บางส่วนจากเทศน์
20 มีนาคม 2552



ที่จริงมีอีกเยอะนะครับ
ให้พากันฟังเอง ตรวจเอาเอง

แล้วพากันเลิกเข้าใจว่าหลวงพ่อสอนให้ดูตรงๆที่จิตได้แล้ว

ครับ
ดูลงตรงๆ ดูไม่ได้
เพราะ จิต คือ พุทธะ

ท่านทั้งหลายคงเข้าใจแล้วว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนดูจิตนั้น
คำว่าดูจิต เป้นชื่อเรียกเท่านั้นเอง
ไม่ควรจะไปแปลตรงๆว่า "ดู" ที่ "จิต"



ดังที่ผมได้ยกเทศน์ของท่านมาให้ดูด้านบน
ว่าที่ท่านสอนดุจิต ท่านไม่ได้ให้ดูจิต

แต่นักภาวนาที่ไม่เข้าใจ ฟังไม่ได้ศัพท์
ก็เอาความสงสัยไปถามหลวงพ่อมนตรี
ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร

ลองมาดูว่าหลวงพ่อมนตรีเข้าใจคำว่าดูจิตอย่างไร
ให้สังเกตุว่าหลวงพ่อมนตรี เข้าใจว่าดุจิต คือดูไปที่จิต (รูป เจตสิก จิต นิพพาน)
ท่านจึงบอกว่า ที่ดูๆกันอยู่ มันไม่ใช่ตัวจิต
แต่เป็นเงาของจิต





นี่ชัดเจนเลย
หลวงพ่อมนตรีพูดไม่ผิดหรอกว่า กำลังพากันดูเงาของจิต
เพราะนั่นคือการดูเงาของจิตจริงๆ
แต่ท่านไปเข้าใจว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนให้คนเข้าใจว่า "เงา" คือ "จิต"



เป็นอันว่า ประเด้นเรื่องดุจิต สำหรับหลวงพ่อมนตรี กับหลวงพ่อปราโมทย์
ชำระแล้ว ว่าท่านทั้งสองเข้าใจตรงกัน


แต่เหลืออีกประเด้นหนึ่ง ที่หลวงพ่อมนตรีว่า "ดูเงาของจิต ละกิเลสไม่ได้"
อันนี้เป้นประเด็นใหม่ ที่คงต้องถกเถียงกันต่อไปว่า ได้หรือไม่ได้
แต่เอาเฉพาะคำว่า"ดุจิต" ผมคิดว่า ผมได้ชำระตรงกันแล้ว

อีกหนึ่งประเด้นที่คนดุจิตไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วก็เอาไปถามท่าน
จนพากันเข้าใจว่าหลวงพ่อปราโมทย์ปฏิเสธสมถะ
กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

ผมขอให้พิจารณาความจากทั้งสองท่าน
จะเห้นเลยว่ามีความรงรอยกันสนิทพอดี

ไม่ได้มีความขัดแย้งเลย

ที่พากันขัดแย้ง เพราะฟังจากปากบุคคลที่ 3 ทัง้นั้นเลย

มาดูกันครับ

ฝ่ายหลวงพ่อมนตรีบอกว่า ดูจิตได้ต้องมีสมถะหนุน



ครางนี้มาดุว่าหลวงพ่อปราโมทย์
ที่เขาพากันใส่ร้ายว่าหลวงพ่อห้ามทำสมถะ ห้ามทำสมถะ
มาดูชัดๆว่า ลงรอยกันพอดีเป็นเนื้อเดียวกันกับหลวงพ่อมนตรีอย่างไร

ครับ
ที่หลวงพ่อมนตรี ท่านกล่าวว่า การดูเงาของจิต ยังไม่เป็นผลให้ละกิเลสได้"
อันนี้เป็นความจริง
อันที่จริงท่านได้บอกเหตุ ผล ไว้ในข้อความนั้นแล้วครับ

เรื่อง ก่อนที่จะดูจิตได้ต้องมีกำลังเสียก่อน
นักปฎิบัติ นั้นจะทราบกันว่า กำลังของจิตคืออะไร
ตัวนี้ เปรียบได้ดั่ง แม่ทัพใหญ่ของธรรม

หลวงพ่อมนตรี หลวงพ่อปราโมทย์ นั้นท่านก้อมี ธรรมอันเดียวกัน

เพิ่มเติมนิดนะครับ

แต่การดูเงาของจิตนั้น เป็นต้นทางของการละกิเลสได้

เรื่องของคุณดังตฤน ก็เรื่องของคุณดังตฤนนะ
แยกแยะอะไรให้มันชัดเจนหน่อยสิ

ถ้าผมไปวัดหลวงพ่อสงบ โดยไปเพ่งเอาที่ตัวคุณ sato
มันจะยุติธรรมไหม

อย่ามั่วนะ

ไปตั้งกระทู้กรณีคุณดังตฤนเลยสิครับ

เอาให้มันเป้นระบบระเบียบหน่อยสิ

โดยสภาวแล้ว การดูจิตตรงๆ นั้น "เป็นไปไม่ได้"
เพราะการที่จิตเปลี่ยนแปลง หรือไม่ อย่างไรนั้น
ล้วนเป็นสภาวที่เกิดจากการปรุงแต่งโดยเจตสิกทั้งนั้น

การดูจิตตรงๆ น่าจะหมายถึง การเพ่งจิตให้นิ่ง
เป็นสมถกรรมฐาน ในที่สุดหากบรรลุธรรม
อาจดับความเป็นไปของจิต เรียกว่า "สัญญาวิราคะ"

ตายไปก็ไปเกิดเป็น อสัญญสัตตาพรหม หรือ พรหมลูกฟัก

ชาวอินเดียสมัยพุทธกาลเชื่อว่า เป็นนิพพานชนิดหนึ่ง

แต่...พระพุทธองค์ท่านสอนว่า เป็น "มิจฉาทิฏฐิ" ประเภทหนึ่ง

ซึ่งเรื่องนี้ หลวงพ่อปราโมทย์ ก็เคยสอนไว้ในทำนองเดียวกัน

30667.ใครว่าหลวงพ่อสอนให้ดูที่จิตตรงๆ มาดูหลักฐาน



ดูที่จิต ก็ไม่เห็นหลักฐาน

จริงด้วย จริงด้วย ดูจิต ต้องเห็นจิต

เอ่

เอาอะไร ๆ ไปดูจิตหรอคร๊าบ

ไม่ใช่เอาจิต ไปดูอะไรๆ หรอคร๊าบ

งงมั๊กๆ คร๊าบ