วันเวลาปัจจุบัน 26 ก.ค. 2025, 14:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 14:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2011, 20:09
โพสต์: 82

แนวปฏิบัติ: รู้ตัวเสมอ ก่อนพูด ก่อนคิด ก่อนทำ
อายุ: 17
ที่อยู่: ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่

จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร

ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 15:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ในอุปจารสมาธิ...มีปีติ..5...หนึ่งในนั้นคืออาการโยกโคลง..นะครับ
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัตติปิตา เขียน:
หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่

จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร

ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย


แล้วแยกรูปว่าสัีกแต่ว่ารูปไหม เวลาเกิดสมาธิ จะสามารถกำหนดรู้ความชัดเจนของรูปได้ เช่น มีสติวิญญาณอยู่ที่นิ้วมือย่อมปรากฏความชัดเจนของนิ้วมือ ต้องมีการต่อยอดด้วยการพิจารณาให้เห็นโครงสร้างเช่นกระดูก เอ็น เลือด(เข้าสู่ นาม) ด้วยสัญญา พิจารณาผัสสะที่เกิดขึ้นเช่น อุ่นอยู่ ชาอยู่ พิจารณาว่าเมื่อกำหนดรู้ที่แห่งใดด้วยสติ เห็นด้วยวิญญาณ รับรู้ด้วยผัสสะ เกิดเวทนา(ไม่แน่ใจว่าสังขารดับลงหรือปล่าวต้องรอผู้รู้ เพราะตัวผมเองสังเกตุว่าสังขารดับลง คือไม่มีอารมณ์) ย่อมนับเป็นการรู้สภาวะธรรมในปัจจุบัน เป็นการตัดอดีตที่ผ่านไปแล้ว เป็นการไม่คำนึงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

ที่เจอนั้นที่แท้คือสังขาร(ก็ยังไม่แน่ใจครับผม) ที่เกิดขึ้นเพราะสภาวะธรรมตรงหน้า จนไม่สนใจใน ผัสสะ เวทนา วิญญาณ รูป และสัญญา

เป็นการวิเคราะห์ที่อาศัยประสบการณ์ส่วนตัว โปรดพิจารณานะครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 16:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดจากความไม่เที่ยงของขันธ์ 5


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 16:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2011, 20:09
โพสต์: 82

แนวปฏิบัติ: รู้ตัวเสมอ ก่อนพูด ก่อนคิด ก่อนทำ
อายุ: 17
ที่อยู่: ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


*กบนอกกะลา* ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามัน แค่นิดเดียวเองอ่ะ คือ ตัวโยกนิดเดียวแล้วสติมันรู้ทันเลยอ่ะ ไอ้ความโยกนั้นมันก็หมดไปทันทีเลย -โยกแล้วรู้ โยกแล้วรู้

*student* ไม่ได้แยกอ่ะครับ แยกยังไงทำไม่เป็น อ่านเจอมาเยอะแล้ว (ญาณ๑ นามรูปปริเฉท หมายถึงตัวนี้หรือเปล่า);ผัสสะเกิดขึ้นตลอดครับ รู้แต่ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร คือสิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า มันคอยดึงให้ผมสนใจตลอดเวลา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัตติปิตา เขียน:
หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่

จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร

ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย


ก็สักแต่ว่าเป็นสิ่งที่ได้รู้ ใช้มั้ยครับ
ตั้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็แปรไป

ก็สักว่ารู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 18:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัตติปิตา เขียน:
*กบนอกกะลา* ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามัน แค่นิดเดียวเองอ่ะ คือ ตัวโยกนิดเดียวแล้วสติมันรู้ทันเลยอ่ะ ไอ้ความโยกนั้นมันก็หมดไปทันทีเลย -โยกแล้วรู้ โยกแล้วรู้



ถ้า..โยกแล้วรู้ โยกแล้วรู้..นั้นมันสติถอยออกมาแล้วละครับ...เพราะเรากำหนดรู้ลมหายใจแต่แรกใช่มั้ย...มันปล่อยลมหายใจมารู้...โยก..นะ..โยกก็รู้...โยกก็รู้...สติก็ถอนออกมานะซิ...สติถอนอาการปีติก็หายไป....ตั้งสติอีก...ก็โยกอีก...รู้อีก..ก็ถอนอีก

มันเข้า ๆ ออก ๆ ..หยักแหย่หยักยัน...นะครับ :b12:

นี้คือหลักฐาน....
อ้างคำพูด:
ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามัน แค่นิดเดียวเองอ่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 19:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัตติปิตา เขียน:
หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่

จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร

ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย

สวัสดีครับพี่ปัตติปิตา :b8:
ผมอถามพี่หน่อยนะครับว่าที่พี่บอกว่า "เพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า" ช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยได้มั้ยครับว่ามันเป็นยังไงตอนนั้น สภาวะตอนนั้นจิตพี่กำลังทำอะไรครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 20:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัตติปิตา เขียน:
.....
และจะจัดการกับมันอย่างไร



กลับมาที่ลมหายใจ...อย่างที่ตั้งใว้แต่แรก..ครับ

อาการอะไรจะเกิด..ก็อย่าไปสน

ไอ้สภาวะข้างหน้า...นี้แหละ..ตัวดี

ไม่ต้องไปรู้มัน..ชั่งมัน

ยังมีอะไรจะมายั่วยวนเราอีกเยอะ... :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 20:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2011, 20:09
โพสต์: 82

แนวปฏิบัติ: รู้ตัวเสมอ ก่อนพูด ก่อนคิด ก่อนทำ
อายุ: 17
ที่อยู่: ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าหาว่าผมชวนทะเลาะนะ ผมเข้ามาถามก็เพื่อความสิ้นสงสัย

*กบนอกกะลา* ผมไม่เข้าใจที่ท่านว่า สติถอน ;เพราะผมรู้สึกว่า สติผมนั้นมีอยู่ เลยดึงไม่ให้อาการโยกโคลงนั้นเกิดขึ้น กลับมาอยู่กับสภาวะตรงหน้าได้ กล่าวคือ ผมไม่ยอมให้มันเกิด จึงพยายามดึงไว้ (อาจเป็นความเข้าใจผิดของผมได้) ยังไงก็ขอขอบคุณสำหรับวิธีการจัดการนะ แต่ผมเข้าใจว่าการที่ผมดึงไม่ให้อาการโยกนี้เกิด คือ สิ่งที่ท่านกำลังบอกผม

*ลูกพระป่า* อย่าเรียกผมว่าพี่เลย ผมอายุ๑๗ปีเอง เว้นแต่ท่านจะเด็กกว่า เรื่องที่ว่าเพลินน่ะ คือผมไม่รู้ว่าจะใช้คำอะไร แต่อาการที่เป็นน่ะ ผมขออธิบายอย่างไม่อ้างตำรานะ คือ รู้สึกเหมือนนั่งคนเดียวอ่ะ แบบว่า มันสงบจากสิ่งรบกวน สงบจากความคิด จากเสียงรอบข้าง จากความเจ็บปวด เลยเรียกว่า นั่งคนเดียว และอารมณ์ตรงนี้เอง ที่ผมรู้สึกว่า มันน่าจดจ่อ มันน่าอยู่ด้วยกว่า ความโยกโคลง ความเจ็บปวด หรือเสียงของความคิด จึงบอกว่าเพลินกับอารมณ์ หรืออาการนี้

ยังไงก็ขอคำแนะนำนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 21:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนมาเป้น..สมาธิถอน..ก็ได้ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 21:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โยกโคลง...ผมว่า...ไม่น่าจะไปบังคับให้กลับมาตั้งตรงนะ...

ให้เราวิ่งเลย..ไปเลย

ปีติมันจะหายไปเอง...ถ้าสมาธิลึกขึ้น

หากเราไปบังคับ...นั้นแหละ...สมาธิถอนตัว

จะดำน้ำดูปะการัง...ก็อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีอากาศหายใจ

ดำลงไปเลย...

เดียวก็ได้เห็นปะการังสวย ๆ .....เอง
rolleyes rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับน้องปัตติปิตา งั้นผมก็แก่ว่า 10 ปีเลยแฮะ :b1:
**ลองเอาคำแนะนำของพี่กบนอกกะลาไปปฏิบัติดูก็ได้ครับ คือถ้าตัวมันจะโยกก็ให้มันโยกไปถ้ามันจะล้มก็ช่างมัน ให้สติของเราจดจ่ออยู่แต่อารมณ์ภาวนาตรงหน้าเท่านั้น บังคับมันเรื่อยๆฝืนมันเรื่อยๆ ที่เรียกว่าทำให้มากเจริญให้มากนั่นแหละครับ ให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ถ้าผ่านได้มันก็ทางสะดวกแล้วครับ...แต่ถ้าทำยังไงๆก็ยังผ่านตรงนี้ไม่ได้ผมแนะนำให้คุณกลับไปที่พื้นฐานใหม่เลยครับ คือไปหาคำบริกรรมมาให้จิตเรามีหลักยึดซะ คือฝึกฝนตัวสติของเราใหม่ให้มันมีกำลังตั้งมั่นกว่าเดิม การทิ้งคำบริกรรมสำหรับผู้ฝึกใหม่ๆที่ยังไม่ชำนาญการเข้าสมาธิหรือไม่เคยสัมผัสความสงบในสมาธินั้น ผมว่าเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณนะครับ อุปมาเหมือนเดินเข้าป่าไปตัวเปล่าโดยไม่พกเข็มทิศหรือเครื่องมือเครื่องใช้ในป่านั่นแหละครับ ถ้าโชคดีก็ผ่านไปสู่อีกฝากได้แต่ถ้าโชคร้ายก็ติดอยู่ในป่าตลอดนั่นแหละครับ
**จะลองทำแบบที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ก่อนก็ได้นะครับ ขอแค่ถ้าทำจนแล้วจนรอดก็ยังติดอยู่ที่เดิมก็อย่าท้อจนตัดพ้อแล้วเลิกทำเลิกปฏิบัติก็พอ แต่ถ้าเกิดมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาก็ขอให้ลองกลับไปเริ่มต้นที่คำบริกรรมดูนะครับ ขอยคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 01:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัตติปิตา เขียน:
*กบนอกกะลา* ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามัน แค่นิดเดียวเองอ่ะ คือ ตัวโยกนิดเดียวแล้วสติมันรู้ทันเลยอ่ะ ไอ้ความโยกนั้นมันก็หมดไปทันทีเลย -โยกแล้วรู้ โยกแล้วรู้

*student* ไม่ได้แยกอ่ะครับ แยกยังไงทำไม่เป็น อ่านเจอมาเยอะแล้ว (ญาณ๑ นามรูปปริเฉท หมายถึงตัวนี้หรือเปล่า);ผัสสะเกิดขึ้นตลอดครับ รู้แต่ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร คือสิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า มันคอยดึงให้ผมสนใจตลอดเวลา


ถูกต้องครับผม เช่นการหายใจเข้าออก มีสติหายใจเข้าแล้วสังเกตุ มีสติหายใจออกแล้วสังเกตุ จะมีการทำงานทั้งรูปคือระบบหายใจ และนามคือการกระทบของจิต ลองดูครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 08:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัตติปิตา เขียน:
หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณาดูว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมน่ะ เรียกว่า อะไร คือมันสงบๆนะ แต่ก็ยังมีความคิดอยู่ และก็ยังมีสติรู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้น ;ความเจ็บก็มี แต่ผมก็สักแต่ว่ามันเป็นความเจ็บปวดได้ คือผมเพลินไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่า จนไม่ได้สนใจความเจ็บปวดอะไร และก็ไม่มีอาการ ปีติ ตามที่รู้ๆมาแต่อย่างใด(อ่านมา) จะสะดุ้งแบบภวังค์ก็ไม่มี(เคยเป็น) จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่(มั้ง) เพราะมันแค่เงียบๆอย่างเดียว ;มีอาการโยกโคลง แต่ก็มีความรู้ตัวตามมาทันที พิจารณาดูแล้ว จะว่าง่วงหรือสัปประหงกก็ไม่ใช่

จึงขอถามนักปฏิบัติทั้งหลายว่า ผมเจอกับอะไรอยู่ และจะจัดการกับมันอย่างไร

ลืมบอกไป ผม ไม่ได้บริกรรมอะไร แค่กำหนดลมหายใจ(อานาปานสติ-กายานุปัสสนา) อย่างเดียว และแต่ละครั้งที่ผมฝึก ไม่เกิน ๓๐ นาที เลย

:b8:
อนุโมทนาสาธุกับประสบการณ์จริงในการทำภาวนาของคุณปัตติปิตา
ดูข้อความท่อนนี้ของคุณ "หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมพยายามพิจารณา"
แสดงว่าคุณกำลังพยายามยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนา เมื่อเป็นวิปัสสนาภาวนา สติ สัมปชัญญะ (ปัญญา)จึงมาทำงานร่วมกัน ต่างกับตอนทำสมาธิ ซึ่งจะมีแต่สติรู้อยู่กับองค์กรรมฐาน อย่างของคุณคือลมหายใจ

เมื่อสติและปัญญามาทำงานร่วมกันแล้ว

สติจะทำหน้าที่รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ถึงสิ่งที่ถูกอบรมมาว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ลืมที่จะควบคุมกายใจให้เป็นไปตามสิ่งที่ถูกอบรมมา

ปัญญา สัมมาสังกัปปะ จะทำหน้าที่ สังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์นั้นๆเพื่อค้นหาคำตอบหรือความจริงหรือเหตุ ผล

ปัญญาสัมมาทิฐิจะเป็นผู้รู้ปัจจุบันอารมณ์นั้น ดู และเห็นอารมณ์นั้น

อารมณ์ที่เกิดมาและเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดตามที่คุณเล่ามานั้นคือที่ตั้งรู้ของสติและปัญญา
ถ้าสติและปัญญาของคุณได้ถูกอบรมมาด้วยหลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาที่ถูกต้อง สติก็จะเตือนคุณว่าให้มั่นอยู่กับการนิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไปโดยระวังมิให้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆกับปัจจุบันอารมณ์ เพียงแค่นั้น วิปัสสนาภาวนาของคุณก็จะเจริญขึ้นไปตามลำดับๆ จนได้รู้ได้เห็นความเป็นจริงทั้งหมดของอารมณ์ว่า มันมีแต่ความ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรอื่น เมื่อภาวนาครั้งไรก็ได้พบเห็นว่าความรู้สุดท้ายก็ซ้ำซากเป็นอันเดียวกัน คือเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้ อนัตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไร้แก่นสาร ตัวตน ที่สุดคุณจะกิดความเบื่อหน่ายในธาตุขันธ์อันเป็นของหลอกนี้ แล้วจะเกิดแรงผลักดันให้ค้นหาและพยายามที่จะพ้นจากสภาวะอันน่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบสิ้นนี้ จนค้นพบทางออกว่ามีวิปัสสนาภาวนาทางเดียวเท่านั้นที่จะพาคุณหลุดพ้นไปได้ เมื่อพบทางออก ทีนี้คุณก็จะขยันทำวิปัสสนาภาวนาอย่างไม่มีอะไรมากั้นได้แล้วคุณก็จะได้ไปสัมผัสสภาวะอนัตตาที่แท้จริงด้วยใจของคุณ ได้อนัตตา ก็ได้กุญแจ หรือสะพานที่จะทอดข้ามเข้าสู่พระนิพพาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร