วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 01:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:34
โพสต์: 173

ชื่อเล่น: เจ้ก
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีผมเคยได้ยินที่ว่าศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี และ ที่ว่าทุกๆ 100 ปี อายุขัยมนุษย์จะลดลง 1 ปี เป็นพุทธวจนะหรือไม่ ช่วยหาข้อมูลอ้างอิงให้หน่อยครับ

อนุโมทนากับทุกท่านครับ
tongue

เจริญในธรรมทุกท่านครับ
:b8:

.....................................................
จะขอเป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่า..เพื่อเติมเต็มธรรมที่ขาดหาย


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 20 พ.ย. 2009, 11:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยหาเหมือนกัน

มันไม่เจอตั้งแต่คำว่า 5000 ปีแล้วล่ะ
เข้าใจว่ามันเป็นเพิ่งจะมีปรากฏในคัมภีร์รุ่นหลังๆ
(พระไตรปิฏกมีหลายเวอร์ชั่นนะ แต่ละเวอร์ชั่นยังมี sub version อีก)

ผมเคยสงสัยเหมือนกัน
แต่หาที่เป็นพุทธพจน์ตรงๆนี่หาไม่เจอจริงๆ

ส่วนที่ว่า ทุก 100 ปี อายุมนุษย์ลดลง 1 ปีนี่ก็เพิ่งได้ยินนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศาสนาเราอ่ะเหรอครับ(พุทธ)
ยืนยาวแน่นอนครับ ไม่มีดับหรอก
แต่ว่า 100 ปี อายุลด 1 นี่เพิ่งเคยได้ยินนะ

แต่สำหรับผมคงไม่หรอก เพราะทุกวันนี้ลดลงเป็น 10 ๆ ปีกันเลยล่ะครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบเจ้าของกระทู้

เรื่อง 5000 ปีนี้ เท่าที่ศึกษาไม่ปรากฏในชั้นของพระไตรปิฏก แต่มีปรากฏคล้ายๆ กันอยู่ในชั้นอรรถกถาจารย์ครับ

ส่วนเรื่องอายุขัยของมนุษย์นี้มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกอย่างชัดเจนครับ ใน "จักกวัตติสูตร (๒๖)" ซึ่งเป็นพระสูตรที่ตรัสเล่าและพยากรณ์เกี่ยวกับมนุษย์ในสมัยก่อนมาสมัยปัจจุบัน และที่จะเป็นไปในอนาคต จนถึงสมัยของพระศรีอริยเมตไตย

โดยการที่อายุจะยืนยาวและสั้นลงเรื่อยๆ นี้จะเป็นเพราะศีลหรือคุณธรรมนั่นเองครับ ผมขอนำเฉพาะที่เป็นในพระไตรปิฏกมาให้อ่านก็แล้วกันครับ ส่วนเรื่องของอรรถกถาจารย์ หากต้องการจะทราบค่อยว่ากันอีกทีสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ

**********************

[๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
*กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย
เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึง
ความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่
หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุ
ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจาก
อายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุ
ถอยลง เหลือ ๔๐,๐๐๐ ปี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี
บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดง
แก่พระราชาผู้กษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกพร้อมด้วยกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่าง
นี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของ
คนอื่นไปจริงหรือ บุรุษนั้นได้กราบทูล คำเท็จทั้งรู้อยู่ว่า ไม่จริงเลยพระพุทธเจ้าข้า ฯ

[๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
*กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย
เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึง
ความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่
หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุ
ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจาก
อายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี ก็มี
อายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี บุรุษคนหนึ่งขโมย
เอาทรัพย์ของคนอื่นไป บุรุษอีกคนหนึ่งจึงกราบทูลแก่พระราชาผู้กษัตริย์ซึ่งได้
มูรธาภิเษกเป็นการส่อเสียดว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษชื่อนี้ ขโมยเอาทรัพย์
ของคนอื่นไป ฯ

[๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
*กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาจาก็ได้ถึงความแพร่หลาย
เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้
วรรณก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง
บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐,๐๐๐ ปี ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี สัตว์บางพวกมีวรรณะ
ดี สัตว์บางพวกมีวรรณะไม่ดี ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีวรรณะไม่ดี
ก็เพ่งเล็งสัตว์พวกที่มีวรรณดี ถึงความประพฤติล่วงในภรรยาของคนอื่น ฯ

[๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา-
*กษัตริย์ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่
หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย
เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
กาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้
วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง
บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕,๐๐๐ ปี ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ธรรม ๒ ประการคือ
ผรุสวาจาและสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความ
แพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวก
เขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ
๕,๐๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๐๐๐ ปี ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี อภิชฌาและพยาบาท
ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุของ
สัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุ
บ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลง
เหลือ ๑,๐๐๐ ปี ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี มิจฉาทิฐิก็ได้ถึงความ
แพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย
แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ
บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕๐๐ ปี ธรรม ๓ ประการคือ
อธรรมราคะ ๑- วิสมโลภ ๒- มิจฉาธรรม ๓- ก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย เมื่อธรรม
๓ ประการถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็
เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตร
ของมนุษย์ที่มีอายุ ๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๕๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๐๐ ปี ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๕๐ ปี ธรรมเหล่านี้คือ ความ
ไม่ปฏิบัติชอบในมารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ
ความไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้
ถึงความแพร่หลาย ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่
พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย
เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
อทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความ
แพร่หลาย ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย
มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาจาก็ได้
ถึงความแพร่หลาย เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความ
แพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย ธรรม ๒ ประการคือ ผรุสวาจา
และสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความแพร่หลาย
อภิชฌาและพยาบาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความ
แพร่หลาย มิจฉาทิฐิก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย
ธรรม ๓ ประการคือ อธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม ก็ได้ถึงความแพร่หลาย
@(๑) ความกำหนัดในฐานะอันไม่ชอบธรรม (๒) ความโลภไม่เลือก (๓) ความ
@กำหนัดด้วยอำนาจความพอใจผิดธรรมดา

เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย ธรรมเหล่านี้ คือ ความไม่ปฏิบัติชอบใน
มารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ความไม่ปฏิบัติ
ชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย
เมื่อธรรมเหล่านี้ถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้
วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อสัตว์เหล่านั้นเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ
บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๕๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐๐ ปี ฯ

[๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ใน
เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี รสเหล่านี้คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง
น้ำอ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์ มีอายุ
๑๐ ปี หญ้ากับแก้ ๑- จักเป็นอาหารอย่างดี ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนข้าวสุก
ข้าวสาลีระคนกับเนื้อสัตว์ จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ก็จักเป็นอาหารอย่างดี ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี กุศลกรรมบถ ๑๐ จักอันตรธานไปหมด
สิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ จักรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนทำกุศลจักมีแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติ
ชอบในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่
ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้นก็จักได้รับการบูชา และ
ได้รับการสรรเสริญ เหมือนคนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติ
ชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน
ตระกูล ในบัดนี้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพ
ยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา
ของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน
แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความ
คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับ
บุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิดความ
อาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพราน
เนื้อเห็นเนื้อเข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า
อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ

[๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัป
สิ้น ๗ วัน มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง
หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของพวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม
นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมี
ความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่าเรา อย่ากระนั้น
เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้
และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้
ระหว่างเกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด
๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ
ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม
ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือๆ ฯ


*********************

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... &A=1189&w=จักกวัตติสูตร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:34
โพสต์: 173

ชื่อเล่น: เจ้ก
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่แล้วครับคุณyothininsuk ผมหมายถึงศาสนาเรานี่แหละครับ

"เมื่อไม่มีผู้เคารพสักการบูชา พระบรมสารีริกธาตุทั้งปวงก็เสด็จไปสู่ถิ่นที่มีผู้สักการ

บูชา เมื่อเวลาผ่านไป ที่ทั้งหลายทั้งปวงปราศจากผู้ที่สักการบูชา พระบรมสารีริกธาตุ

ทั้งหลายทั้งจากมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก และนาคพิภพจะมารวมกันเข้า แล้ว

เสด็จไปสู่พระมหาเจดีย์ใหญ่ในลังกาทวีป"

อันนี้ผมได้ไปอ่านที่คุณรสมนโพสต์น่ะครับ
มันก็เข้าข่ายน่ะครับ...ทุกท่านเห็นว่าอยางไร

จริงแล้วผมก็ไม่อยากให้ถึงวันนั้นหรอกน่ะครับ...อยากให้คนเรานี่อยู่กับพุทธศาสนาไปตลอดกาลนาน
แต่ที่ถามนี่ก็แค่อยากได้รับความรู้ครับ และแค่อยากฟังความเห็นของแต่ล่ะท่านน่ะครับว่าคิดอย่างไรกันบ้าง

.....................................................
จะขอเป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่า..เพื่อเติมเต็มธรรมที่ขาดหาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศาสนาพุทธ มีวันดับค่ะ แต่ธรรม ไม่มีวันดับ พุทธ ก้เป็นเพียงชื่อเรียกศาสนาในพุทธกาลของพระสมณโคดมค่ะ ในสมัยกาลของพระศรีอริยเมตไตรย ชื่อศาสนาก็เปลี่ยนไป

อย่ายึดติดกับชื่อศาสนา ยึดที่สิ่งที่เป็นแก่นแห่งศาสนา พระรัตนตรัยค่ะ

ว่าด้วยอายุที่สั้นลง ข้อนี้ขออนุโมทนาคุณ ศิรัสพล ค่ะ เพราะจุฬาภินันท์เลยมีแหล่งอ้างอิง

จากพุทธพจน์ทั้งหมดที่คุณศิรัสพลใจดีไปหามาโพสท์ให้ มีสาระหลักๆคือ เหตุแต่ต้น มีผล มีเหตุ เป็นชั้นๆ จุฬาิภินันท์ขอสรุปย่อ เป็น pattern นะคะ

ต้นของเหตุ คือ การที่ผู้ปกครองแผ่นดินไม่ดูแลคนในแผ่นดิน

ผลของเหตุนั้น คือ การขัดสนย่อมเกิดขึ้น

เหตุ คือ ขัดสนเกิดขึ้น

ผล คือ มีการขโมยของมากขึ้น

เหตุ คือ มีการขโมยของมากขึ้น

ผล คือ มีการใช้อาวุธเป็นเครื่องมือในการขโมยของมากขึ้น

เหตุ คือ มีการใช้อาวุธเป็นเครื่องมือในการขโมยของมากขึ้น

ผล คือ คนฆ่ากันตายมากขึ้น

ฯลฯ

เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆค่ะ ต่อๆกันไป มีเหตุย่อมมีผล ผลย่อมเกิดแต่เหตุ คนฆ่ากันตายด้วยเหตุของการผิดศีลห้า นั่นแหละค่ะ ที่ทำให้อายุขัยของคน น้อยลงเรื่อยๆ

ธรรมะอยากค่ะ จะเข้าใจมีวิธีเดียว ถือศีลห้า ทำสมาธิ และรอปัญญาธรรมเกิด เมื่อนั้น พระไตรปิฎกทั้งหมดจะถูกเข้าใจโดยผู้มีปัญญาธรรมค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวไม่แน่ใจเจ้าค่ะ :b6:
:b3:
นั่งจิ้มอยู่ตั้งนานพิมพ์จากหนังสือพระศรีอาริย์...โดยอริยะ
:b20:
...พอเปลือกโลกแตกไฟประลัยกัลป์จะล้างโลก...ผู้ที่จะรอดอยู่ได้ต้องอยู่เลยสวรรค์ชั้นที่ 3 ไป...
...คือสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่ได้สบายๆ รอดพ้นภัยพิบัติไปได้...ก็เปรียบเสมือนคนที่มีเมตตา...กรุณา...
...มุทิตา...อุเบกขา...ต้องมีพรหมวิหาร 4...

:b20:
:b12:
ความคิดเห็นส่วนตัว : ทุกคนควรรีบสร้างบุญกุศลให้มากๆและสร้างจิตใจให้มีคุณธรรมพรหมวิหาร4...
(สวรรค์ชั้นที่4ชื่อตุสิตาภูมิ อายุ 4000ปีทิพย์=576ล้านปีมนุษย์)

:b17:
...ศาสนาของพระองค์จะมีอายุ 5,000 ปี...ย่างเข้าสู่ 500 ปีแรก ภิกษุณีก็หมดไป...
...พอผ่าน 1,000 ปีไปแล้วธรรมที่จรรโลงพระศาสนาจะถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 อย่าง...
...พวกอลัชชีก็ถือว่าธรรมของตนดี...จึงแยกตัวออกไปตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่...พอ1,500ปีผ่านไป
...จิตใจผู้คนจะเสื่อมลง คุณธรรมลดน้อยถอยลง...รบราฆ่าฟัน...ล้างชาติล้างตะกูลซึ่งกันและกัน...

:b6:
...ย่างเข้า 2,000 ปีธรรมชาติเริ่มเสื่อม...มนุษย์นำธรรมชาติไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย...
...ประชาชนเดือดร้อน...เมื่อพระศาสนามีอายุครบ 2,500 ปี...สิ่งที่ไม่เคยเห็นจะได้เห็น...
...ข้าวยากหมากแพง...เทคโนโลยีเกิดขึ้น...ความวินาศ...วาตภัย...อุทกภัยเกิดตามมา...
...พอย่างเข้า 3,000 ปี...มนุษย์จะไม่รู้จักพระ...ไม่รู้จักสงฆ์...เอาคนมาทำพระ...
...เอาพระมาเป็นคนมั่วกันไปหมด...คนก็เริ่มไม่ใช่คน(มั่วกามโลกีย์)...พระก็ไม่ใช่พระ...

:b7:
...พอเข้าสู่ 3,500 ปีเด็กน้อยๆจะครองเมืองรุ่งเรือง...ผู้ใหญ่จะตกอับกลับกลายเป็นผู้ที่ด้อยปัญญา...
...หมายถึงง่อยเปลี้ยเสียขาทุพพลภาพ...ไม่มีปัญญาหากิน...มนุษย์จะตัวเล็กลงๆจนถึงกับต้องใช้...
...ไม้สอยมะเขือ...เพราะเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าทางวัตถุ...ไม่พัฒนาด้านร่างกายสังขาร...
...ย่างเข้า 4,000 ปี...ผู้ที่เป็นพระจะมีผ้าเหลืองน้อยห้อยหูเท่านั้น...พระในยุคนั้นจะต้องทำไร่ไถนา...
...หากินหาอยู่ด้วยตนเอง...มีลูกมีเมียได้...อายุมนุษย์จะน้อยถอยลงจาก80เหลือ40จาก40เหลือ20ปี
...อายุแค่ 4-5 ปีก็จะแต่งงานมีครอบครัวกัน...

:b21:
...พอย่างเข้า 4,500 ปีออกจากบ้านเรือนก็ไม่รู้จักกัน...เพราะศีล5หายไปไม่มีศีลธรรม...ไม่มีสัจจะ...
...ไม่มีอะไรเลย...ทะเลาะเบาะแว้ง...รบราฆ่าฟันกัน...สมณชีพราหมณ์หายไปหมด...ศีลธรรมหดหาย
...จะเหลือคนอยู่กลุ่มเดียวเพียง 7 ร่มโพธิ์ที่มีพรหมวิหาร 4 รู้จักสำรวมกาย วาจา ใจ มีศีล 5 ในจิตใจ
...หลบซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำ ตามป่า ตามเขา...ฝึกฝนปฏิบัติต่อจิตจนรอดปลอดภัยจากทุกสิ่งทุกอย่างได้
...พอย่างเข้า 5,000 ปี...มนุษย์จะสมสู่เยี่ยงสัตว์...ไม่รู้จักคำว่าพ่อแม่ พี่น้อง ไม่มีความดีเหลืออยู่...

:b2:
...ศาสนาของพระโคดมจะสิ้นสุดลง...น้ำจะท่วมโลก...ไฟก็จะไหม้ทั่วพื้นพิภพ...ปรับสมดุลให้โลกธาตุ
...ธรรมชาติจะปรับสมดุลใหม่ใช้เวลา 10,000-40,000 ปี สิ่งมีชีวิตและมวลสารธาตุต่าง ๆ ที่ตาย...
...ถูกไฟเผากลับสู่ธาตุเดิมราบเป็นหน้ากลองทำให้พื้นดินสูงขึ้นอีก 1 โยชน์(16,000 กิโลเมตร)...
...โลกธาตุกลับสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง...สิ่งมีชีวิตที่ยังมีสภาวกรรมเหลืออยู่จะพัฒนาธาตุขึ้นมาใหม่
...พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ จะไปอาราธนาพระศรีอริยเมตไตรย...ลงมาจุติในภพภูมิมนุษย์
...ผู้ที่เหลือรอดมาได้จากไฟประลัยกัลป์เพียงแค่ 7ร่มโพธิ์คือมีศีล5+พรหมวิหาร4เท่านั้นที่เข้าสู่ยุคนี้

:b20: :b31:
...ผู้ใดจะใคร่ชม...สมเด็จองค์พระศรีอาริย์...ตั้งใจให้ชื่นบาน...ฟังนิทานเวสสันดร...
...ผู้ใดใคร่จะไหว้...เมื่อท่านเป็นพระบวร...ต้องฟังเทศน์เวสสันดร...วันเดียวจบให้ครบพันฯ...

:b4:
...ในยุคสมัยพระบรมครูพระศรีอริยเมตไตรยจุติมีอายุยืนถึง 80,000 ปี...มีต้นโพธิ์ทิพย์(กัลปพฤกษ์)
...ฝนตกตามฤดูกาลยามดึกสงัด...โลกธาตุชุ่มชื่นอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผลพฤกษชาติต่างๆออกทุกฤดู...
...มีโภชนาหารภักษาหารสมบูรณ์...บ้านชิดติดกันเป็นพืด...ไก่บินไม่ตก...ผัวเดียวเมียเดียว...
...มีแก้วรัตนะทั้งเจ็ดไม่ต้องทำมาหากินทำอาชีพ...ยืนอธิษฐานขอที่ต้นกัลปพฤกษ์...มีดอกบัวขาว...
...เต็มไปหมดทั้งบนบกและในน้ำ...การคมนาคมทางน้ำ...ฝั่งหนึ่งไหลขึ้นฝั่งหนึ่งไหลลงอัตโนมัติ...
...ผู้คนอยู่มีสุขไม่เถียงกัน...การอธิษฐานจิตที่ต้นกัลปพฤกษ์เหมือนการไปวัดเข้าโบสถ์ในปัจจุบัน...

:b20:
...ผู้ที่มีศีลสะอาดในยุคปัจจุบันนี้ปรารถนาจะได้พบศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยในยุคหน้านับว่าดีเลิศ
:b27:
...ฝันให้ไกลไปให้ถึงทุกคนเลยนะเจ้าคะ...:b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 22:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 20:05
โพสต์: 60

แนวปฏิบัติ: พิจารณา......
ชื่อเล่น: ดุ๊กดิ๊กๆ
อายุ: 24
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมรู้อยู่อย่างเดียว

รู้ว่ากระผมสิ้นความสงสัยในสิ่งใด ในสามัญลักษณะ
เพราะทุกอย่างดำเนินไปตามกฏของปฏิจสมุปบาท

:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร