วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 18:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 01:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 01:00
โพสต์: 10

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอยากจะรบกวนขอคำชี้แนะครับ
ผมเริ่มจะรู้สีกจริงๆแล้วว่าความรู้สีกถึงบาปบุญคุณโทษของตัวเองมีน้อยมาก ทำบุญผิดวิธี ทำบาปแล้วไม่ค่อยรู้สึก มองไม่ออกว่า คนไหนดีหรือไม่ดี เลยคิดร้ายและกระทำเนรคุณไปในหลายๆครั้งแม้กับพ่อกับแม่ แต่กลับไปเห็นดีเห็นงามกับคนไม่ดี ก็รู้สีกไม่ดีอย่างมากเลยครับ ยิ่งพยายามค้นหาคำตอบในอินเตอร์เนต ยิ่งให้รู้สีกกระวนกระวายมากขึ้น พบคำตอบที่ไม่เข้าข้างตัวเองว่า นิสัยเช่นนี้เรียกว่าเป็นพาลไปเสียแล้ว

อยากทราบว่า พอมีแนวทางแก้ไขหรือไม่ครับ และนิสัยเช่นนี้กลายเป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ (พบคำนี้จากบทความที่อ่านครับ) ไปแล้วหรือยัง เพราะเหมือนกับว่า ผมยิ่งคิดยิ่งผิดเลยทำให้พูดก็ผิดและทำก็ผิด (หลังจากกลับมาคิดถี่ถ้วนโดยใช้เวลา) แต่ผมหยุดไม่ทำอะไรก็ไม่ได้เพราะมีงานต้องทำครับ หยุดคิดนานก็ไม่ได้ งานที่ทำก็เกิดความขัดแย้งตลอดเพราะการคิดผิดเลยพูดผิดทำผิด คนใกล้ตัวก็พลอยทุกข์ไปด้วย ใจหนึ่งผมก็ห่วงตัวเองไม่อยากให้ใจตกต่ำไปมากกว่านี้เลยอยากหยุดอยู่เฉยๆ แต่อีกใจนึงหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนใกล้ตัวจะมาทุกข์เพราะความซึมเศร้าของผมไปด้วย เพราะปกติผมเป็นคนสนุกสนานจนถึงขึ้นคะนอง ผมมองไม่ออกเลยครับตอนนี้ ผมพยายามมาได้ซักพักแล้วครับถ้าเลือกอดทนไม่ระบายกับคนภายนอกก็จะมาระบายความเศร้าให้คนในครอบครัว หรืออีกทางกลับกันต้องก้าวร้าวกลับออกไป

ผมทราบครับว่า คนพาลไม่ควรอยู่ใกล้ แต่ก็อยากขอความเมตตาช่วยชี้แนะทางสว่างด้วยครับ ผมขณะนี้เหมือนมีหลักการเต็มหัวจากการอ่านแต่เลือกใช้ไม่ถูกเลย จริงๆแล้วใจนึงผมก็ไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ได้ผมจะนำไปปรุงแต่งตามใจอีกหรือไม่ แต่อีกใจก็หวังว่าปัญญาน่าจะิเกิดจากการถามผู้รู้มากกว่าการค้นหาเอง

_/|_


แก้ไขล่าสุดโดย nemo เมื่อ 15 ม.ค. 2010, 03:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 มี.ค. 2009, 16:53
โพสต์: 113

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นะคะ
กับคำถามที่ว่า นิสัยแบบที่เล่ามาจะกลายเป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ หรือเปล่า
ดิฉันขอออกตัวก่อนเลยว่าไม่ทราบค่ะ คือไม่เก่งปริยัติ
แต่คิดว่าสักพักจะมีท่านผู้รู้ผู้อื่นเข้ามาตอบแน่ๆค่ะ :b12:

แต่ปัญหาทั้งหมดที่คุณเล่ามา
ดิฉันอยากจะแนะนำให้คุณใจเย็นๆก่อนนะคะ
ตั้งสติดีๆและบอกกับตัวเองว่า
อดีต ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร จะทำอะไรมา
ดี ไม่ดีแค่ไหน
ช่างมัน

ดิฉันอยากให้คุณบอกกับตัวเองเสมอๆว่า
อยู่กับปัจจุบัน และฉันจะทำปัจจุบันของฉันให้เต็มที่ ที่สุด
ไม่จำเป็นต้องดีที่สุดนะคะ
เพราะถ้าคิดว่าต้องดีที่สุด จะเป็นการกดดันตัวเองนะคะ :b12:

เต็มที่ที่สุดไม่จำเป็นต้องดีที่สุดค่ะ
พยายามฝึกสติ
ตามรู้กาย รู้ใจในปัจจุบันขณะที่เกิดขึ้นนะคะ
เมื่อสติเกิด ต่อจากนี้ไปไม่ว่าคุณจะคิด จะตัดสินใจทำอะไร
ก็จะทำ คิดลงไปด้วย เหตุ ด้วยผล ด้วยปัญญา
ไม่ใช่คิด ทำลงไปตามแต่กิเลศจะสั่งนะคะ

ขอเอาใจช่วยในทุกๆสิ่งดีๆ
ที่คุณกำลังคิด กำลังทำค่ะ
:b4:

.....................................................
คำของหลวงพ่อชา
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อาการแบบคุณ นี่ผมก็เคยเป็นครับ ซึ่งความดีที่มีอยู่เท่าไหร่ก้จะค่อยๆ หาย ความชั่วที่ยังไม่มี ก็จะเข้ามาหา ก็พยายาม ตักบาตร สวดมนตื แผ่เมตตา เมื่ออำนาจ บุญมากกว่า ใจก็อยู่สูงเหนืออำนาจกิเลส ภายใน คนรุ้ตัวเป็นพาล ยังพอจะเป็ยบัณฑิตได้บ้าง แต่คนพาลที่คิดว่าตนเป็นบัณฑิตควรหลีกให้ไกล
นิยตมิจฉาทิฏฐิ นี่คือ มิจฉมทิฏฐิดิ่ง มีโทษมากกว่า อนันตริยกรรม อย่างคุณไมใช่หรอกครับ
คนเราต่างรักตัวเอง อย่ากให้ชีวิตตัวเอง นั้นดี มีความก้าวหน้า อย่าปล่อยให้กิเลสตัวนี้ เข้ามาอยู่ในใจนาน ไม่งั้นจะเสียคน

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


นิตยมิจฉาทิฐินี้ประมาณว่าพูดเรื่องธรรมนี่นะครับ จะไม่มีทางเข้าใจเลย
แม้แต่เหตุผลอะไรก้จะไม่เข้าใจ ไม่ยอมเข้าใจ ไม่มีทางเข้าใจ
เรื่องง่ายๆจะเห็นเป็นยาก
เห็นดอกบัวเป้นกงจักร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว กลับตาลปัตรไปหมด

พวกนี้สั่งสมความเห็นผิดมานาน ความเห็นผิดนี้สั่งสมข้ามภพข้ามชาติได้
เช่นพวกคอมมิวนิสต์ หรือพวกนักอุดมการณ์แบบพวกโจรใต้อะไรอย่างนั้น
หรืออย่างพวกลัทธิฆ่าตัวตายอย่างโอมชินริเกียวอย่างนี้
หรือลัทธิฆ่าตัวตายไปอยู่กับมนุษย์ต่างดาวอย่างนี้
พวกนี้ไม่บ้านะ ส่วนมากจีเนียสด้วยซ้ำไป เป้น ดร. ก็เยอะ
พูดคุยเรื่องทั่วไปก็ปกตินะ

แต่ธรรม เรื่องเหตุ/ผล อะไรทำนองนี้จะไม่เข้าหัวเลย
นี่ถึงเรียกว่า "นิตยมิจฉาทิฐิ"
เห็นผิดเป้นนิตย์

แต่ของคุณไม่ได้ใกล้เลย
ของคุณเขาเรียก หิริ- และโอตัปปะ
คือมีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป

ก่อนจะลายอายและเกรงกลัวต่อความชั่ว
ก้ย่อมจะเห็นชัดอยู่ก่อนว่านี่เป้นความชั่ว นั่นเป็นความชั่ว ความชั่วนี้ควรละ
เรียกว่ารู้ทุกข์แล้วจึงเกิดละสมุทัยคือการละ (หรือพยามจะละความชั่ว)
นับว่าเป้นต้นทางของการปฏิบัติธรรมด้วยซ้ำไป
ขออนุโมทนาและให้กำลังใจ

คนทั่วไปในโลก ไม่เห็นความชั่วของตัวเลยด้วยซ้ำไปครับ
คิดแต่ว่าเราเป้นคนดี ไม่เห้นความชั่วของตน ไม่ยอมรับความชั่วของตน
เช่น "ฉันไม่โกรธ" ซึ่งโลกนี้ เว้นแต่อนาคามีและพระอรหันต์ นอกนั้นมีโกรธหมด
แต่หลอกตัวเองว่าไม่โกรธ แล้วทั้งชาติก็เข้าใจไปอย่างนั้น

หรือเช่น "ผมพูดโดยปราศจากอคติ" นี่ก้หลอกตัวเอง
เว้นแต่พระอรหันต์ นอกนั้นมีมีอคติทั้งหมด

บางคนยิ่งเรียนมากรู้มากก้ยิ่งแนบแน่นมั่นใจในตัวเอง
ไม่ยอมรับความผิดพลาดความชั่วของตนเอง
มีความสามารถในการคิดหาข้อมูลมาสนับสนุนความคิดของตน เพื่อให้รู้สึกว่าฉันถูกแน่นอน ฉันไม่ผิด

แม้กระทั่งความชั่วของคนอื่น ก้ยิ่งไม่ยอมรับใหญ่
ใครทำอะไรผิดพลาดนี่จะยอมไม่ได้เลย ภาษาหนังสือเรียกว่าพวก perfectionist
คือผิดพลาแม้เล็กน้อยไม่ได้ ทุกอย่างเป๊ะ

พวกนี้เหมือนน้ำเต็มแก้ว

ของคุณนี่ดีกว่ามาก
เพราะรู้ว่าตนมีความชั่ว
เมื่อเริ่มเห็นความชั่ว ก็เป้นต้นทางแห่งการพ้นความชั่ว


บางคนคิดว่าการเป้นคนดี คือการไปเสาะแสวงหาความดีมาเพิ่ม
ไม่ทันได้คิดว่า แค่ไม่ทำความชั่วก็เป้นความดีในตัวแล้ว
การพยามจัดการความชั่วของตัวเองก็เป้นการทำความดีในตัวเองอยู่แล้ว
ไม่ต้องลงทุนเสาะแสวงหาอะไรให้เหนื่อยเลย

ขออนุโมทนาครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 15 ม.ค. 2010, 13:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมเริ่มจะรู้สีกจริงๆแล้วว่าความรู้สีกถึงบาปบุญคุณโทษของตัวเองมีน้อยมาก ทำบุญผิดวิธี ทำบาปแล้วไม่ค่อยรู้สึก มองไม่ออกว่า คนไหนดีหรือไม่ดี เลยคิดร้ายและกระทำเนรคุณไปในหลายๆครั้งแม้กับพ่อกับแม่ แต่กลับไปเห็นดีเห็นงามกับคนไม่ดี ก็รู้สีกไม่ดีอย่างมากเลยครับ ยิ่งพยายามค้นหาคำตอบในอินเตอร์เนต [color=#FF0000]ยิ่งให้รู้สีกกระวนกระวายมากขึ้น พบคำตอบที่ไม่เข้าข้างตัวเองว่า นิสัยเช่นนี้เรียกว่าเป็นพาลไปเสียแล้ว[/color]


ก่อนอื่นขอให้คุณ Nemoยินดีกับตัวเองก่อนว่า มิได้เป็นผู้มีนิยตมิจฉาทิฏฐิแต่ประการใด คนที่มีมิจฉาทิฏฐิเช่นนั้นจะไม่มีวันถามคำถามหรือปรารภข้อความแบบข้างบนนี้ได้แน่ เพราะมั่นใจในความ เห็นของตนว่าถูกต้องโดยไม่ลังเลสงสัย ทั้งย่อมมีความสุขกับการทำพูดคิดไปตามครรลองของทิฏฐินั้นโดยไม่รู้สึกเดือดร้อนใจจนต้องกล่าวขอคำรับรองจากใครๆเช่นนี้..

คุณอาจทำดีชั่วสลับกันไปด้วยอำนาจกิเลสหยาบ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม เพราะเคยทำกุศลมาในอดีตคุณก็ถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกผิดชอบจนต้องขวนขวายหาคำตอบ และเหตุที่คุณทำมาแล้วกำลังนำผลนั้นมาให้คุณได้พบที่นี่และได้อ่านคำแนะนำจากกัลยาณมิตรครับ..

ขอให้คุณNemo เข้าใจไว้เป็นเบื้องต้นว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สอนสิ่งที่เป็นจริงว่าสิ่งทั้งปวงล้วนเกิดมาแต่เหตุ..อาการที่คุณเล่ามานั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยมากมาย เช่นการเป็นผู้เคยส้องเสพกับมิจฉาทิฏฐิมาก่อน..จึงสั่งสมพฤติกรรมที่เป็นไปกับกิเลสจนมีกำลังกล้า สามารถแสดงล่วงออกมาทางกายวาจาได้จนสร้างความเดือดร้อนแก่ตนและคนอื่นได้อย่างรวดเร็วและไม่จำกัด..แต่เพราะอาศัยบุญเก่า จึงเกิดความสงสัยในพฤติกรรมนี้นี่อาจเป็นโอกาสเพื่อต่อยอดกุศลเพื่อการดำเนินไปสู่สัมมาทิฏฐิในที่สุด

อ้างคำพูด:
อยากทราบว่า พอมีแนวทางแก้ไขหรือไม่ครับ


มีครับ

หากบุคคลนั้นได้สร้างโอกาส เริ่มต้นจากมีศรัทธาก่อน (ซึ่งต้องเกิดจากการได้ฟังธรรมมาก่อนอีกนั่นแหละ หากไม่มีเหตุนี้ก็เป็นอันว่า มืด)..

คนที่มีเหตุดีอุปการะ ก็ดูเหมือนง่าย ราวกับคนที่ในบ้านมีปลั๊กไฟฟ้ารออยู่ คราวใดเมื่อจะใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า ก็เอาสายไฟมาเสียบ ปัจจัยก็ครบ ได้เสวยผล คือได้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ (หมายเหตุ เครื่องใช้ไฟฟ้าต้องอยู่ในสภาพดี ใช้ได้ด้วย)

หากคนที่ไม่มีอดีตเหตุที่ดีมาก่อน ไม่เคยฟังธรรม ไม่ชอบคบหากัลยาณมิตร ปัจจัยที่จะอุปการะก็ไม่มี..
พึงเห็นเช่นในชนบท ที่แม้แต่ไฟฟ้าของทางการก็ไปไม่ถึง ปลักไฟก็ย่อมไม่มี เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ไม่มี หรือมีก็ใช้ไม่ได้..ก็นับว่าเป็นเรื่องยากทีเดียว
แต่ก็อีกนั่นแหละ ก็เริ่มจากกุศลอย่างง่ายๆได้ แม้ไม่ประกอบปัญญา ก็คราใดๆคราหนึ่งได้ทำทานบ้าง อันเกี่ยวกับธรรมะ ผลก็ยังต้องเกิดให้มาได้พบได้เห็นได้อยู่

ก็คราวใด ชีวิตได้พบกับอกุศลวิบากที่เป็นทุกข์เหลือหลาย ใจก็โหยหาที่พึ่ง หากทานกุศลนั้นๆที่เคยทำมาได้โอกาสส่งผล ก็อาจจะได้พบได้เจอคนมาแนะนำ หรือหนังสือที่ให้สติเกิดขึ้นได้
ด้วยอำนาจแห่งบุญในอดีตแม้เป็นจุดเล็กน้อย ก็มีผลได้เช่นกัน และอาจจะหักเหชีวิตได้ใหม่ ไปในทิศที่ถูกได้ คราวนี้ ศรัทธาก็เกิดแล้ว ใจก็น้อมลงไปเพื่อฟังเหตุผล แต่แรกก็อาศัยเพราะตัณหาอยากได้ผลดีๆ ก็ทำให้เจริญกุศลได้เช่นกัน คราวนี้ ก็เริ่มสั่งสมบุญไว้บ้าง แล้วก็ค่อยๆต่อยอดเอาเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นๆในสังสารวัฏฏ์อันเนิ่นนาน


หากสั่งสมบุญไว้มาก ปัจจัยก็มาก ผลที่มากก็จะเกิดได้ง่าย หากเหตุกระร่อยกระริบ พอชีวิตดีขึ้น ก็หลงระเริงอีก ประมาทอีก อย่างนี้ ก็ผลุบๆโผล่ไปตามเหตุที่ทำนั่นแหละ
หากในแต่ละชาติที่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา บุญใดบุญหนึ่งอุปการะให้ได้พบกัลยาณมิตร อย่างนี้มีโอกาสต่อยอดได้เยอะเลย...หากพลัดหลงไปในอบายก็หมดสิทธิ์ รอจนกว่าจะได้ปัจจัยที่บุญจะส่งถึงจะได้พบได้เจอ
สังสารทุกข์จึงยาวนานเนิ่นนานเหลือเกิน นับไม่ได้..คราวใดคราวหนึ่งได้สั่งสมเหตุแห่งการฟังธรรมปฏิบัติธรรมที่ถูก ต้องมาบ้าง ปัจจัยก็เพิ่มขึ้น เมื่อสบโอกาสก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างบารมีเพราะปรารถนาจะพ้นทุกข์ ตัณหาที่เคยอาศัยในการทำบุญใดๆก็เกิดได้น้อย เพราะมีปัญญาเกิดขึ้นมากแล้ว
ใจจึงบ่ายออก ราวกับนกที่ถูกขังอยู่ในกรง กรงนั้นคือสังสารวัฏฏ์นั่นเทียว บ่ายหน้าออกจากกามที่เป็นเครื่องร้อยรัด ซึ่งแต่เดิมที่เห็นว่าเป็นสุขสนุกสนาน กลับมาเห็นเป็นความทุกข์ จึงบ่ายหน้าหันออกมาแสวงหาทางพ้นทุกข์เสียโดยเร็ว...ดังนั้นแต่ละชาติๆ พึงเห็นว่านับเป็นชีวิตที่พึงจะสร้างบารมีเพื่อพ้นทุกข์ หากไม่หวังอย่างนี้ แต่ก็พอใจที่จะเจริญบุญทั้งหลาย ก็ยังนับว่าดีกว่า ดีกว่าทำอะไรโดยไม่รู้ว่าผิดหรือถูกเลย ตรงนั้นเป็นความมืดมิดและมืดมนโดยแท้


ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ

* กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น
* วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว
* กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน
* ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้


เมื่อเกิดศรัทธาแล้ว ย่อมเงี่ยโสตลงสดับ เมื่อสดับแล้วย่อมปฏิบัติตาม มีการให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาเพื่อความสุข และความพ้นจากทุกข์ภัยโดยไม่มีส่วนเหลือได้ในที่สุด

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ยินคำนี้ไหม คนดีชอบแก้ไข คนจังไรชอบติ คนชั่วชอบทำลาย คนมักง่ายชอบทิ้ง คนจริงชอบทำ
ที่เรามาเขียน มาโพส์ต มาดูมาศึกษานี้ ได้อ่านเป็นความรู้ ไม่ว่าเป็นปฏิปทาครูบาอาจารย์ท่านทั้งหลาย สาระต่างๆในเว็บนี้ก็ได้ชื่อว่า ไปเป็นเพื่อสัมมาทิฏฐิแล้วหากว่าเป็นอย่างที่ว่ามิจฉาทิฏฐิ คงไม่มาเปิดตัวแบบนี้หรอ แค่ว่าธรรมะก็ไม่มองไม่อ่าน ไม่ศึกษาแล้ว ตอนนี้ก็แค่ วก วน ในตัวเองบ้างเล็กหน่อย สับสนเป็นบ้างครั้งคราวแค่นั้น ก็ให้เปิดใจ เป็นผู้อ่อนน้อม ในการที่จะได้ฟัง อ่าน ศึกษาไป ในเว็บนี้ได้เข้ามาแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน ล้วนมีกัลยาณมิตรมากมายที่เป็นกำลังใจ และชี้แจงธรรมะ

ขอเชิญศึกษาธรรมบรรลุฉลับพลัน จบโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย ที่บอร์ดสนทนาทั่วไปขอรับ หรือ http://www.rombodhidharma.com/

ขอให้ท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 15 ม.ค. 2010, 17:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอนุโมทนากับ คุณ nemo
และคำตอบของกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยค่ะ
:b8: :b4:

:b43: :b43: :b43:

โปรดศึกษาเพิ่มเติมได้จากบอร์ดเก่าในกระทู้ดังกล่าวนี้นะคะ :b8:

ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ๒ ประการ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... f5a629f7db


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 23:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Nemo เขียน:
ผมอยากจะรบกวนขอคำชี้แนะครับ
ผมเริ่มจะรู้สีกจริงๆแล้วว่าความรู้สีกถึง บาปบุญคุณโทษของตัวเองมีน้อยมาก ทำบุญผิดวิธี ทำบาปแล้วไม่ค่อยรู้สึก มองไม่ออกว่า คนไหนดีหรือไม่ดี เลยคิดร้ายและกระทำเนรคุณไปในหลายๆครั้งแม้กับพ่อกับแม่ แต่กลับไปเห็นดีเห็นงามกับคนไม่ดี ก็รู้สีกไม่ดีอย่างมากเลยครับ ยิ่งพยายามค้นหาคำตอบในอินเตอร์เนต ยิ่งให้รู้สีกกระวนกระวายมากขึ้น พบคำตอบที่ไม่เข้าข้างตัวเองว่า นิสัยเช่นนี้เรียกว่าเป็นพาลไปเสียแล้ว


การที่คุณรู้สึกไม่ดีกัยสิ่งไม่ดีที่คุณทำ เป็นสัญญาณที่ดีแล้วค่ะ ว่าคุณจะรู้จักความดีชอบ และ ไม่ดีชั่ว ค่ะ

อ้างคำพูด:
อยาก ทราบว่า พอมีแนวทางแก้ไขหรือไม่ครับ และนิสัยเช่นนี้กลายเป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ (พบคำนี้จากบทความที่อ่านครับ) ไปแล้วหรือยัง เพราะเหมือนกับว่า ผมยิ่งคิดยิ่งผิดเลยทำให้พูดก็ผิดและทำก็ผิด (หลังจากกลับมาคิดถี่ถ้วนโดยใช้เวลา) แต่ผมหยุดไม่ทำอะไรก็ไม่ได้เพราะมีงานต้องทำครับ หยุดคิดนานก็ไม่ได้ งานที่ทำก็เกิดความขัดแย้งตลอดเพราะการคิดผิดเลยพูดผิดทำผิด คนใกล้ตัวก็พลอยทุกข์ไปด้วย ใจหนึ่งผมก็ห่วงตัวเองไม่อยากให้ใจตกต่ำไปมากกว่านี้เลยอยากหยุดอยู่เฉยๆ แต่อีกใจนึงหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนใกล้ตัวจะมาทุกข์เพราะความซึมเศร้าของผมไปด้วย เพราะปกติผมเป็นคนสนุกสนานจนถึงขึ้นคะนอง ผมมองไม่ออกเลยครับตอนนี้ ผมพยายามมาได้ซักพักแล้วครับถ้าเลือกอดทนไม่ระบายกับคนภายนอกก็จะมาระบาย ความเศร้าให้คนในครอบครัว หรืออีกทางกลับกันต้องก้าวร้าวกลับออกไป


แก้ได้ค่ะ คุณแค่ทำความรู้จักกับการกระทำที่เรียกว่าดี และการกระทำที่เรียกว่าชั่ว แล้วก็มีสติยั้งหยุดการกระทำทั้งดีและชั่วไว้ก่อน ใช้สัมปัชชัญญะ คิดตรองให้ดีก่อนกระทำว่าควรหรือไม่ควร

การงานใดๆ แน่นอน ย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้น กับตัวเองยังมีความขัดแย้งเลยค่ะ มีวิธีแก้ตรงที่แยกให้ออกว่าเหตุอะไรทำให้เกิดการขัดแย้งค่ะ สติเช่นเคย บวกใจที่เป็นกลาง อย่ายึดเอาความคิดตัวเองเป็นหลัก คิดถึงความถูกผิดให้มากค่ะ

ส่วนนิตยมิจฉาฺทิฏฐิ คุณยังไม่เข้าข่ายค่ะ แค่คุณระบายอารมณ์ที่ระงับไม่ได้ใส่คนใกล้ชิดเท่านั้น ขาดสติน่ะค่ะ แต่คุณเองก็รู้ว่ามันไม่ดี

ตุณคะนองไม่ออกเพราะรู้สึกผิด เป็นสัญญาณที่ดีค่ะ เมื่อเริ่มดีก็เดินต่อค่ะ ห้ามตัวเองว่าอย่าก้าวร้าว ความคิดห้ามการหระทำได้ค่ะ ห้ามความคิดไม่ได้ แต่ใจเรากำหนดให้คิดดีหรือไม่ดีได้ค่ะ

อ้างคำพูด:
ผม ทราบครับว่า คนพาลไม่ควรอยู่ใกล้ แต่ก็อยากขอความเมตตาช่วยชี้แนะทางสว่างด้วยครับ ผมขณะนี้เหมือนมีหลักการเต็มหัวจากการอ่านแต่เลือกใช้ไม่ถูกเลย จริงๆแล้วใจนึงผมก็ไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ได้ผมจะนำไปปรุงแต่งตามใจอีกหรือไม่ แต่อีกใจก็หวังว่าปัญญาน่าจะิเกิดจากการถามผู้รู้มากกว่าการค้นหาเอง


จุฬาภินันท์แนะตามที่บอกไปข้างต้นค่ะ หลายครั้ง การอ่านหนังสือธรรมะช่วยอะไรเราไม่ได้ เพราะดารตีความของแต่ละคนเขียนต่างกันออกไปก็มี โดยเฉพาะคำสอนที่ลึกซึ้งมากๆ คุณจะเกิดปัญญา ในที่นี้จุฬาภินันท์หมายถึงปัญญาธรรม (ถ้าธรรมดาทางโลก จุฬาภินันท์ใช้คำว่าสมองค่ะ) คุณต้องถือศีลให้ได้ก่อน บอกตามตรงว่า มันอาจจะยากสำหรับคุณ แต่พยายามมีสติเข้าไว้ วันนึงต้องทำได้ค่ะ การพยายามอย่างมีสติแบบนี้ ความสำเร็จต้องมาถึงค่ะ แล้วจากนั้นคุณก็ทำสมาธิ ปัญญาธรรมจะเกิดเพราะสองสิ่งนี้ค่่ะ และเมื่อปัญญาธรรมเกิด สิ่งลึกซึ้งแค่ไหน คุณก็จะเข้าใจค่ะ

โชคดีนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นักปราชญ์ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยธิติ
มีปกติเพ่งพินิจ
ยินดีแล้วในฌานทุกเมื่อ
พากเพียรอยู่ตลอดวันและคืน
ไม่มีความอาลัยในชีวิต
ชนะเสนาของมัจจุราชแล้ว
ไม่กลับมาสู่ภพใหม่
นักปราชญ์นั้นคือโคธิกกุลบุตร
ได้ถอนตัณหาพร้อมด้วยราก
ปรินิพพานแล้ว.



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2010, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกสมาธิ แผ่เมตตา ก่อนนอน ประจำ 10-15-30 นาทีก็ได้ครับ แรกๆฝึกอาจฟุ้งซ่านหน่อย
ถ้าฝึกสมาธิอยู่ อนุโมทนากับคุณ nemo ด้วยครับ :b8: ดีจังมีความสนใจปฏิบัติธรรม คนทั่วไปเค้าไม่ค่อยสนใจแสดงว่าคุณ nemo มีบุญมาทางนี้ :b48:

:b41:
:b45: :b45: :b45: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 00:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 01:00
โพสต์: 10

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความกระจ่างครับ ผมได้พิมพ์คำถามเพิ่มแต่ได้ลบออก เพราะตระหนักว่าคำชี้แนะที่รับมายังมิทันได้ปฏิบัติจนเห็นผล ไยจะไปรับมาเพิ่มให้มัวแต่ขบคิด

ขอบพระคุณสำหรับความเมตตาในครั้งนี้ครับ ผมเห็นแล้วว่านิสัยพาลในตัวมิได้แก้ง่ายนักแต่ครั้งหนึ่งในกาลเวลาที่ยาวนานก็จะขอจดจำไว้ให้มากที่สุดครับ

_/|_


แก้ไขล่าสุดโดย nemo เมื่อ 17 ม.ค. 2010, 00:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยฟังเทศน์พระอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมเคารพนับถือ
ท่านเคยเทศน์ว่า "นิสัยคนเรา หมื่นปีไม่เปลี่ยน"

นิสัยของเรานี่มันสั่งสมกันมานาน ไม่ใช่แค่ชาตินี้
เราบ่มเพาะกิเลสต่างๆมานานแสนนานแล้ว
ท่านว่านิสัยคนเป็นหมื่นปี ก็ยังนิสัยเดิมอยู่
เช่นเคยขี้เกียจ ก็จะติดขี้เกียจไปทุกภพทุกชาติ
ถ้าไม่เริ่มจัดการกับความขี้เกียจ ก็จะขี้เกียจอยู่อย่างนั้น

นิสัยคนเราสั่งสมมานานขนาดนี้
กิเลสเพาะบ่มพอกพูนมานานขนาดนั้น
การที่เรามาเริ่มแก้ไขจึงเป็นงานที่ค่อนข้างใช้เวลาและความเพียร
เหมือนเก็บข้าวเข้ายุ้งฉางให้เต็ม แต่เก็บทีละเมล็ด
ไม่ใช่ว่าเราอยากจะเก็บทีละเมล็ด แต่ความเป็นจริงคือเราทำได้แค่นั้น คือแก้ไปทีละนิด

ผมมีชื่อครูบาอาจารย์สองท่านที่ช่วยคุณได้
ให้คุณติดตามฟังเทศน์ฟังธรรมอ่านหนังสือของท่าน
ศึกษาและปฏิบัติแบบเก็บเมล็ดข้าวสาร คือทีละนิดทีละหน่อย ใจเย็นๆ "ไม่พัก แต่ไม่เร่ง"
แล้วลองพิจารณาปฏิบัติตามคำสอนที่ท่านสอน

หลวงพ่อ สุรศักดิ์ เขมรังสี
หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชโช

สำหรับคุณ ผมคิดเอาเองว่าคุณเป็นประเภทคิดมาก
เจ้าความคิด หยุดคิด อดคิดไม่ได้ อาจจะใช้คำว่า"ฟุ้งซ่าน"
ทำความสงบเช่นนั่งสมาธิอะไรทำนองนี้แรกๆนี้ อาจจะยังลำบากเกินไป เครียดเกินไป
อาจจะเริ่มด้วยการหัดเจริญสติในชีวิตประจำวันดูก่อน
ถ้าเวลาไหนมีจิตใจสงบสบายเช่นอารมณ์ดี ว่าง ก็ลองนั่งสมาธิไปด้วย
3 นาที 5 นาที เอาหมด นั่งรถเมล์รถไฟฟ้าก็เอา นั่งขับถ่ายก็เอา
กระทั่งตอนนอนก่อนจะนอนที่เรียกว่าระยะ "ข่มตาหลับ" ก็ลองทำสมาธิจนหลับ
ใครจะไปรู้ว่าการนับแกะแบบที่ฝรั่งสอนเด็กของเขาให้นับก่อนนอนนั้นก็เป็นการทำสมาธิ
ไม่ต่างอะไรจากการท่องพุทธโธ

เว้นแต่เวลาต้องทำการงานใช้ความคิด อันนี้ให้อินไปกับความคิดการทำงาน
ไม่ต้องพยามทำสมาธิ ให้ตั้งใจทำงาน ขับรถ
กับเวลาเครียดมากๆ อย่าไปทำสมาธิ ให้ไปผ่อนคลายจิตใจเสียก่อน
ดูหนังฟังเพลงอะไรทำไปตามชอบ

ใจที่จะทำสมาธิได้ ต้องไม่หย่อนหรือตึงเกินไป
ต้องให้ใจมันเป็นปกติพอสมควร กล่าวคือตึงนิด หย่อนหน่อย ไปตามธรรมชาติปกติของคน
ปกติคนเรามีใจกระเพิ่มตลอดเวลา เดี๋ยวคิด เดี๋ยวรู้สึก เดี๋ยวอดีต เดี๋ยวอนาคต

สำหรับวิธีที่เข้าใจง่ายสำหรับการทำสมาธิ
ให้ศึกษา"หลวงพ่อพุธ ฐานิโย" ให้เข้าใจเสียก่อน
แล้วค่อยไปอ่านสำนักอื่นๆ จะเข้าใจได้ง่าย รวดเร็วๆ
และเห็นความเป็นสากลของการทำสมาธิ

กระผมขออนุโมทนาผู้ฝักใฝ่ธรรม
ขอนอบน้อมแด่พลังความใฝ่ดีในตัวคุณ
เมื่ออ่อนน้อมต่อธรรมะ ธรรมะจะพาขึ้นที่สูงเอง
ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม

มีปัญหาอะไร โพสต์ถามกันได้
ที่แห่งนี้มีกัลยาณมิตรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 01:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


.:b16:.

ขออนุญาตนำหลักธรรมของพระพุทธองค์มาให้พิจารณาเพิ่มเติมนะครับ

๒๔๙ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ เป็นธรรมมีอุปการะมาก
แก่มนุษย์

ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

สัปปุริสสังเสวะ ๑

สัทธรรมสวนะ ๑

โยนิโสมนสิการ ๑

ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นธรรมมีอุปการะมากแก่มนุษย์ ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต


(สัปปุริสสังเสวะ แปลว่า การเข้าหาคนดี คบคนดี

สัทธรรมสวนะ แปลว่า การรับฟังเรื่องราวที่ดี ๆ

โยนิโสมนสิการ แปลว่า การตรึกตรองโดยละเอียดให้ถึงต้นสายปลายเหตุ

ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ แปลว่า การปฏิบัติตามธรรมที่ได้มาตามความเหมาะสม)



ในมงคล ๓๘ ประการ ท่านจะเริ่มต้นด้วยบาลีว่า

อเสวนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวนา

ท่านอธิบายไว้ว่า

หลีกเว้นคนไม่ดี สิ่งไม่ดี และ เข้าหาคนดี สิ่งที่ดี

จะเป็นประตูเปิดให้มงคล (สิ่งที่ดีๆ) ทั้งหลายที่เหลือ ใหลเข้ามาหาตน


:b42: :b42:


แก้ไขล่าสุดโดย ไวโรจนมุเนนทระ เมื่อ 17 ม.ค. 2010, 01:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


-dd- เขียน:
....

ชาติสยาม เขียน:
....


:b12: :b12: ชอบจัง ตาดิ่ดี๋ กะ อาหย๋าม เลี้ยงโต๊ะจีน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 01:00
โพสต์: 10

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมช่วงนี้งานก็โดนบีบ(จากสิ่งที่ทำลงไปเอง) จิตใจก็ไม่ค่อยดี เหมือนโดนทั้งสองด้านเลยครับ สติเลยหลุดเป็นส่วนใหญ่ ขณะนี้พอมีสติอยู่บ้างเลยมาขอปรึกษาเพิ่มเติมว่า

พอจะมีวิธีเจริญสติแบบง่ายๆ หรือขั้นเริ่มต้นแนะนำบ้างไหมครับ ส่วนเจริญสมาธินี่คงยังไกลจากความสามารถผมตอนนี้มากนักครับ

_/|_


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร