วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 16:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


....สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ไม่มีมาแต่เดิม
พอมันมีขึ้นมามันก็ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ดับไปสู่ความไม่มีเหมือนเดิม
ทั้งตัวผู้เข้าไปรู้และสิ่งต่างๆที่ถูกรู้ และสิ่งที่เข้าใจ และ ตัวผู้เข้าใจ
ตัวผู้รู้ก็เกิด-ดับ สิ่งต่างๆที่ถูกรู้ก็เกิด-ดับ ผู้ที่เข้าใจก็เกิด-ดับ สิ่งที่ถูกเข้าใจก็เกิด-ดับ
เพราะฉะนั้นปัญญาก็เกิด-ดับ ความไม่มีปัญญาก็เกิด-ดับ ตัวรู้ก็เกิด-ดับ ตัวไม่รู้ก็เกิด-ดับ
เห็นโดยแยบคายเช่นนี้จึงไม่มีที่ให้หลง

......ตัวรู้ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงอาการของขันธ์
ถ้าเรารู้ว่าทั้งหมดคือขันธ์ มันจึงจบตรงนี้ ไม่มีอะไรให้เอาแพ้ เอาชนะ
เราไปเอาแพ้ เอาชนะมันไม่ได้ มันเกิดของมันเองและดับของมันเอง
พอรู้ที่มาที่ไปของมันทั้งหมด มันจึงสิ้นสลายทั้งหมด

.....ธรรมคือความจริง อยู่คู่กับโลกมานาน เป็นอกาลิโก ไม่มีกาลเวลา สถานที่
จะอยู่ที่ใดก็ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่วัดก็ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่บ้านก็ศักดิ์สิทธิ์
ธรรมในครั้งพุทธกาลก็ศักดิ์สิทธิ์ แม้ในปัจจุบันก็ศักดิ์สิทธิ์
ผู้เข้าไปรู้เห็นความจริงคือการเกิด-ดับของทุกสิ่ง เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
จึงสามารถเห็นธรรมได้ พริกไม่ว่าสมัยใดก็เผ็ด พริกครั้งพุทธกาลก็เผ็ด พริกสมัยนี้ก็เผ็ด
เกลือสมัยพุทธกาลก็เค็ม สมัยนี้เกลือก็ยังคงเค็มอยู่
แม้ในอนาคตข้างหน้าพริกหรือเกลือก็เผ็ดก็เค็ม
ธรรมจึงศักดิ์สิทธิ์เมื่อเข้าไปรู้แล้ว ต้องละความยึดมั่นถือมั่นได้เช่นกัน

.....ลงที่ขันธ์ทั้งหมด ถ้าเราตีขันธ์ ๕ จนละเอียดแล้ว รู้ต้นแบบทั้งหมดแล้ว
เราจะไม่หลงอะไรอีกเลย จะสามารถเข้าโยงหากันได้ทันที
คือ สิ่งทั้งหมดมันมาจากตัวแม่ แม่ของมันคือตัวขันธ์นั้นเอง
เปรียบเสมือนใบไม้มันก็มาจากต้นไม้นั้นเอง มันจะออกมากี่ใบมันก็มาจากต้นไม้
อาการทั้งหมดมันจะออกมาซักกี่อาการ มันก็ออกมาจากขันธ์ทั้งหมด
อาการทั้งหมดล้วนแต่ออกมาจาก ขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
มันออกมาจากต้นเดียว คือ ต้นขันธ์ ถ้าไม่มีต้น ใบมันจะออกมาได้อย่างไร

.... ถ้าเราถอนขันธ์ออกเสียแล้ว อาการของขันธ์ทั้งปวงจะไม่มีความหมายเลย
เหมือนเราถอนต้นไม้แล้ว ใบมันจะไปมีชีวิตอยู่ได้ยังไง
....ตัวขันธ์เรายังไม่ยึด แล้วอาการของขันธ์ทั้งปวงเราจะไปยึดได้อย่างไร
ถ้ารู้เรื่องของขันธ์ ๕ และไม่ยึดมั่นในขันธ์ ๕ จึงจะได้ชื่อว่ารู้ถูกทางและละได้ถูกทาง....

(หลวงพ่อชานนท์ วัดป่าเจริญธรรม จ.ชลบุรี)

อริยสาวกใด เห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว และธรรมเป็นเครื่องก้าวล่วงขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว โดยความเป็นจริง
ย่อมน้อมไปในนิพพาน ตามความเป็นจริง เพราะภวตัณหาหมดสิ้นไป ถ้าว่าอริยสาวกนั้น กำหนดรู้ขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว
ปราศจากตัณหาในภพน้อย และ ภพใหญ่แล้วไซร้ ภิกษุทั้งหลาย ย่อมไม่มาสู่ภพใหม่
เพราะความไม่เกิดแห่งอัตตภาพที่เกิดแล้ว

(องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

แจกหนังสือและซีดีMP3 หลักปฏิบัติสู่ความหลุดพ้น
จัดส่งให้ฟรีถึงบ้านครับ เพียงทิ้งชื่อและที่อยู่ไว้ที่เว็บไซต์ด้านล่างนี้ครับ
http://www.watpachareongtham-chonburi.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำว่าธรรมะๆ นั้นใครๆ ก็ตายใจอบอุ่นใจแล้วว่าธรรม ไม่จำเป็นต้องแปลออกก็ได้ แต่เพื่อแยกให้พี่น้องทั้งหลาย
ได้ทราบว่าธรรมแท้เป็นอย่างไร จึงขอชี้แจงให้ทราบพอเป็นแนวทาง

ธรรมแท้นั้นในภาคปฏิบัติที่ปฏิบัติตามธรรมเจอธรรมเข้าไปโดยลำดับ เป็นผลประจักษ์ใจแก่ผู้ปฏิบัติไปโดยลำดับลำดา
ตั้งแต่สมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิมุตติธรรม จนถึงขั้นหลุดพ้นไปโดยสิ้นเชิง จิตที่หลุดพ้นไปโดยสิ้นเชิงนั้นแล
กลายเป็นธรรมธาตุ เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เรียกว่า "ธรรมธาตุ" ครอบโลกธาตุเวลานี้ ออกจากใจ
ที่รวมตัวของผู้บำเพ็ญทั้งหลายสิ้นกิเลสแล้ว

ใจที่บริสุทธิ์นั้นเมื่อละขันธ์ลงไปแล้ว
ไม่เรียกว่าใจที่บริสุทธิ์ เรียกได้ว่านิพพานหรือธรรมธาตุ
ธรรมธาตุหรือนิพพานนี้แลเรียกว่าธรรมแท้
ธรรมแท้นี้แลที่ครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้
ที่เราทั้งหลายเอ่ยถึงธรรมเท่านั้นก็เป็นที่ตายใจๆ ด้วยกัน
เพราะเป็นธรรมชาติที่เป็นเครื่องยืนยันโลก
ค้ำจุนโลกนี้มานานแสนนาน

ด้วยธรรมธาตุที่สัตว์ทั้งหลายกล่าวถึงอยู่เวลานี้ นี่เรียกว่าธรรมแท้ เรากล่าวถึงธรรมแท้นี้แล้ว
เราก็แยกธรรมแท้นั้นมาเป็นข้อปฏิบัติ มาเป็นเครื่องยึดถือของเรา เช่น

เราระลึกถึง พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ
บทใดก็ตาม นั้นแลคือธรรมที่ออกจาก ธรรมแท้
เป็นเครื่องยึดแห่งจิตใจของเรา
ใจของเราเมื่อมี พุทธ มีธรรม มีสงฆ์ ประจำใจอยู่แล้ว

จะเป็นใจที่มีหลักเกณฑ์ เป็นใจที่มีที่พึ่ง เป็นใจที่มีแก่นสาร เพราะฉะนั้นธรรมกับใจจึงควรให้มีอยู่ตลอดเวลา
สำหรับจิตใจของเรา อย่าให้มีแต่ด้านวัตถุคือสิ่งของเงินทองบริษัทบริวาร เครื่องใช้ไม้สอย ซึ่งเป็นด้านวัตถุ
แม้ที่สุดยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายก็ตาม

นี่เป็นเครื่องพึ่งพิงอิงอาศัยเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น ได้อาศัยเป็นกาลเป็นเวลา
หากหาชีวิตไม่ได้แล้วสิ่งนี้ก็หมดความหมายลงไปทันที

"ใจนี้ไม่เคยตาย"...หลวงพระตามหาบัว

ใจนี้ไม่เคยตาย ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เป็นมาอย่างนี้ แม้จะไปตกนรกตั้งกี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม การที่ว่า
ได้รับความทุกข์ในแดนนรกแต่ละหลุม ๆ นั้นยอมรับ ส่วนที่จะให้ใจนี้ฉิบหายไม่มี ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์
แต่ไม่เคยฉิบหายคือใจดวงนี้ เวลาชำระสะสางแล้วด้วยอำนาจแห่งคุณงามความดีของเรา ก็ค่อยสงบผ่องใส
ได้บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขั้นความบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านถึงนิพพานเลย นั่น ถึงนิพพานก็ไม่สิ้นสูญ ใจดวงนี้ไม่มีคำว่าสูญ ตกนรกก็ไม่สูญใจดวงนี้ จนกระทั่งบริสุทธิ์
เต็มที่แล้วไปถึงนิพพานก็ไม่สูญ นี่แหละท่านว่านิพพานเที่ยง ก็คือจิตดวงที่ไม่สูญนี้แหละเป็นผู้บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว
เรียกว่าธรรมธาตุ อยู่ในแดนแห่งนิพพาน นี่แหละเป็นผู้เสวยความบรมสุขตลอดไป ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ๆ
ก็เพราะจิตดวงนี้ไม่ตาย มีความเที่ยงตรงอยู่ด้วยบรมสุขตลอดไป นี่คือการสร้างความดีให้ผลแก่เราอย่างนี้
ให้พากันอุตส่าห์พยายามสร้างคุณงามความดี


เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ (บ่าย)

http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%9E ... 95978.html


http://www.luangta.com/

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ว่าไปเรื่อย นั้นนี้เป็นต้นตอตัณหา กิเลสอะไร ขันธ์5 เป็นธาตุทีมีเป็นตามธรรมชาติ ที่ก่อเกิดตามกรรมมีอยู่และเป็นไปของเขาอยู่เองแล้วอย่างนั้นๆ
เดี่ยวก็ไปว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ นั้นนี้ป็นต้นตอตัณหา ไปเอะอะโทษนั้นนี้ทำไม ที่จริงต้นตอที่เราหลงเข้ายึด รูปธรรม นามธรรม เองว่าเป็นกูของกูเอง หลงสร้างเหตุเอง ยังไปว่าธรรมชาติเขาเป็นเหตุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 19:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขันธ์ 5 ไม่ใช่กิเลส..
แม้รูปตาย..แต่กิเลสก็ไม่เห็นตายตาม

ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวทุกข์..
พอรูปตาย..เอารูปไปเผา..ไม่ยักกะเห็น..รูปมันร้องโอ้ดครวญ

เพราะ..
ขันธ์ 5 เป็นแค่เครื่องมือ..ของใจที่มีกิเลส..

ใจ..เป็นที่อยู่ของกิเลส..
ใจ..ที่ยึดขันธ์ 5 เป็นทุกข์..

พระอรหันต์..แม้มีขันธ์ 5 อยู่..ยังสุข..แม้ขันธ์ 5 จะสลาย..ก็ไม่ทุกข์

แต่..ขันธ์ 5 เป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด..ที่จะไขไปถึง..ใจที่มีกิเลส

จะไปฆ่ากิเลส..ที่อยู่ในใจ..ต้องเห็นขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง..เป็นกุญแจ

เห็นอย่างไร..เรียกว่า..เห็นตามความเป็นจริง?

อันนี้..คงไม่ต้องเอา..มะพร้าวห้าวมาขายสวน..หรอกมั้งครับ :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 26 ธ.ค. 2009, 19:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้นตอที่แท้จริงคือ อวิชชา

เพราะอวิชชาเป็น ปัจจัย ให้เกิดสังขาร

สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ

วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป (หรือขันธ์ 5)

นั้นเองครับ

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จั่วหัวไว้แบบนี้ ก็อาจจะทำให้เข้าใจไม่ตรงกันได้
ถ้าเปลี่ยนจาก ต้นตอ เป็น เหตุ น่าจะฟังดูเข้าใจตรงกันได้มากกว่า
จะขออธิบายโดยคร่าวๆเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ดังนี้นะครับ


yodchaw เขียน:
ก็ว่าไปเรื่อย นั้นนี้เป็นต้นตอตัณหา กิเลสอะไร ขันธ์5 เป็นธาตุทีมีเป็นตามธรรมชาติ ที่ก่อเกิดตามกรรมมีอยู่และเป็นไปของเขาอยู่เองแล้วอย่างนั้นๆ

อย่าว่าแต่กิเลสตัณหาเลยครับ ถ้าไม่มีขันธ์ ๕ ธรรมชาติจะมีได้อย่างไร กรรมจะมีได้อย่างไร
ใครจะเป็นผู้ไปรู้ธรรมชาติ แล้วกรรมจะไปเกิดกับอะไรอ่ะครับ


yodchaw เขียน:
ที่จริงต้นตอที่เราหลงเข้ายึด รูปธรรม นามธรรม เองว่าเป็นกูของกูเอง หลงสร้างเหตุเอง ยังไปว่าธรรมชาติเขาเป็นเหตุ

แล้วรูปธรรม นามธรรมที่ว่า หรือแม้แต่"เรา"ที่ว่านั้น นอกจาก จิต แล้ว มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ล่ะครับ
ลองยกตัวอย่างให้เห็นได้มั้ยครับ ว่ารูปธรรมในสามโลกธาตุนี้มีสิ่งใดที่ไม่ใช่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้ว นามธรรมอันไหนที่ไม่ใช่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ที่ว่า"เรา"หลงยึดนั้น คือการที่จิตหลงยึด ซึ่งเป็นต้นเหตุการเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อไม่ยึดแล้ว ไม่เกิดแล้ว ไม่มีขันธ์ ๕ แล้ว จะมีกิเลส ตัณหา เกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะครับ


กบนอกกะลา เขียน:
ขันธ์ 5 ไม่ใช่กิเลส..
แม้รูปตาย..แต่กิเลสก็ไม่เห็นตายตาม

ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวทุกข์..
พอรูปตาย..เอารูปไปเผา..ไม่ยักกะเห็น..รูปมันร้องโอ้ดครวญ

ในกรณี ที่ผมกล่าวนั้น คือ ขันธ์ ๕ ที่ยังเกาะเกี่ยวอยู่กับจิตนะครับ
เมื่อขันธ์ ๕ ดับ แต่ยังมีอุปาทานเกาะเกี่ยวกับจิตอยู่ จิตก็ต้องไปอาศัยขันธ์ ๕ อันใหม่อยู่ดี
เมื่อขันธ์เก่าดับ กิเลส หรือ ตัวทุกข์ ไปเกิดใหม่ที่ขันธ์ ๕ อันใหม่แล้ว

การดับขันธ์จึงไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่จุดสิ้นสุดอยู่ที่การดับอวิชชาหรืออุปาทานในขันธ์ ๕
เมื่อไปนิพพานแล้ว ไม่มีขันธ์ ๕ มาเกิดแล้ว จะมีกิเลสตัณหาได้อย่างไร มันจะเกิดขึ้นตรงไหนกับใครล่ะครับ


กบนอกกะลา เขียน:
เพราะ..
ขันธ์ 5 เป็นแค่เครื่องมือ..ของใจที่มีกิเลส..

ใจ..เป็นที่อยู่ของกิเลส..
ใจ..ที่ยึดขันธ์ 5 เป็นทุกข์..


ถ้าใจที่ว่านี้หมายถึงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล่ะก็ ถูกเลยครับ สิ่งเหล่านี้เป็นที่อยู่ของกิเลส
แต่ถ้าใจที่ว่านี้หมายถึงจิต ต้องบอกว่า ขันธ์ ๕ เป็นเครื่องมือของ จิต ที่ยังมีอุปาทาน จิตที่ยังมีอวิชชาอยู่
กิเลสเกิดขึ้นที่ขันธ์ครับ ไม่ได้เกิดขึ้นที่จิต


กบนอกกะลา เขียน:
พระอรหันต์..แม้มีขันธ์ 5 อยู่..ยังสุข..แม้ขันธ์ 5 จะสลาย..ก็ไม่ทุกข์

แต่..ขันธ์ 5 เป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด..ที่จะไขไปถึง..ใจที่มีกิเลส

จะไปฆ่ากิเลส..ที่อยู่ในใจ..ต้องเห็นขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง..เป็นกุญแจ


ขอแก้ไขประโยคที่ว่าดังนี้นะครับ
พระอรหันต์ แม้มีขันธ์ ๕ อยู่ ยังสุขยังทุกข์ แต่เป็นสุขทุกข์ของขันธ์ ไม่ใช่ของจิต เพราะจิตละอุปาทานจากขันธ์แล้ว
เมื่อขันธ์ ๕ สลายก็ไปสู่พระนิพพานทันทีเนื่องจากจิตไม่รู้จะไปยึดเหนี่ยวอะไรเพราะอุปาทานดับเสียแล้ว
ขันธ์ ๕ เป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด ที่จะไขถึง จิต ที่มีอุปาทานยึดมั่นในขันธ์
กิเลสฆ่าไม่ได้ ฆ่าได้เพียงอุปาทานหรืออวิชชาระหว่างจิตกับขันธ์
ต้องเห็นขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง(ไตรลักษณ์)โดยละเอียดจึงจะแจ้งตามความเป็นจริงนะครับ


moddam เขียน:
ต้นตอที่แท้จริงคือ อวิชชา

เพราะอวิชชาเป็น ปัจจัย ให้เกิดสังขาร

สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ

วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป (หรือขันธ์ 5)

นั้นเองครับ


ที่ยกส่วนหนึ่งใน ปฏิจจสมุปบาท มาอธิบายนั้นก็ถูกครับ
นามรูปนั้นก็ใช่ขันธ์ ๕
สังขาร วิญญาณ เวทนา ใน ปฏิจจสมุปบาท ก็คือหนึ่งในขันธ์ ๕ เช่นกัน
ถ้าจะพูดถึงเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท อย่างละเอียดก็คงยาว ถ้าอยากทราบอย่างละเอียด แนะนำให้หาหนังสือของหลวงตาเทพสัมมา วัดสุทัศน์ ที่กล่าวเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทได้อย่างละเอียดชัดเจน ได้รับการยกย่องอย่างมากและยอมรับจากหลวงปู่ครูบาอาจารย์หลายองค์เลยครับ
(แต่ถ้าละเอียดในการพิจารณาขันธ์ ๕ จะศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทต่อโดยไม่ยากเลยครับ)

ขันธ์ ๕ นี้เป็นเหตุของกิเลสตัณหา
แต่ถ้าจะเอาให้ชัดกว่านี้คือ ทั้งหมดในวงจรปฏิจจสมุปบาท ล้วนเป็นต้นตอของกิเลสตัณหาทั้งสิ้นครับ


แก้ไขล่าสุดโดย พงพัน เมื่อ 30 ธ.ค. 2009, 18:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเชิญศึกษาธรรมบรรลุฉลับพลัน จบโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย ที่บอร์ดสนทนาทั่วไปขอรับ หรือ http://www.rombodhidharma.com/

อวิชชาเป็นต้นตอ ปฎิสมุบาททั้งหลาย หลงซ้อนในธรรมชาติของการรู้ ไม่รู้จริงๆที่รู้อยู่นี้คือการหลงรู้ หรือกรรมซ้อนธรรม หลงคอยตั้ง คอยต้องกลัวที่จะไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าอวิชชา เหตุสมุทัย

ที่นอกเหนือการยึดติดที่ว่าขันธ์5 อะไรคือ ความไม่ได้ติด อยู่เองแล้ว หมายถึง สุญญตา ว่าง หรืออนัตตา ที่รองรับสรรพสิ่ง สรรพธาตุ สรรพธรรมทั้งในสากลและจักรวาลนี้


ขอให้ท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลสเครื่องกังวลใดมีอยู่ในกาลก่อน
เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น
ให้เหือดแห้งหายไป
กิเลสเครื่องกังวลใด
จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง
ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ในท่ามกลาง
ก็จักเป็นมุนีผู้สงบระงับแล้วเที่ยวไป....ดังนี้



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


yodchaw เขียน:
ขอเชิญศึกษาธรรมบรรลุฉลับพลัน จบโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย ที่บอร์ดสนทนาทั่วไปขอรับ หรือ http://www.rombodhidharma.com/

อวิชชาเป็นต้นตอ ปฎิสมุบาททั้งหลาย หลงซ้อนในธรรมชาติของการรู้ ไม่รู้จริงๆที่รู้อยู่นี้คือการหลงรู้ หรือกรรมซ้อนธรรม หลงคอยตั้ง คอยต้องกลัวที่จะไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าอวิชชา เหตุสมุทัย

ที่นอกเหนือการยึดติดที่ว่าขันธ์5 อะไรคือ ความไม่ได้ติด อยู่เองแล้ว หมายถึง สุญญตา ว่าง หรืออนัตตา ที่รองรับสรรพสิ่ง สรรพธาตุ สรรพธรรมทั้งในสากลและจักรวาลนี้


ขอให้ท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


อนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งครับ
ได้เข้าไปฟังที่หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะเทศน์แล้วครับ
ฟังแล้วรู้สึกเย็นสบายกับเสียงที่เปี่ยมเมตตาของท่าน


"ไม่อยู่แล้ว ไม่ซะเอง ไม่เนื่องด้วยอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่หยุด นิพพานถึงเลย"

เป็นธรรมชั้นสูงและตรงครับ ถ้าใครฟังเข้าใจแล้ว ทำได้แล้ว ก็จะรู้แจ้งได้จริง
ขออนุโมทนากับลูกศิษย์หรือผู้ใดที่ได้ฟังธรรมของท่านแล้วแจ้งถึงจิตถึงใจ
ถ้าเข้าใจตามที่ท่านเทศน์เช่นนั้นแล้ว
กิจอื่นอันใดที่จะทำให้รู้ให้เห็นเรื่องพระนิพพานก็คงจะไม่มีอีกแล้ว ยิ่งกว่านั้นก็คงจะไม่มีอีกแล้ว

ถ้าคุณ yodchaw ได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อชานนท์ พระอาจารย์ของผม ฟังแล้วเข้าใจ
ก็จะทราบว่า เป้าหมายที่ทั้งพระอาจารย์ของผมและพระอาจารย์ของคุณ yodchaw จะให้เห็นนั้นเหมือนกันทุกประการ

ถ้าเราจะไปเซ็นทรัลลาดพร้าว ไปทางเส้นลาดพร้าวหรือเส้นวิภาวดี ก็ถึงได้เหมือนกัน
บางคนถนัดวิ่งลาดพร้าวมากกว่าเพราะคุ้นเคยกว่าหรืออาจไม่ชอบวิ่งเส้นวิภาวดี
แต่บางคนต้องการวิ่งเส้นวิภาวดีเพราะคิดว่าเร็วกว่าหรือมีคนแนะนำว่าดี

ก็คงไม่ต่างอะไรกับการไปพระนิพพาน เพียงถ้าเดินถูกทางแล้ว อย่างไรก็ต้องถึงแน่นอนครับ


แก้ไขล่าสุดโดย พงพัน เมื่อ 30 ธ.ค. 2009, 22:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากแจ่มแจ้งในธรรมแล้ว เวลาถ่ายทอดธรรมคำสอนก็ต้องศึกษาถึงศาสตร์นี้ด้วย กล่าวแล้วมันตรงต่อสัจธรรมไม่ตอกย้ำอนุสัยผู้คน ตอกย้ำทุกข์ผู้คน ไม่นำอนุสัยตัวเองเอามาสอน การใช้สื่อที่มีการปรับ
เพราะถ้าเราสื่อ ถ่ายทอดที่สัจธรรมออกไป ที่ต่อธรรมจริง มันยังประโยชน์แจ่มแจ้งสว่างไปทั้งสองฝ่าย
ในทางกลับกันหากสื่อไปให้ธรรมไปแล้วทำให้คนอื่น งม หลง คิดมาก มันก็สะท้อนกลับผู้ถ่ายทอดเอง งม หลง คิดมากในธรรมนะ นำมาขบคิด พิจารณา ตรึกตร่องอยู่นั่น นั่งนอนไม่เป็นสุขเอง

ขอเชิญไปศึกษาที่วัดด้วยนะขอรับ 9 - 16 กุมภาพันธ์ 2553 งานประชุมธรรมที่วัดร่มโพธิธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 31 ธ.ค. 2009, 21:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การสอนหากยังไม่ชัดในวิถีกรรม และจิตที่นอกเหนือ จะเป็นดาบสองคมต่อผู้สอนเอง ยิ่งไปให้ ตอกย้ำ เป็นกรรมซ้อนธรรม ให้ผู้คน มหาชน หลงติดหลงยึดในการปฏิบัติ โทษสูงสุดหลังละสังขาร คือ นรก เขตแดนที่โดยกักขังบริเวณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2010, 02:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระลงง่ายกว่า..ฆารวาส..แหงม ๆ

ที่เห็น ๆ กันอยู่นี้..คงมีพระหลายองค์..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร