วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2011, 19:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 22:00
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคนนึงที่มีความศรัทธาในพุทธศาสนา ได้อ่าน ได้รู้ ธรรมะมามาก และคิดว่า ชีวิตนี้มีแต่ทุกข์จริงๆ
ตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ตื่นนอน ถึงเข้านอน
แม้เราสมหวังก็เป็นทุกข์ ไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ อยากอะไรแล้วไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์

เลยอยากหาทางพ้นทุกข์ เพราะไม่อยากมาเกิดอีก แต่้กว่าจะถึงวันนั้นคงอีกนาน และอยู่ที่ความเพียรพยายามของเราด้วย

หลายคนอยากเรียนสูงๆเพื่อให้คนอื่นมายอมรับ ยกย่อง หรือเพื่อให้มีงานทำที่มีรายได้สูงๆ
หลายคนต้องมีทรัพย์สมบัติให้มากที่สุด เพื่อให้ตัวเองสบาย และให้คนอื่นมายกย่องให้เกียรติ
หลายคนต้องการมียศ มีอำนาจ มีตำแหน่งให้สูงกว่าคนอื่น เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมหวังด้วยวิธีสุจริตและทุจริต

สิ่งเหล่านี้ผมเคยหวังเหมือนกัน แต่เมื่อได้ฟังธรรมมากขึ้น พอได้คิด ก็เริ่มความเห็นความจริงของชีวิต ว่าทุกคนต้องตาย ไม่ว่าจะมีความรู้ทางโลก มีทรัพย์ มีตำแหน่งสูงแค่ไหน
ตายไปแล้ว ก็ยังต้องรับกรรม รับทุกข์ในสิ่งที่ตัวเองสร้า้งขึ้นโดยไม่สามารถเลี่ยงได้

ผมเลยต้องการไปใช้ชีวิตทางธรรมถาวร เพราะเป็นทางที่ทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าทางโลกและถ้าเป็นไปได้ ไม่อยากมาเกิดอีก
แต่ตอนนี้ยังมีหนี้ส่วนนึง เลยยังไปไม่ได้ เพราะถ้าไปแล้วคนที่บ้านคงต้องรับภาระส่วนนี้เพราะที่บ้านก็ยากจนและขัดสนบ่อยครั้ง
เลยคิดว่าต้องใช้หนี้ให้หมดก่อนก่อนที่จะไปจริงๆ

พ่อแม่ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องกรรม เช่น แม่เชื่อว่า ตายแล้วสูญ ไม่กลับมาเกิดอีก ผมฟังแล้วได้แต่นิ่ง
ไม่อยากเถียง เพราะคิดว่าถ้าเถียงไปเราก็จะบาปเปล่าๆ

ไม่รู้จะมีวิธีไหน หรือกลอุบายแบบใด ที่จะทำให้ท่านเชื่อในความจริงที่พระพุทธเจ้าสอน
คงมีทางเดียวคือ ต้องไปบวชให้ได้ในเร็ววัน และหาโอกาสเทศน์สอนให้ท่านเห็นความจริงของชีวิตในตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่
เพราะพ่อแม่ก็ หกสิบกว่าแล้ว มีลูกชายสี่คน ยังไม่มีใครบวชให้ท่านเลยทั้งๆที่อายุครบเกณฑ์บวชหมดแล้ว

ตอนนี้ผมก็ใช้ชีวิตแบบครึ่งๆกลางๆ คือขาข้างนึงอยู่ทางโลก อีกข้างอยู่ทางธรรม รู้สึกมันแปลกๆและสับสนเหลือเกิน
เพราะจะเอาดีทางใดทางนึงก็คงยาก เลยไม่รู้จะใช้ชีวิตยังไงดี รู้สึกมันเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ และเบื่อๆกับทางโลกมาก แต่ก็ยังไปทางธรรมไม่ได้สักที

เลยอยากจะขอคำปรึกษาว่าจะใช้ชีวิตยังไงให้เป็นสุขใทางโลก ก่อนจะไปทางธรรมถาวร
กราบขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยชี้แนะครับ

.....................................................
อยากปลดหนี้ทางโลก เพื่อไปใช้ชีวิตทางธรรมถาวร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2011, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์สำหรับรู้ สุขสำหรับเป็น :b31:

ว่างๆฟังหัวข้อ ธรรมมีลำดับ โดยพระพรหมคุณาภรณ์ ที่


http://www.watnyanaves.net/th/album_detail/dhamma-2551

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2011, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


มีเยอะแยะไปที่ โกนหัว นุ่งห่มจีวร แต่ยังใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ
และอีกมากมายที่ นุ่งห่มปกติ แต่ใช้ชีวิตเหมือนโกนหัว นุ่งห่มจีวร
กายบวช ไม่เท่าใจบวช ถ้าใจบวช ต่อให้ไม่ได้โกนผม
ก็บวชได้.....มีคฤหัสถ์มากมายในพระพุทธศาสนา
ที่เข้าสู่กระแสนิพพานได้ โดยไม่ต้องบวช
ทำหน้าที่ทางโลกให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ก่อน
หากตั้งใจจริง คงไม่มีอะไรที่จะขวางได้
เมื่อเวลานั้นมาถึง

อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2011, 14:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 22:00
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


กราบขอบพระคุนทุกท่านครับ

คงจริงนะคับ ที่บอกว่า กายบวชไม่เท่าใจบวช การใช้ชีวิตทางโลกทางธรรมเหมือนกินแซนวิช
แต่ความจริงคือ ทางโลกมีสิ่งต่างๆมากมายที่เข้ารบกวนจิตใจเราตลอดเวลา ให้ใจเราด่างพล้อยและขุ่นมัว
และเปนการยากที่จะทำให้ใจบริสุทธ์อย่างแท้จริงเหมือนชีวิตทางธรรม

สงสัยคงใช้ชีวิตทางโลกให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน ก่อนจะไปทางธรรม
แต่คิดว่าคงอีกนาน onion

.....................................................
อยากปลดหนี้ทางโลก เพื่อไปใช้ชีวิตทางธรรมถาวร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2011, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า ปฏิบัติธรรม ความหมายที่แท้ควร ได้แก่ การนำเอาธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต หรือการดำเนินชีวิตตามธรรม

แต่ปัจจุบันเรามักใช้คำนี้ในความหมายว่า เป็นการฝึกอบรมทางจิตปัญญาขั้นหนึงระดับหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปแบบ และทำไปตามแบบแผนที่ได้กำหนดไว้


คำว่า ธรรม เมื่อจำแนกแล้วมีสองด้านหรือสองระดับ คือโลกียะกับโลกุตระ เหมือนเหรียญมีสองด้าน คือซ้อนๆกันอยู่

นำมาให้ดูด้านหนึ่ง (โลกียะ) ลองพิจารณาดูที่

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=1031.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 23:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ต.ค. 2011, 22:03
โพสต์: 8

โฮมเพจ: wethakoo1106@hotmail.com
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรมบางครั้ง เลี้ยงสัตว์ อ่านธรรมะ
ชื่อเล่น: แก้ว
อายุ: 0
ที่อยู่: กรุงเทพฯ 10150

 ข้อมูลส่วนตัว


หากคุณจะบวช หากมีหนี้ไม่เยอะก็คงไม่เท่าไรหรอก แต่หนี้เยอะก็คงเป็นปัญหาอีก อาจจะทำให้ผ้าเหลืองร้อนได้ ภาระก็อาจจะเป็นของทางบ้านคุณก็คือครอบครัวนั่นเอง งั้นคุณก็ตั้งใจไว้ว่า อีก 1 ปี หรือ 2 ปีข้างหน้าค่อยบวชก็ได้ ไม่รู้ว่าจะรอไหวหรือเปล่า เวลาบวชก็ต้องดูวัดที่บวชด้วย เพราะบางวัดวุ่นวายมาก หากอยู่สำนักปฏิบัติก็ดีไปอย่าง หากอยู่วัดหลวงในกรุงเทพกก็ดูเรียบร้อย ดังนั้น.ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ให้ดูให้ดี ไม่งั้นก็ต้องมาวุ่นวายใจที่หลัง แต่ตามปกติแล้ว วัดในเมืองหลวงสู้วัดในชนบทไม่ได้หรอก เงียบและสงบกว่ากันเยอะเลย
บางคนมีลูกมีเมียแล้วมาบวชหลายปี ชีวิตก็จะวุ่นวายกับครอบครัวนี่แหล๋ะ ลูกเมียมาก็จะเอาโน่นเอานี่ ไม่เป็นอันทำหน้าที่ของพระเท่าไร เพราะลูกเมียมาเยี่ยมบ่อย ดังนั้นอยู่ห่างไกลครอบครัวก็คงจะดีมากเลย บวชใกล้บ้านแล้วต้องการความสงบ คิดผิดนิดหน่อย ดังนั้นการบวชพระต้องเลือกวัดให้ดีหน่อย บางที่ว่าสงบแต่กลับไม่ได้ดังใจเลย น่าท้อใจสิ้นดี แค่นี้น๋ะครับ สวัสดี..จาก..นิรันตราย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2012, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 23:17
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้ว อนุโมทนาด้วยครับ เรื่องที่อยากจะบวชเป็นเชื่อสายแห่งพุทธศาสนา
ทุกอย่างมีเหตุมีผลที่ทำให้เป็นแบบนี้
คุณ อยากบวชครับ มีความทุกข์จิตก็ยังรู้ว่าทุกข์ อนุโมทนาด้วยนะ ต่อไปอยากจะแนะนำให้พิจารณา สมุทัย
ปัญหาทุกอย่างมีทางออก สร้างกำลังใจให้เป็นอุเบกขา นะครับ
คนในโลกนี้ไม่ใช่แค่คุณที่มีทุกข์คนเดียวแค่นั้น ลองมองกว้างๆ บางประเทศ บางคน บางกลุ่ม ทุกข์กว่าเราก็มากครับ
ท้ายนี้อยากบอกว่า เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะเรารู้ไม่เท่าทันสมุทัย....
บวชนั้นง่าย แต่เป็นพระนั้นยาก ถึงเรายังไม่สมหวังในเพศสมณะ ใจเราก็บวชได้ หมั่น ทาน ศีล ภาวนา
อุทิศผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ชีวิตเราจะได้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ห้ามบวชคนมีหนี้

[๑๐๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ลูกหนี้คนหนึ่งหนีบวชในสำนักภิกษุ. พวกเจ้าทรัพย์พบแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือลูกหนี้ของพวกเราคนนั้น ถ้ากระไร พวกเราจงจับมัน.
เจ้าทรัพย์บางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้คนมีหนี้บวชเล่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลความเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนมีหนี้ ภิกษุไม่พึงให้บวชรูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... 976&Z=3056


แต่ในสมัยพุทธกาลเมื่อบวชแล้วมีคนชำระหนี้ให้

อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พราหมณสังยุตต์ อรหันตวรรคที่ ๑ พหุธิติสูตรที่ ๑๐

ก็แหละพระผู้มีพระภาคเจ้าให้พราหมณ์นั้นบวชแล้ว พาไปยังพระเชตวันมหาวิหาร ในวันรุ่งขึ้นมีพระเถระนั้นเป็นปัจฉาสมณะได้เสด็จไปยังทวาร พระราชมณเฑียรของพระเจ้าโกศล. พระราชาทรงสดับว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงเสด็จลงจากปราสาท ถวายบังคมแล้วทรงรับบาตรจากพระหัตถ์ อาราธนาพระตถาคตให้เสด็จขึ้นบนปราสาท ให้ประทับนั่งเหนือพระแท่น ทรงล้างพระยุคลบาทด้วยน้ำหอม ทาด้วยน้ำมันที่หุงร้อยครั้ง ให้นำข้าวยาคูมา ทรงถือทัพพีทองด้ามเงิน ทรงน้อมเข้าไปถวายพระศาสดา.
พระศาสดาทรงเอาพระหัตถ์ปิด.
พระราชาทรงหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระตถาคตกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์มีโทษ ขอพระองค์โปรดอดโทษ.
พระศาสดาตรัสว่า ไม่มีโทษดอก มหาบพิตร.
พระราชาตรัสว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระองค์ไม่รับข้าวยาคู.
ปลิโพธ ความกังวล มีอยู่ มหาบพิตร.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหตุไรเล่า ผู้ไม่รับข้าวยาคูพึงได้ปลิโพธ ข้าพระองค์สามารถทำปลิโพธหรือ โปรดรับข้าวยาคูเถิด พระเจ้าข้า.
พระศาสดาทรงรับแล้ว.
แม้พระเถระแก่หิวมานานจึงดื่มข้าวยาคูตามความต้องการ.
พระราชาทรงถวายขาทนียโภชนียะ ในเวลาเสร็จภัตกิจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์อุบัติในวงศ์โอกากราช ซึ่งมีมาตามประเพณี ทรงละสิริราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงผนวชบรรลุความเป็นผู้เลิศในโลกแล้ว พระองค์ยังจะมีปลิโพธอะไรอีกเล่า พระเจ้าข้า.
มหาบพิตร ความปลิโพธของพระเถระผู้แก่รูปนี้ เป็นเช่นปลิโพธของอาตมาเหมือนกัน.
พระราชาทรงไหว้พระเถระตรัสถามว่า ท่านขอรับ ท่านมีปลิโพธอะไร.
พระเถระถวายพระพรว่า มีความปลิโพธเรื่องหนี้ มหาบพิตร.
เท่าไร ขอรับ. ทรงนับดูเถิด มหาบพิตร.
เมื่อพระราชาทรงนับว่า ๑, ๒, ๑๐๐, ๑,๐๐๐ ดังนี้ นิ้วพระหัตถ์ไม่พอ.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสเรียกบุรุษคนหนึ่งมารับสั่งว่า พนายจงไปตีกลองร้องประกาศในพระนครว่า เจ้าหนี้ของพหุฐิติกพราหมณ์ทั้งหมดจงประชุมกันในพระลานหลวง. พวกมนุษย์ได้ยินเสียงกลองประชุมกันแล้ว. พระราชาให้นำบัญชีมาจากมือของเจ้าหนี้เหล่านั้น ได้พระราชทานทรัพย์ไม่หย่อนกว่าหนี้ที่กู้มาทั้งหมด. ในที่นั้น ทองมีราคาหนึ่งแสน.
พระราชาตรัสถามอีกว่า ท่านขอรับ ปลิโพธอื่นยังมีอีกไหม.
พระเถระถวายพระพรว่า พระมหาราชสามารถทรงใช้หนี้ให้แล้วตรัสถาม จึงกล่าวว่า เด็กหญิง ๗ คนเหล่านี้เป็นปลิโพธใหญ่ของอาตมา.
พระราชาทรงส่งยานไปรับธิดาทั้งหลายของพระเถระนั้นมา ทรงทำเป็นธิดาของพระองค์ แล้วทรงส่งไปยังเรือนตระกูลสามีนั้นๆ แล้วตรัสถามว่า ท่านขอรับ ยังมีปลิโพธอื่นอีกไหม.
พระเถระถวายพระพรว่า นางพราหมณี มหาบพิตร.
พระราชาทรงส่งยานไปนำนางพราหมณีมา ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งพระอัยยิกา แล้วตรัสถามอีกว่า ท่านขอรับ ยังมีปลิโพธอื่นอีกไหม.
พระเถระถวายพระพรว่า ไม่มี มหาบพิตร.
พระราชามีรับสั่งให้พระราชทานผ้าจีวร ตรัสว่า ท่านขอรับ ขอท่านจงทราบความเป็นภิกษุของท่านว่าเป็นของข้าพเจ้า.
พระเถระถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า ท่านขอรับ ปัจจัยทุกอย่างมีจีวรและบิณฑบาตเป็นต้น จักเป็นของของพวกเราจัดถวาย ขอท่านจงยึดถือพระทัยพระตถาคต บำเพ็ญสมณธรรมเถิด.
พระเถระไม่ประมาท บำเพ็ญสมณธรรมตามนั้นทีเดียว ถึงความสิ้นอาสวะต่อกาลไม่นานนักแล.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=15&i=667


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ก้ไปบวชเนกขัมมะ ที่ไหนก้ได้สัก7 วันสิ
บวชเนกขัมมะ เปนการบวชถือศีล8 นุ่งขาวห่มขาว และมีพระให้คำแนะนำในการปฏิบัติ อีกทั้งจขกท.มีพื้นฐานความรู้ในเรื่องธรรมะ อย่แล้้ว ส่วนเรื่องหนี้ก้พักไว้ก่อน หาเวลามาบวชใจให้สงบในช่วงสั้นๆซะก่อน
กลับไปค่อยกลับไปใช้หนี้ คือ หนี้ทางโลกที่คุณติดค้างเขาอยู่(ค่อยๆหาไปใช้เขา) กับ หนี้เวรหนี้กรรม ที่เคยทำกะใครไม่ดีไว้ในอดีตหรือล่วงเกินใครเขาไว้หรือติดหนี้เงินใครเขาไว้แล้วอาจลืมไปแล้ว

และอีกอย่างการบวชเนขขัมมะถือศีล8 และปฏิบัติกรรมฐานในตัว เป็นการบวชที่ประหยัดไม่ได้เสียสตางค์เลย ก้อาจช่วยทำบุญวัดบ้างนิดๆหน่อยๆพอตามกำลังที่เรามี ทำให้จิตสงบได้เร็ว ได้ฝึกฝนคุณภาพจิตและบริหารให้ผ่องใสได้ในเวลาสั้นๆ เรียกว่า ลงทุนน้อย แต่ผลตอบแทนกลับคุ้มค่ามากๆ
:b40:
ส่วนการเรื่องพระ ถ้าอยากจะบวชจริงๆไปใช้หนี้เขาให้หมดเสียก่อน ค่อยมาบวชพระคัรบ เพราะการมีหนี้ติดค้างใคร เวลาเปนพระแล้ว จิตจะไม่สงบ ทำให้ไม่สามารถบวชต่อไปได้ อีกทั้งการบวชพระมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ถ้าบวชครั้งหนึ่งก้อาจทำให้เงินเราหมดไปบางส่วนได้ ดังนั้นจะบวชนี้ ต้องคิดให้รอบด้าน คิดแบบ360 องศา ครบทุกมุมจริงๆ บวชแล้วจึงจะไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ทั้งตัวเราและครอบครัวเรา

สำคัญที่สุดคือรู้จักทำใจให้สงบ และปล่อยวางในเรื่องชีวิตก้จะดีมากด้วยนะคัรับ ถึงเราศึกษาธรรมะมามาก
แต่ยังทำใจสงบไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ ใจเยนและอดทนไม่ได้ ก้ยังถือว่า ยังไม่ใช่ผู้รู้ธรรมะอย่างแท้จริง
ต้องใจเยนๆ และนิ่งๆเข้าไว้ เพราะยิ่งอยากหนีความทุกข์ในชีวิตประจำวัน มากเท่าไร ความรู้สึกที่วิ่งหนี
อยากหนีให้พ้นๆ อยากหมดกิเลส ไม่อยากทุกข์ต่อไปอีกแระ ความรู้สึกอย่างนี้มันเปน "วิภวตัณหา" มันทำให้ทรมาน กระวนกระวาย ยิ่งกว่าเราติดหนี้เงินเขาเสียอีก :b39:

จะทำให้สงบและปล่อยวางได้อย่างไร คำตอบก้คือเราควรสวดมนต์หรือทำสมาธิก่อนนอนทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้มีที่พึ่งทางใจ และเกิดความเบิกบานใจ ทำให้ใจเยนลง และเกิดความเข้มแข็งด้วย ไม่หวั่นวิตกอะไรง่าย แล้วแผ่เมตตาให้ตัวเรา รวมไปถึงพ่อแม่ และเจ้ากรรมนายเวรเราและสรรพสัตว์ทั้งหลายให้มีแต่ความสุขๆ ทำแบบนี้บ่อยๆก้จะได้เมตตาธรรม อันเปนคุณธรรมที่สำคัญเพิ่มมาอีกข้อหนึ่งด้วย กำลังใจดีก้จะมีมากขึ้น ต่อไปเราจะกล้าสู้กับทุกๆปัญหาที่ผ่านมาในชีวิตได้ ไม่ใช่แค่ทุกข์ในร่างกาย ทุกข์จร และทุกข์ในชีวิตประจำวัน :b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เลยอยากจะขอคำปรึกษาว่าจะใช้ชีวิตยังไงให้เป็นสุขใทางโลก ก่อนจะไปทางธรรมถาวร
กราบขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยชี้แนะครับ


ก็ใช้หนี้ให้หมดก่อนค่อยไปบวชก็ได้ครับ ส่วนเรื่องพ่อแม่นั้น จะบาปไม่บาปก็ขึ้นกับสภาพของจิตว่าเป็นอกุศลรึเปล่า ถ้าจิตเป็นกุศลก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ การที่เรานิ่งเฉยเสียแล้วปล่อยให้พ่อแม่มีความเห็นผิดอย่างนี้ไปตลอดก็ไม่ควร เราก็บอกพ่อแม่ได้ตามความจริงที่เราได้รู้หรือได้ฟังมาจากท่านผู้รู้ ต้องเป็นความรู้ที่ถูกจริงๆ ถึงแม้จะไม่เชื่อเราก็ไม่โกรธ หากเริ่มเห็นว่าบรรยากาศการสนทนาเริ่มไม่ดีก็นิ่งเสียก็ได้ครับ การพูดจึงต้องมีความฉลาด ให้เหมาะสมแก่กาล ไม่หยาบกระด้างและเป็นคำจริง ถ้าท่านไม่ได้เป็นอุจเฉททิฏฐิแบบเหนียวแน่นก็บอกได้ไม่ยากหรอกครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร