วันเวลาปัจจุบัน 06 ส.ค. 2025, 22:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2012, 18:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


วันประสูติเราเป็นผู้เลิศแห่งโลก, เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก, เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก. ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย. บัดนี้ ภพใหม่ย่อมไม่มี

ออกผนวช
...มนุษย์ทั้งหลายมีความทุกข์เกิดขึ้นครอบงำอยู่ตลอดเวลาก็จริง เกลียดความทุกข์อยู่ตลอดเวลาก็จริงแต่ทำไมมนุษย์ทั้งหลายยังมัวแสวงหาทุกข์ร้อนใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วทำไม เราต้องมามัวนั่งแสวงหาทุกข์ใส่ตัว (ให้โง่) อยู่อีกเล่า!
...เมื่อรู้ว่าการเกิดมี (ทุกข์) เป็นโทษแล้ว เราพึงแสวงหา "นิพพาน" อันไม่มีความเกิด อันเป็นธรรมที่เกษมจากเครื่องร้อยรัด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าเถิด
...ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสแสงสว่าง; ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้ว, โดยง่าย นั้นไม่ได้. ถ้าไฉนเราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมน้ำฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องด้วยเรือน เถิด
...เรายังหนุ่มเทียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยเยาว์อันเจริญในปฐมวัย, เมื่อบิดามารดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้ น้ำตานองหน้าอยู่ เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว
...หนัง เอ็น กระดูก จักไม่เหลืออยู่ เนื้อและเลือดในสรีระ จักเหือดแห้งไปก็ตามที เมื่อยังไม่ลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ (การตรัสรู้) ด้วยความเพียรของบุรุษ (มนุษย์) ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักหยุดความเพียรนั้นเสีย เป็นไม่มีเลย...

ตรัสรู้อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ

1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5

2. ทุกขสมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

3. ทุกขนิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง

4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ 1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ 2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ 3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ 5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ 6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ 7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ 8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง

มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้ 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ

อริยสัจ 4 นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

ก่อนปรินิพพาน
...ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้ เราจักเตือนท่านทั้งหลาย: สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา..., ตถาคตจักปรินิพพาน โดยกาลล่วงไปแห่งสามเดือนจากนี้...
...อานนท์! เป็นอย่างนั้น, กายของตถาคต ย่อมมีฉวีผุดผ่องในกาลสองครั้งคือ ในราตรีที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ, และราตรี ที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
...อานนท์! การปรินิพพานของตถาคตจักมีในระหว่างต้นสาละคู่ ในสวนสาละอันเป็นที่พัก ของพวกมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา ในตอนปัจฉิมยามคืนนี้...
...อานนท์! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นองค์ศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว...
...ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้ เราจักเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า "สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา. พวกเธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

วันปรินิพพาน
พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงความดับสมุทัยอันเป็นเหตุแห่งความดับทุกข์ (เสด็จดับขันธปรินิพพาน) ไว้เมื่อคราวทรงพระชนม์อยู่ว่า

:b8: :b8: :b8:
...ต้นไม้ เมื่อโคนต้นยังอยู่ ไม่มีอุปัทวะ แม้ถูกตัด (ส่วนบน) แล้วก็งอกได้อีกอยู่นั่น ฉันใดก็ดี แม้ทุกข์นี้ก็ฉันนั้น เมื่อตัณหานุสัยยังมิได้ถูกถอนทิ้งแล้ว ก็ได้เกิดร่ำไป...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2012, 16:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 14:07
โพสต์: 278


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 00:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมีอย่างย่อ....

ก็ควรจะมีอย่างขยาย... :b32:

ที่มา..อาจจะปาฏิหารย์ซะหน่อย...แต่เนื้อหาควรค่าแก่การพิจารณาตาม...มาก

พระพุทธเจ้าของเรา...เป็นแบบปัญญาบารมี...เรา ๆ ลูกหลานของตถาคต..ก็ต้องใช้ปัญญาด้วย

ใครเอาประโยชน์ได้....ก็สาธุ :b8: :b8:

พระพุทธประวัติพระพุทธเจ้าสมณโคดม (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
โดย..คุณพุทธคุณ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=41632
............
ในขณะเดียวกัน องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงตั้งพระทัย คิดว่า เรานั่งตรงนี้ และเราก็จะไม่ยอมลุกจากที่นี้ ถึงแม้เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือชีวิตตินทรีย์จะตักษัยก็ตาม คือว่ามันจะผอม หรือมันจะตายก็ช่างมัน ถ้าเราไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากตรงนี้ คือให้มันตายไปเสียเลยดีกว่า เพราะการบำเพ็ญมาสื้นเวลา ๖ ปี ถ้าไม่ได้ก็จงตายเสียเถิด อันนี้ต้องเรียกว่า เป็นพระราชดำริของพระราชาทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าเมื่อองค์สมด็จพระพิชิตมารทรงตัดสินพระทัยแล้ว เพราะอาศัยที่พระองค์ทรง สมาบัติ ๘ มาก่อน การรวบรวมกำลังใจจึงเป็นของไม่ยาก แต่ดูเหมือนจะมีเสียงบอกมาว่า คำว่าไม่ยากคือ ไม่ยากแก่การตัดสอนใจ แต่มีอารมณ์ใจยากอยู่นิดหนึ่ง

ขณะที่นั่งลงไปใหม่ คิดในใจว่า เราจะทรงอารมณ์แบบไหน ถึงจะตรงกับการได้พระโพธิญาณ และขณะนั้นเอง ความโปร่งจิตขององค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ปรากฏ เมื่อปรากฏตามนั้นแล้ว อารมณ์ก็โปร่งขึ้นมา ปัญญาก็เกิด คิดว่าอันดับแรกเราจะต้องทรงสมาธิก่อนให้จิตเป็นสุข ให้จิตมีการทรงตัว จึงได้เริ่มจับ อานาปานสติกรรมฐาน ทรงอารมณ์อยู่เป็นปกติ ใช้เวลาไม่นาน เริ่มตั้งกำลังใจ เพียงแค่ครึ่งวินาที อารมณ์ของสมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงสงัดจัดเป็นฌาน ทีแรกขึ้นเป็นฌานต้นทีเดียวถึงฌาน ๘ ทรงอารมณ์สบายอยู่ในสมาบัติ ๘ จิตสงบสงัด มีอารมณ์ป็นสุขมาก

ในชั่วขณะเวลาผ่านไปประมาณสัก ๑ ชั่วโมงเศษ พ่อขอคุยกับลูกตามคำบอก จะเรียกพูดตามพากย์ก็ได้ เวลาผานไปชั่วโมงครึ่ง ความสุขเกิดขึ้นจากสมาธิ อารมณ์เด็ดเดี่ยวเป็น อุเบกขารมณ์ เกิดขึ้นจากสมาธิ ใจมีความปลอดจากกิเลส ตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐจึงได้ ลดกำลังของสมาธิ ค่อยๆ เลื่อนมาจากสมาบัติข้อที่ ๘ มาถึงข้อที่ ๗ ที่เรียกว่า อากิยจัญญายตนะ ลดลงมาถึงข้อที่ ๖ ที่เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ ลดลงมาข้อที่ ๕ ที่เรียกว่า อากาสานัญจายนะ ค่อยๆ ลดมาทีละน้อยลดลงมาถึงข้อที่ ๔ ที่เรียกว่า จตุตถฌาน ลดลงมาถึงข้อที่ ๓ ที่เรียกว่า ตติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๒ ที่เรียกว่า ทุติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๑ ที่เรียกว่า ปฐมฌาน ลดลงมาถึง อุปจารฌาน การลดลงมา การขึ้นลงเป็นเรื่องคล่องแคล่วขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พยายามลองลด ก็ชื่อว่าจะลองเล่นกำลังฌาน ว่ากำลังจิตจะใช้กำลังได้หรือไม่ เพราะทิ้งมานาน ลดลงมาถึง อุปจารสมาธิ แล้วขึ้นไป ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ แล้วก็ ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ วิ่งไปวิ่งมา ใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ก็ปราฏว่าถอยหลังมาตั้งอยู่ใน อุปจารสมาธิ ใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า "คำว่าพระโพธิญาณ มีสภาวะเป็นประการใด กิเลสทั้งหลายที่เข้ามาขัดข้องจิต ทำให้ทกคนเห็นผิดเป็นถูกข้อนั้น มีอะไรบ้าง ขอจงปรากฏกับจิตของเรา

ตอนนี้ปรากฏว่า อารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน กลับเกิด บุฟเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็น จิตในจิต คือ มีความสว่างไสว จิตเป็นประกายพรึกขึ้นมาสว่างออก สภาวะต่างๆ คือเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่แวดล้อมอยู่เวลานั้น ที่ยืนอยู่ใกล้ภาคพื้นดินก็ดี บนอากาศก็ดี ถือดอกชบาทำสักการะ เป็นอันว่าปรากฏแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดทั่วจักรวาล เป็นเหตุให้พระองค์มีจิตเบิกบาน ว่า โอหนอ คำว่า "พระโพธิญาณ" คงจะสำเร็จแก่เราในตอนนี้ เป็นกำลังใจให้องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตอนนี้เห็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่นมาก พรหมบางท่านเข้ามาถวายพัดอยู่ใกล้ๆ เทวดาทั้งหลายก็ยืนล้อมรอบ และก็ลอยในอากาศล้อมรอบ

ทรงสดชื่นมาก ทรงถอยหลังชาติไม่มีเหตุจำกัด ก็ทรงทราบว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้เคยเกิดมาเป็นอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติไหนที่เคยได้รับพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็พระพุทธเจ้าชื่ออะไร พยากรณ์ว่าอย่างไร กิจใดทำไว้ ทราบชัดหมด ตอนนี้เป็นกำลังใจขององค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า กัปนี้เราเป็นองค์ที่ ๔ ที่จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้บุพเพนิวาสานุสติญาณแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ใช้กำลังจิตที่ได้ บุเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติถอยหลังเป็นประโยชน์มาก รู้อดีตที่ล่วงมาแล้วว่า มีสภาพเป็นอย่างไร เกิดเป็นอะไรบ้าง เกิดเป็นคนบ้าง แล้วก็ตายเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปอยู่นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป้นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ทำคุณประโยชน์อะไรบ้าง และก็ได้รับพระพุทธพยาการ์ว่าอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าแต่ละองค์สอนว่าอย่างไร และท่านผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์เป็นเพราะอะไรเป็นเหตุ

เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีกำลังใจ เพราะอาศัยบุพเพนิวาสานุสติญาณ จึงทบทนไปมา แล้วก็เลือกจัดธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เอามาเป็นเครื่องพิจารณา ตอนนี้องค์สมเด็จผู้มีพระมหากรุณาธิคุณเมื่อพิจารณาในด้านบุเพนิวาสานุสติญาณ กำลังใจก็เต็มขึ้น เป็นเหตุให้ได้ ทิพยจักขุญาณ หรือที่เรียกกันว่า จุตูปปาตญาณ เป็นอันว่าพระองค์กลับมีความรู้สึกว่า สัตว์ในโลกทั่วจักวาลนี่เป็นคนก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี บางท่านที่มาเกิดก็มาจากพรหมบ้าง มาจากเทวดาบ้าง มาจากมนุษย์บ้าง มาจกสัตว์เดรัจฉานบ้าง อสุรกายบ้าง เปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง แล้วก็ทรงรู้ถึงว่า ถ้าพวกที่มีอารมณ์ตามนั้นที่ทรงอยู่ ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน รู้ถึงความเป็นอยู่ เป็นอันว่าตอนนี้เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระบรมครู ใช้ปัญญาเข้าพิจารณาด้วยกำลังของ "ทิพยจักขุญาณ" และ "บุพเพนิวาสานุสติญาณ" ว่าคนและสัตว์นี้มีเครื่องยืนยันได้แน่นอนว่า ไม่มีใครมีสภาวะทรงตัว และเหตูที่จะพึงตัดจะต้องเอาอะไรมาตัดกรรมที่เป็นกิเลส คือที่เรียกว่า กิเลส ตัญหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ที่ทำให้คนมัวเมาอยู่ในร่างกายที่ไม่เป็นสาระ ไม่มีประโยชน์ การเกิดแต่ละชาติมีแต่โทษ ไม่มีคุณ จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องตัด เราจะต้องตัดใจของเราก่อน และจึงจะไปสอนบุคคลอื่น เมื่อสมเด็จพระผุ้มีพระภาคเจ้าทรงดำริอย่างนี้ กำลังสมาธิที่ท่านกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดปัญญา มันก็เกิด ก็มีความรู้กว่า สิ่งที่จะทำให้ไม่เกิดมีอยู่ ๔ อย่าง ต้องประกอบกัน คือ

ทุกข์ เป็นเครื่องดึงให้เกิด คือคนที่หลงในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ และก็ทุกข์เกิดจากความอยาก การทะเยอทะยาน อย่างเมื่อเราเป็นเด็กๆ เราก็อยากจะโต เมื่อโตแล้วเราก็อยากเป็นพระราชา ท่านปรารภถึงพระองค์เอง เมื่อเป็นพระราชาแล้ว ก็อยากเป็นพระราชาที่มีอำนาจ อำนาจที่พพระองค์ต้องการก็คืออำนาจโดยธรม หรือมีธรรมเป็นอำนาจ จะใช้ความดีสงเคราะห์คนอื่นให้มีความสุข ใช้ความดีเป็นอำนาจ พระองค์ทรงคิดไกล เมื่ออาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นว่า ก็ทำให้คับใจ ถ้าสิ่งใดที่ทำไม่ได้ตามความปรารถนา หรือว่าความปรารถนาไม่สมหวัง อารมณ์มันก็เป็นทุกข์ นี่ตัวอยากเป็นเหตุ ถ้าเราจะตัดก็ต้องตัดตัวอยาก ตัดตัวอยากต้องใช้กำลังความดี ทรงพิจารณาดูว่า ความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านตรัสก็คือ ศีล สมาธ ปัญญา หรือที่เรียกว่ามรรค ๘ ทรงพิจารณาว่า...

๑. เวลานี้ศีลของเราบริสุทธิ์หรือยัง ก็ทรงทราบว่าศีลบริสุทธิ์ทุกอย่าง

๒. สมาธิ ของเรามีกำลังพอหรือยัง ก็ทรงทราบว่าสมาธิของเรามีกำลังพอ จึงได้รวบรวมกำลังใจว่า จุดใดที่ยังมีภาวะติดอยู่ ตัดตรงไหนดีหนอ

พิจารณาตอนนั้น จะตัดอารมณ์ใจอย่างเดียวหรือจะตัดอะไรด้วย

อันดับแรก ตัด รูป คือ ไม่ห่วงใยในรูป นี่เราก็ตัดมาแล้ว ปัญญาบอกว่าต้องตัดรูป แต่ก็ทรงพิจาณาว่าเรานั่งที่นี่ก็ดี เราออกแสวงหาอภิเนษกรมณ์ก็ดี นี่เราตัดรูปมาแล้วนี่นะ

รูป เรา เราก็ตัด คือเราไม่หวังความสุขในรูปกายของเรา นี่เราตัดแล้ว

รูป ของพิมพพาราชเทวี มเหสีที่รัก เราก็ตัดแล้ว รูปของลูกรักที่เกิดในวนเดียววันนั้นเราก็ตัดแล้ว

รูป ของพระราชบิดา พระราชมารดา หรือข้าราชการ เราก็ตัดแล้ว

รูป ของนางสนมนารี เราก็ตัดแล้ว และรูปของทรพย์สินทั้งหลาย เราก็ตัดแล้ว.

ยังมีอะไรอีกบ้างไหมที่เราจะต้องตัด ก็เรื่องของ นาม คือ ความปรารถนาของใจ ได้แก่โลกธรรม ๘ ทรัพย์สินที่พึงจะเกิดขึ้น เราตัดแล้วหรือยัง ก็ทรงพิจารณาว่า...

- เวลานี้เราไม่มีอะไร มีแต่ผ้านุ่ง ผ้าหุ่ม กับร่างกาย ทรัพย์ทั้งหลายทั้งหมดที่มันมากกว่านี้ ที่เราเคยครองอยู่ เราตัดแล้ว และการเสื่อมลาภไป ไม่มี ลาภ เราเป็นสุขหรือเป็นทุข์ นึกถึงลาภนั้นบ้างหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่าเราไม่นึก นี่เราก็ตัดแล้วเรื่อง ลาภ

- มาเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ เรามาจากความเป็นพระราชา เราไม่ได้ลาออก เราไม่ได้มีความผิด เราตัดมาเพื่อแสวงหาภิเนษกรมณ์เราตัดแล้ว การหมดยศฐาบรรดาศักดฺ อำนาจศักดิ์ศรี เป็นเครื่องวังเวงใจให้เรานึกถึงบ้างไหม เราก็ไม่นึกถึง อันนี้เราก็ตัดแล้ว

- เวลานี้เราตัดผม คนสมัยนั้นเขาถือว่าคนไม่มีผม คนโกนหัว เป็น กาลกิณี อารมณ์อย่างนี้ที่เขานินทา เรา หวั่นไหวไหม ก็ทรงทราบในพระทัยว่า เราไม่ได้หวั่นไหว

- และประการต่อไป ถ้าใครเขามา สรรเสริญ เราได้รับการย่องย่องขณะที่เรามาอยู่ป่า เช่น ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ เทอดทูนเราว่าเป็นคนดี และก็มีพราหมณ์ที่นำหญ้าคามาให้เราก็ดี คนหลายคนที่ผ่านมาเห็นเราเข้า รู้ว่าเราเป็นกษัตริย์มาในกาลก่อน เขาก็พากันสรรเสริญเยินยอ ว่าเราเป็นคนดี คำสรรเสริญอย่างนี้เราผูกพันหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่า ไม่ผูกพันแล้ว

- ต่อไปองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็มารำพึงว่า ความสุขความทุกข์ ที่เนื่องกับเรื่องกายนี่เราตัดแล้วหรือยัง พระองค์ก็ทรงทราบว่าตัดแล้ว เพราะว่าเราตั้งมโนปณิทานว่า ถ้าไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อมันจะเหือดแห้งไป นี่หมายความว่า ทุกขเวทนามันหนัก มันหิวขึ้นมาทีละน้อยๆ หนักเข้าๆ ร่างกายก็ทรงไม่ไหว มันอาจจะตายซะตรงนี้ แต่อารมณ์เราตัดแล้วด้วยดี มันจะตายตรงนี้ก็เชิญ ถ้าเราไม่ได้บรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อันนี้เราตัดแล้ว

- เป็นอันว่าการพิจารณาแบบนี้ เป็นปัจจัยให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เวลานั้นลูกรัก ตามภาวะของภาพที่ปรากฎ คืออารมณ์เคลิ้ม เวลานั้นเห็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร มีกระแสจิตสว่างไสวเป็นประกายพรึก เหมือนกับพระอาทิตย์สักพันดวง และก็มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่ง เพราะความสดชื่นในจิต บรรดาเทวดาและพรหมต่างก็มานมัสการองค์สมเด็จพระธรรมสามิส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าน "สหัมบดีพรหม" กล่าวว่า...

"สิทธัตถะ ท่านเอ๋ย เวลานี้กิจที่ท่านต้องการ คือ "พระสัมมาสัมโพธิญาณ" ชื่อว่า เป็นพระอรหันต์องค์แรกในโลก บรรลุแก่ท่านแล้ว"

เป็นอันว่าท่านสหัมบดีพรหมยืนยัน และก็พรหมทั้งหมดก็ยืนยัน เทวดาทั้งหมดก็ยืนยัน ต่างคนก็ต่างเอาเครื่องสักการวรามิส มีดอกไม้เป็นตน ของสวรรค์ ของหอมต่างๆ มาบูชาองค์สมเด็จพระภวควันต์ ในฐานะที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และต่างคนต่างก็มายืนรายรอบองค์สมเด็จพระบรมครูพนมทือแสดงสักการะ เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ทรงธรรมปิติขึ้นมาก มีความอิ่มเอิบ มีความสดชื่น ตอนนี้ตามปฐมโภชน์กล่าวว่า พระยามาราธิราช หรือที่เรียกว่าท้าวมาลัย เข้ามาทำลายพิธี ตามที่บอกรูสึกมาดุดันมาก แต่ความจริงดุไม่ได้หรอก

ประการที่หนึ่ง เพราะว่าพระยามาราธิราช หรือท้าวมาลัย เป็นเทวดาที่ อยู่ในอาณัตของพระอินทร์

ประการที่สอง เทวดามีอำนาจไม่เกินพรหม นี่เค้าบอกพระยมาราธิราชแผลงฤทธิ์ เทวดาที่แวดล้อมหนีหมด อันนี้ไม่จริง

- ตามภาพนั้นปรากฏว่าไม่จริง มีเทวดาและพรหมถอยออกไปยืนถวายสักการะในที่อันควร ไม่ได้ยืนติดพระองค์

ก็มีพระยามาราธิราชมาสะกิดว่า

"ท่านจะไปหลงใหลใฝ่ฝันอะไรกับพระโพธิญาณ มันเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ท่านจงนึกถึงตำแหน่ง พระเจ้าจักรพรรดิ ที่จะช่วยคนให้เป็นสุขทั้งโลกไม่ดีกว่าหรือ อีกประการหนึ่ง พระพิมพาราชเทวีก็มีพระรูปพระโฉงดงาม และลูกชายคนเล็กก็เพิ่งเกิดใหม่ นอกจากนั้นสนมนารีก็มากมาย ทำไมไม่คำนึงถึงบ้าง ปล่อยให้เขาทั้งหมดมีความทุกข์ เพราะท่านหาความสุขแต่ผู้เดียว"

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตรัสว่า...

"ปาปิมะ ดูก่อน มารผู้มีบาป" เราทราบแล้วว่า เรากับท่านน่ะเป็นเพื่อนกันมาก่อนในอดีต อาศัย บุพนุวาสานุสติญาณ อาศัยที่เราถวายหญ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ได้เอาของท่านไปถวาย ท่านจึงมีความเข้าใจว่า เราต้องการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแต่ผู้เดียว ท่านก็ปรารถนาเช่นเดียวกัน การทำอย่างนี้มันมีบาป เราตั้งมโนปณิธานมาฉันใด เราก็ปฏิบัติฉันนั้น แม้แต่ตัวท่านเอง ถ้าทำไปไม่ช้าก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาน จะมาทำจิตให้เป็นบาปเพื่อประโยชน์อะไร" เพียงเท่านี้ พระยามารก็ถอยไป

ตอนนี้ซิลูกรัก ลูกรักทุกคนเห็นไหมว่า องค์สมเด็จพระทศพลมีบุญญาธิการเพียงใด องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ไม่ทรงสนพระทัย เรื่องลาภสักการะ เรื่องยศบาบรรดาศักดิ์ เรื่องนินทาและสรรเสริญ เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ต้องการอย่างเดียวคือ พระโพธิญาณ อารมณ์ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารตอนนี้ ลูกกทุกคนต้องจำ เพราะว่าเราเป็นสาวกของท่าน ถ้าเราไม่ใช้กำลังใจอย่างท่าน เราจะมีผลตามที่ท่านสอนไม่ได้
.............
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 00:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ยาวจังเลย ท่านกบ อ่านรอบเดียวไม่ขบ เดียวค่อยมาอ่านต่อนะ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 01:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมก็รีบ..ๆ..ไปหน่อย...ก็เ :b3ยไม่ได้เน้น...ตรงที่คิดว่าน่าสนใจดี

พรุ่งนี้ต้องตื่นไปแต่เช้ามาก...ต้องขับรถด้วย...

ลาไปนอนก่อนละครับ... :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 01:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กระผมก็รีบ..ๆ..ไปหน่อย...ก็เลยไม่ได้เน้น...ตรงที่คิดว่าน่าสนใจดี

พรุ่งนี้ต้องตื่นไปแต่เช้ามาก...ต้องขับรถด้วย...

ลาไปนอนก่อนละครับ... :b30: :b30:


ขอให้เดินทางปลอดภัยครับท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 22:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้...อิ่มบุญหลาย...เด้อ... :b17: :b17: :b17:

ทำสังฆทาน..
วิหารทาน...
ธรรมทาน...
สร้างพระ...
ค่าน้ำ-ไฟวัด..
ชำระหนี้สงฆ์...
อาหารพระเณร....

ขับรถไปกลับ...900 กว่ากิโล...ไม่เหนื่อยเลย..เจ้าข้า... rolleyes rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 22:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


น่าสนใจอันแรก.....ตอนพระองค์ท่านบรรลุธรรม

เดิม....เรา ๆ ท่าน ๆ คิดใว้อย่างไรบ้าง?

กระผมคิดว่า...คงปิ๊ง....สว่างโร่....อะไรทำนองนี้

แต่ในบทความนี้....ไม่ใช่

อ้างคำพูด:
ในชั่วขณะเวลาผ่านไปประมาณสัก ๑ ชั่วโมงเศษ พ่อขอคุยกับลูกตามคำบอก จะเรียกพูดตามพากย์ก็ได้ เวลาผานไปชั่วโมงครึ่ง ความสุขเกิดขึ้นจากสมาธิ อารมณ์เด็ดเดี่ยวเป็น อุเบกขารมณ์ เกิดขึ้นจากสมาธิ ใจมีความปลอดจากกิเลส ตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐจึงได้ ลดกำลังของสมาธิ ค่อยๆ เลื่อนมาจากสมาบัติข้อที่ ๘ มาถึงข้อที่ ๗ ที่เรียกว่า อากิยจัญญายตนะ ลดลงมาถึงข้อที่ ๖ ที่เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ ลดลงมาข้อที่ ๕ ที่เรียกว่า อากาสานัญจายนะ ค่อยๆ ลดมาทีละน้อยลดลงมาถึงข้อที่ ๔ ที่เรียกว่า จตุตถฌาน ลดลงมาถึงข้อที่ ๓ ที่เรียกว่า ตติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๒ ที่เรียกว่า ทุติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๑ ที่เรียกว่า ปฐมฌาน ลดลงมาถึง อุปจารฌาน การลดลงมา การขึ้นลงเป็นเรื่องคล่องแคล่วขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พยายามลองลด ก็ชื่อว่าจะลองเล่นกำลังฌาน ว่ากำลังจิตจะใช้กำลังได้หรือไม่ เพราะทิ้งมานาน ลดลงมาถึง อุปจารสมาธิ แล้วขึ้นไป ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ แล้วก็ ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ วิ่งไปวิ่งมา ใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ก็ปราฏว่าถอยหลังมาตั้งอยู่ใน อุปจารสมาธิ ใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า "คำว่าพระโพธิญาณ มีสภาวะเป็นประการใด กิเลสทั้งหลายที่เข้ามาขัดข้องจิต ทำให้ทกคนเห็นผิดเป็นถูกข้อนั้น มีอะไรบ้าง ขอจงปรากฏกับจิตของเรา
ตอนนี้ปรากฏว่า อารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน กลับเกิด บุฟเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็น จิตในจิต คือ มีความสว่างไสว จิตเป็นประกายพรึกขึ้นมาสว่างออก สภาวะต่างๆ คือเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่แวดล้อมอยู่เวลานั้น ที่ยืนอยู่ใกล้ภาคพื้นดินก็ดี บนอากาศก็ดี ถือดอกชบาทำสักการะ เป็นอันว่าปรากฏแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดทั่วจักรวาล เป็นเหตุให้พระองค์มีจิตเบิกบาน ว่า โอหนอ คำว่า "พระโพธิญาณ" คงจะสำเร็จแก่เราในตอนนี้ เป็นกำลังใจให้องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตอนนี้เห็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่นมาก พรหมบางท่านเข้ามาถวายพัดอยู่ใกล้ๆ เทวดาทั้งหลายก็ยืนล้อมรอบ และก็ลอยในอากาศล้อมรอบ

ทรงสดชื่นมาก ทรงถอยหลังชาติไม่มีเหตุจำกัด ก็ทรงทราบว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้เคยเกิดมาเป็นอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติไหนที่เคยได้รับพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็พระพุทธเจ้าชื่ออะไร พยากรณ์ว่าอย่างไร กิจใดทำไว้ ทราบชัดหมด ตอนนี้เป็นกำลังใจขององค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า กัปนี้เราเป็นองค์ที่ ๔ ที่จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้บุพเพนิวาสานุสติญาณแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ใช้กำลังจิตที่ได้ บุเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติถอยหลังเป็นประโยชน์มาก รู้อดีตที่ล่วงมาแล้วว่า มีสภาพเป็นอย่างไร เกิดเป็นอะไรบ้าง เกิดเป็นคนบ้าง แล้วก็ตายเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปอยู่นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป้นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ทำคุณประโยชน์อะไรบ้าง และก็ได้รับพระพุทธพยาการ์ว่าอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าแต่ละองค์สอนว่าอย่างไร และท่านผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์เป็นเพราะอะไรเป็นเหตุ

เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีกำลังใจ เพราะอาศัยบุพเพนิวาสานุสติญาณ จึงทบทนไปมา แล้วก็เลือกจัดธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เอามาเป็นเครื่องพิจารณา ตอนนี้องค์สมเด็จผู้มีพระมหากรุณาธิคุณเมื่อพิจารณาในด้านบุเพนิวาสานุสติญาณ กำลังใจก็เต็มขึ้น เป็นเหตุให้ได้ ทิพยจักขุญาณ หรือที่เรียกกันว่า จุตูปปาตญาณ เป็นอันว่าพระองค์กลับมีความรู้สึกว่า สัตว์ในโลกทั่วจักวาลนี่เป็นคนก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี บางท่านที่มาเกิดก็มาจากพรหมบ้าง มาจากเทวดาบ้าง มาจากมนุษย์บ้าง มาจกสัตว์เดรัจฉานบ้าง อสุรกายบ้าง เปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง แล้วก็ทรงรู้ถึงว่า ถ้าพวกที่มีอารมณ์ตามนั้นที่ทรงอยู่ ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน รู้ถึงความเป็นอยู่ เป็นอันว่าตอนนี้เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระบรมครู ใช้ปัญญาเข้าพิจารณาด้วยกำลังของ "ทิพยจักขุญาณ" และ "บุพเพนิวาสานุสติญาณ" ว่าคนและสัตว์นี้มีเครื่องยืนยันได้แน่นอนว่า ไม่มีใครมีสภาวะทรงตัว และเหตูที่จะพึงตัดจะต้องเอาอะไรมาตัดกรรมที่เป็นกิเลส คือที่เรียกว่า กิเลส ตัญหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ที่ทำให้คนมัวเมาอยู่ในร่างกายที่ไม่เป็นสาระ ไม่มีประโยชน์ การเกิดแต่ละชาติมีแต่โทษ ไม่มีคุณ จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องตัด เราจะต้องตัดใจของเราก่อน และจึงจะไปสอนบุคคลอื่น เมื่อสมเด็จพระผุ้มีพระภาคเจ้าทรงดำริอย่างนี้ กำลังสมาธิที่ท่านกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดปัญญา มันก็เกิด ก็มีความรู้กว่า สิ่งที่จะทำให้ไม่เกิดมีอยู่ ๔ อย่าง ต้องประกอบกัน คือ

ทุกข์ เป็นเครื่องดึงให้เกิด คือคนที่หลงในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ และก็ทุกข์เกิดจากความอยาก การทะเยอทะยาน อย่างเมื่อเราเป็นเด็กๆ เราก็อยากจะโต เมื่อโตแล้วเราก็อยากเป็นพระราชา ท่านปรารภถึงพระองค์เอง เมื่อเป็นพระราชาแล้ว ก็อยากเป็นพระราชาที่มีอำนาจ อำนาจที่พพระองค์ต้องการก็คืออำนาจโดยธรม หรือมีธรรมเป็นอำนาจ จะใช้ความดีสงเคราะห์คนอื่นให้มีความสุข ใช้ความดีเป็นอำนาจ พระองค์ทรงคิดไกล เมื่ออาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นว่า ก็ทำให้คับใจ ถ้าสิ่งใดที่ทำไม่ได้ตามความปรารถนา หรือว่าความปรารถนาไม่สมหวัง อารมณ์มันก็เป็นทุกข์ นี่ตัวอยากเป็นเหตุ ถ้าเราจะตัดก็ต้องตัดตัวอยาก ตัดตัวอยากต้องใช้กำลังความดี ทรงพิจารณาดูว่า ความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านตรัสก็คือ ศีล สมาธ ปัญญา หรือที่เรียกว่ามรรค ๘ ทรงพิจารณาว่า...

๑. เวลานี้ศีลของเราบริสุทธิ์หรือยัง ก็ทรงทราบว่าศีลบริสุทธิ์ทุกอย่าง

๒. สมาธิ ของเรามีกำลังพอหรือยัง ก็ทรงทราบว่าสมาธิของเรามีกำลังพอ จึงได้รวบรวมกำลังใจว่า จุดใดที่ยังมีภาวะติดอยู่ ตัดตรงไหนดีหนอ

พิจารณาตอนนั้น จะตัดอารมณ์ใจอย่างเดียวหรือจะตัดอะไรด้วย

อันดับแรก ตัด รูป คือ ไม่ห่วงใยในรูป นี่เราก็ตัดมาแล้ว ปัญญาบอกว่าต้องตัดรูป แต่ก็ทรงพิจาณาว่าเรานั่งที่นี่ก็ดี เราออกแสวงหาอภิเนษกรมณ์ก็ดี นี่เราตัดรูปมาแล้วนี่นะ

รูป เรา เราก็ตัด คือเราไม่หวังความสุขในรูปกายของเรา นี่เราตัดแล้ว

รูป ของพิมพพาราชเทวี มเหสีที่รัก เราก็ตัดแล้ว รูปของลูกรักที่เกิดในวนเดียววันนั้นเราก็ตัดแล้ว

รูป ของพระราชบิดา พระราชมารดา หรือข้าราชการ เราก็ตัดแล้ว

รูป ของนางสนมนารี เราก็ตัดแล้ว และรูปของทรพย์สินทั้งหลาย เราก็ตัดแล้ว.

ยังมีอะไรอีกบ้างไหมที่เราจะต้องตัด ก็เรื่องของ นาม คือ ความปรารถนาของใจ ได้แก่โลกธรรม ๘ ทรัพย์สินที่พึงจะเกิดขึ้น เราตัดแล้วหรือยัง ก็ทรงพิจารณาว่า...

- เวลานี้เราไม่มีอะไร มีแต่ผ้านุ่ง ผ้าหุ่ม กับร่างกาย ทรัพย์ทั้งหลายทั้งหมดที่มันมากกว่านี้ ที่เราเคยครองอยู่ เราตัดแล้ว และการเสื่อมลาภไป ไม่มี ลาภ เราเป็นสุขหรือเป็นทุข์ นึกถึงลาภนั้นบ้างหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่าเราไม่นึก นี่เราก็ตัดแล้วเรื่อง ลาภ

- มาเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ เรามาจากความเป็นพระราชา เราไม่ได้ลาออก เราไม่ได้มีความผิด เราตัดมาเพื่อแสวงหาภิเนษกรมณ์เราตัดแล้ว การหมดยศฐาบรรดาศักดฺ อำนาจศักดิ์ศรี เป็นเครื่องวังเวงใจให้เรานึกถึงบ้างไหม เราก็ไม่นึกถึง อันนี้เราก็ตัดแล้ว

- เวลานี้เราตัดผม คนสมัยนั้นเขาถือว่าคนไม่มีผม คนโกนหัว เป็น กาลกิณี อารมณ์อย่างนี้ที่เขานินทา เรา หวั่นไหวไหม ก็ทรงทราบในพระทัยว่า เราไม่ได้หวั่นไหว

- และประการต่อไป ถ้าใครเขามา สรรเสริญ เราได้รับการย่องย่องขณะที่เรามาอยู่ป่า เช่น ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ เทอดทูนเราว่าเป็นคนดี และก็มีพราหมณ์ที่นำหญ้าคามาให้เราก็ดี คนหลายคนที่ผ่านมาเห็นเราเข้า รู้ว่าเราเป็นกษัตริย์มาในกาลก่อน เขาก็พากันสรรเสริญเยินยอ ว่าเราเป็นคนดี คำสรรเสริญอย่างนี้เราผูกพันหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่า ไม่ผูกพันแล้ว

- ต่อไปองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็มารำพึงว่า ความสุขความทุกข์ ที่เนื่องกับเรื่องกายนี่เราตัดแล้วหรือยัง พระองค์ก็ทรงทราบว่าตัดแล้ว เพราะว่าเราตั้งมโนปณิทานว่า ถ้าไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อมันจะเหือดแห้งไป นี่หมายความว่า ทุกขเวทนามันหนัก มันหิวขึ้นมาทีละน้อยๆ หนักเข้าๆ ร่างกายก็ทรงไม่ไหว มันอาจจะตายซะตรงนี้ แต่อารมณ์เราตัดแล้วด้วยดี มันจะตายตรงนี้ก็เชิญ ถ้าเราไม่ได้บรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อันนี้เราตัดแล้ว

- เป็นอันว่าการพิจารณาแบบนี้ เป็นปัจจัยให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เวลานั้นลูกรัก ตามภาวะของภาพที่ปรากฎ คืออารมณ์เคลิ้ม เวลานั้นเห็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร มีกระแสจิตสว่างไสวเป็นประกายพรึก เหมือนกับพระอาทิตย์สักพันดวง และก็มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่ง เพราะความสดชื่นในจิต บรรดาเทวดาและพรหมต่างก็มานมัสการองค์สมเด็จพระธรรมสามิส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าน "สหัมบดีพรหม" กล่าวว่า...

"สิทธัตถะ ท่านเอ๋ย เวลานี้กิจที่ท่านต้องการ คือ "พระสัมมาสัมโพธิญาณ" ชื่อว่า เป็นพระอรหันต์องค์แรกในโลก บรรลุแก่ท่านแล้ว"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 23:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระองค์ท่านพิจารณาธรรมดา..ธรรมดา..เอง...พิจารณาจากสิ่งที่มีอยู่..เห็นอยู่....เท่านั้น

ง่าย ๆ....

แล้วพวกเราเหล่าสาวกะ....ถึงทำอะไรยากจัง..ทำแต่ของยาก ๆ...ของที่มองไม่เห็น...จิต..เจตกสิ...เราไม่มีเอย....มีแต่อนัตตาเอย...ฯลฯ....

s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื้อหาของท่านกบฯ น่าสนใจครับ แต่อยากทราบว่ามีที่มาจากใหนครับ เนื้อหากล่าวโดยละเอียดแบบคำต่อคำ ผมไม่เคยอ่านเจอมาก่อน s006

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 23:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อีกตอน...ที่น่าสนใจ....ตอนเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์..
................
...พระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งพับเพียบ เสด็จประทับนั่งขัดสมาธิ ขัดแบบสบายๆ เราเรียกว่าขัดสมาธิสองชั้น สมเด็จพระภควันต์ทรงกายตรง นั่งหลังตรง เห็นหรือเปล่า สวยสง่างามมาก ท่าทางผึ่งผาย ว่าท่านทั้ง ๕ นั้น เวลานั่ง นั่งพับเพียบหรือกระโหย่ง ไม่ใช่พับเพียบ นั่งแบบกระโหย่ง จะถือว่านั่งแบบยองๆ ก็ไม่ชัด จะว่านั่งคุกเข่าทีเดียวก็ไม่ใช่ นั่งกระโหย่งพนมมืออยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ในที่สุดลงนั่งพับเพียบตามระเบียบปฏิบัติแห่งการฟังของพราหมณ์ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ก็คือเทศน์กัณฑ์แรกที่เราเรียกกันว่า ธรรมจักร ธรรมจักรเป็นเทศน์หักล้างความรู้สึกของพราหมณ์เดิม โดยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถือเอาใจความว่า...

...อันดับแรก พระองค์ก็ทรงยกเรื่องการปฏิบัติของพราหมณ์ขึ้นมาพูดก่อนว่า การปฏิบัติของพราหมณ์ตามรูปเดิม ปฏิบัติมาไม่ถูกไม่ต้องตามความเป็นจริง ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล ทั้งนี้เพราะตถาคตได้ทดลองมาแล้ว อย่างที่พวกเธอเห็นการทรมานตน ตถาคตทำมาแล้ว และทำยิ่งกว่าคนอื่นที่จะพึงทำ เธอทั้ง ๕ ก็เห็นแล้ว แม้ตถาคตจะลุกขึ้นก็เซร่างกายเกือบทรงไม่ไหว เอามือลูบไปตามร่างกายทีอาหารไม่พอจะเลี้ยง ประสาทต่างๆ ไม่มีโอกาสจะเลี้ยง ขนก็หลุดตามมือ แต่ว่าการปฏิบัติอย่างนี้เป็นการเคร่งเครียดไป เป็นการทรมานตนไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล...

...และอีกอันหนึ่งสำหรับการปฏิบัติที่จะได้บรรลุมรรคผลก็คือความอยากที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค ปฏิบัติไปด้วยมีความสนใจในกามคุณ ๕ ก็ดี หรือว่ามีการอยากใด้มรรคผลต่าง ในขณะปฏิบัติก็ดี อย่างนี้ถือว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตไม่มีกำลัง ถ้าจะให้จิตมีกำลังจริงๆ ต้องเว้นเหตุ ๒ ประการนี้เสีย เวลาปฏิบัติอย่าทำให้ถึงขั้นทรมานตน คำว่าทรมานตนคือ ตัวลำบากเกินไป เครียดเกินไป นั่งนานเกินไป ที่นั่งว่า อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติอยู่ในเขต ๔ ประการได้ คือนั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้...

จงอย่าลืมว่าเราฝึกฝนกันที่ใจ เรื่องร่างกายนี้ไม่มีความหมาย กายมันเป็นที่อาศัยของใจ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีขึ้นมาได้ หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว ปากก็พูดดี กายก็ทำดี ถ้าใจเลว ปากก็พูดเลว กายก็ทำเลว ฉะนั้นเวลาที่ฝึกจะต้องใช้มัชฌิมาปฏิปทา คือทำปานกลาง หมายถึงทำแบบสบายๆ อารมณ์ฝืนทางกายอย่าให้มี ปล่อยกายมันตามปกติ มันอยากจะนอนก็ให้มันนอน มันอยากจะนังก็ให้มันนั่ง มันอยากจะเดินก็ให้มันเดิน มันอยากจะยืนก็ให้มันยืน การเดินเป็นการบริหารร่างกายทำให้ท้องไม่ผูก ใจทรงอารมณ์เข้าไว้ เวลาที่ใจทรงอารมณ์ของความดีก็ต้องดูกำลังใจด้วย เพราะว่าใจของเราคบหาสมาคมกับนิวรณ์ ๕ ประการมานาน นับเป็นแสนกัป หรือนับเป็นอสงไขยๆ กัป มาอยู่เดี๋ยวเดียวเราจะให้มันทรงตัวก็แสนยาก เราจะต้องฝึกฝนด้วยความลำบาก เพราะอารมณ์เคยชินของจิตเป็นอย่างนั้น จิตมันคิดเหนือขอบเขตต่างๆ มันก็คิดไปรอบๆ มีเหตุผลไม่มีเหตุผลมันก็คิด อยู่เฉยๆ มันก็คิด สถานที่อยู่สบายมันก็คิด คิดกันคนละแบบ มันเป็นอารมณ์คิด

แต่อารมณ์คิดของพวกเธอนี่ โดยปกติก็มีความคิดอยู่อย่างเดียวว่า เราต้องการจะทรมานทั้งกายก็ดีทั้งใจก็ดีให้เพลีย เมื่อมันเพลียแล้วมันก็ไม่รับอารมณ์ของความชั่ว คืออารมณ์ของอกุศล คิดว่าอารมณ์ที่เป็นกุศลจะมาจากการเพลียของกายและใจ อันั้นไม่ถูก กายก็ดีใจก็ดีที่มีอาการเพลียมาก กำลังต้านทานของอารมณ์อกุศลก็จะไม่มีเหมือนกัน สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่คืออกุศล นั่นหมายความว่า ถ้ามันปวด มันเมื่อยขึ้นมา ความเบื่อหน่ายมันจะเกิด อารมณ์ฟุ้งซ่านมันจะมี มันก็จะมานั่งคิดว่า ถ้าเรากินข้าวมากๆ ก็จะดี จะไม่หิวอย่างนี้ และแรงจะไม่หมดแบบนี้ เราอยู่กับสามีภรรยาก็ดี จะมีคนปฏิบัติ องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ตรัสว่า นั่นมันเป็นความเข้าใจผิดของพราหมณ์ และก็ถือกันมานานดึกดำบรรพ์ เขาใจว่าเป็นของดี แต่ความจริงมันก็ดีหน่อยหนึ่ง แต่ก็ดีไม่มาก ดีที่ยกตนออกจากกามเข้ามาอยู่ในป่า แต่ทว่าก็เหมือนกับไม้ในป่านั่นแหละ เหมือนกับท่อนไม้ที่มียาง ซุ่มไปด้วยยางและแช่น้ำ นั้นมีอุปมาเหมือนกับคนที่เกิดมาเป็นชาวบ้านไม่ใช่นักบวชและก็ยังอยู่ในกามคุณ มีผัวเมียกัน มีความต้องการในด้านของความรักระหว่างเพศ ด้านของความโลภ ด้านของความโกรธ ด้านของความหลง อันนี้เหมือนท่อนไม้ที่ชุมไปด้วยยางและก็แช่น้ำ สำหรับพวกท่านมีสภาพเหมือนกับไม้ที่ชุ่มไปด้วยาง แต่แยกออกจากน้ำแล้วคือบวช ยกมาให้พ้นจากสภาพของการแช่น้ำ แต่ทว่าจิตใจยังอยู่ในขั้นอัตตกิลมถานุโยค คือทรมานตก็ดี และกามสุขัลลิกานุโยคก็ดี ถือว่าไม้นั้นยังชุ่มไปด้วยยาง ยางไม่ได้แห้งไปเพราะว่ากำลังใจตก เพราะการทรมานตน ฉะนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้แน่นำว่า เธอต้องปฏิบัติตามสายกลางๆ แบบสบายๆๆ ให้อารมณ์เป็นสุข แต่ต้องมีอารมณ์ฝืนจากอารมณ์เดิมที่เราต้องการ คือการทรมานต้องฝืน ต้องการให้ชุ่มไปด้วยยางนี่ต้องฝืน

แต่ความจริงพวกกามนี่เธอไม่มีแล้ว การที่จะไปนึกถึงอยากมีลูก มีเมีย เขาไม่มี เขาเคร่งครัด แต่ว่าอยากอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างนี้ให้ได้มรรคได้ผล เป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่น อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของกาม จงทิ้งไป


..............


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 23:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เดียวนะครับ..คุณขณะจิต...อีกนิดหนึ่ง... :b12:

ต่อ....จากตอนเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์

.......
เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเทศน์ไป ท่านพวกนั้นก็นั่งฟัง ฟังไปอารมณ์มันก็ตีกันกับการรับคำสอนจากของเดิมว่า มีการทรมานเป็นสำคัญ แต่สมเด็จพระภควันต์กลับมาบอกให้เลิกเสีย ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่า อันไหนมันแน่กันหนอ อารมณ์มันก็ตีกัน ตอนนี้อารมณ์ฟุ้งก็เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ต่อไปว่า ผลการปกิบัติของความดีต้องใช้มรรค ๘ ประการเข้าช่วย มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ และสัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ เป็นปริโยสาร ก็หมายความว่า ทรงศีลให้ดี ทำใจให้มั่นคง รู้จักผลแห่งการตัดขันธ์ ๕ เพราะขันธ์ ๕ เป็นปัจจัยของความทุกข์ หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยก อริยสัจ ว่า ความทุกข์ทั้งหมดที่มีเพราะอาศัยกายเป็นเหตุ ถ้าไม่มีร่างกายแล้ว อะไรมันปวด อะไรมันเมื่อย ที่เราปวด เราเมื่อยเพราะร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดกับกายไม่ได้เกิดกับใจ ความหิวกระหายมันเกิดจากกาย ความแก่มันเกิดจากกาย ความหนาวความร้อนมันเกิดจากกาย เป็นอันว่ากายเป็นปัจจัยของความทุกข์ ทุกข์ในที่นี้มีอะไรเป็นเหตุ กายมันมีมาได้ก็เพราะอาศัยเหตุ ไม่มีเหตุให้เกิดกาย กายมันก็เกิดไม่ได้ สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า กายนี้มันจะมีขึ้นมาได้เพราะอาศัยตัณหา กายที่เป็นเหตุของความทุกข์ เป็นเครื่องรับทุกข์ กายก็เหมือนเครื่องรับวิทยุ เขาส่งคลื่นมาทางไหนมันก็เข้า ทุกข์ก็มาจากที่อื่น แต่มาชนกายเข้า คนอื่นเด่าเขาว่ามา หูของกายมันก็รับ กลิ่นเหม็นเข้ามา จมูกของกายมันก็รับ รูปร่างลักษณะท่าทางที่ไม่พอใจเกิดขึ้น ตาของกายมันก็รับ ความหนาวความร้อนเข้ามา ผิวของกายมันก็รับ รสอาหารอร่อยหรือไม่อร่อย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ลิ้นของกายมันก็รับรส รวมความว่า กายเป็นเป็นหน้าที่รับทุกข์ ฉะนั้นเราจะทำลายทุกข์ให้พ้นไป และก็ไม่มีกายขึ้นมาได้ก็ต้องทำลายตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ ตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ นั่นคือ สมุทัย คำว่าสมุทัย ตัวเหตุให้เกิดทุกข์ก็ได้แก่ตัณหา ๓ ประการ คือ

๑. อารมณ์อยากได้ในสิ่งที่ไม่มี อยากให้มีขึ้น

๒. สิ่งที่มันมีขึ้นแล้ว ก็ตะเกียกตะกายป้องกันไม่ให้มันทรุดโทรม

๓. พอทรุดโทรม จะพัง ก็ป้องกันไม่ให้ฟัง ในที่สุดป้องกันไม่ได้ มันก็เป็นทุกข์


ฉะนั้นเราต้องตัดจุดนี้ การตัดด้วยอริยมรรค คือ สัมมาทิฏฐิ ตัวปัญญาความเห็นชอบ และก็สัมมาสมาธิเป็นตัวสุดท้าย ตั้งใจไว้ชอบ การตั้งอารมณ์เป็นของสำคัญ ถ้าอารมณ์มีความมั่นของจิต การทรงอารมณ์จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ร่างกายสมบูรณ์หรือไมสมบูรณ์ ถ้ากำลังกายดี ประสาทดี จิตก็มีกำลังดี กำลังกายไม่ดี จิตก็มีกำลังไม่ดี ฉะนั้นก็ควรใช้ทั้งสองอย่าง คือกำลังจิต ในเมื่อร่งกายสมบูรณ์ ได้แก่สมาธิเป็นตัวสนัสนุนน สร้างกำลังใจให้มีอำนาจเหนือกว่าความต้องการที่เรียกกันว่าฌานโลกีย์ นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงตรัสว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าร่างกายทั้งชายและหญิงมันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกขัง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา พังไปในที่สุด เมื่อร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ปภังคุณัง เน่าเปื่อยไปในที่สุด ขณะทรงตัวอยู่ ร่างกายมีแต่ความสกปรกโสโสมม หาอะไรดีไม่ได้

เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ ทรงชี้เหตุว่า "เหตุอันนี้แหละบรรดาเธอทั้งหลาย ถ้าเธอสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ กิจที่ต้องทำของเธอไม่มีอีกแล้ว" อาศัยที่ท่านทั้ง ๕ ตั้งใจฟังบ้าง และก็คิดไปบ้าง อารมณ์ค้านกันบ้าง เรียกว่าตีกันยุ่ง ของเก่าไปอย่างหนึ่ง ของใหม่ก็มาอีกอย่างหนึ่ง เราเคยใช้หม้อดินจะมาให้ใช้หม้อโลหะ เคยใช้เตาถ่านจะมาให้ใช้เตาแก๊สยุ่งกันไปหมด ทั้งนี้อารมณ์มันก็ตีกัน การรับพระธรรมเทศนาจึงไม่สมบูรณ์แบบ เป็นอันว่าเมื่อเทศน์จบ รู้สึกว่า ๕ ท่านมีอารมณ์ต่างกัน ท่านแรกคือท่านโกณฑัญญะพราหมณ์มีความแช่มชื่นในจิตทั้งที่อารมณ์เดิมก็คิดต่อต้าน พอพระพุทธเจ้าเทศน์วาระแรกให้เลิกอัตตกิลมถานุโยค เมื่อเห็นเหตุผลที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงเทศน์ แต่ว่ามาเห็นเอาตอนปลาย ใจเริ่มเป็นสุขในตอนนปลาย เห็นว่า จริงหนอการทรมานกายไม่มีประโยชน์ และเทศน์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดเทศน์แบบนี้ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉะนั้นอาศัยความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระชินวรและความเชื่อมั่นในตอนต้น ตั้งแต่เข้าไปพยากรณ์ลักษณะ แต่ว่าเวลาก็ช้าไปนิดกว่าจะเชื่อเป็นว่าพอเทศน์จบ ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้พระโสดาปัตติผล ส่วนพราหมณ์ทั้ง ๔ ยังได้อะไรเลย ได้แต่ไตรสรณาคมน์ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพุทธญาณของพระองค์ว่า เวลานี้โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว คำว่าดวงตาในที่นี้หมายถึงปัญญาทราบเหตุทราบผล เป็นอริยชนเบื้องต้นคือพระโสดาบัน เพียงเท่านี้เพราะผลงานนี้เป็นเรื่องสำคัญ

.......

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 23:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมดา..สามั๊ญ..สามัญ..ติดอยู่ตรงที่มนุษย์ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น..ก็แค่นั้น..
ก็หลงไปกับกิเลศ..ธรรมดามากๆ..แต่ขึ้นอยู่กับว่า..จิตเราเข้าถึงสิ่งนั้นไหม
ถามใจตัวเองว่าความสุขที่แท้จริงของเราคืออะไร..ทำอย่างไรเราถึงจะหยุด..รัก..โลภ..โกรธ..หลง
แล้วใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ..ธรรมด๊า..ธรรมดา :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 23:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
เนื้อหาของท่านกบฯ น่าสนใจครับ แต่อยากทราบว่ามีที่มาจากใหนครับ เนื้อหากล่าวโดยละเอียดแบบคำต่อคำ ผมไม่เคยอ่านเจอมาก่อน s006

:b12:

กระผมก็เพิ่งเจอ...อยู่ในลานธรรมเรานี้แหละ...คุณพุทธคุณ...โพสต์เอาใว้ครับ :b8:
viewtopic.php?f=26&t=41632

ถ้าเราจะจำไปใช้ตอบข้อสอบ...ก็ต้องตรวจสอบว่า...บทความนี้มีที่มาที่น่าเชื่อถือได้ไม?...ตอบไปแล้วอาจจะไม่ได้คะแนน...

แต่...หากเราจะเอาเนื้อธรรม...กระผมว่า...พิจารณาข้อความนั้นเลย...แล้วโยนิโสเอา...ว่าเราได้ข้อคิดอะไรบ้าง....หากข้อคิดที่เราได้นั้นเป็นธรรม....บทความนี้จะจริงหรือเท็จ..หรือได้มาอย่างไร...ก็ไม่มีความหมายกับเรา...เพราะธรรมะนั้น...เราได้กับตัวแล้ว

นี้ข้อคิดหนึ่งนะ....

ทีนี้....เมื่อเราพิจารณาบทความนี้แล้วธรรมเกิด....เราก็จะหมดความลังเลสงสัยในบทความนี้ไปเอง....(สังโยชน์ ข้อที่ 2 ก็ไม่เกิดกับเรา)

นี้ก็อีกข้อคิดหนึ่ง... :b8:

:b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 11 มิ.ย. 2012, 00:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 23:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ธรรมดา..สามั๊ญ..สามัญ..ติดอยู่ตรงที่มนุษย์ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น..ก็แค่นั้น..
ก็หลงไปกับกิเลศ..ธรรมดามากๆ..แต่ขึ้นอยู่กับว่า..จิตเราเข้าถึงสิ่งนั้นไหม
ถามใจตัวเองว่าความสุขที่แท้จริงของเราคืออะไร..ทำอย่างไรเราถึงจะหยุด..รัก..โลภ..โกรธ..หลง
แล้วใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ..ธรรมด๊า..ธรรมดา :b43:

แม่นแล้ว..... :b17: :b17: :b17:

ไม่ต้องไปพิศดารอะไรเลย...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร