วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 08:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2010, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5360


 ข้อมูลส่วนตัว


พระเจ้ามิลินท์ ตรัสถามว่า


ดูก่อน พระนาคเสน

ผู้ที่ตายไปแล้ว มีบ้างหรือไม่ ที่จักไม่กลับมาเกิดอีก.?


.


พระนาคเสน ทูลตอบว่า


ขอถวายพระพร

ผู้ที่จักกลับมาเกิดอีกก็มี ผู้ที่จักไม่กลับมาเกิดอีกก็มี.



ม.


ใคร...ที่จักกลับมาเกิดอีก.?



น.


ผู้ที่มีกิเลส จักกลับมาเกิดอีก

ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว จักไม่กลับมาเกิดอีก.



ม.


ตัวท่านเล่า....จักกลับมาเกิดอีกหรือไม่.?



น.


หากอาตมาภาพยังมี "อุปาทาน" (ความถือมั่นด้วยกิเลส) อยู่

ก็จักกลับมาเกิดอีก

หากไม่มีอุปาทาน ก็จักไม่กลับมา.



ม.


ผู้ที่จักไม่กลับมาเกิดอีกนั้น

เขาจะรู้ตัวหรือไม่...ว่าเขาจะไม่กลับมาเกิดอีก.?



ม.


รู้ เพราะท่านรู้ว่า เหตุแห่งการเกิดหมดสิ้นแล้ว.!

อุปมาเหมือนชาวนา ที่เก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเพื่อบริโภค

โดยไม่ทำนาเพิ่มอีก

ยุ้งฉางของเขาจักไม่เต็มขึ้น เพราะเขาได้หยุดทำนาแล้ว.



ม.


ผู้ที่จักไม่ต้องกลับมาเกิดอีกนั้น

ระหว่างมีชีวิตอยู่....จะรู้สึกต่อความลำบากหรือไม่.?



น.


บางส่วนรู้สึก บางส่วนก็ไม่รู้สึก.



ม.


ส่วนไหนรู้สึก ส่วนไหนไม่รู้สึก.



น.


ร่างกายของท่าน รู้สึกต่อความยากลำบาก

แต่ใจของท่าน ไม่มีความยากลำบาก.


กล่าวคือ

ความลำบากกาย เช่น ความเมื่อยขบ หิว-กระหาย

หรือ โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ยังคงเกิดกับท่าน

และเสียดแทงร่างกายของท่านอยู่ ตามธรรมดา.


แต่ท่านไม่มีความลำบากใจ ไม่มีทุกข์ใจ

เนื่องจากท่านได้กระทำเหตุแห่งความลำบากใจให้สิ้นเชื้อไปแล้ว.


ดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ใจความว่า..........

ผู้ที่สิ้นกิเลส คือ เหตุให้เศร้าหมองใจนั้น

ยังคงมีแต่ กายิกทุกข์ คือ ทุกข์ประจำร่างกาย เท่านั้น

ส่วนเจตสิกทุกข์ หรือ ความทุกข์ใจ เป็นอันไม่มีแล้ว.



ม.


เมื่อเป็นเช่นนั้น

ไฉนท่านจึงไม่รีบปรินิพพาน...หนีความลำบากเสียเล่า.?



น.


เพราะเหตุว่า

ใจของท่านเหล่านั้น.....มิได้เกาะเกี่ยวอยู่กับความลำบากกาย

โดยพิจารณารู้ว่า ความลำบากเหล่านั้น เป็นอาการประจำกาย

เมื่อมีเกิดมีแก่ ก็ต้องมีความลำบากกาย คือความไข้ ความเจ็บ

ความเมื่อยขบ หรือ ความหิว-กระหาย เป็นธรรมดา.


อนึ่ง ท่านเหล่านั้น ไม่เร่งกาลเวลา(ที่จะปรินิพพาน)

ด้วยระลึกอยู่เสมอ ว่าจักกระทำประโยชน์สุขให้แก่ตนและผู้อื่น.


ดังท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า

จะยังมีชีวิตอยู่ก็ดี หรือ จักปรินิพพานไปก็ดี

ไม่เป็นเหตุให้ดีใจหรือเสียใจ

แต่ว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่

ก็จักทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อไป.



ม.


พระคุณเจ้าว่ามานี้...จับใจ.



(ปฏิสนธิคหณปัญหา-นัปปฏิสนธิคหณชานนปัญหา

-อุปปัชชนชานนปัญหา-ปรินิพพานปัญหา)

โดยปกติเมื่อทำกุศลกรรม เช่น ในขั้นทาน ขั้นศีล เป็นต้น บุญนั้นยังไม่ให้ผลทันที

คือไม่ให้ผลในขณะต่อไปทันที แต่อาจจะให้ผลในชาติปัจจุบันนี้คือ 1 ปีข้างหน้า 10 ปี

ข้างหน้าหรือให้ผลในชาติหน้าหรือชาติอื่นๆ แต่ไม่ได้ผลในขณะต่อไปทันที เช่น จิตที่

เป็นกุศลดับไป ในขณะต่อไปให้ผลทันที กุศลที่เป็นโลกียกุศล เช่น ทาน ศีล จะไม่ให้

ผลในขณะต่อไปทันทีแต่มีกาลเวลาครับ ต่างจากกุศลที่เป็นระดับโลกุตตรกุศล(มีพระ

นิพพานเป็นอารมณ์)เมื่อกุศลประเภทนี้เกิด ผลก็เกิดต่อในขณะต่อไปทันทีครับ ไม่มีรอ

ว่าจะให้อีก 7 วันข้างหน้าหรือชาติหน้าเลย จึงเรียกว่าอกาลิโก คือให้ผลไม่จำกัดกาล

ในประเด็นเรื่องหากยังมีผู้เจริญอริยมรรคมีองค์ 8 แล้ว โลกก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์ ก็

หมายถึงว่าหากปฏิบัติถูกต้องจนถึงที่สุดก็สามารถบรรลุถึงคงวามเป็นพระอรหันต์ได้ แต่

เมื่อถึงปัจจุบันที่ตามอรรถกถาอธิบายว่าสูงสุดมีเพียงพระอนาคามีก็เพราะว่าปัญญาของ

คนสมัยนี้ต่างจากคนสมัยก่อน แม้จะมีหนทางที่ถูก มีพระไตรปิฎกแต่ด้วยปัญญาในยุค

ปัจจุบันก็ไม่สามารถทำให้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว
พระธรรมทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นการแสดงคุณที่มีอยู่ในตน โดยไม่

มีโทษ เพราะเหตุว่าเป็นการแสดงเรื่องที่พ้นจากความรู้ของสามัญชน เพราะฉะนั้น ผู้ที่

ศึกษาพระธรรมก็จะต้องคิดถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากพระธรรมจริงๆ คือ สามารถที่จะ

เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏได้ถูกต้อง


ข้อ ๑๒๒ มีข้อความว่า โอชคุณ คือ ความดื่มใจ เป็นชีวิต เป็นหัวใจของการประพันธ์

หรือของการแสดงธรรม คือ ขณะที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ทรงแสดงขณะใด

ขณะนั้นย่อมเป็น โอชคุณ คือ ความดื่มใจ ลองคิดถึงขณะที่ยังไม่เข้าใจธรรมเลย กับ

การที่เริ่มเข้าใจขึ้น กับขณะที่พิจารณาแล้วก็ซาบซึ้ง เพราะว่าเป็นธรรมที่พิสูจน์ได้

และ ก็อบรมเจริญปัญญา พร้อมสติที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆว่า

เป็นจริงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

ศึกษาพระธรรมเพื่ออะไร ? เพื่อเข้าใจ เข้าใจอะไร? เพราะทุกคนศึกษาเพื่อเข้าใจ

ทั้งนั้น แต่ว่า ศึกษาเพื่อเข้าใจอะไร ต้องให้ตรงอีก คือ เข้าใจสภาพธรรมที่กำลัง

ปรากฏ ไม่ใช่เข้าใจอย่างอื่น บางคนอาจจะคิดว่า เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีในตำรา แต่นั่นไม่

ใช่ความเข้าใจ นั่นเป็นเรื่อง แต่ว่าที่ศึกษาตำราเพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจจริงๆว่า ไม่ว่าจะศึกษาส่วนใดในพระไตรปิฎก ศึกษาน้อยหรือ

มากก็ตามแต่ก็เพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เช่น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

เพียงเท่านี้ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอย่างนี้จริงๆหรือยัง กำลังเห็น

เป็นอนัตตาอย่างไร กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังคิดนึก กำลังกระทบ

สัมผัส กำลังสุข กำลังทุกข์ เป็นอนัตตาอย่างไร ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ศึกษา คือ ฟังเรื่อง

ของการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกต่างๆ

เพิ่มความเข้าใจในลักษณะที่เป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏยิ่งขึ้น

เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา กำหนดอิริยาบทย่อย
เมื่อวานนี้ได้รักษาอาการป่วยของแม่ทั้งวันและถือว่าเป็นการตอบแทนคุณท่านในวันเกิด
และวันนี้ได้ทำความสะอาดตามที่สาธารณะทั้งครอบครัว และเมื่อวานคุณป้าได้ให้
อาหารเป็นทานแก่คนยากจน ประมาณ 1000 คน และวันนี้ไกเอนุโมทนากับ
ผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทาง ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป
ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญสักการะองค์พระปฐมเจดีย์ เป็นปูชนียสถานอันสำคัญของประเทศไทย อยู่ภายในวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร มีประวัติความเป็นมายาวนานในแผ่นดินสุวรรณภูมิ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ใหญ่ รูประฆังคว่ำ ปากผายมหึมา โครงสร้างเป็นไม้ซุง รัดด้วยโซ่เส้นมหึมาก่ออิฐ ถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ ประกอบด้วยวิหาร 4 ทิศ กำแพงแก้ว 2 ชั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า เป็นที่เคารพสักการะบูชาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ทางวัดกำหนดให้มีงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 ถึง วันแรม 5 ค่ำ เดือน 12 รวม 9 วัน 9 คืน เป็น ประจำทุกปี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2010, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอไม่กลับมาเกิดอีก

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2010, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอไม่ได้ ต้องทำเอาเอง

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร