วันเวลาปัจจุบัน 06 ส.ค. 2025, 17:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"สมาธิที่เกิดตามธรรมชาตินั้น มักจะพอเหมาะพอสมแก่กำลังของปัญญาที่จะทำการพิจารณา ส่วนสมาธิที่เกิดตามวิธีของการบำเพ็ญเป็นเทคนิคโดยเฉพาะนั้น มักจะเป็นสมาธิที่มากเกินไป หมายความว่าเหลือใช้ และยังเป็นเหตุให้คนหลงติดชะงัก พอใจแต่เพียงแค่สมาธินั้นก็ได้ เพราะว่าในขณะที่จิตเป็นสมาธิเต็มที่นั้น ย่อมเป็นความสุขชนิดหนึ่ง เป็นความสบายชนิดหนึ่ง ซึ่งให้เกิดความพอใจ จนถึงกับหลงติดหรือหลงเหมาเป็นมรรคผลไปเสียเลยก็ได้ "

ท่านพุทธทาส ภิกขุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขออนุญาตถามค่ะ
สมาธิที่เกิดตามธรรมชาติเป็นเช่นไรค่ะ? :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
"สมาธิที่เกิดตามธรรมชาตินั้น มักจะพอเหมาะพอสมแก่กำลังของปัญญาที่จะทำการพิจารณา ส่วนสมาธิที่เกิดตามวิธีของการบำเพ็ญเป็นเทคนิคโดยเฉพาะนั้น มักจะเป็นสมาธิที่มากเกินไป หมายความว่าเหลือใช้ และยังเป็นเหตุให้คนหลงติดชะงัก พอใจแต่เพียงแค่สมาธินั้นก็ได้ เพราะว่าในขณะที่จิตเป็นสมาธิเต็มที่นั้น ย่อมเป็นความสุขชนิดหนึ่ง เป็นความสบายชนิดหนึ่ง ซึ่งให้เกิดความพอใจ จนถึงกับหลงติดหรือหลงเหมาเป็นมรรคผลไปเสียเลยก็ได้ "

ท่านพุทธทาส ภิกขุ





เวลานำข้อความของหลวงพ่อพุทธทาสมาโพสนั้น พึงระวังด้วยนะคะ
จึงเป้นเหตให้มีผู้นำข้อความมาละเมิดเนืองๆเพราะเหตุนี้

เพราะไม่ใช่เรื่องที่ท่านเขียนตอนบั้นปลายของชีวิต แต่เป็นการบันทึกประจำวัน
ในขณะที่ท่านปฏิบัติในตอนแรกๆ

อย่างเช่นเรื่อง สมาธิ
กำลังของสมาธิมีหลายระดับ จะเปลี่ยนไปตามกำลังของสติ สัมปชัญญะ
และเหมาะสมกับสภาวะของผู้ปฏิบัติ สภาวะจะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ถึงได้มีตำราเรื่อง ญาณ 16 ขึ้นมาเพราะเหตุนี้

ผู้ที่ผ่านรอบที่ 1 ผ่านรอบที่ 2 ผ่านรอบที่ 3 และผ่านรอบที่ 4
กำลังของสติ สัมปชัญญะและกำลังของสมาธิแต่ละรอบนั้นจะไม่เท่ากัน
ยิ่งสูงรอบ ยิ่งต้องมีกำลังของ สติ สัมปชัญญะและกำลังของสมาธิมากขึ้นไปเรื่อยๆ

ส่วนที่ผู้ปฏิบัติท่านใดหลงสภาวะนั้น หรือ ไม่หลงสภาวะนั้น
ล้วนเกิดจากเหตุที่แต่ละคนกระทำมา ผลจึงเป็นเช่นนั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
ขออนุญาตถามค่ะ
สมาธิที่เกิดตามธรรมชาติเป็นเช่นไรค่ะ? :b8:


อ้างคำพูด:
"แม้ในกรณีที่ท่านทั้งหลายนั่งฟังอาตมาบรรยายอยู่ที่นี้ ถ้าท่าเข้าใจคำบรรยายหรือถึงกับพิจารณาตามไปอย่างแน่วแน่ตามคำบรรยายนั้น ก็ย่อมแสดงว่ามีสมาธิพร้อมอยู่ในนั้น นี่แหละ เป็นลักษณะของสมาธิที่เป็นไปเองตามธรรมชาติ"
ท่านพุทธทาส ภิกขุ


ตรงตัวเลยครับ คือสมาธิที่มีอยู่เองแล้ว ไม่ได้ปั้นเสริมเติมแต่งใดๆ
เหมือนกับสมาธิตอนที่คุณทักทายแปรงฟันน่ะครับ ถ้าไม่มีสมาธิจะแปรงถูกวิธีมั้ย
หรือสมาธิตอนขับรถนั่นก็เป็นสมาธิที่เกิดตามธรรมชาติครับ
เราไม่ต้องนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดสมาธิตอนขับรถใช่มั้ยล่ะครับ

ท่านพุทธทาสไม่ได้ห้ามนั่งสมาธินะครับ แต่ไม่ให้มองข้ามสมาธิตามธรรมชาตินี้เท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เวลานำข้อความของหลวงพ่อพุทธทาสมาโพสนั้น พึงระวังด้วยนะคะ
จึงเป้นเหตให้มีผู้นำข้อความมาละเมิดเนืองๆเพราะเหตุนี้

เพราะไม่ใช่เรื่องที่ท่านเขียนตอนบั้นปลายของชีวิต แต่เป็นการบันทึกประจำวัน
ในขณะที่ท่านปฏิบัติในตอนแรกๆ


อ้างคำพูด:
โดยเหตุนี้สมาธิที่เป็นไปตามธรรมชาติ ที่เหมาะสมกับการพิจารณานั้นจึงไม่เสียหลาย ไม่เสียเปรียบอะไรกับสมาธิตามแบบวิธีเทคนิคนัก ถ้ารู้จักประคับประคองทำให้เกิดให้มี และให้เป็นไปด้วยดี
ข้อความต่างๆในพระไตรปิฎกเอง มีเล่าถึงแต่เรื่องการบรรลุมรรคผลทุกชั้นตามวิธีธรรมชาติ ในที่พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง หรือในที่ต่อหน้าผู้สั่งสอนคนอื่นๆก็มี โดยไม่ได้ไปเข้าป่า นั่งตั้งความเพียรอย่างมีพิธีรีตอง กำหนดอะไรต่างๆ ตามวิธีเทคนิคอย่างในคัมภีร์ที่แต่งใหม่ๆ ชั้นหลังเหล่านั้นเลย โดยเฉพาะในกรณีแห่งการบรรลุอรหัตผลของภิกษุปัญจวัคคีย์ หรือชฎิล ๑,๐๐๐ รูป ด้วยการฟัง อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร ด้วยแล้ว จะยิ่งเห็นว่าไม่มีการพยายามตามทางเทคนิคใดๆเลย เป็นการเห็นแจ้งแทงตลอดตามวิธีธรรมชาติแท้ๆ
ท่านพุทธทาส ภิกขุ


เทศน์ทั้งหมดที่ยกมานี้เป็นช่วงที่ท่านพุทธทาสสามารถเทศน์เรื่องขันธ์ ๕ และปฏิจจสมุปบาทได้อย่างผู้รู้แจ้งแทงตลอดแล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:

ข้อความต่างๆในพระไตรปิฎกเอง มีเล่าถึงแต่เรื่องการบรรลุมรรคผลทุกชั้นตามวิธีธรรมชาติ ในที่พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง หรือในที่ต่อหน้าผู้สั่งสอนคนอื่นๆก็มี โดยเฉพาะในกรณีแห่งการบรรลุอรหัตผลของภิกษุปัญจวัคคีย์ หรือชฎิล ๑,๐๐๐ รูป ด้วยการฟัง อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร





จากข้อความของพระไตรปิฎกตรงนี้ เป็นการอธิบายถึงเหตุและผลนะคะ
เนื่องจากเหตุที่ท่านเหล่านั้นได้บำเพ็ญเพียรมาจนบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว
ผลคือ ท่านจึงบรรลุธรรมได้ทันที เมื่อเพียงแค่ได้ฟังธรรม
หากไม่เคยสร้างเหตุมาก่อน ผลไม่มีทางได้รับแบบนี้หรอกค่ะ

.........................................

เคยมีพระนักปฏิบัติบางรูป ท่านปรารภให้ฟังว่า ถ้าท่านเกิดทันใน พุทธกาล คือ
ในสมัยที่พระพุทธเจ้า ยังทรงดำรงค์พระชนม์อยู่ ก็คงจะบรรลุ เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

คำที่ท่านปรารภออกมานี้ มันไม่แน่เสมอไป เพราะผู้ที่เกิดทันพระ พุทธเจ้า
ได้สนทนากับพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นแม้เพียงโสดาบันก็มี

ส่วนผู้ที่เกิดภายหลังพระพุทธเจ้านับเป็นพันๆปี เมื่อปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนอย่างจริงจังแล้ว
ได้บรรลุพระอรหันต์ก็มี

มันขึ้นอยู่กับกุศลบารมี ได้สร้างสมมาเต็มเปี่ยมหรือยัง

ดูแต่ อุปกาชีวก ซิ เขาเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้า ไดทักถาม สนทนากับพระพุทธเจ้า
ตอนที่มุ่งหน้าไปโปรดปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิป ตนมฤคทายวัน เมื่อพบพระองค์กลางทาง เขาทักว่า

“ดูกร อาวุโส…อินทรีย์ทั้งหลายของท่านผ่องใสพิเศษแล้ว พรรณนา แห่งผิวบริสุทธิ์ผุดผ่องโดยรอบ
ท่านได้บรรพชาเฉพาะซึ่งผู้ใด ใครหนอ เป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของผู้ใด”

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “เราเป็นผู้ครอบงำซึ่งธรรมทั้งปวงในภูมิ ๓ เราตรัสรู้แจ้งด้วยตนเอง
เราละเสียซึ่งเตภูมิกรรม เป็นผู้น้อมไปแล้ว ซึ่งอารมณ์พระนิพพาน อันเป็นที่สิ้นตัณหา
เป็นผู้มีวิมุตติหลุดพ้นจาก อาสวะทั้งปวง เราตรัสรู้เองแล้ว จะพึ่งใครเป็นศาสดาเล่า”

แต่อุปกาชีวก กลับแสดงอาการเย้ยหยัน ไม่เชื่อ แล้วหลีกไปเสีย
นี่ก็แสดงว่าการพบพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำให้เขาบรรลุมรรคผลแต่อย่างใด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 18 พ.ค. 2010, 00:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 00:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
พงพัน เขียน:

ข้อความต่างๆในพระไตรปิฎกเอง มีเล่าถึงแต่เรื่องการบรรลุมรรคผลทุกชั้นตามวิธีธรรมชาติ ในที่พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง หรือในที่ต่อหน้าผู้สั่งสอนคนอื่นๆก็มี โดยไม่ได้ไปเข้าป่า นั่งตั้งความเพียรอย่างมีพิธีรีตอง กำหนดอะไรต่างๆ ตามวิธีเทคนิคอย่างในคัมภีร์ที่แต่งใหม่ๆ ชั้นหลังเหล่านั้นเลย โดยเฉพาะในกรณีแห่งการบรรลุอรหัตผลของภิกษุปัญจวัคคีย์ หรือชฎิล ๑,๐๐๐ รูป ด้วยการฟัง อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร ด้วยแล้ว จะยิ่งเห็นว่าไม่มีการพยายามตามทางเทคนิคใดๆเลย เป็นการเห็นแจ้งแทงตลอดตามวิธีธรรมชาติแท้ๆ





จากข้อความของพระไตรปิฎกตรงนี้ เป็นการอธิบายถึงเหตุและผลนะคะ
เนื่องจากเหตุที่ท่านเหล่านั้นได้บำเพ็ญเพียรมาจนบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว
ผลคือ ท่านจึงบรรลุธรรมได้ทันที เมื่อเพียงแค่ได้ฟังธรรม
หากไม่เคยสร้างเหตุมาก่อน ผลไม่มีทางได้รับแบบนี้หรอกค่ะ

.........................................

เคยมีพระนักปฏิบัติบางรูป ท่านปรารภให้ฟังว่า ถ้าท่านเกิดทันใน พุทธกาล คือ
ในสมัยที่พระพุทธเจ้า ยังทรงดำรงค์พระชนม์อยู่ ก็คงจะบรรลุ เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

คำที่ท่านปรารภออกมานี้ มันไม่แน่เสมอไป เพราะผู้ที่เกิดทันพระ พุทธเจ้า
ได้สนทนากับพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นแม้เพียงโสดาบันก็มี

ส่วนผู้ที่เกิดภายหลังพระพุทธเจ้านับเป็นพันๆปี เมื่อปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนอย่างจริงจังแล้ว
ได้บรรลุพระอรหันต์ก็มี

มันขึ้นอยู่กับกุศลบารมี ได้สร้างสมมาเต็มเปี่ยมหรือยัง

ดูแต่ อุปกาชีวก ซิ เขาเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้า ไดทักถาม สนทนากับพระพุทธเจ้า
ตอนที่มุ่งหน้าไปโปรดปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิป ตนมฤคทายวัน เมื่อพบพระองค์กลางทาง เขาทักว่า

“ดูกร อาวุโส…อินทรีย์ทั้งหลายของท่านผ่องใสพิเศษแล้ว พรรณนา แห่งผิวบริสุทธิ์ผุดผ่องโดยรอบ
ท่านได้บรรพชาเฉพาะซึ่งผู้ใด ใครหนอ เป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของผู้ใด”

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “เราเป็นผู้ครอบงำซึ่งธรรมทั้งปวงในภูมิ ๓ เราตรัสรู้แจ้งด้วยตนเอง
เราละเสียซึ่งเตภูมิกรรม เป็นผู้น้อมไปแล้ว ซึ่งอารมณ์พระนิพพาน อันเป็นที่สิ้นตัณหา
เป็นผู้มีวิมุตติหลุดพ้นจาก อาสวะทั้งปวง เราตรัสรู้เองแล้ว จะพึ่งใครเป็นศาสดาเล่า”

แต่อุปกาชีวก กลับแสดงอาการเย้ยหยัน ไม่เชื่อ แล้วหลีกไปเสีย
นี่ก็แสดงว่าการพบพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำให้เขาบรรลุมรรคผลแต่อย่างใด


เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ ต้องไม่มองข้ามสมาธิในทุกรูปแบบอันเป็นฐานในการพิจารณา อาจจะมีผู้ที่บารมีเต็มแล้วในยุคสมัยนี้หลายท่านก็ได้ เพราะธรรมนี้เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาลไม่จำกัดสมัยจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 00:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
โดยไม่ได้ไปเข้าป่า นั่งตั้งความเพียรอย่างมีพิธีรีตอง กำหนดอะไรต่างๆ
ตามวิธีเทคนิคอย่างในคัมภีร์ที่แต่งใหม่ๆ ชั้นหลังเหล่านั้นเลย






ต้องขออภัยที่ต้องมาแก้ไขข้อความ :b8:
เพราะคำกล่าวนี้เป็นการเบียดเบียนแนวทางการปฏิบัติแบบอื่นๆ
ใครจะทำอย่างไร ปฏิบัติแบบไหนๆ ไม่มีถูกหรือผิด แต่ขึ้นอยู่กับเหตุที่กระทำกันมา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 18 พ.ค. 2010, 00:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกล่าวสมาธิตามธรรมชาติเสริมเข้ามาหน่อยนะครับว่าเป็นปริมาณที่ทั้งคนและสิงสาราสัตว์ต่างมีอยู่แล้วหมาแมวหลบมุมไปนั่งเงียบเงียบก็คือสมาธิ เสือจ้องจะตระครุบเนื้อก็คือสมาธิ คนที่ฝึกตนต้องปรับอินทรีย์ให้เสมอกันนั้นได้แก่ สติ ศีล สมาธิ ความตั้งใจมั่น ความเพียร ความระลึกชอบ ปัญญา คนมีสมาธิแต่ศีลขาดก็ไม่เกิดผล ขาดความเพียรที่จะเผากิเลสก็ไม่เกิดการพัฒนา ขาดปัญญาก็ไม่ไปไหนอยู่กับที่ ส่วนเรื่องที่ติดอยู่ที่สมาธินั้นผมมองไม่เห็นโทษของการติดความสุขจากสมาธิ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 04:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขออภัยในอินทรีย์ทั้ง 5 ที่ตก ศรัทธาไป

ศรัทธา กับ ปัญญา ต้องมาคู่กันเสมอ จะมีศรัทธาโดยปราศจากปัญญานั้นไม่มีในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
มิฉะนั้นแล้วจะตกเป็นความเชื่อที่งมงาย

ปรับสมาธิกับความเพียรให้เท่ากัน ส่วนสติเป็นตัวกลางต้องแรงเสมอ ยิ่งมากยิ่งดี


อ้างอิงความหมายมาจาก หนังสือวิปัสสนาภาวนา ของ ฐิตวณฺโณ ภิกฺขุ 2535

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 04:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


พงพัน เขียน:
taktay เขียน:
ขออนุญาตถามค่ะ
สมาธิที่เกิดตามธรรมชาติเป็นเช่นไรค่ะ? :b8:


อ้างคำพูด:
"แม้ในกรณีที่ท่านทั้งหลายนั่งฟังอาตมาบรรยายอยู่ที่นี้ ถ้าท่าเข้าใจคำบรรยายหรือถึงกับพิจารณาตามไปอย่างแน่วแน่ตามคำบรรยายนั้น ก็ย่อมแสดงว่ามีสมาธิพร้อมอยู่ในนั้น นี่แหละ เป็นลักษณะของสมาธิที่เป็นไปเองตามธรรมชาติ"
ท่านพุทธทาส ภิกขุ


ตรงตัวเลยครับ คือสมาธิที่มีอยู่เองแล้ว ไม่ได้ปั้นเสริมเติมแต่งใดๆ
เหมือนกับสมาธิตอนที่คุณทักทายแปรงฟันน่ะครับ ถ้าไม่มีสมาธิจะแปรงถูกวิธีมั้ย
หรือสมาธิตอนขับรถนั่นก็เป็นสมาธิที่เกิดตามธรรมชาติครับ
เราไม่ต้องนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดสมาธิตอนขับรถใช่มั้ยล่ะครับ

ท่านพุทธทาสไม่ได้ห้ามนั่งสมาธินะครับ แต่ไม่ให้มองข้ามสมาธิตามธรรมชาตินี้เท่านั้นเอง


เข้าใจแล้ว :b8:

อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
พงพัน เขียน:
"สมาธิที่เกิดตามธรรมชาตินั้น มักจะพอเหมาะพอสมแก่กำลังของปัญญาที่จะทำการพิจารณา ส่วนสมาธิที่เกิดตามวิธีของการบำเพ็ญเป็นเทคนิคโดยเฉพาะนั้น มักจะเป็นสมาธิที่มากเกินไป หมายความว่าเหลือใช้ และยังเป็นเหตุให้คนหลงติดชะงัก พอใจแต่เพียงแค่สมาธินั้นก็ได้ เพราะว่าในขณะที่จิตเป็นสมาธิเต็มที่นั้น ย่อมเป็นความสุขชนิดหนึ่ง เป็นความสบายชนิดหนึ่ง ซึ่งให้เกิดความพอใจ จนถึงกับหลงติดหรือหลงเหมาเป็นมรรคผลไปเสียเลยก็ได้ "

ท่านพุทธทาส ภิกขุ




เวลานำข้อความของหลวงพ่อพุทธทาสมาโพสนั้น พึงระวังด้วยนะคะ
จึงเป้นเหตให้มีผู้นำข้อความมาละเมิดเนืองๆเพราะเหตุนี้

เพราะไม่ใช่เรื่องที่ท่านเขียนตอนบั้นปลายของชีวิต แต่เป็นการบันทึกประจำวัน
ในขณะที่ท่านปฏิบัติในตอนแรกๆ





สาธุ ครับ

กล่าวได้ ตรงประเด็น

เพื่อนสมาชิกลองอ่านบทธรรมของท่านพุทธทาส บทนี้เปรียบเทียบดู


ผลของการเจริญอานาปานสติ

โอวาท ท่านพุทธทาสภิกขุ


นี่เป็นผลอย่างแรกของสมาธิ ซึ่ง เรียกตามโวหารศาสนาว่า “การเสวยสุขในทิฏฐธรรม”ชนิดหนึ่ง. ซึ่งแม้ว่าความพากเพียรของตน จะมาหมดกำลังสิ้นสุดลงเสียเพียงขั้นนี้ ก็ยังนับได้ว่า การกระทำของตนไม่เสียหลายอยู่มากแล้ว

ผลประการที่สองก็คือว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิด้วยดีแล้ว วิปัสสนาญาณจักเป็นไปด้วยดี และ มองเห็นความจริงในสรรพสังขารได้แจ่มแจ้ง เพราะว่า สมาธินั้นเป็นเหมือนการลับมีดให้คม หรือ การเช็ดแว่นกระจกให้ใส. มีดที่คมแล้วใช้ตัดฟันได้ แว่นที่ใสแล้วใช้ส่องดูได้ และ ได้ผลตามที่ต้องการ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพุทธทาส ท่านแสดงอานาปานสติ แบบที่สืบทอดมาจากพระสูตรดั้งเดิมได้ด้วยภาษาง่ายๆ ที่คนรุ่นใหม่อ่านแล้วเข้าใจได้ไม่ยาก

ปัจจุบันเมื่อพูดถึงอานาปานสติ ไม่ว่าจะในเมืองไทยหรือต่างประเทศ ก็มักจะมีการกล่าวถึง คู่มืออานาปานสติของท่านพุทธทาส ในลักษณะหนังสือที่สามารถนำมาอ้างอิงได้ เพราะ ท่านนำมาจากในพระสูตรโดยตรงนั่นเอง และ สิ่งนี้ เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อวงการพระพุทธศาสนา. ไม่ใช่เฉพาะทางเถรวาทที่ตื่นตัวในอานาปานสติ แม้นแต่ ทางเซน เช่น ท่านติช นัท ฮันห์ ท่านก็สอนอานาปานสติบ่อยๆเช่นกัน

ปัจจุบัน วงการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นักการศึกษาศาสตร์ นักจิตวิทยาทั่วโลก มีการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากอานาปานสติกันกว้างขวาง. ที่มหาวิทยาลัยในตะวันตก ได้เคยทดลองนำอานาปานสติ ไปให้นักศึกษาปฏิบัติแบบshort course ปรากฏว่า นักศึกษากลุ่มที่ฝึกอานาปานสติสามารถมีประสิทธิภาพในการเรียนที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน .ในปัจจุบัน วงการศึกษาศาสตร์ กำลังสนใจภาวะ RELAX ALERTNESS (ภาวะผ่อนคลายแต่ตื่นตัว)กันมาก ด้วยพบว่าภาวะนี้(คลื่นสมอง high band alfa-wave)ซึ่งเป็นลักษณะเรียนรู้แบบสบายๆ เป็นภาวะที่มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ การคิดที่เป็นระบบระเบียบ สูงสุด.... ซึ่ง พระพุทธองค์ก็ทรงใช้อานาปานสติเป็นบาทในการตรัสรู้เมื่อ2500กว่าปีก่อน เช่นกัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร