วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


สภาพธรรมอะไรก็ตาม ซึ่งนำมาซึ่งผล หมายถึง อาหาร อาหารจึงไม่ได้ หมายถึง

อาหารที่เราบริโภคกันเท่านั้น แต่ อาหารมีความละอียด หลากหลายนัยดังนี้

อาหาร มี 4 ประเภท ดังนี้

1.กพฬิงการาหาร หมายถึง รูปอาหารที่เป็นคำ ๆ ที่เราบริโภคเข้าไปส่วนที่จะเป็น

ประโยชน์หล่อเลี้ยงร่างกาย อาหารที่เป็นคำๆ นำมาซึ่ง โอชารูป

2.ผัสสาหาร หมายถึง ผัสสเจตสิก ซึ่งเป็นปัจจัยให้สัมปยุตธรรมเกิดขึ้น นำมาซึ่ง

เวทนา

3..มโนสัญเจตนาหาร หมายถึง กรรม ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม ย่อมนำมา

ซึ่งปฏิสนธิวิญญาณ(การเกิด)

4..วิญญาณาหาร หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณ ย่อมนำมาซึ่งนามรูป


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 49

อาหารวรรคที่ ๒

๑. อาหารสูตร ว่าด้วยอาหาร ๔ อย่าง

[๒๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม

ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาหาร ๔ เหล่านี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่

ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด.

อาหาร ๔ เป็นไฉน. คือ [ ๑ ] กพฬิงการาหาร หยาบหรือละเอียด

[ ๒ ] ผัสสาหาร [ ๓ ] มโนสัญเจตนาหาร [ ๔ ] วิญญาณาหาร

อาหาร ๔ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิด

มาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด.

[๒๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อาหาร ๔ เหล่านี้ มีอะไรเป็นเหตุ

มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด. อาหาร ๔

เหล่านี้ มีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น มีตัณหาเป็นกำเนิด มี

ตัณหาเป็นแดนเกิด ตัณหานี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มี

อะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด. ตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ มีเวทนา

เป็นที่ตั้งขึ้น มีเวทนาเป็นกำเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิด ก็เวทนานี้มี

อะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด.

เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นที่ตั้งขึ้น มีผัสสะเป็นกำเนิด




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 22:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




B J 3 sp.bmp
B J 3 sp.bmp [ 360.99 KiB | เปิดดู 4451 ครั้ง ]
.. :b8:

อนุโมทนาแล้วๆๆ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


บารากุ เป็นยาสูบชนิดหนึ่ง ซึ่งหากได้อ่าน และ ได้ศึกษาโดยละเอียดนั้น จัดได้

ว่าเป็นสารเสพติดที่มีอันตรายต่อร่างกายมาก ทั้ผลงานวิจัยจากประเทศต่างๆ ซึ่ง

อันตรายกว่าบุหรี่มาก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า อาชีพที่อุบาสก อุบาสิกา

ไม่ควรทำ คือ

การค้าขายศัสตรา ๑

การค้าขายสัตว์ ๑

การค้าขายเนื้อสัตว์ ๑

การค้าขายน้ำเมา ๑

การค้าขายยาพิษ ๑

เพราะฉะนั้น บารากุ ทีเป็นยาสูบที่อันตรายมาก ก็จัดเป็นของมึนเมาที่เป็นยาเสพติด

ได้ และ รวมทั้งยังเป็นยาพิษก็ได้ จึงไม่ควรที่คฤหัสถ์จะประกอบอาชีพอย่างนี้ เพราะ

เป็นอาชีพที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน คือ ทำลายชีวิตและสุขภาพของเขา

ที่สำคัญ ควรที่จะคิดถึงคนอื่นเป็นสำคัญ หาก ผู้ที่เสพ เป็น ญาติพี่น้อง เป็น บุตร

ลูกของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร และ อยากให้เขาสูบหรือไม่ เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ว่าเป็น

อันตรายกับผู้อื่น ก็ไม่ควรประกอบอาชีพที่จะขายสิ่งเสพติดให้ผู้อื่นได้รับความเดือด

ร้อน เพราะ เพียงเงินที่ได้ ไม่คุ้มกันกับชีวิตของคนอื่น รวมทั้งการประกอบอาชีพที่

พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้าม ไม่ควรทำ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒- หน้าที่ 166

"ราตรีของคนผู้ตื่นอยู่ นาน, โยชน์ของคนล้า

แล้ว ไกล, สงสารของคนพาลทั้งหลาย ผู้ไม่รู้อยู่

ซึ่งสัทธรรม ย่อมยาว."

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒- หน้าที่ 266

ข้อความบางตอนจาก อุทัยสูตร

สัตว์ย่อมเกิดและตายบ่อย ๆ

บุคคลทั้งหลายย่อมนำซากศพไปป่าช้า

บ่อย ๆ ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อย ๆ ก็

เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีก ดังนี้.



พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 514

๕. ปัพพตสูตร ว่าด้วยเรื่องกัปป์

[๔๒๙ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม

ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง

ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ฯ ล ฯ เมื่อภิกษุ

รูปนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ กัปป์หนึ่งนานเพียงไรหนอแล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ กัปป์หนึ่งนานแลมิใช่

ง่ายที่จะนับกัปป์นั้นว่า เท่านี้ปี เท่านี้ ๑๐๐ ปี เท่านี้ ๑,๐๐๐ ปี หรือ

ว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี.

ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า.

[๔๓๐] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูก่อนภิกษุ

เหมือนอย่างว่า ภูเขาหินลูกใหญ่ยาวโยชน์หนึ่ง กว้างโยชน์หนึ่ง สูง

โยชน์หนึ่ง ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงเอาผ้าแคว้น

กาสีมาแล้วปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ปีต่อครั้ง ภูเขาหินลูกใหญ่นั้น พึงถึงการ

หมดไป สิ้นไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปป์หนึ่งยัง

ไม่ถึงการหมดไป สิ้นไป กัปป์นานอย่างนี้แล บรรดากัปป์ที่นานอย่างนี้

พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้ว มิใช่หนึ่งกัปป์ มิใช่ร้อยกัปป์ มิใช่พันกัปป์

มิใช่แสนกัปป์. ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้อง

ต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯ ล ฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอ

ทีเดียวที่จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อ

จะหลุดพ้น ดังนี้.

จบปัพพตสูตรที่ ๕



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 22:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




B J 2.bmp
B J 2.bmp [ 360.99 KiB | เปิดดู 4427 ครั้ง ]
.. :b8:

.. ก็สัตว์อันมีชีวิตทั้งหลาย ย่อมเวียนวน เวียนว่ายอยู่ยาวนานนับกัลป์ไม่ถ้วน ผู้รู้พึงพิจารณาถึงกรรมอันตนทำแล้ว กรรมอันตนยังไม่ได้กระทำ เพื่อการออกไปมิใช่หรือ.. ผลกรรมอันบุคคลกระทำแล้ว ย่อมมีผลเป็นวิบาก สุคติ ทุคติ อบาย สวรรค์ พรหม เทพ นรก กำเนิดในเดรัจฉาน อสุรกาย เปรต แม้แต่นิพพาน แล้วกรรมใดหนอ.. เป็นเหตุ เป็นปััจจัยให้ผล..ให้ผู้รู้..จักได้ถึงซึ่งเหตุแห่งสุคติ ตลอดจนนิพพานเป็นไปในที่สุด.. ไ่ม่ต้องป่วยการ กล่าวถึงผู้ไม่รู้เลย.. อันกัลป์ยืดยาวด้วยทะเลทุกข์นี้ มิใช่เพื่อผู้ใด แต่เพื่อผู้ไม่รู้นี้เอง ..

อนุโมทนาแล้ว ๆๆ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอสรุปต้นเรื่องที่เป็นเหตุให้บัญญัติพระวินัยข้อนี้ คือ มีพราหมณ์

คนหนึ่ง นิมนต์พระภิกษุมาฉันที่บ้าน พระภิกษุก็ไปฉันที่บ้านพราหมณ์

แต่ พระท่านรับและฉันเพียงเล็กน้อย บอกว่าพอแล้ว(ห้ามภัต) และไป

ฉันที่บ้านอื่นต่อ ตามเหตุการณ์เหมือนกับว่า พราหมณ์เลื้ยงอาหารพระ

ไม่อิ่ม ทั้งที่อาหารยังเหลื่อมากมาย เป็นเหตุให้พราหมณ์ ไม่พอใจ...

พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ฉันเสร็จแล้ว ห้ามภัตแล้ว

ไปฉันอาหารอื่นไม่ได้ เว้นแต่ของเป็นเดน

ขอเชิญอ่านจากข้อความในพระวินัยที่ยกมา


พระบัญญัติในโภชนวรรค สิกขาบทที่ ๕

๘๔. ๕. ข. อนึ่ง ภิกษุใดฉันเสร็จ ห้ามภัตแล้ว เคี้ยวก็ดี

ฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซึ่งของฉันก็ดี อันมิใช่เดน เป็นปาจิตตีย์.

สิกขาบทวิภังค์
[๕๐๑]

ที่ชื่อว่า ฉันเสร็จ คือ ฉันโภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่สุด

แม้ด้วยปลายหญ้าคา.

ลักษณะห้ามภัต

ที่ชื่อว่า ห้ามภัตแล้ว คือ กำลังฉันอาหารอยู่ ๑ ทายกนำโภชนะ

มาถวายอีก ๑ ทายกอยู่ในหัตถบาส ๑ ทายกน้อมถวาย ๑ ภิกษุห้ามเสีย ๑.

ลักษณะของไม่เป็นเดน

ที่ชื่อว่า มิใช่เดน คือ ของที่ยังมิได้ทำให้เป็นกัปปิยะ ๑ ภิกษุมิได้

รับประเคน ๑ ภิกษุมิได้ยกขึ้นส่งให้ ๑ ทำนอกหัตถบาส ๑ ภิกษุฉันยังไม่เสร็จ

ทำ ๑ ภิกษุฉันเสร็จ ห้ามภัตแล้ว ลุกจากอาสนะแล้วทำ ๑ ภิกษุมิได้พูดว่า

ทั้งหมดนั้นพอแล้ว ๑ ของนั้นมิใช่เป็นเดนภิกษุอาพาธ ๑ นี้ชื่อว่า มิใช่เดน.

ลักษณะของเป็นเดน

ที่ชื่อว่า เป็นเดน คือ ของที่ทำให้เป็นกัปปิยะแล้ว ๑ ภิกษุรับ

ประเคนแล้ว ๑ ภิกษุยกขึ้นส่งให้ ๑ ทำในหัตถบาส ๑ ภิกษุฉันแล้ว ทำ ๑

ฉันเสร็จห้ามภัตแล้ว ยังไม่ลุกจากอาสนะ ทำ ๑ ภิกษุพูดว่า ทั้งหมดนั่นพอ

แล้ว ๑ เป็นเดนภิกษุอาพาธ ๑ นี้ชื่อว่า เป็นเดน.

ลักษณะของเคี้ยว

ที่ชื่อว่า ต้องเคี้ยว คือ เว้นโภชนะห้า ๑ ของที่เป็นยามกาลิก ๑

สัตตาหกาลิก ๑ ยาวชีวิก ๑ นอกนั้นชื่อว่า ของเคี้ยว.

ลักษณะของฉัน

ที่ชื่อว่า ของฉัน ได้แก่ โภชนะ ๕ คือ ข้าวสุก ๑ ขนมสด ๑

ขนมแห้ง ๑ ปลา ๑ เนื้อ ๑.

ภิกษุรับประเคนด้วยตั้งใจว่า จักเคี้ยว จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

ขณะกลืน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำกลืน....


วิสุทธิที่ ๑ คือ ทิฏฐิวิสุทธิ ได้แก่ นามรูปปริเฉทญาณ ซึ่งเป็น

ปัญญาที่ประจักษ์แจ้ง ลักษณะที่ต่างกันของ นามธรรม และ รูปธรรม

ทางมโนทวาร การพูดถึงวิสุทธิ ๗ เป็นเรื่องที่ไกล ถ้าขณะนั้นสติไม่เกิด

ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏบ่อย ๆ เนือง ๆ ทางตา ทางหู

ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

การจะพูดถึงวิสุทธิ ๗ โดยย่อ ก็คือ วิสุทธิ ๗ เป็นวิปัสสนาญาณขั้น

ต่างๆนั่นเอง และ วิปัสสนาญาณ จะละคลายกิเลสตามลำดัยขั้น จนกว่า

จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งจะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ตามลำดับขั้น

ของโลกุตตรจิต




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 21:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




B J 3 sp.bmp
B J 3 sp.bmp [ 360.99 KiB | เปิดดู 4394 ครั้ง ]
.. :b8:

อนุโมทนาแล้ว ๆๆ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิทา หมายถึง ทาง เพราะฉะนั้น จึงมี 2 ทาง คือ ทางถูก และทางผิด นั่นคือ

สัมมาปฏิปทา และ มิจฉาปฏิปทา

ทางที่ถูก หรือ สัมมาปฏิปทา คือ ทางที่ทำให้ถึงการดับกิเลส ออกจากสังสารวัฏฏ์

ทางที่ผิด หรือ มิจฉาปฏิปทา คือ ทางที่ไม่ทำให้ถึงการดับกิเลส ไม่ออกจากสังสารวัฏฏ์

เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐาน 4 อริยมรรค ที่เป็นการเจริญวิปัสสนา เป็นหนทาง

ที่ถูก เป็น สัมมาปฏิปทา ที่จะทำให้ถึงการดับกิเลส และ แม้กุศลประการอื่นๆ ที่ปรารภ

ปรารถนาที่จะออกจาสังสารวัฏฏ์ ก็ชื่อว่า สัมมาปฏิปทา
ปฏิปทาสูตร...ว่าด้วยปฏิปทา ๒


[๑๙]

พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน

อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พระนครสาวัตถี.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เราตถาคต จักแสดง มิจฉาปฏิปทา และ สัมมาปฏิปทา

พวกเธอจงฟังปฏิปทาทั้ง ๒ นั้น

จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว.


ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.


[๒๐]

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ก็ มิจฉาปฏิปทา เป็นไฉน.?


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร

เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ. . .

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้

นี้เรียกว่า....มิจฉาปฏิปทา.


[๒๑]

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ก็ สัมมาปฏิปทา เป็นไฉน.?

เพราะอวิชชานั่นแหละดับ ด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ

เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ. . .

ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้

ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้

นี้เรียกว่า...สัมมาปฏิปทา.


....................จบปฏิปทาสูตรที่ ๓..................

.


อรรถกถาปฏิปทาสูตรที่ ๓


ในปฏิปทาสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.


บทว่า มิจฺฉาปฏิปทํ

ความว่า นี้เป็นปฏิปทา ไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์ เป็นอันดับแรก.


ถามว่า.....

ก็เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

จึงมีปุญญาภิสังขารบ้าง อเนญชาภิสังขารบ้าง มิใช่หรือ.?


อภิสังขารทั้งสองนั้น เป็นมิจฉาปฏิปทา ได้อย่างไร.?


แก้ว่า.....

เพราะถือว่าวัฏฏะเป็นสำคัญ.


สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลปรารถนา วัฏฏะ กล่าวคือภพ ๓

ปฏิบัติ โดยที่สุดอภิญญา ๕ หรือสมาบัติ ๘

สิ่งทั้งหมดเป็นไปในฝ่ายวัฏฏะ.

จัดเป็น มิจฉาปฏิปทา.


เพราะถือวัฏฏะเป็นสำคัญ.


สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันบุคคลปรารถนา วิวัฏฏะ คือ พระนิพพาน

ปฏิบัติ โดยที่สุดถวายทานเพียงข้าวยาคูกระบวยหนึ่งก็ดี

เพียงถวายใบไม้กำมือหนึ่งก็ดี

สิ่งทั้งหมดนั้น จัดเป็น สัมมาปฏิปทาโดยแท้

เพราะเป็นฝ่าย วิวัฏฏะ.


บุคคลไม่บรรลุพระอรหัต แล้วจะถึงที่สุดหาได้ไม่

ดังนั้น พึงทราบว่า ท่านแสดง มิจฉาปฏิปทาด้วยอำนาจอนุโลม

แสดงสัมมาปฏิปทา ด้วยอำนาจปฏิโลม.


ถามว่า.....

ก็ในที่นี้ ท่านถามปฏิปทา จำแนกพระนิพพาน

กำหนดปฏิปทา แม้ในการตอบ

และบทว่า ปฏิปทา ไม่เป็นชื่อแห่งพระนิพพาน

แต่คำว่า ปฏิปทานี้

เป็นชื่อของมรรค ๔ พร้อมด้วย วิปัสสนา.


เพราะฉะนั้น

บทภาชนะ จึงสมด้วยการถามการตอบมิใช่หรือ.?

แก้ว่า...ไม่สมหามิได้.

เพราะเหตุไร.?

เพราะ ท่านแสดงปฏิปทาโดยผล.


จริงอยู่ ในที่นี้ ท่านแสดงปฏิปทา โดยผล.

ความในคำว่า

เพราะอวิชชานั่นแล ดับไปโดยสำรอกไม่เหลือ สังขารจึงดับนี้

มีอธิบายดังนี้

นิพพาน กล่าวคือ การดับสนิทนี้ เป็นผลของปฏิปทาใด

ภิกษุทั้งหลาย

ปฏิปทานี้ เราเรียกว่า สัมมาปฏิปทา.


ก็ในอรรถนี้

วิราคะ ในคำว่า อเสสวิราคนิโรธา นี้

เป็นไวพจน์ ของการดับสนิทนั่นเอง.

ก็ในคำว่า อเสสวิราคนิโรธา นี้ เป็นไวพจน์ของการดับสนิทนั่นเอง.

ก็ในคำว่า อเสสวิราคา อเสสนิโรธา นี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ อีกอย่างหนึ่ง

เพื่อแสดงมรรค กล่าวคือ วิราคะ อันเป็นเหตุดับสนิทโดยไม่เหลือ.


พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะนี้ว่า

ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ปฏิปทาอันเป็นไปกับด้วยอานุภาพ

เป็นอันพระองค์ทรงจำแนกแล้ว.


ดังนั้น พระองค์จึงตรัสเฉพาะ วัฏฏะ และ วิวัฏฏะ

แม้นี้เท่านั้นแล.





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 01:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




B J 3 sp.bmp
B J 3 sp.bmp [ 360.99 KiB | เปิดดู 4375 ครั้ง ]
.. :b8:

[color=#0000FF] จริงอยู่ผู้มีปฏิปทาเพื่อผล ๔ ย่อมรู้เวลาใกล้ เวลาไกลของตนๆ ย่อมมีทางที่มืดให้กลับสว่างแล้ว มีจุดหมายอันแน่นอนแล้ว ตื่นก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข มีความเป็นไปอยู่อย่างไม่ประมาทแล้ว เพราะเหตุว่าได้กระทำกรรมเพื่อความเป็นไปของตน เฉพาะตนแล้ว ก้าวข้ามความลังเล สงสัยแล้ว ได้ชื่อว่า ผู้ประเสริฐแล้ว ดังนี้ๆ

อนุโมทนาแล้วๆๆ .. [/color]
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 453

ข้อความบางตอนจาก ชฎิลสูตร

[๓๕๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็น

คฤหัสถ์บริโภคกาม ครอบครองเรือน บรรทมเบียดพระโอรสและพระชายา

ทาจุรณจันทน์อันมาแต่แคว้นกาสี ทรงมาลาของหอมและเครื่องลูบไล้ ยินดี

เงินและทอง ยากที่จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้เป็นพระอรหันต์ หรือคนพวกนี้

บรรลุอรหัตมรรค………

ดูก่อนมหาบพิตร ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้นจะพึงรู้

ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้

มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้

วิภังคสูตร

(ว่าด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘)

[๓๓] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง จักจำแนกอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ แก่เธอทั้ง

หลาย เธอทั้งหลายจงฟังอริยมรรคนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อริยมรรคอันประกอบด้วย

องค์ ๘ เป็นไฉน? คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ

สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.

[๓๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน? ความรู้ในทุกข์

ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.

[๓๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน? ความดำริในการออก

จากกาม ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่า

สัมมาสังกัปปะ.

[๓๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ สัมมาวาจาเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้น

จากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.

[๓๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ สัมมากัมมันตะเป็นไฉน? เจตนาเครื่อง งดเว้น

จากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากอพรหมจรรย์ นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.

[๓๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ สัมมาอาชีวะเป็นไฉน? อริยสาวกในธรรม

วินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ นี้ เรียกว่า

สัมมาอาชีวะ.

[๓๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ สัมมาวายามะเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้เพื่อมิให้อกุศล

ธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว

เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้

เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิด

ขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.

[๔๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสติเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติพึงกำจัด

อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ อยู่

มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย

ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัด

อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนือง ๆ อยู่ มีความ

เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย นี้เรียกว่า

สัมมาสติ.

[๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ สัมมาสมาธิ เป็นไฉน? ภิกษุในธรรม

วินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติ

และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน

เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติ

และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย

เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้

เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละ

สุข ละทุกข์ และดับโสมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เรียก

ว่า สัมมาสมาธิ.

จบวิภังคสูตรที่ ๘.



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




B J.bmp
B J.bmp [ 360.99 KiB | เปิดดู 4360 ครั้ง ]
.. :b8:

อนุโมทนาแล้วๆๆ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


การทำความดีนั้น สิ่งที่เราได้รับนั้นก็คือความสุขทางใจ
…แม้ว่าการทำดีของเราจะเป็นการปิดทองหลังพระ
ซึ่งไม่มีใครเห็นก็ตาม แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลึกลับ
เทวดา ฟ้าดินท่านย่อมเห็น
…แม้ว่าเราไม่มีคนเป็นเพื่อน เพราะว่าคนไม่เคยมองเห็น
...สิ่งที่ดีๆที่เราได้ทำ แต่เราก็ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลึกลับ
จิตญาณคุณธรรม เทวดา ฟ้าดิน คอยเป็นเพื่อนกับเรา
คอยติดตามเราอย่างใกล้ชิด คอยให้กำลังใจเรา
และคอยปกป้องคุ้มครองเราอยู่ตลอดเวลา แล้วเรา
จะไปค้นหา เพื่อนแท้ เพื่อนที่ดีอย่างนี้ได้ที่ใหนอีกล่ะดูเพิ่มเติม
ศีล ที่ปรากฏในคำสอนทางพระพุทธศาสนามีหลากหลายนัย มีคำแปลหลายความ

หมาย หมายถึง การรวบรวมกาย วาจา จากที่เคยเป็นไปกับด้วยอกุศล ก็เป็นไปกับด้วย

กุศลมากยิ่งขึ้น เป็นความประพฤติเรียบร้อยดีงาม, หมายถึง เป็นที่รองรับกุศลธรรม

ทั้งหลาย นอกจากนั้น ยังมีความหมายหลายอย่าง คือ ปกติ เกษม สำรวม

ซึ่งโดยมากเรามักเข้าใจว่า ศีล คือ การกระทำทางกาย วาจา เป็นการวิรัติงดเว้นที่จะ

ไม่กระทำบาป ทางกาย วาจาเท่านั้น เช่น งดเว้นจากการฆ่าสัตว์งดเว้นจากการลักทรัพย์

งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยอัน

เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ซึ่งเป็นศีล ๕ แต่ในความเป็นจริง ศีล มีหลากหลายนัย

ขึ้นอยู่กับว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงศีล โดยนัยใด จึงสำคัญอยู่ที่ผู้ศึกษาจะ

ต้องมีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความ

เป็นจริง และประการที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ศีล เป็นธรรม

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑- หน้าที่ 589

ในการแก้ปัญหาว่า กติ สีลานิ - ศีลมีเท่าไร เพราะปกติของศีลมีเท่าไร เพราะ

ปกติของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ๆ ในโลก ท่านกล่าวว่า สีลํ ไว้ในบทนี้ว่ากุสลสีลํ-

กุศลเป็นศีล อกุสลสีลํ- อกุศลเป็นศีล อพฺยากตสีลํ -อัพยากฤตเป็นศีล

สติปัฏฐาน คือ การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ตามความเป็น

จริงว่าธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา อันเป็นกุศลที่

ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นกุศลขั้นการเจริญวิปัสสนา

ในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎก ทรงแสดง ว่า ศีล มี 4 อย่าง คือ

1.เจตนา เป็น ศีล

2.เจตสิก เป็น ศีล

3.ความสำรวม สังวร เป็นศีล

4.การไม่ก้าวล่วงเป็นศีล
เจตนา เป็น ศีล หมายถึง เจตนาที่งดเว้นจาก การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดใน

กาม เป็นต้น เช่น ยุงกัด ก็ไม่ตบ ขณะที่งดเว้น ไม่ตบในขณะนั้น ก็เป็น ศีล ที่เป็น

เจตนาศีล เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์

เจตสิก เป็น ศีล คือ การงดเว้นจากความไม่โลภ (อนภิชฌา) งดเว้นจากการพยาบาท

(อพยาบาท) และ มีความเห็นถูก(สัมมาทิฏฐิ ) ชื่อว่า เจตสิกศีล

การไม่ก้าวล่วงเป็นศีล คือ เจตนาสมาทานศีล หรือที่ถือเอาด้วยดี ด้วยตั้งใจที่จะ

ขอรักษาศีล เช่น ไปต่อหน้าพระ และขอสมาทานจะรักษาศีล ขณะนั้นมีเจตนา

ที่จะประพฤติ รักษากาย วาจาที่เป็นไปด้วยดี ชื่อว่า เป็นศีล เพราะ มีความไม่ก้าวล่วง

ด้วยการสมาทานศีล ครับ จึงเป็นศีล

ความสำรวม หรือ สังวร เป็น ศีล ความสำรวม สังวรในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการสำรวม

ภายนอกที่ทำสำรวม กิริยาสำรวม แต่ สำรวม สังวร หมายถึง การสำรวมด้วยจิตที่เป็น

กุศล มุ่งที่ จิต เป็นสำคัญ ซึ่งการสำรวม หรือ สังวรนั้นมี 5 ประการ คือ

ปาฏิโมกขสังวร คือ การประพฤติงดเว้นและปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติของพระภิกษุ

ชื่อว่าเป็น ศีล

สติสังวร คือ การมีสติระลึกลักษณะของสภาพธรรม ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชื่อว่า

สติสังวร เป็นศีล

ญาณสังวร ปัญญาเกิด ละกิเลส ชื่อว่า สังวรด้วยปัญญาและการพิจารณาสิ่งที่ได้มาที่

เป็นปัจจัย มี อาหาร เป็นต้นของพระภิกษุ พิจารณาด้วยปัญญาแล้วจึงบริโภค ก็ชื่อว่า

ญาณสังวร เป็นศีลในขณะนั้นด้วยครับ คือ ปัจจยสันนิสิตตศีล

ขันติสังวร ความเป็นผู้อดทนต่อหนาวและร้อน เป็นต้น ชื่อว่า สำรวมด้วยขันติ

วิริยสังวร คือ ปรารภความเพียรไม่ให้อกุศลทีเกิดขึ้นแล้ว เจริญขึ้น เป็นต้น ชื่อว่าสำรวม

ด้วยวิริยะ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 588

ในบทว่า สรโร สีล ความสำรวมเป็นศีลนี้ พึงทราบความสำรวมมี ๕ อย่าง

คือ ปาติโมกขสังวร - ความสำรวมในปาติโมกข์ ๑ สติสังวร - ความสำรวมในสติ ๑
ญาณสังวร - ความสำรวมในญาณ ๑ ขันติสังวร - ความสำรวมในขันติ ๑ วีริยสังวร -

ความสำรวมในความเพียร ๑.

ในความสำรวม ๕ อย่างนั้นภิกษุเข้าถึง เข้าถึงเสมอด้วยความ

สำรวมในปาติโมกข์นี้ นี้ชื่อว่า ปาติโมกขสังวร. ภิกษุรักษาจักขุนทรีย์,

ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์นี้ ชื่อว่า สติสังวร.

.................... ความสำรวมมาแล้วโดยนัยมีอาทิว่า อุปปนฺน กามวิตกฺกนาธิวาเสติ

ภิกษุอดกลั้นกามวิตกที่เกิดขึ้น นี้ชื่อว่า วีริยสังวร. แม้ว่าอาชีพบริสุทธิ์ก็รวมเข้าในบทนี้

ด้วยเหมือนกัน. ความสำรวม ๕ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้, อนึ่ง เจตนาเว้นจากวัตถุที่มา

ถึงของกุลบุตรผู้กลัวบาป, พึงทราบว่าทั้งหมดนั้นเป็น สังวรศีล.

*******************************************

ข้อความที่แสดงว่า สังวร เป็นศีล รวมสังวรทั้ง 5 อย่าง

วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้าที่ 14

[ สังวร ๕ ]

ในข้อว่า "สังวรก็เป็นศีล" นี้ พึงทราบสังวรโดยอาการ คือ ปาฏิโมกขสังวร

สติสังวร ญาณสังวร ขันติสังวร วิริยสังวร.

ในสังวร ๕ อย่างนั้น สังวรที่ตรัสไว้ว่า "ภิกษุเป็นผู้เข้าถึงแล้ว

เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยปาฏิโมกขสังวรนี้๒" นี้ชื่อว่าปาฏิโมกข-

สังวร. สังวรที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุย่อมรักษาอินทรีย์คือจักษุ ย่อมถึงความ

สังวรใรอินทรีย์คือจักษุ๓ (เป็นต้น) นี้ชื่อว่าสติสังวร.


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 13:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




B J 3 sp.bmp
B J 3 sp.bmp [ 360.99 KiB | เปิดดู 4345 ครั้ง ]
.. :b8: ..

ก็หิริ และโอตตัปปะ คือความละอาย และเกรงกลัวต่อการทำความไม่ดีทั้งในที่ลับ และในที่แจ้งนี้ มีไว้ก็เพื่อจะได้เตือนบุคคลทั้งหลายให้ได้รู้ว่า อันว่าความคิดใดๆ ในใจนี้ แม้นว่าคิดคำนึงอยู่เพียงลำพังก็ดี การกระทำใดๆ อันกระทำเพียงลำพังก็ดี การพร่ำบ่นใดๆ อันพร่ำบ่นเพียงลำพังก็ดี..หาได้พ้นไปจากสองสิ่งนี้ คือเหล่าเทพยดาทั้งหลาย แลผลกรรมได้ไม่.. บุคคลทั้งหลาย จึงไม่พึงกระทำความชั่วด้วยกาย วาจา และใจทั้งในที่ลับ และในที่แจ้ง ด้วยประการฉะนี้.. อันว่าบุคคลใดกระทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ เป็นผู้ประพฤติสัจจะแล้ว ย่อมสำเร็จการเป็นอยู่ด้วยผู้ประพฤติเสมอกันนั่นแล..

..อนุโมทนาแล้วๆๆ ..
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร