วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 18:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

คุณของศีล
วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ตอนค่ำ
ณ วัดเจริญสมณกิจ ภูเก็ต


อนุสนธิธรรมเทศนาสืบเนื่องมาแต่ตอนเช้านี้ ซึ่งมีใจความโดยย่อว่า
ศีล เป็นเบื้องต้นของการทำความดีทั้งปวง ๑ ศีลเป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งปวง ๑ และศีลเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลาย ๑

อธิบายตอนเช้านี้นั้นเป็นสาธารณะทั่วไป บัดนี้จะอธิบายต่อเฉพาะพวกเราที่เป็นพระเป็นเณร เพื่อให้เห็นคุณประโยชน์ของศีล

ศีล ท่านแสดงไว้มีอรรถสี่ ด้วยอรรถว่า ความปกติ ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นของเย็น ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นของสูง ๑ ด้วยอรรถว่า ท่านผู้รู้ทั้งหลายสรรเสริญแล้ว ๑

ข้อ ๑ ว่าเป็นปกตินั้น เพี้ยนมาจากสีลา (คือหิน) ธรรมดาหินแล้วไม่มีการงอกการเกิดอีก สภาพของมันเป็นอยู่เช่นไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป ศีลก็เหมือนกันที่ท่านแสดงว่าผู้ล่วงละเมิดในศีลข้อนั้น ๆ จะต้องได้รับโทษอย่างนั้น ๆ ตายตัวเลยทีเดียว ใครจะทำเมื่อไร ณ ที่ไหน โทษของการล่วงละเมิดศีลจะต้องมีอยู่เท่าเก่าไม่ลดหย่อนเลย ถ้าผู้ใดมาปฏิบัติตามศีล งดเว้นจากข้อห้ามนั้น ๆ แล้วกาย วาจา ใจของผู้นั้นจะต้องเป็นปกติไปด้วย คือได้แก่ไม่ล่วงละเมิดในศีล

ข้อ ๒ ว่าเป็นของเย็นนั้น แปลว่าเย็น อธิบายว่าศีลมีจุดมุ่งหมายมิให้เบียดเบียนกัน ไม่ว่ามนุษย์สัตว์ทั้งหลายทั่วไป เมื่อไม่มีการเบียดเบียนกันแล้วก็อยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน ผู้ใดปฏิบัติตามศีล เอาศีลเข้ามาสวมคุ้มครองตนไว้ ผู้นั้นก็เป็นผู้เย็นกายเย็นใจ คือ ไม่มีเวรมีภัย มนุษย์สัตว์ทั้งหลายก็พลอยเย็นไปตามด้วย

ข้อ ๓ ว่าเป็นของสูงนั้น แปลมาจากศีรษะ แปลว่าสูง อธิบายว่าศีลเป็นคุณธรรมที่สูงเหนือจากความชั่วอกุศลธรรมทั้งหลาย ที่เป็นของต่ำช้าเลวทราม ผู้นำเอาศีลคือข้อห้ามต่าง ๆ มาปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นแล้ว ความประพฤติและจิตใจของผู้นั้น ก็พลอยสูงไปตามด้วย
ข้อ ๔ ที่ว่าผู้รู้ทั้งหลายสรรเสริญแล้วนั้น ศีลทุกข้อเป็นกัลยาณธรรมน่าสรรเสริญเพราะปราศจากโทษ ไม่มีความชั่วบาปธรรม เมื่อผู้ใดนำเอาศีลมาปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อนั้น ๆ แล้ว ผู้นั้นก็จะเป็นที่น่าชมเชยสรรเสริญไปด้วย ได้แสดงไปแล้วเมื่อตอนเช้านี้ว่า ศีล เป็นเบื้องต้นก้าวแรกของผู้จะทำความดีทั้งปวง ถ้าเว้นข้ามศีลข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งหมด เสียแล้ว จะทำความดีให้ก้าวขึ้นไปสู่ชั้นสูงไม่ได้เลย ศีลเปรียบเหมือนรากแก้วของต้นไม้ ต้นไม้ที่ปราศจากรากแก้วแล้ว จะอยู่ยืนนานและงอกงามต่อไปไม่ได้เลย

ผู้จะบวชเป็นพระ-เณรในพระพุทธศาสนาได้ก็ต้องมีศีลเป็นมูลฐาน บวชเข้ามาแล้วไม่ตั้งอยู่ในศีล วินัยพุทธบัญญัติจะมีอะไรเป็นเครื่องหมาย พุทธมามกะบริษัทถ้าไม่มีศีลแล้ว ก็เป็นแต่เพียงทายกทายิกาเท่านั้นเอง ตอนเช้านี้จึงได้บอกว่า จงพากันมาเป็นพระกันบ้าง อย่าได้ปล่อยให้วันพระล่วงไป ๆ เสียเปล่าเลยแต่ตัวของเราไม่เป็นพระกันสักที เจ็ดวันเป็นพระกันเสียทีหนึ่งก็ยังดีหรือจะบวชพระอยู่ตลอดชีวิตก็ยังได้ ไม่เห็นเป็นของลำบากอะไรเลย ผู้เป็นพระด้วยการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ แล้วเย็นกายเย็นใจ ด้วยเราไม่ได้มองเห็นโทษเพราะละเมิดในศีลข้อนั้น ๆ และไม่ได้กลัวต่อคำครหาติเตียนของคนอื่นในเรื่องโทษของศีล ไฟที่ติดลุกลามร้อนระอุอยู่ทั่วทั้งโลกทุกวันนี้ก็เพราะไม่มีศีล คนผู้ไม่มีศีลจะอยู่ในฐานะใด ๆ และสถานที่ใด แม้จะอยู่บนปราสาทอันสูงเยี่ยมเทียมเมฆก็ไม่มีความเย็นใจ คนอื่นเขาไม่เห็นไม่รู้และไม่ได้กล่าวโทษติเตียนเป็นแต่เขาพูดกันเรื่องความชั่ว เรื่องคนไม่มีศีล พอได้ยินเข้ามันชักให้ร้อนแปล๊บ เข้ามาในใจของเราแล้ว ผู้ทำปาณาติบาตเป็นผู้มีจิตปราศจากเมตตาหาความเย็นมิได้

ไฟ คือ ราคะ-โทสะ-โมหะ-อวิชชา ขนาดหนักย่อมรุมร้อนเผาจิตใจให้คิดแต่จะประทุษร้ายสัตว์และคนอื่น บางครั้งทั้ง ๆ ที่เขาเหล่านั้นไม่ได้ทำผิดอะไรเลย จะเห็นได้ เช่น บางคนเที่ยวฆ่าสัตว์ ตีศีรษะเขาด้วยความคึกคะนองอันมิใช่วิสัยของธรรมดาสามัญชน แต่แสดงถึงจิตใจนั้นต่ำเลวที่สุดยิ่งกว่ายักษ์ มันตรงกันข้ามกับผู้มีศีล แล้วไม่เพียงแต่จะงดเว้นจากโทษนั้น ๆ ตามพุทธบัญญัติแต่จิตยังประกอบด้วยเมตตาอารี มีพรหมวิหารธรรมอันเย็นฉ่ำเข้าไปแทนอยู่อีก
พวกเราผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อมาพิจารณาดูศีลในตัวเราว่าเวลานี้เรามีศีลเป็นรากฐาน พอที่จะทำความดีให้ยิ่งขึ้นไปได้สมบูรณ์แล้วหรือยังถ้าเห็นว่ายังบกพร่องอยู่ จงพากันรีบเร่งชำระสะสางให้สะอาดบริสุทธิ์เสีย แล้วจะได้ประกอบความดีอื่น ๆ ที่ยังจะต้องกระทำอยู่มาก เพิ่มพูนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าเห็นว่าศีลของตนบริสุทธิ์แล้ว ก็จะได้เกิดความปราโมทย์ในใจว่า ตัวของเราช่างโชคดีบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาไม่เสียผล เราคนหนึ่งในจำนวนที่เดินตามรอยยุคลบาทของพระพุทธเจ้า ใจของเราก็จะได้หนักแน่นในพระพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไปสมนัยแห่งอริยธนคาถาว่า

ยัสสะ สัทธาตะถาคเต อะจะลา สุปติฏฐิตา
สีลัญ จะ ยัสสะกัลยาณัง อะริยะกันตัง ปะสังสิตัง ฯ เป็นอาทิ
ซึ่งแปลเอาใจความเพื่อแนวปฏิบัติของพวกเราทั้งหลายว่า ผู้ใดมีความเชื่อมั่น ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าแล้ว จึงจะมีศีลอันดีงามตามคำสรรเสริญของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ต่อนั้นจึงจะเลื่อมใสใจแน่วแน่ในพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ เพราะเข้าถึงศีลอันดีงาม รู้รสชาติของศีลด้วยกัน และได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้เห็นความปฏิบัติที่ซื่อตรงแล้ว ผู้เป็นเช่นว่านี้ปราชญ์ทั้งหลายท่านกล่าวว่า เป็นผู้ไม่จนอริยทรัพย์ เกิดมามีชีวิตเป็นของไม่ไร้ค่า

ฉะนั้น ผู้มีปัญญามาระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็ควรประกอบด้วยความเชื่อ มีศีล และเลื่อมใสเห็นในธรรมเนือง ๆ ดังนี้ ฯ

การบวชด้วยการรักษาศีลทุกประเภทตั้งแต่ ศีล ๕ ศีล ๘ เป็นต้นไป จัดได้ชื่อว่าเป็นพระตามชั้นตามภูมิของตนๆ ได้เคยแสดงให้ฟังมาแล้วว่า มิใช่เป็นพระได้แต่เฉพาะผู้บวชนุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้น ผู้นุ่งห่มผ้าสีต่าง ๆ ก็เป็นพระได้เหมือนกัน เช่นพระอริย ๓ จำพวกเบื้องต้น ถ้าพากันโยนพระเข้าวัดมอบให้แก่ผู้นุ่งห่มเหลืองทั้งหมดแล้ว ชาวบ้านเลยไม่ต้องประกอบคุณงามความดีอะไรกันเลยเข้าวัดเมื่อไรจึงทำความดีกันเมื่อนั้น ออกจากวัดแล้วความดีเหล่านั้นก็ฝากไว้ที่วัดก่อน มาเข้าวัดทีหลังจึงมาทำต่อ ถ้าผู้นาน ๆ จึงเข้าวัดก็เลยลืมที่ต่อเสีย โดยมากมักเข้าใจผิดกันเสียอย่างนี้ เมื่อบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เวลาสึกออกไปแล้วจึงไม่เห็นผิดแปลกอะไรกับคนผู้ไม่ได้บวชเสียเลย ความเห็นผิดเข้าใจผิดย่อมเป็นเหตุให้ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควร ทั้งเวลาบวชอยู่และสึกออกไปแล้วหลายอย่างหลายประการ บวช แบบนี้เรียกว่าเป็นการบวชบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาหาบุญกุศลไม่ได้
ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าพระพุทธศาสนาเป็นเหมือนกับหัวใจของเรา เราจะดำรงชีพอยู่ได้ก็เพราะอาศัยคุณของพระศาสนา ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราโดยเฉพาะที่จะต้องบำรุงพระศาสนาทุก ๆ วิถีทาง ศีล ก็เป็นเส้นโลหิตใหญ่เส้นหนึ่ง ซึ่งเราจะงดเว้นไม่รักษาเสียเลยย่อมไม่ได้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว บวชอยู่หรือสึกออกไป แม้แต่เป็นฆราวาสอยู่ การที่รักษาศีลตามภูมิของตน ๆ ย่อมไม่เป็นของแปลก จรรยามารยาทและคุณธรรมอย่างอื่น อันจะเป็นเครื่องเทอดทูนพระศาสนาให้ถาวรวัฒนา ย่อมกระทำได้โดยความเต็มใจ สมกับปราชญ์ฝ่ายพม่าเขากล่าวว่า “ พระสงฆ์เป็นเหมือนพี่เลี้ยง ” คือเลี้ยงรักษาพระศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เจริญถาวรอยู่ได้นั่นเอง

ทาน การสละสิ่งของ ๆ ตนเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น เป็นของมีอยู่ประจำโลก แต่ก่อนพระพุทธเจ้ายังไม่มาตรัสรู้เผยแพร่คำสอนของพระองค์ ก็มีอยู่แล้วทานจึงไม่เป็นของแปลกอะไรเลย ผู้จะเข้าขอบเขต เป็นพระในพระพุทธศาสนาเริ่มแต่มีศีล ๕ เป็นต้นไป จึงจะเรียกว่าพระในที่นี้ ผู้มีศีล ๕ เป็นต้นมั่นคงดีแล้ว หากยังไม่ถึงอริยภูมิก็เป็นพระกัลยณปุถุชนได้ จึงสมกับที่ได้อธิบายมาแล้วในตอนต้นว่า ศีลเป็นเหมือนมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย

ถ้าเข้าขั้นอริยภูมิ มีพระโสดาบันเป็นต้น จะไม่ยอมให้ศีลของตนขาดเลยแม้ชีวิตก็ยอมสละแทน ศีลชนิดนี้ท่านจึงเรียกว่าอริยทรัพย์ เพราะศีลเป็นของมีคุณค่ามาก แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อศีลได้ ทรัพย์สินเงินทองของภายนอก แม้แต่ชีวิตร่างกายเป็นของหาได้ง่าย เกือบจะว่าไม่ต้องหาเสียซ้ำไป และเป็นของหาสาระมิได้ด้วย หากบุญกรรมกิเลสยังมีอยู่แล้ว เกิดได้เสมอ ไม่เสื่อมสูญไปไหนทรัพย์สมบัติก็มีพร้อมในที่นั้น ๆ แต่ก็ไม่ใช่ของเรา เป็นของสำหรับโลก คนเกิดมาอายุยืนนาน สมบัติเข้าของยิ่งสะสมมาก ก็มีแต่จะเพิ่มทวีความยุ่งยากขึ้นทุกทีถ้าปราศจากศีลอย่างเดียวแล้ว หาความสุขมิได้เลย ศีลมีผลให้เกิดทั้งความสุขด้วยเป็นของถาวรปราศจากเวรภัย ไม่มีใครจะมาลักขโมยเอาไปด้วย เป็นของจีรังฝังไว้แน่นดีแล้วในกายในใจของใคร ผู้นั้นเกิดมาแม้มีอายุไม่นานมีสมบัติน้อย ก็จะค่อยทวีคุณความดีอันเป็นต้นเหตุให้ผลิตผล มีอายุและสมบัติเป็นต้น ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าให้เจริญถาวรวัฒนาต่อไป

ผู้รักษาศีลจะมากมายสักปานใด ก็ไม่เคยทำลายและเบียดเบียนศีล ตลอดถึงทรัพย์สมบัติของคนอื่นให้สูญเสียสิ้นเปลืองไปเลย จึงจัดได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่จนไม่เหมือนผู้แสวงหาทรัพย์สมบัติภายนอก แม้แต่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันจะถูกหรือแพง ก็ยังต้องร้องขอต่อรองกันอยู่เสมอ ถึงผู้ได้ได้ไปด้วยความยินยอม แต่ก็ไม่พ้นจากการข่มขืนเบียดเบียนน้ำใจของผู้ให้ ฉะนั้น ถึงจะมีมากก็นับว่ายังเป็นผู้จนอยู่ด้วยความพร่อง ความไม่พอความหิวกระหาย เราจะเห็นตัวอย่างชัด บางคนมีสมบัติเข้าของเงินทองมากเหลือใช้เหลือกิน แต่ตนเองไม่กล้านำเอาสมบัติเหล่านั้นออกมาใช้จ่าย แม้แต่จะนำเอามาบริโภคใช้สอยส่วนตัวก็ไม่อิ่มไม่พอ แต่การสะสมแสวงหายังเพิ่มทวีขึ้นอยู่เรื่อย ๆ

เมื่อรู้จักคุณค่าและประโยชน์ของศีลดังแสดงมาแล้ว ขอให้พวกเราทั้งหลายจงพากันชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์ อย่าให้ขาดวิ่นและด่างพร้อย จนเป็นอริยกันตะศีล ตัวของเราผู้อันอริยกันตะศีลบำรุงรักษาแล้ว ก็จะกลายเป็นอริยกันตะบุคคลไปด้วย

ศีลเป็นเบื้องต้น ก้าวแรกแห่งการทำความดีของพระพุทธมามกะ เข้ากับหลักที่ว่า อาทิกัลยาณัง ศีลงามในเบื้องต้น ใครจะเป็นองค์พระ-เณร-อุบาสก-อุบาสิกาได้ ก็จะมีศีลเป็นเครื่องวัด
ศีล เป็นบ่อเกิดแห่งกัลยาณธรรมทั้งหลาย เมื่อศีลมี ศีลตั้งมั่นลงใน กาย วาจา ใจ ของใครแล้ว กาย วาจา ใจ ของผู้นั้นเบื้องต้นมีกัลยาณธรรม คือความสงบเสงี่ยม เรียบร้อย น่าคบค้าสมาคม พูดจาน่ารักเป็นสุภาษิตควรคิดและควรนำไปปฏิบัติตามเป็นต้น ต่อนั้นไปธรรมทั้งหลาย มีพรหมวิหารเป็นต้น ก็จะพอกพูนไหลเข้ามานอนเนื่องปรากฏอยู่ในใจของผู้มีศีล ศีลไม่สักแต่ว่าเป็นบ่อเกิดแห่งกัลยาณธรรมเท่านั้น แต่ยังคุ้มครองรักษากัลยาณธรรมนั้น ๆ ไว้ได้อีกด้วย เหมือนแม่ไก่กับลูกไก่ ฉะนั้น ศีลเป็นหัวหน้าพาธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลทั้งปวง ให้เดินถูกทาง คือผู้มีศีลเป็นพื้นอยู่แล้ว ธรรมทั้งหลาย เช่นความละอายบาปความกลัวบาป ความสละเป็นต้นก็ตามมา สนับสนุนเป็นกำลังเป็นบริวารห้อมล้อมในศีล ศีลก็สมบูรณ์บริบูรณ์เพิ่มพูนกำลังขึ้น

เมื่อเรารู้คุณค่าของศีล ซึ่งเกิดมีขึ้นในตนของตนจนหายสงสัยแล้ว ก็จะไม่แสวงหาศีลในที่อื่น เพิ่มพูนบำรุงศีลที่มีอยู่ในตัวของตน จนเป็นอริยกันตะศีลก็จะเกิดความอิ่มใจ ภูมิใจในศีลของตน ต่อจากนั้นความสงบภายในใจก็จะเกิดขึ้น แล้วจิตก็แน่วแน่ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมนั้น จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมมองเห็นสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตามเป็นจริง จนหายความสงสัยอันเป็นเหตุให้อุทานว่า อะไรหนอๆ เป็นอันว่าเราเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะอยู่ไหน ไปไหนทำอะไรอยู่ พระธรรมย่อมติดตามตัวของเราไปในที่ทุกสถาน เราบริโภคอาหารก็บริโภคเพื่อพระธรรม จะนุ่งห่มก็หุ้มห่อพระธรรม ผู้ที่มามีความรู้สึกมีสติระลึกได้อย่างนี้แล้ว ย่อมไม่สามารถปล่อยตัวให้กิเลสบาปธรรม นำเอาพระธรรมคำสอนอันนี้ไปหมกตม (คืออกุศลธรรม) ได้ สมกับพุทธภาษิตว่า

ธัมโม หเว รักขติ ธมมจารี ธรรมที่ปฏิบัติอยู่นั่นแลย่อมเป็นเครื่อง ปกป้องรักษาผู้ปฏิบัติเอง
ธัมโม สุจิณโณ สุขมาวหาติ ผู้ปฏิบัติธรรมถูกต้องดีแล้วให้เกิดสุข
เมื่อเราได้รับความสุขในปัจจุบันเพราะปฏิบัติชอบ ในปรายภพข้างหน้าเราก็ไม่ต้องสงสัย
ดังอธิบายเพิ่มธรรมิกถามา ก็พอควรแก่เวลา เอวํฯ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับคุณวรานนท์
:b8: :b16:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร