อปฏิบัติได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะทำให้อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น เห็นตัวตาย คลายทิฏฐิ ดำริชอบ ประกอบกุศล ฯลฯ สติสัมปชัญญะจะเป็นผู้บริหารจัดการหลักต่อทุก ๆ สภาวธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันโดยอัตโนมัติ เท่ากับเป็นการแก้ทุกข์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ในทันที

แต่ถ้ายังปฏิบัติไม่ถึงระดับดังกล่าว ก็ยังสามารถนำวิธีการกำหนดปัจจุบันธรรม ต่อเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นผ่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาประยุกต์ใช้ได้ครับ ก็จะสามารถดับทุกข์ชั่วคราวได้ครับ

ครูบาอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าทุกคนเข้าใจในเรื่องที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง เป็นประจำต่อเนื่อง ก็จะเห็นผลเป็นความสำเร็จต่อไป มีคุณค่าเหนือแก้ว แหวน เงินทอง" อีกด้วยครับ

ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยตนเอง ด้วยการปฏิบัติครับ

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาในธรรมอันมีคุณค่าของครูบาอาจารย์ผู้เมตตาสั่งสอนให้ศิษย์ทั้งหลายได้พ้นทุกข์ตามครรลองของการปฏิบัติในแต่ละบุคคลครับ
http://www.jarun.org

สาธุ สาธุ สาธุ

เจริญยิ่งๆขึ้นไปทั้งในทางธรรมและในทางโลกนะคะ

ธรรมะสวัสดีวันพระค่ัะ

สวัสดีค่ะคุณo.wan ตอนนี้กายสบายดีค่ะ แต่ใจยังไม่ค่อยเต็มร้อยค่ะ เอาไว้ชนะใจเต็มร้อยเมื่อไหร่จะเล่าให้ฟังค่ะ ตอนนี้ขออุบไว้ก่อน เรื่องกลับเมืองไทยยังไม่แน่นอนค่ะ ที่นี่ร้อนมากๆ ฝนตกบ้างแต่ไม่มาก ลูกสาวคนโตบ่นอยากกลับไปเรียนเมืองไทยค่ะ
คุณo.wanและครอบครัวคงสบายดีนะคะ
ธรรมะสวัสดีค่ะ