วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 05:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2009, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 22:05
โพสต์: 80

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พิธีกรรมต่างๆหลายท้องที่หรือแต่ละถิ่นกระทำไม่เหมือนกัน บางอย่างอาจทำสืบต่อๆกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ บางอย่างอาจเป็นความเชื่อที่เชื่อต่อๆกันนานแสนนานมาเช่นกัน จึงขอถามเกี่ยวกับพิธีกรรม 2 ข้อครับ คือ
(1.) ประเพณีหรือความเชื่อของคนภาคเหนือตอนบนหลายๆท้องที่ หากสามีหรือภรรยาถึงแก่กรรมลง สมมุติว่าสามีถึงแก่กรรมลงไปเขาจะทำพิธีแยกจากการเป็นสามีภรรยา-สามีกัน เพราะเชื่อว่าหากไม่ทำพิธีดังกล่าว ฝ่ายที่ถึงแก่กรรมไปนั้นจะตามมาเพื่อเอาไปอยู่ด้วยกันอาจด้วยความรักความผูกพันกัน จึงต้องทำพิธีแยกความเป็นผัวเยกันดังกล่าว ข้อนี้บางรายดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงที่ต้องตายตามกันไปอาจเป็นเพราะความบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบแต่ก็มีจริงๆ(แต่ไม่ใช่ทุกราย)
(2) จากกรณีมาจากข้อ (1) นั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่กรรมลงไป สมมุติว่าสามีแก่กรรมลงไป ด้วยความรักและคิดถึงของอีกฝ่ายหนึ่งคือภรรยาต้องทำบุญอุทิศส้วนกุศลหรือทำบุญไปให้เสมอ แต่ตามความเชื่อนั้นของที่จะทำบุญอุทิศไปให้นั้นต้องใส่ชื่อลูกๆหรือญาติๆว่าเป็นผู้ทำบุญอุทิศไปหา ห้ามใช้ชื่อภรรยา หรือคู่สมรถที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเด็ดขาด เพราะกลัวและเชื่อว่าเขาจะไม่ได้รับส่วนบุญนั้นๆ เหตุผลของเขาที่เชื่อตามๆกันมาถือว่าสามีหรือภรรยาทำพิธีแยกทางกันแล้วตามข้อ(1) ที่เขาทำดังนี้ก็เพราะด้วยความรักเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รับส่วนบุญที่อุทิศไปให้
(3) ข้อนี้ไม่เกี่ยวกับข้อ(1)และข้อ(2) คือประเพณีทางเหนือหากมีลูก ผัวหรือญาติที่เขารักมากๆ แต่เขาชอบทานของดิบๆเช่นลาบ( ลาบเป็นอาหารที่ปรุงแล้วที่ทำจากเนื้อดิบๆเป็นวัฒนธรรมหารกินของคนเหนือ) ด้วยความรักและคิดถึงเขาจึงนำลาบดิบๆไปถวายพระเพื่อเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปหาเชื่อว่าทำแล้วเขาจะได้กิน แต่การทำบุญด้วยอาหารดิบๆอย่างลาบ(ดิบ)นั้น เขาจะไม่นำไปถวายในวัดเชื่อกันว่าจะเป็นบาปและผู้ตายจะไม่ได้กิน จึงนิยมกันไปถวายทานของกินนอกวัด โดยนิมนต์พระมารับของดังกล่าวที่นอกวัด จากคำถามข้อนี้พระท่านก็ไม่ผิดอะไร เราไปนิมนต์ท่านให้มารับของทานที่ถวายถือว่าท่านได้โปรดหรือเมตตาด้วย ส่วนอาหารนั้นท่าจะเอาไปทิ้งหรือเอาไปทำอะไรเป็นเรื่องของพระท่าน ผมจึงถือว่าพระท่านไม่ผิดอะไร

จากคำถามดังกล่าวทั้ง 3 ข้อนั้น ในส่วนตัวของผมเข้าใจว่ามันเป็นความเชื่อที่ทำต่อๆกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว และผัจจุบันนี้ยังทำกันอยู่อย่างนี้ และในความเห็นส่วนตัวของผมนั้นคิดว่า ที่เขาทำไปนั้นเป็นเจตนาที่ดี ด้วยความรักและห่วงหาอาลัยกันจึงทำเช่นนั้น ผมเห็นว่าไม่เสียหายตรงไหนหากเขาทำไปแล้วสบายใจมันไม่น่าเสียหายตรงไหน และถึงแม้สิ่งที่เขาทำไปนั้นเป็นการทำสืบๆต่อๆกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว และไม่รู้เสียด้วยว่าที่ทำไปนั้นมันผิดหรือถูก แต่ทำไปแล้วพวกเขาสบายใจ ในความเห็นส่วนตัวอย่างที่บอกคือหากสิ่งที่เขาทำไปนั้น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครและสบายใจถือว่าไม่ผิดอะไร

พิธีกรรมดังกล่าวทั้ง 3 ข้อที่ยังทำกันอยู่หลายๆท้องถิ่นทางภาคเหนือ ผมถือว่าเป็นความเชื่อทีทำแล้วไม่เสียหายอะไรหากทำไปแล้วสบายใจ ไม่มีใครเสียหายทั้งพระ ทั้งผู้ทำด้วย ....เหตุผลที่กระผมต้องถามก็เพราะผมอยากรู้ว่าการที่เขาทำพิธีกรรมดังกล่าวทั้ง 3 ข้อนั้นมีส่วนถูกหรือผิดอย่างไรบ้าง และเป็นการกระทำที่ผิดหรือไม่ ..กระมสงสงสัยมานานและก็พยายามจะถามท่านผู้รู้หลายๆแห่ง แต่ก็ถูกโดนด่าบ้าง โดนต่อว่าบ้างงมงายบ้าง ไม่มีพิธีนี้ในศสานาบ้าง บางรายคงอ่านคำถามคงไม่เข้าใจขอให้ผมบอกว่าโดยพิธรกรรมในข้อ (3)นั้นต้องการทราบว่าเป็นพระวัดไหน ที่ไหน ข้อ(3)นี้ผมถึงบอกแล้วว่าไม่เกี่ยวกับวัด ไม่เกี่ยวกับพรัท่าน ทางพระท่านได้โปรดด้วยซ้ำไป

ขอโทษมากๆครับที่รบกรนหน้ากระดาษถามเสียยาว ก็เพราะอยากรู้มานานครับ สงสัยมานานครับว่าท่านผู้รู้ท่านมีความเห็นอย่างไรกับคำถามทั้ง 3 ข้อนั้น กราบขอบพระคุณทุกๆคำตอบล่วงหน้าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2009, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พิธีกรรมต่างๆหลายท้องที่หรือแต่ละถิ่นกระทำไม่เหมือนกัน บางอย่างอาจทำสืบต่อๆกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ บางอย่างอาจเป็นความเชื่อที่เชื่อต่อๆกันนานแสนนานมาเช่นกัน จึงขอถามเกี่ยวกับพิธีกรรม 2 ข้อครับ คือ
(1.) ประเพณีหรือความเชื่อของคนภาคเหนือตอนบนหลายๆท้องที่ หากสามีหรือภรรยาถึงแก่กรรมลง สมมุติว่าสามีถึงแก่กรรมลงไปเขาจะทำพิธีแยกจากการเป็นสามีภรรยา-สามีกัน เพราะเชื่อว่าหากไม่ทำพิธีดังกล่าว ฝ่ายที่ถึงแก่กรรมไปนั้นจะตามมาเพื่อเอาไปอยู่ด้วยกันอาจด้วยความรักความ ผูกพันกัน จึงต้องทำพิธีแยกความเป็นผัวเยกันดังกล่าว ข้อนี้บางรายดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงที่ต้องตายตามกันไปอาจเป็นเพราะความ บังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบแต่ก็มีจริงๆ(แต่ไม่ใช่ทุกราย)


พิธีกรรมและความเชื่อทั้งหลายในโลกมีมากมายหลายอย่าง เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ส่วนมากก็มีหรือทำเพื่อความผาสุกปลอดภัยแก่ตน หรือป้องกันภัยพิบัติต่างๆ เท่าที่จะสามารถจินตนาการกันไปได้ ส่วนมากแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ถูกต้องดังพิธีกรรมที่เล่ามานี้ก็เป็นความเชื่อที่ขาดเหตุผล เพราะ..เหตุที่ทำให้ความตายปรากฏขึ้น มี ๔ ประการ คือ

๑. อายุกขยมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นอายุ

๒. กัมมักขยมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นกรรม

๓. อุภยักขยมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นอายุ และสิ้นกรรม

๔. อุปัจเฉทกมรณะ ได้แก่ ตายเพราะกรรมเข้าไปตัดรอน

ดังนั้น แม้เมื่อสามีตายก่อน เพราะบาปกรรมมาตัดรอน หากภรรยามีบุญทำไว้ดีแล้ว ไม่เคยเบียดเบียนฆ่าทำร้าย สัตว์ิอื่นมา และ ก็ยังไม่สิ้นอายุขัยในชาตินี้ แม้ไม่ทำพิธีกรรมดังที่ท่านเล่ามา ภรรยาก็ไม่ตายตามสามีแน่นอน.อีกประการหนึ่งคนที่ตายไปแล้วก็ไปสู่ภพใหม่แล้ว ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาก็ยุติลงแล้ว ด้วยความตายนั่นแหละ ไม่ต้องไปทำอะไรเพื่อแยกความสัมพันธ์หรอก...จึงขอให้เข้าใจเหตุผลที่ถูกต้องไว้จะได้ไม่ต้องเสียเงินและเวลาในการทำพิธีกรรมดังกล่าว
:b1:

อ้างคำพูด:
(2) จากกรณีมาจากข้อ (1) นั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่กรรมลงไป สมมุติว่าสามีแก่กรรมลงไป ด้วยความรักและคิดถึงของอีกฝ่ายหนึ่งคือภรรยาต้องทำบุญอุทิศส้วนกุศลหรือทำ บุญไปให้เสมอ แต่ตามความเชื่อนั้นของที่จะทำบุญอุทิศไปให้นั้นต้องใส่ชื่อลูกๆหรือญาติๆ ว่าเป็นผู้ทำบุญอุทิศไปหา ห้ามใช้ชื่อภรรยา หรือคู่สมรถที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเด็ดขาด เพราะกลัวและเชื่อว่าเขาจะไม่ได้รับส่วนบุญนั้นๆ เหตุผลของเขาที่เชื่อตามๆกันมาถือว่าสามีหรือภรรยาทำพิธีแยกทางกันแล้วตาม ข้อ(1) ที่เขาทำดังนี้ก็เพราะด้วยความรักเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รับส่วนบุญที่อุทิศ ไปให้


ข้อนี้ยิ่งชัดเจนว่าขาดเหตุผลใดๆที่ถูกต้องโดยประการทั้งปวง เพราะของใดที่"ผู้ให้"ตั้งใจให้และ"ผู้รับ"มีอยู่ เมื่อ"ผู้ให้"กระทำการขวนขวายในการให้นั้นอยู่ด้วยวิธีการต่างๆอย่างเต็มใจ ถูกต้อง และเต็มกำลัง ทั้งผู้รับก็มีจิตยินดีรับ สิ่งที่ให้ก็ย่อมมาถึงผู้รับได้แน่แท้..ยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับบุญกุศล ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดที่เจ้าของผู้ทำบุญจะต้องทำการอุทิศบุญถึงผู้ตาย โดยตรง ไม่ใช่ให้ญาติอื่นๆี่ที่ไม่ได้ทำมาส่งบุญให้คนตาย ถามว่า เมื่อไม่มีบุญจะส่งแล้วคนตายจะได้รับบุญหรือ?? :b10: :b14:

อ้างคำพูด:
(3) ข้อนี้ไม่เกี่ยวกับข้อ(1)และข้อ(2) คือประเพณีทางเหนือหากมีลูก ผัวหรือญาติที่เขารักมากๆ แต่เขาชอบทานของดิบๆเช่นลาบ( ลาบเป็นอาหารที่ปรุงแล้วที่ทำจากเนื้อดิบๆเป็นวัฒนธรรมหารกินของคนเหนือ) ด้วยความรักและคิดถึงเขาจึงนำลาบดิบๆไปถวายพระเพื่อเป็นการทำบุญอุทิศส่วน กุศลไปหาเชื่อว่าทำแล้วเขาจะได้กิน แต่การทำบุญด้วยอาหารดิบๆอย่างลาบ(ดิบ)นั้น เขาจะไม่นำไปถวายในวัดเชื่อกันว่าจะเป็นบาปและผู้ตายจะไม่ได้กิน จึงนิยมกันไปถวายทานของกินนอกวัด โดยนิมนต์พระมารับของดังกล่าวที่นอกวัด จากคำถามข้อนี้พระท่านก็ไม่ผิดอะไร เราไปนิมนต์ท่านให้มารับของทานที่ถวายถือว่าท่านได้โปรดหรือเมตตาด้วย ส่วนอาหารนั้นท่าจะเอาไปทิ้งหรือเอาไปทำอะไรเป็นเรื่องของพระท่าน ผมจึงถือว่าพระท่านไม่ผิดอะไร


:b2: :b5: :b10: :b14: บุญบาปไม่ได้อยู่เฉพาะในวัดหรอกครับ แต่อยู่ที่ใจครับ สิ่งใดที่รู้ว่าผิดเมื่อทำไปก็ไม่สบายใจ ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกวัด ..แม้ไม่รู้ แต่บาปกรรมทำไว้นั้นเขารู้ครับ แล้วจะส่งผลได้เที่ยงตรงเสมอ เหมือนคนไม่รู้ว่านี่คือยาพิษสำคัญ ว่าเป็นน้ำหวาน เมื่อดื่มไปแล้ว ถามว่าพิษของยาจะไม่ทำลายร่างกายเขาเพราะความไม่รู้ของเขาหรือ? ข้อนั้นหามิได้ เขาย่อมทุกข์เดือดร้อนเพราะพิษที่ดื่มไปโดยไม่รู้นั่นเทียว..ดังนั้นการถวายเนื้อดิบที่พระวินัยห้ามพระสงฆ์ฉัน ก็เท่ากับการแกล้งพระให้เป็นอาบัติ เพราะบางรูปไม่ทราบวินัย มีผลให้ท่านต้องไปตกนรกหากไม่แก้อาบัติ นับว่าเดือดร้อนกันทั้งพระและโยมนั่นเทียว..นี่คืออันตรายจากความเชื่อผิดๆ.. :b7: :b5:

อ้างคำพูด:
จากคำถามดังกล่าวทั้ง 3 ข้อนั้น ในส่วนตัวของผมเข้าใจว่ามันเป็นความเชื่อที่ทำต่อๆกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แล้ว และผัจจุบันนี้ยังทำกันอยู่อย่างนี้ และในความเห็นส่วนตัวของผมนั้นคิดว่า ที่เขาทำไปนั้นเป็นเจตนาที่ดี ด้วยความรักและห่วงหาอาลัยกันจึงทำเช่นนั้น ผมเห็นว่าไม่เสียหายตรงไหนหากเขาทำไปแล้วสบายใจมันไม่น่าเสียหายตรงไหน และถึงแม้สิ่งที่เขาทำไปนั้นเป็นการทำสืบๆต่อๆกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว และไม่รู้เสียด้วยว่าที่ทำไปนั้นมันผิดหรือถูก แต่ทำไปแล้วพวกเขาสบายใจ ในความเห็นส่วนตัวอย่างที่บอกคือหากสิ่งที่เขาทำไปนั้น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครและสบายใจถือว่าไม่ผิดอะไร


เมื่อคุณอ่านคำตอบข้างบนแล้ว คงพอเข้าใจได้ว่าการกระทำใดๆที่ไม่มีเหตุผล ไม่ทราบข้อเท็จจริง ทำไปตามความเชื่อด้วยอาการขาดปัญญานั้น แม้ทำกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์.. แม้คิดว่าเป็นความสบายใจก็หาได้ถูกต้องไม่ ทั้งยังเป็นโทษอันนำมาซึ่งทุกข์ทั้งแก่ตนและคนอื่น ทั้งในปัจจุบันและอนาคตชาติ สังสารวัฏของผู้ไม่รู้จึงยืดยาวหาที่สุดมิได้เลย ก็เพราะการกระทำและความเชื่อที่ไม่มีประโยชน์เหล่านี้ เมื่อจะเกิดอีก ก็จะได้ข้องเกี่ยวกับลัทธิพิธีกรรมที่ตน เคยเสพข้องมาแล้วดุจนกที่ติดอยู่ในตาข่ายของนายพราน จะหนีไปที่อื่นก็ไม่พ้นเลย..น่าหวาดเสียวยิ่งนัก..

ขอให้พยายามศึกษาธรรมะเพื่อสติปัญญาที่จะคุ้มครองตนเองมิให้เป็น"เหยื่อ"ของพิธีกรรมความเชื่อที่ผิดพลาด เหล่านี้ให้มาก ท่านจะได้ที่พึ่งที่เกษมปลอดภัยที่แท้จริง นะครับ
:b44:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 06 ธ.ค. 2009, 20:32, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2009, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 22:05
โพสต์: 80

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบขอบพระคุณในคำตอบมากๆครับทำให้กระผมพบความสว่างแล้วหลังสงสัยมานาน ที่ผ่านๆมาเรื่องพิธีกรรมที่ถามนั้นก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันไม่ม่าจะถูกต้องจึงได้ตั้งกระทู้ถามมานี่แหละ แต่ไม่ทราบเหตุทราบผลและก็เป็นคนหนึ่งที่ทำกับเขาตามๆกันมาอย่างที่บอก ตอนนี้ตาสว่างแล้วครับ กราบขอบพระคุณครับจะขอเก็บความรู้นี้ไปให้ลูกหลานต่อๆไปครับ ขออนุโมทนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2009, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุครับ คุณamam :b8: :b46: :b47: :b48:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2009, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 22:05
โพสต์: 80

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากคำตอบของท่าน-dd- เกิดความสงสัยอีกแล้วครับ ได้โปรดเมตตาช่วยอธิบายด้วยภาษาง่ายๆให้กระผมเข้าใจเป็นข้อๆด้วยครับ กราบขอบพระคุณครับ ที่สงสัยและอยากให้ท่านเมตตาอธิบาย คือ

๑. อายุกขยมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นอายุ

๒. กัมมักขยมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นกรรม

๓. อุภยักขยมรณะ ได้แก่ ตายเพราะสิ้นอายุ และสิ้นกรรม

๔. อุปัจเฉทกมรณะ ได้แก่ ตายเพราะกรรมเข้าไปตัดรอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2009, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอยกคำตอบจากพระอภิธรรมที่แสดงไว้แล้วมาตอบดังนี้ครับ..

๑. อายุกขยมรณะ (การตายเพราะสิ้นอายุ)

การตายเพราะสิ้นอายุนั้น หมายถึง ตายเมื่อแก่ คือ ถึงซึ่งความชราแล้วจึง ตาย เพราะสังขารร่างกายได้ดำรงคงอยู่มานานพอควรแล้ว ก็ย่อมเสื่อมโทรมลงจน ถึงวาระที่แตกดับทำลายไป

ในสมัยพุทธกาล คนเรามีอายุ ๑๐๐ ปี โดยประมาณ นับแต่สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว อายุคนก็ลดน้อยลงในอัตรา ๑๐๐ ต่อ ๑ คือ กาลเวลาล่วงไป ๑๐๐ ปี อายุขัย หรืออายุกัปป์ของคนเราก็ลดน้อยลงไป ๑ ปี จนถึงบัดนี้กาลเวลาได้ล่วงเลย ๑๐๐ ปี ไปถึง ๒๕ รอบแล้ว อายุขัย อายุกัปป์ ก็ลดลง ๒๕ ปี ดังนั้นอายุขัยของคนในปัจจุบันจึงประมาณ ๗๕ ปีเท่านั้น ถ้าผู้ใด อยู่ถึง ๗๕ ปี แม้จะน้อยไปหน่อย หรือมากไปสักนิดแล้วจึงตาย ดังนี้เรียกว่าตาย เพราะสิ้นอายุ

อีกนัยหนึ่ง ท่านกล่าวว่า การตายของปุถุชนทั้งหลาย ตลอดจนการตายของ พระเสกขบุคคล นั่นแหละ จึงเรียกว่า อายุกขยมรณะ ตายเพราะสิ้นอายุ

๒. กัมมักขยมรณะ (ตายเพราะสิ้นกรรม)

ตายเพราะสิ้นกรรม หมายถึงว่า ผู้ที่ตายนั้นอายุยังน้อย ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวอยู่ ยังไม่ถึงอายุขัยก็มาตายลง เป็นอันหมดกรรมที่จะต้องได้รับในชาตินี้ แต่เพียงเท่านี้ ดังที่กล่าวกันธรรมดาสามัญว่า หมดเวรหมดกรรมกันเสียที หรือว่า ผู้ที่ตายนั้นมีอายุมากมายจนแก่หง่อมหนักหนาจึงได้ตาย การที่ได้อยู่จนถึงกับแก่ หง่อม งก ๆ เงิ่น ๆ หลง ๆ ลืม ๆ เช่นนี้ ก็เพราะยังไม่หมดกรรมที่ตนจะต้องได้รับ ในชาตินี้ (แม้จะหมดอายุขัยแล้วก็ตาม) จึงต้องทนทุกข์อยู่ไปจนกว่าจะตาย ที่เรียก กันว่า หมดบุญ ก็คือสิ้นกรรม นั่นเอง

๓. อุภยักขยมรณะ (ตายเพราะสิ้นทั้งอายุ และสิ้นทั้งกรรม)

ตายเพราะสิ้นทั้งอายุ และสิ้นทั้งกรรม หมายถึงว่า ไม่ได้ตายแต่เด็กแต่เล็ก ต่อเมื่อถึงอายุขัยจึงตาย ประจวบกับหมดกรรมด้วยพอดี ไม่ต้องทรมานรับกรรม ใช้ กรรมจนแก่หง่อมดังกล่าวแล้วในข้อต้น ดังนี้แหละ ที่เรียกว่า อุภยักขยมรณะ

อีกนัยหนึ่ง ท่านกล่าวว่า การปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการปรินิพพานของ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๒ พระองค์เท่านี้แหละ จึงจะเรียกได้ ว่าเป็น อุภยักขยมรณะ เพราะท่านต้องอยู่จนถึงอายุขัย (ที่มีเงื่อนไข) แม้ใครจะ ประทุษร้ายอย่างใด ก็ไม่ทำให้ตายได้ และท่านเป็นผู้ที่หมดกรรมแล้วโดยสิ้นเชิง
อีกนัยหนึ่ง ท่านกล่าวว่า พระอรหันต์ทั้งหลายที่เข้าสู่ปรินิพพานนั่นแหละ เป็นการตายอย่างกัมมักขยมรณะโดยตรง เพราะท่านสิ้นกรรมหมดกรรมโดยแท้ เป็น การสิ้นกรรมหมดกรรมอย่างเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทจริงๆ ไม่เหมือนกับที่กล่าว ในวรรคต้นอันเป็นการสิ้นกรรมหมดกรรมเฉพาะภพนั้นชาตินั้นแต่ชาติเดียว อันเป็น การกล่าวได้โดยปริยาย หาใช่หมดกรรมสิ้นกรรมโดยแท้ไม่

๔. อุปัจเฉทกมรณะ (ตายเพราะกรรมเข้าไปตัดรอน)

ตายโดยยังไม่ทันสิ้นอายุและสิ้นกรรม เพราะมีภัย มีอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใด มารบกวนตัดรอนทอนอายุให้ขาดลงไป ภัยหรืออันตรายที่มาทำให้ถึงตาย เช่น ศัตราวุธ ถูกวางยาเบื่อ ถูกสัตว์อื่นทำร้าย ถูกรถทับ ไฟครอก จมน้ำ อดน้ำ อดข้าว เป็นโรค ตลอดจนตายด้วยแรงโลภะ แรงโทสะ เหล่านี้เป็นต้น ไม่ได้ตายอย่างปกติ ธรรมดาสามัญเหมือน ๓ อย่างตรงข้างต้นนั้น จึงได้เรียกว่าเป็นอุปัจเฉทกมรณะ ซึ่งจัดเป็นอกาลมรณะ เพราะว่าถ้าหากว่าไม่ได้รับภยันตรายเช่นนั้น อาจจะยังไม่ถึง แก่มรณะก็ได้

http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/077.htm
http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/078.htm
http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/079.htm
http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/080.htm
http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/081.htm

คงไม่ยากเกินไปนะครับ :b46: :b47: :b48:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 00:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาค่ะท่าน -dd- :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:34
โพสต์: 173

ชื่อเล่น: เจ้ก
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน -dd- อธิบายได้กระจ่างแจ่มชัดมากเลยครับท่าน นับถือๆ ครับ

.....................................................
จะขอเป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่า..เพื่อเติมเต็มธรรมที่ขาดหาย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร