วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2012, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุมานปัญหา

พระราชาตรัสถามว่า “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ภิกษุมาตามพร้อมแล้วด้วยองค์ทั้งหลายเท่าไร จึงกระทำให้แจ้งพระอรหัต?”
พระเถรเจ้าทูลว่า “ขอถวายพระพร ภิกษุในศาสนานี้ ผู้ใคร่จะกระทำให้แจ้งพระอรหัต
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งลามีเสียงอันพิลึก.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งไก่.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งกระแต.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งนางเสือเหลือง.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งเสือเหลือง.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งเต่า.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งปี.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งรางปืน.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งกา.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งลิง.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งเถาน้ำเต้า.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งบัว.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งพืช.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งไม้ขานาง.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งเรือ.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งสมอเรือ.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งเสากระโดง.
ต้องถือเอาองค์องค์สามประการ แห่งต้นหน.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งคนกระทำการงาน.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งมหาสมุทร.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งแผ่นดิน.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งน้ำ.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งเพลิง.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งลม.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งภูเขา.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งอากาศ.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งพระจันทร์.
ต้องถือเอาองค์เจ็ดประการ แห่งพระอาทิตย์.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งพระอินทร์.
ต้องถือเอาองค์สี่ประการ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งปลวก.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งแมว.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งหนู.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งแมลงป่อง.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งพังพอน.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งสุนัขจิ้งจอกแก่.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งเนื้อ.
ต้องถือเอาองค์สี่ประการ แห่งโค.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งสุกร.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งช้าง.
ต้องถือเอาองค์เจ็ดประการ แห่งราชสีห์.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งนกจากพราก.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งนางนกเงือก.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งนกพิราบเรือน.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งนกเค้า.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งนกสตปัตต (นกมีขนปีกร้อยหนึ่ง)
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งค้างคาว.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งปลิง.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งงู.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งงูเหลือม.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งแมลงมุมชักใยใกล้ทาง.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งทารกกินนม.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งเต่าเหลือง.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งป่าชัฏ.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งต้นไม้.
ต้องถือเอาองค์ห้าประการ แห่งฝน.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งแก้วมณี.
ต้องถือเอาองค์สี่ประการ แห่งพรานเนื้อ.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งพรานเบ็ด.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งช่างไม้.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งหม้อ.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งกาลักน้ำ.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งร่ม.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งนา.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งยา.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งโภชนะ.
ต้องถือเอาองค์สี่ประการ แห่งคนแผลงศร.
ต้องถือเอาองค์สี่ประการ แห่งพระราชา.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งนายประตู.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งหินบด.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งประทีป.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งนกยูง.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งม้า.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งนักเลง.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งธรณีประตู.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งคันชั่ง.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งพระขรรค์.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งปลา.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งลูกหนี้.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งคนเจ็บ.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งคนตาย.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งแม่น้ำ.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งโคผู้.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งหนทาง.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งคนเรียกส่วย.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งโจร.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งเหยี่ยว.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งสุนัข.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งหมอ.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งหญิงมีครรภ์.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งนางจามรี.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งนกกระแตติวิด.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งนางนกพิราบ.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งคนมีตาข้างเดียว.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งชาวนา.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งนางสุนัขป่า.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งผอบน้อย.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งทัพพี.
ต้องถือเอาองค์สามประการ แห่งคนใช้หนี้.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งคนตรวจเนือง ๆ.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งนายสารถี.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งนายอำเภอ.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งช่างหูก.
ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งคนเดินเรือ.
ต้องถือเอาองค์สองประการ แห่งแมลงภู่.”


โฆรสร วรรคที่หนึ่ง

พระราชาตรัสถามว่า “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งลามีเสียงอันพิลึกนั้น เป็นไฉน?”
พระเถรเจ้าทูลว่า “ขอถวายพระพร ธรรมดาลามีเสียงอันพิลึกที่ประตูบ้านบ้าง ที่กองแกลบบ้าง ที่ใดที่หนึ่ง, ไม่เป็นสัตว์นอนมากฉันใด; โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ลาดปูท่อนหนึ่ง ณ เครื่องลาด หญ้าบ้าง ณ เครื่องลาดใบไม้บ้าง ณ เตียงไม้บ้าง ณ แผ่นดินบ้าง ที่ใดที่หนึ่งแล้ว นอนในที่ใดที่หนึ่ง, ต้องไม่เป็นผู้นอนมาก ฉันนั้นแล. นี้แล ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งลามีเสียงอันพิลึก.
แม้พระพระพุทธพจน์นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ทรงภาสิตไว้ว่า:-
‘ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ สาวกทั้งหลายของเรา ตั้งไว้ซึ่งความสำคัญในรูปดุจท่อนฟืน เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว มีความเพียร ยังกิเลสให้ร้อนทั่วในความเพียรอยู่’ดังนี้.
แม้คำนี้ อันพระสารีบุตรเถระผู้ธรรมเสนาบดี ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
‘เมื่อภิกษุนั่งอยู่แล้วด้วยบัลลังก์ เธอชื่อว่าอาศัยอยู่ด้วยเข่า; ควรที่ภิกษุมีจิตส่งไปแล้ว จะมีธรรมเป็นที่อยู่สำราญ ฉะนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์ห้าประการแห่งไก่นั้น เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ไก่ย่อมหลีกเร้นอยู่โดยกาลโดยสมัย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้อง
กวาดลานเจดีย์ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้แล้ว ชำระสรีระอาบน้ำแล้ว ไหว้เจดีย์แล้ว ไปหาภิกษุผู้เฒ่าทั้งหลายโดยกาลโดยสมัย เข้าไปสู่เรือนว่างโดยกาลโดยสมัย ฉันนั้นแล. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่แรกแห่งไก่.
อนึ่ง ไก่ย่อมออกจากที่หลีกเร้นโดยกาลโดยสมัย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกบอความเพียร ก็ต้องออกกวาดลานเจดีย์ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ ชำระสรีระแล้ว ไหว้เจดีย์โดยกาลโดยสมัยแล้ว เข้าไปสู่เรือนว่างเปล่าอีก ฉันนั้นแล. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งไก่.
อนึ่ง ไก่คุ้ย ๆ ดิน กินของที่ควรกิน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องพิจารณาแล้ว ๆ บริโภคของที่ควรบริโภค ด้วยปัจจเวกขณ์ว่า ‘เราไม่บริโภคเพื่อจะเล่น ไม่บริโภคเพื่อจะมัวเมา ไม่บริโภคเพื่อประดับ ไม่บริโภคเพื่อจะตกแต่งประเทืองผิวเลยทีเดียว, เราบริโภคเพียงเพื่อตั้งอยู่แห่งกายนี้ เพื่อจะให้กายนี้เป็นไป เพื่อจะกำจัดความเบียดเบียนลำบาก คือ ความหิวอยากอาหารเสีย เพื่อจะอนุเคราะห์พรหมจรรย์;ด้วยคิดเห็นว่า ‘ด้วยอันบริโภคนี้ เราจักกำจัดเวทนาเก่าเสีย จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น, และความที่กายจักไปได้นาน จักมีแก่เรา ความเป็นผู้ไม่มีโทษจักมีแก่เรา ความอยู่สบายจักมีแก่เรา’ ดังนี้ ฉันนั้นแล. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งไก่.
แม้พระผู้มีพระภาค้าเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ทรงภาสิตไว้ว่า:-
‘ภิกษุผู้ไม่ซบเซาในประโยชน์อันให้อัตภาพเป็นไป บริโภคอาหารดุจบุคคลบริโภคเนื้อบุตรในทางกันดาร
และเหมือนน้ำมันสำหรับยอดเพลารถ ฉะนั้น’ ดังนี้.
อนึ่ง ไก่แม้เป็นไปด้วยจักษุในกลางวัน เป็นผู้มีตาฟางดังตาบอดในกลางคือ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร เป็นผู้ไม่บอดเลย ก็ต้องเป็นผู้ราวกะบอด อยู่ในป่าก็ดี เที่ยวเพื่อบิณฑบาตในโคจรคามก็ดี ต้องเป็นผู้ราวกะคนบอดคนหนวกคนใบ้ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่พึงถือเอาซึ่งนิมิต ไม่พึงถือเอาซึ่งอนุพยัญชนะในรูปเป็นต้น อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดนั้น ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งไก่.
แม้พระกัจจายนเถระ ก็ได้ภาสิตคำนี้ไว้ว่า:-
‘ภิกษุมีจักษุเห็น ก็กระทำเหมือนตาบอด มีโสตได้ยิน ก็กระทำเหมือนหูหนวก มีชิวหาพูดได้ ก็กระทำเหมือนคนใบ้ มีกำลังก็กระทำเหมือนคนไม่มีกำลัง ในเมื่อความต้องการเกิดขึ้นพร้อมพึงนอนเสียดุจคนนอนตาย’ ดังนี้.
อนึ่ง ไก่แม้อันบุคคลจะทิ้งขว้างด้วยก้อนดินท่อนไม้ ไม้ค้อน ไม้ตะบอง เพื่อให้มันทิ้งลืมรัง มันก็ย่อมไม่
ละเว้นรังของตน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร กระทำจีวรกรรม นวกรรม วัตรปฏิวัตรก็ดี เรียนบาลีอัฏฐกถา บอกบาลีอัฏฐกถาก็ดี ก็ไม่ได้ละทิ้งความกระทำในใจโดยแยบคาย ฉันนั้น; ความกระทำในใจโดยแยบคายนั้นแล เป็นเรือนของพระโยคาวจรผู้ประกอบความเพียร. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งไก่.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ทรงภาสิตไว้ว่า:-
‘ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่าเป็นโคจรของตน เป็นของบิดา เป็นวิสัยของภิกษุ, คือ สติปัฏฐานสี่’ฉะนี้.
แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
‘ไก่ที่รู้ดี ย่อมไม่ละทิ้งรังของตน, เพราะว่า ย่อมรู้แจ้งสิ่งที่เป็นภักษาและไม่ใช่ย่อมเข้าใจการเลี้ยงชีพของตน ฉันใด, พุทธโอรส ก็พึงเป็นผู้ไม่ประมาทในพระศาสนา ไม่ละเลย มนสิการอันประเสริฐอุดมในการไหน ๆ ฉันนั้น., ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งกระแตนั้น เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร กระแตเมื่อศัตรูมารบกวน ก็พองหางของตนให้ใหญ่เข้าต่อสู้กับศัตรู ฉันใด;
โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องต่อสู้กิเลสทั้งปวงด้วยสติปัฏฐาน ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งกระแต.
แม้พระจูฬปันถกเถระ ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
‘เมื่อใด กิเลสทั้งหลายมารบกวนเพื่อกำจัดสามัญคุณเสีย พึงฆ่ากิลสเหล่านั้นเสีย ด้วยสติปัฏฐานเนือง ๆ’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการ แห่งนางเสือเหลือง เป็นไฉน?”
ถ.”ขอถวายพระพร นางเสือเหลืองย่อมมีครรภ์ครั้งเดียว มิได้มีเนือง ๆ เหมือนสัตว์อื่น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร เห็นปฏิสนธิความเกิดขึ้น ความนอนในครรภ์ต่อไป และจุติ ความทำลาย ความสิ้นไป ความฉิบหาย ภัยในสงสารวัฏ ทุคติ ความเสมอปราศ ความเบียดเบียนแล้ว ก็ต้องกระทำในใจโดยอุบายที่ชอบว่า ‘เราจักไม่ปฏิสนธิในภพอีก’ ฉะนี้ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งนางเสือเหลือง.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ตรัสไว้ในธนียโคปาลกสูตร ในสุตตนิบาตว่า :-
‘เราจักไม่เข้าถึงซึ่งอันนอนในครรภ์อีก ดุจโคหลุดจากเครื่องผูกแล้ว, และช้างทำลายเถาวัลย์เครื่องพันผูกออกได้แล้ว ไม่กลับมาสู่เครื่องผูกนั้นได้อีก ฉะนั้น. เมื่อเป็นเช่นนี้ เทพดาและมนุษย์ทั้งหลายปรารถนาความถึงที่สุดแห่งทุกข์ ฉะนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งเสือเหลือง เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร เสือเหลืองอาศัยชัฏหญ้า ชัฏป่า หรือชัฏภูเขา ซ่อนตัวจับเนื้อทั้งหลาย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียรก็ต้องเสพที่วิเวก, คือป่า รุกขมูล ภูเขา ซอกภูเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าอันวังเวง ที่แจ้ง กองฟาง ที่เงียบ ทีไม่กึกก้อง ที่สมควรเป็นที่เร้น; จริงอยู่ โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร เมื่อเสพที่วิเวก ย่อมถึงซึ่งเป็นความเป็นผู้มีอำนาจในอภิญญาหก ไม่นานนั่นเทียว ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งเสือเหลือง.
ถึงพระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
‘ธรรมดาเสือเหลือง ย่อมซ่อนตัวจับเนื้อทั้งหลาย ฉันใด, พุทธโอรส ผู้มีความเพียรอันประกอบแล้ว มี
ปัญญาเห็นแจ้งเข้าสู่ป่าถือเอาซึ่งผลอันอุดม ฉันนั้น’ ดังนี้.
อนึ่ง เสือเหลืองฆ่าสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งแล้ว ไม่กินสัตว์นั้นที่ล้มลงข้างซ้าย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ไม่บริโภคโภชนะที่สำเร็จด้วยการให้ไม้ไผ่ การให้ใบไม้ การให้ดอกไม้ การให้ผลไม้ การให้น้ำอาบ การให้ดิน การให้จุรณ์ การให้ไม้ชำระฟัน การให้น้ำบ้วนปาก ด้วยอันกระทำการงานเพื่อปัจจัยสี่ ด้วยความเป็นลูกจ้าง ด้วยกรรมเป็นที่ส่งไปด้วยแข้ง ด้วยการเป็นหมอ ด้วยการเป็นทูต ด้วยการให้และให้ตอบ ด้วยวัตถุวิชชา นักขัตตวิชชา อังควิชชา และกรรมเครื่องอาศัยเป็นอยู่ผิดอันใดอันหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงติ ดุจเสือเหลือไม่กินสัตว์ที่ล้มลงข้างซ้าย ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งเสือเหลือง.
ถึงพระสารีบุตรเถระผู้ธรรมเสนาบดี ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
‘ถ้าว่า เราบริโภคมธุปายาสที่เกิดขึ้นแล้ว แต่อันเปล่งวจีวิญญัติออกไซร้, ชีวิตุบายเครื่องอาศัยเป็นอยู่แล้ว ของเราอันนักปราชญ์ติเตียนแล้ว. ถึงว่าสายรัดไส้ของเราจักไหลออกมาข้างนอกไซร้ เราจักไม่พึงทำลายชีวิตุบายเครื่องอาศัยเป็นอยู่เลย สู้สละชีวิต’ ดังนี้.”
ร. พระผู้เป็นผู้เจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์ห้าประการแห่งเต่าเป็นไฉน?”
ถ. ขอถวายพระพร เต่ามีปกติเที่ยวอยู่ในน้ำ อาศัยอยู่ในน้ำฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีจิตเกื้อกูลและไหวตามสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นผู้มีจิตประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงซึ่งความเป็นจิตใหญ่ เป็นจิตไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไมตรีจิตไปตลอดโลกอันมีสัตว์ทั้งปวงอยู่ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งเต่า.
อนึ่ง เต่าผุดขึ้นจากน้ำชูศีรษะ ถ้าเห็นอะไร ๆ เข้า ก็ดำจมดิ่งลงไปทันทีในที่นั้น ด้วยคิดเห็นว่า ‘อะไร ๆ ที่เป็นศัตรูเหล่านั้น ครั้นเมื่อกิเลสเข้ามาใกล้ ก็ดำจมไปพลันในสระ คือ อารมณ์ ด้วยคิดเห็นว่า ‘กิเลสทั้งหลายอย่าได้เห็นเราอีกเลย’ ดังนี้ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งเต่า.
อนึ่ง เต่าขึ้นมาจากน้ำ ผิงกายอยู่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องนำออกซึ่งจิตจาก การนั่ง การยืน การนอน การเดินแล้ว ผึ่งจิตในสัมมัปปธาน ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งเต่า.
อนึ่ง เต่าขุดแผ่นดินสำเร็จการอยู่ในที่สงัด ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องละลาภสักการและความสรรเสริญ เข้าไปอยู่ที่ว่างเปล่า ที่เงียบ ป่าอันวังเวง ภูเขา ซอกภูเขา ถ้ำ อันไม่มีเสียง อันไม่กึกก้อง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งเต่า.
แม้พระอุปเสนเถระวังคันตบุตร ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
‘ภิกษุพึงส้องเสพเสนาสนะอันสงัด ไม่มีสำเนียงกึกก้อง อันเป็นที่พาลมฤคอาศัยอยู่ เพราะเหตุแห่งเสนาสนะเช่นนั้น เป็นที่หลีกออกเร้นอยู่’ ดังนี้.
อนึ่ง เต่าเมื่อเที่ยวไป ถ้าเห็นอะไรเข้า หรือได้ยินเสียงอะไรเข้าก็หดเข้าซึ่งอวัยวะทั้งหลายมีศีรษะเป็นที่ห้า ในกระดองของตน มีขวนขวายน้อย หยุดนิ่ง ตามรักษากายอยู่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ครั้นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ทั้งหลายมาใกล้อยู่ก็ต้องปิดเสียซึ่งบานประตู คือ ความสำรวมในทวารทั้งหกมีจักษุเป็นต้น หดใจกระทำซึ่งความสำรวมอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ ตามรักษาสมณธรรมอยู่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งเต่า.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ทรงภาสิตไว้ในกุมมูปมสูตร ในสังยุติตนิกายอันประเสริฐว่า:-
‘ภิกษุไม่อาศัยแล้วซึ่งความตรึกแห่งใจทั้งหลาย ดับรอบแล้วไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ว่ากล่าวใครดุจเต่าหดอวัยวะทั้งหลายเข้าในกระดองของตน ฉะนั้น’ดังนี้.
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งปีเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ปี่อันบุคคลเป่าในที่ใด ก็ย่อมไปตามในที่นั้นย่อมไม่แล่นไปในที่อื่น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียรก็ต้องตั้งอยู่ในธรรมวินัยที่ควรที่ไม่มีโทษ เป็นไปตามซึ่งนวังคสัตถุศาสนา อันพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงภาสิตไว้แล้ว แสวงหาสมณธรรมฉันนั้น, นี้แล ต้องถือเอาองค์ประการหนึ่งแห่งปี.
แม้พระราหุลเถระ ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
‘โยคาวจร ตั้งอยู่ในธรรมวินัยที่ควรที่หาโทษมิได้ อนุโลมตามนวังคพุทธพจน์ทุกเมื่อ พยายามเพื่อคุณอันยิ่ง’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งรางปืน เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร รางปืนอันนายช่างถากดีแล้ว ย่อมน้อมไปตามรางปืนตลอดปลายตลอดต้นแนบเนียน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องน้อมไปตามสมณะผู้เถระ ผู้ใหม่ ผู้ปานกลาง ไม่ขัดขวาง ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งรางปืน.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ตรัสไว้ในวิธุรปุณณกชาดกว่า:-
‘นักปราชญ์ ย่อมอนุโลมตามกระแสพระราชโองการ มิได้ประพฤติตัดกระแสพระราชโองการ ดุจรางปืน
อนุโลมตามตัวปืน และปี่อนุโลมตามผู้เป่า ฉะนั้น. นักปราชญ์นั้น จึงอยู่ในราชสำนักได้’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งกาเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร กาเป็นสัตว์รังเกียจทั่วและรังเกียจรอบแล้วต่ออันตราย ประกอบด้วยความกลัวภัย เที่ยวอยู่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้รังเกียจต่ออันตราย ประกอบด้วยความกลัวภัย มีสติตั้งมั่น มีอินทรีย์ทั้งหลายสำรวมแล้ว เที่ยวอยู่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถอืเอาองค์ที่แรกแห่งกา.
อนึ่ง กาเห็นโภชนะอันใดอันหนึ่ง ย่อมแบ่งบริโภคด้วยญาติทั้งหลาย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร มิได้หวงลาภทั้งหลายที่เกิดโดยธรรม ได้มาโดยธรรม โดยที่สุด ของที่มีในบาตรบริโภคแต่ผู้เดียว เป็นผู้บริโภคทั่วไปด้วยเพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีศีลทั้งหลายฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งกา.
แม้พระสารีบุตรเถระผู้ธรรมเสนาบดี ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘ถ้าว่า ทายกทั้งหลายน้อมให้ของที่ได้แล้วโดยธรรม แก่เราผู้มีตบะ เราก็แบ่งปันแก่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายแล้ว ภายหลังจึงบริโภค’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งลิง เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ลิงเมื่ออยู่ ย่อมอยู่ที่โอกาสอันควร ต้องไม้ใหญ่ ๆ ที่สงัด กิ่งไม้คลุมในที่ทั้งปวง ที่ป้องกันความกลัว ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องอยู่อาศัยกัลยาณมิตร อาจารย์ ผู้มีความละอาย ผู้มีศีลเป็นที่รัก มีธรรมงาม เป็นพหุสุต ทรงธรรมเป็นที่รัก เป็นผู้ที่ตั้งแห่งความเป็นผู้เคารพ ผู้ทนต่อถ้อยคำ ผู้โอวาท ผู้ให้รู้แจ้ง ผู้แสดง ผู้ชักชวน ผู้ให้กล้าหาญ ผู้ให้ร่าเริง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ต้นแห่งลิง.
อนึ่ง ลิงเที่ยวอยู่ ยืนอยู่ นั่งอยู่ บนต้นไม้, ถ้าหยั่งลงสู่ความหลับ ก็อยู่ตลอดคืนบนต้นไม้นั้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีหน้าเฉพาะสู่ราวป่า ยืน เดิน นั่ง นอน หยั่งลงสู่ความหลับในราวป่านั่นแล, เจริญเนือง ๆ ซึ่งสติปัฏฐานในราวป่านั้น ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งลิง.
แม้พระสารีบุตรเถระผู้ธรรมเสนาบดี ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘ภิกษุจงกรมยืนนั่งนอนในราวป่า ย่อมงาม เพราะว่าราวป่านักปราชญ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้ว’ ดังนี้.”

หัวข้อประจำโฆรสร วรรคนั้น
ลามีเพียงพิลึกหนึ่ง ไก่หนึ่ง กระแตหนึ่ง นางเสือเหลืองหนึ่ง เสือเหลืองหนึ่ง เต่าหนึ่ง ปี่หนึ่ง รางปืนหนึ่ง กาหนึ่ง ลิงหนึ่ง ดังนี้.




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2012, 10:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. onion

อนุโมทนาแล้วๆๆ ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


แม้พุทธพจน์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ทรงภาติไว้ว่า:-
“เมื่อใดบัณฑิตบรรเทาเสียซึ่งความประมาท ด้วยความไม่ประมาท, เมื่อนั้นบัณฑิตนั้นขึ้นสู่
ปราสาท คือ ปัญญา เป็นผู้ไม่มีโศก พิจารณาซึ่งหมู่สัตว์ผู้มีโศก, ผู้มีปัญญา พิจารณาซึ่งคนพาลทั้งหลายราวกะบุคคลผู้ยืนอยู่บนภูเขา แลดูซึ่งชนทั้งหลายผู้ยืนอยู่บนพื้น ฉะนั้น ดังนี้.”
อนึ่ง ภูเขาเป็นของไม่สูงขึ้น ไม่จมลง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องไม่กระทำซึ่งอันฟูขึ้นและเสื่อมลง ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งภูเขา.
แม้นางจูฬสุภัททาอุบาสิกา ผู้ยกย่องสมณะทั้งหลายของตน ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
“สัตว์โลกสูงขึ้นด้วยลาภ, และทรุดลงด้วยเสื่อมลาภ; สมณะทั้งหลายของเรา เป็นผู้มีจิตดำรงอยู่เป็นดวงเดียว ในลาภและเลื่อมลาภ, เป็นผู้มีจิตคงที่ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์ห้าประการแห่งอากาศเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร อากาศอันอะไร ๆ ไม่พึงถือเอาโดยประการทั้งปวง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้อันกิเลสทั้งหลายไม่พึงถือเอาโดยประการทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่แรกแห่งอากาศ.
อนึ่ง อากาศเป็นประเทศอันหมู่ฤษีดาบสภูตและนกสัญจรไป ฉันใด,โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยังใจให้สัญจรไปในสังขารทั้งหลาย โดยมนสิการว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ฉะนี้ ฉันนั้น นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งอากาศ.
อนึ่ง อากาศเป็นที่ตั้งแห่งความสะดุ้งพร้อม ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยังใจให้สะดุ้งในปฏิสนธิในภพทั้งปวง หาควรกระทำความยินดีไม่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งอากาศ.
อนึ่ง อากาศไม่มีที่สุดไม่มีประมาณอันบุคคลไม่พึงนับ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีศีลไม่มีที่สุด มีญาณไม่มีประมาณ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งอากาศ.
อนึ่ง อากาศเป็นประเทศไม่ติดไม่ข้องไม่ตั้งอยู่ ไม่กังวล ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ไม่ติด ไม่ข้อง ไม่ตั้งอยู่ ไม่วังวล ในตระกูล ในคณะ ในลาภ ในที่อยู่ ในเครื่องกังวล ในปัจจัยและกิเลสทั้งปวง ในที่ทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งอากาศ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ เมื่อตรัสสอนพระราหุลผู้พระโอรสของพระองค์ ก็ได้ตรัสไว้ว่า :-
“ดูก่อนราหุล อากาศไม่ได้ตั้งอยู่เฉพาะในที่ไร ๆ ฉันใด, ท่านจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศ ฉันนั้น;เพราะว่าเมื่อท่านเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศ ผัสสะทั้งหลาย ที่ยังใจให้เอิบอาบและไม่ยังใจให้เอิบอาบซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์ห้าประการแห่งพระจันทร์เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร พระจันทร์อุทัยในสุกกปักษ์ ย่อมเจริญด้วยแสงสว่างยิ่งขึ้นทุกที ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเจริญในอาจาระ ศีล คุณ วัตรปฏิบัติในนิกายเป็นที่มา และธรรมอันบุคคลพึงบรรลุ ในอารมณ์เป็นที่วังเวง ในสติปัฏฐาน ในความเป็นผู้มีทวารอันปิดในอินทรีย์ทั้งหลาย ในความเป็นผู้รู้ประมาทในโภชนะในความประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียรแห่งผู้ตื่นยิ่งขึ้นทุกที ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ต้นแห่งพระจันทร์.
อนึ่ง พระจันทร์เป็นนักษัตรอันใหญ่ยิ่งชนิดหนึ่ง ฉันใด โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีฉันทะเป็นใหญ่ยิ่ง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งพระจันทร์.
อนึ่ง พระจันทร์ย่อมจรไปในราตรี ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้สงัดทั่ว ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งพระจันทร์.
อนึ่ง พระจันทร์มีวิมานเป็นธง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีศีลเป็นธง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งพระจันทร์.
อนึ่ง พระจันทร์อันโลกบวงสวงและปรารถนา ย่อมอุทัย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ผู้อันมหาชนบูชาและปรารถนา ก็ต้องเข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลาย ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งพระจันทร์.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้ในสังยุตตนิกายอันประเสริฐว่า:-
“แน่ะภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเป็นผู้เรียบร้อยเหมือนด้วยพระจันทร์ จงสำรวมกาย สำรวมจิต แล้วเข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลาย เป็นผู้ใหม่เป็นนิตย์ อย่าคะนองในตระกูลทั้งหลาย ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์เจ็ดประการแห่งพระอาทิตย์เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร พระอาทิตย์ย่อมยังน้ำทั้งปวงให้เหือดแห้งฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยังกิเลสทั้งหลายให้เหือดแห้ง ไม่ให้เหลืออยู่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งพระอาทิตย์.
อนึ่ง พระอาทิตย์ย่อมกำจัดเสียซึงความมืด ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องกำจัดเสียซึ่งความมืด คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส และทุจริตทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งพระอาทิตย์.
อนึ่ง พระอาทิตย์ย่อมจรไปเนือง ๆ ฉันใด. โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องกระทำโยนิโสมนสิการเนือง ๆ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งพระอาทิตย์.
อนึ่ง พระอาทิตย์มีระเบียบแห่งรัศมี ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียรก็ต้องเป็นผู้มีระเบียบแห่งอารมณ์ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งพระอาทิตย์.
อนึ่ง พระอาทิตย์ยังหมู่มหาชนให้ร้อนพร้อม เดินไปอยู่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยังโลกทั้งปวงให้ร้อนพร้อมด้วยอาจาระ ศีล คุณ วัตรปฏิบัติ และฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สัมมัปปธาน อิทธิบาท ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งพระอาทิตย์.
อนึ่ง พระอาทิตยกลัวแต่ภัย คือ พระราหู เดินไปอยู่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร เห็นสัตว์ทั้งหลายผู้ติดอยู่ในข่ายคือ ทุจริตทุคติกันดารปราศจากความเสมอ วิบาก วินิบาต กิเลส ผู้อันประชุมแห่งทิฏฐิสวมไว้แล้ว ผู้แล่นไปสู่ทางผิด ผู้ดำเนินไปสู่มรรคาผิด ยังใจให้สลด เพราะภัยเกิดแต่ความสลดอันใหญ่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หกแห่งพระอาทิตย์.
อนึ่ง พระอาทิตย์ ย่อมส่องให้เห็นสิ่งดีและชั่วทั้งหลาย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องแสดงอินทรีย์ พละ โพชฌางค์ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท โลกิยธรรม โลกุตตรธรรม ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่เจ็ดแห่งพระอาทิตย์.
แม้พระวังคีสเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
“ภิกษุผู้ทรงธรรม ย่อมยังชนผู้อันอวิชชาปิดบังไว้แล้ว ให้เห็นหนทางมีประการต่าง ๆ เปรียบเหมือนพระอาทิตย์อุทัย สำแดง รูปอันสะอาดและไม่สะอาด ดีและชั่ว แก่สัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้นดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สามประการแห่งทัาวสักกะเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ท้าวสักกะอิ่มด้วยความสุขส่วนเดียวฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ยินดียิ่งในสุขเกิดแต่ความสงัดทั่วแห่งกายใจส่วนเดียว ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งท้าวสักกะ.
อนึ่ง ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นเทพดาทั้งหลายแล้ว ทรงประคองความเห็นนั้นไว้ ยังความร่าเริงให้เกิดยิ่ง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องประคองใจซึ่งไม่หดหู่ ไม่เกียจคร้าน ในกุศลธรรมทั้งหลาย ยังความร่าเริงให้เกิดยิ่งในกุศลธรรมทั้งหลาย หมั่นสืบต่อพยายามในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉะนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งท้าวสักกะ.
อนึ่ง ความไม่ยินดียิ่ง ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ท้าวสักกะ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องไม่ให้ความไม่ยินดียิ่งในสุญญาคารเกิดขึ้น ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งท้าวสักกะ.
แม้พระสุภูติเถระ ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
“ข้าแต่พระองค์ผู้กล้าใหญ่ เมื่อใด ข้าพระองค์บวชแล้วในศาสนาของพระองค์, เมื่อนั้น ข้าพระองค์ย่อมทรงสงเคราะห์มหาชน ด้วยวัตถุเครื่องสงเคราะห์ทั้งสี่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยึดเหนี่ยวน้ำใจ ต้องอนุเคราะห์น้ำใจของบริษัทสี่ ต้องชวนใจของบริษัทสี่ให้รื่นเริง ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ.
อนึ่ง โจรทั้งหลายย่อมไม่ตั้งซ่องสุมขึ้นในแว่นแคว้น แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องไม่ให้กามราค พยาบาท วิหิงสา วิตก เกิดขึ้นได้ ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ทรงภาสิตไว้ว่า:-
“ผู้ใดยินดีแล้วในธรรมเป็นที่เข้าไประงับวิตก เป็นผู้มีสติเจริญอสุภารมณ์ในกาลทั้งปวง, ผู้นั้นแลกระทำซึ่งที่สุดแห่งกองทุกข์ ผู้นั้นตัดเครื่องผูกแห่งมาร ดังนี้.”
อนึ่ง พระเจ้าจักรพรรดิทรงเลียบมหาปฐพี มีมหาสมุทรเป็นที่สุดรอบ ทรงวิจารณ์การดีการชั่วทั้งหลาย ทุกวัน ๆ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องพิจารณากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทุกวัน ๆ ว่า ‘เมื่อเราอันบัณฑิตไม่พึงติเตียนได้ด้วยเหตุที่ตั้งสามเหล่านี้วันย่อมเป็นไปล่วงหรือหนอแล’ ดังนี้ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ทรงภาสิตไว้ในเอกังคุตตรนิกายอันประเสริฐว่า:-
“บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า เมื่อเราเป็นอยู่อย่างไร วันและคืนทั้งหลายเป็นไปล่วงอยู่” ดังนี้.
อนึ่ง ความรักษาทั่วในภายในและภายนอก เป็นของอันพระเจ้าจักรพรรดิทรงจัดดีแล้ว ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องตั้งไว้ซึ่งนายประตู กล่าวคือ สติ เพื่ออันรักษาทั่วซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เป็นไปในภายในและภายนอก ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ทรงภาสิตไว้ว่า:-
“แน่ะภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเป็นผู้มีสติดุจนายประตู ละเสียซึ่งอกุศล ยังกุศลให้เจริญ, ละเสียซึ่งกรรมมีโทษอันบัณฑิตพึงเว้น ยังกรรมไม่มีโทษอันบัณฑิตไม่พึงเว้นให้เจริญ, ย่อมรักษาตนกระทำให้บริสุทธิ์” ดังนี้.

หัวข้อประจำจักกวัตติวรรคนั้น

แผ่นดินหนึ่ง น้ำหนึ่ง ไฟหนึ่ง ลมหนึ่ง ภูเขาหนึ่ง อากาศหนึ่ง พระจันทร์หนึ่ง พระอาทิตย์หนึ่ง ท้าวสักกะหนึ่ง พระเจ้าจักรพรรดิหนึ่ง.

กุญชร วรรคที่สี่

พระราชาตรัสถามว่า “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งปลวกเป็นไฉน?”
พระเถรเจ้าทูลว่า “ขอถวายพระพร ปลวกทำเครื่องปิดบังข้างบนปกปิดตนเที่ยวหากินอยู่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องทำเครื่องปิดบัง กล่าวคือ ศีลสังวร ปกปิดใจเที่ยวอยู่เพื่อบิณฑาหารฉันนั้น. ขอถวายพระพร โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ย่อมเป็นผู้ก้าวล่วงภัยทั้งปวงได้ด้วยเครื่องปิดบัง คือ ศีลสังวรแล. นี้แล ต้องถือเอาองค์ประการหนึ่งแห่งปลวก.
แม้คำนี้ พระอุปเสนเถระผู้บุตรวังคันตพราหมณ์ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
“ผู้ประกอบความเพียร ทำใจให้มีศีลสังวรเป็นเครื่องปิดบังเป็นผู้อันโลกทาไล้ไม่ได้แล้ว ก็ย่อมพ้นรอบจากภัย ดังนี้”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งแมวเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร แมวไปสู่ถ้ำ ไปสู่โพรงไม้ หรือไปสู่ภายในเรือน ย่อมแสวงหาหนูเท่านั้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียรไปสู่บ้าน ไปสู่ป่า ไปสู่โคนไม้ หรือไปสู่สุญญาคาร ก็ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทแล้วเนือง ๆ แสวงหาโภชนะ กล่าวคือ กายคตาสติอย่างเดียวฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งแมว.
อนึ่ง แม้ย่อมหากินในที่ใกล้เท่านั้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้เห็นความเกิดและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ห้าเหล่านี้อยู่ทุกอริยาบถว่า ‘รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างนี้ ๆ , ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างนี้ ๆ, ความดับไปแห่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างนี้ ๆ’ ดังนี้. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งแมว.
แม้พระพุทธพจน์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ทรงภาสิตไว้ว่า:-
“ขันธบัญจกไม่พึงมีไม่พึงเป็น ในที่ไกลแต่ที่นี้, ที่สุดของความมีความเป็นแห่งขันธบัญจก จักทำอะรได้, ท่านทั้งหลายประสพอยู่ในกายเป็นของตน อันเกิดข้นเฉพาะหน้า อันนำไปวิเศษ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งหนูเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร หนูวิ่งไปข้างโน้นข้างนี้ หวังต่ออาหารเท่านั้น วิ่งไปอยู่ ฉันใด,โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้ เป็นผู้หวังต่อโยนิโสมนสิการเท่านั้น ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ประการหนึ่งแห่งหนู.
แม้พระอุปเสนเถระวังคันตบุตร ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
“ผู้มีปัญญาเห็นแจ้งกระทำความมุ่งหวังธรรมอยู่ มิได้ย่อหย่อนเป็นผู้ข้าระงับแล้ว มีสติอยู่ทุกเมื่อ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งแมลงป่องเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร แมลงป่องมีหางเป็นอาวุธ ชูหางเที่ยวไปอยู่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีญาณเป็นอาวุธ ยกญาณขึ้นอยู่ทุกอิริยาบถ ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งแมลงป่อง.
แม้พระอุปเสนเถระคันตบุตร ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
“ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง ถือเอาพระขรรค์กล่าว คือ ญาณเที่ยวอยู่ย่อมพ้นจากสรรพภัยอันตราย, และผู้มีปัญญาเห็นแจ้งนั้น ยากที่ใคร ๆ จะผจญได้ในภพ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งพังพอนเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร พังพอนเมื่อเข้าใกล้งู เกลือกกายด้วยยาแล้ว จึงเข้าใกล้เพื่อจะจับงู ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียรเมื่อเข้าใกล้โลกผู้มีความโกรธความอาฆาตมาก ผู้อันความทะเลาะถือเอาต่าง กล่าวแก่งแย่ง ความยินย้ายครอบงำแล้ว ก็ต้องลูบทาน้ำใจด้วยยากล่าวคือเมตตาพรหมวิหาร ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งพังพอน.
แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
“ด้วยเหตุนั้น กุลบุตรควรกระทำเมตตาภาวนาแก่ตนและคนอื่น, กุลบุตรควรแผ่ไปด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา ข้อนี้เป็นคำสั่งสอนแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย” ดังนี้.
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งสุนัขจิ้งจอกแก่เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพระ สุนัขจิ้งจอกแก่ได้โภชนะแล้ว ไม่เกลียดกินจนพอต้องการ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ได้โภชนะแล้วก็มิได้เกลียด บริโภคสักว่ายังสรีระให้เป็นไปนั่นเทียว, ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ต้นแห่งสุนัขจิ้งจอกแก่.
แม้พระมหากัสสปเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
“ข้าพเจ้าลงจากเสนาสนะเข้าไปบ้านเพื่อบิณฑบาต; ข้าพเจ้าบำรุงบุรุษผู้มีโรคเรื้อนผู้บริโภคอยู่นั้นโดยเคารพ. บุรุษนั้นน้อมคำข้าวไปด้วยมือของข้าพเจ้า, เมื่อข้าพเจ้าป้อนคำข้าวอยู่ บุรุษนั้นงับเอานิ้วมือของข้าพเจ้าไว้ในปากนั้น. ข้าพเจ้าอาศัยประเทศเป็นที่ตั้งแห่งฝาเรือน จักบริโภคคำข้าว; ในเมื่อคำข้าวที่ข้าพเจ้าบริโภคอยู่หรือบริโภคแล้ว ความเกลียดย่อมไม่มีแก่ข้าพเจ้า ดังนี้.”
อนึ่ง สุนัขจิ้งจอกแก่ได้โภชนะแล้ว มิได้เลือกกว่าเศร้าหมองหรือประณีต ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ได้โภชนะแล้วก็ไม่ต้องเลือกว่าเศร้าหมองหรือประณีต บริบูรณ์หรือไม่บริบูรณ์ ยินดีตามมีตามที่ได้มาอย่างไร ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์สองแห่งสุนัขจิ้งจอกแก่.
แม้พระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
“เรายินดีตามมีแม้ด้วยของเศร้าหมอง ไม่ปรารถนารสอื่นมาก, เมื่อเราไม่ละโมบในรสทั้งหลาย ใจของเราก็ย่อมยินดีในฌาน, ในเมื่อเรายินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ คุณเครื่องเป็นสมณะของเราย่อมเต็มรอบ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สามประการแห่งเนื้อเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร เวลากลางวันเนื้อย่อมเที่ยวไปในป่า เวลากลางคืนย่อมเที่ยวไปในกลางแจ้ง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร เวลากลางวันพึงอยู่ในป่า เวลากลางคืนอยู่ในที่แจ้ง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งเนื้อ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสไว้ในโลมหังสนะปริยายว่า:-
“ดูก่อนสารีบุตร ราตรีทั้งหลายนั้นใด เย็นเป็นไปในเหมันตฤดู ในราตรีทั้งหลายเห็นปานนั้น ณ สมัยเป็นที่ตกแห่งน้ำค้าง เรานั้นแลสำเร็จอิริยาบถอยู่ในอัพโภกาสในราตรี สำเร็จอิริยาบถอยู่ในราวป่าในกาลวัน, ในเดือนมีในภายหลังแห่งคิมหฤดูเราสำเร็จอิริยาบถอยู่ในอัพโภกาสในกลางวัน, เราสำเร็จอิริยาบถอยู่ในราวป่าในราตรี ดังนี้.”
อนึ่ง เนื้อในเมื่อหอกหรือศรตกลงอยู่ ย่อมหลบ ย่อมหนีไป ย่อมไม่นำกายเข้าไปใกล้ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ในเมื่อกิเลสทั้งหลายตกลงอยู่ ก็ต้องหลบ ต้องหนีไป ต้องไม่น้อมจิตเข้าไปใกล้ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งเนื้อ.
อนึ่ง เนื้อเห็นมนุษย์ทั้งหลายย่อมหนีไปเสียทางใดทางหนึ่งด้วยคิดว่า ‘มนุษย์เหล่านั้นอย่าได้เห็นเราเลย’ ฉะนี้ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร เห็นชนทั้งหลายผู้มีปกติบาดหมางกัน ทะเลาะกัน แก่งแย่งกัน วิวาทกัน ผู้ทุศีล ผู้เกียจคร้าน ผู้มีความยินดีในความคลุกคลี ก็ต้องหนีไปเสียทางใดทางหนึ่ง ด้วยคิดว่า ‘ชนเหล่านั้นอย่าได้พบเราเลย, และเราก็อย่าได้พบชนเหล่านั้นเลย’ ฉะนี้ ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งเนื้อ.”
แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
“บางทีบุคคลมีความปรารถนาลามกเกียจคร้าน มีความเพียรอันละแล้ว มีพุทธวจนะสดับน้อย ผู้ประพฤติไม่ควร อย่าได้พบเราในที่ไร ๆ เลย” ดังนี้.
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สี่ประการแห่งโคเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร โคย่อมไม่ละที่อยู่ของตน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องไม่ละกายของตนโดยโยนิโสมนสิการว่า “กายนี้ไม่เที่ยง ต้องอบกลิ่น นวดฟั้น มีความสลาย เรี่ยรายกระจัดกระจายเป็นธรรมดา’ ดังนี้ ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์เป็นปฐมแห่งโค.”
อนึ่ง โคเป็นสัตว์มีแอกอันรับไว้แล้วย่อมนำแอกไปโดยง่ายและยาก ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีพรหมจรรย์อันถือไว้แล้ว ประพฤติพรหมจรรย์มีชีวิตเป็นที่สุดจนถึงสิ้นชีวิต โดยง่ายและโดยยาก ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งโค.
อนึ่ง โคเมื่อสูดดมตามความพอใจ จึงดื่มกินซึ่งน้ำควรดื่ม ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องสูดดมตามความพอใจ ตามความรัก ตามความเลื่อมใส รับเอาคำพร่ำสอนของอาจารย์และอุปัชฌาย์ ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งโค.
อนึ่ง โคอันบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งขับไปอยู่ ก็ย่อมทำตามถ้อยคำ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องรับโอวาทานุสาสนีของภิกษุผู้เถระผู้ใหม่ ผู้ปานกลาง และของคฤหัสถ์ผู้อุบาสก ด้วยเศียรเกล้าฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งโค.
แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ก็ได้ภาสิตไว้ว่า:-
“กุลบุตรบวชในวันนั้น มีปีเจ็ดโดยกำเนิด, แม้ผู้นั้นพร่ำสอนเรา เราก็ต้องรับไว้เหนือกระหม่อม. เราเห็นแล้ว พึงตั้งไว้ซึ่งความพอใจและความรักอันแรงกล้าในบุคคลนั้น, พึงนอบน้อมบุคคลนั้นเนือง ๆ โดยเอื้อเฟื้อในตำแหน่งอาจารย์ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งสุกรเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร สุกรเมื่อถึงคิมหฤดูเป็นคราวเร่าร้อน ย่อมเข้าไปหาน้ำ ฉันใด,โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ครั้นเมื่อจิตขุ่นมัว พลั้งพลาด เหหวน เร่าร้อนด้วยโทสะ ก็ต้องเข้าไปใกล้ซึ่งเมตตาภาวนา ซึ่งเป็นของเยือกเย็น เป็นของไม่ตาย เป็นของประณีตฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งสุกร.
อนึ่ง สุกรเข้าไปใกล้น้ำตมแล้ว คุ้ยขุดดินด้วยจมูกกระทำให้เป็นปลักนอนในปลักนั้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องวางกายไว้ในใจ ไปในระหว่างอารมณ์นอนอยู่ ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งสุกร.
แม้พระปิณโทลภารทวาชเถระ ก็ได้กล่าไว้ว่า:-
“ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง เห็นความเป็นเองในกายแล้ว พิจารณาแล้ว เป็นผู้เดียวไม่มีเพื่อนที่สองนอนในระหว่างอารมณ์ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์ห้าประการแห่งช้างเป็นไฉน?”
ถ.”ขอถวายพระพร ธรรมดาช้าง เมื่อเที่ยวไป ย่อมทำลายแผ่นดิน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียรก็ต้องพิจารณากายทำลายกิเลสทั้งปวงเสีย ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งช้าง.
อนึ่ง ช้างไม่เหลียวด้วยกายทั้งปวง ย่อมเพ่งดูตรงนั่นเทียว มิได้เลือกทิศน้อยทิศใหญ่ ฉันใด,โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องไม่เหลียวด้วยกายทั้งปวง ไม่เลือกทิศน้อยทิศใหญ่ ไม่แหงนขึ้นข้างบน ไม่ก้มลงข้างล่าง เป็นผู้เพ่งแลไกลชั่วแอก ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งช้าง.
อนึ่ง ช้างไม่ได้นอนเป็นนิตย์ ไปหาอาหารเนือง ๆ ย่อมไม่เข้าถึงซึ่งประเทศนั้นเพื่อจะอยู่ มิได้มีอาลัยในที่อาศัยแน่นอน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มิได้นอนเป็นนิตย์ มิได้มีที่อยู่ ไปเพื่อบิณฑบาต ถ้าว่าเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง เห็นมณฑปมีในประเทศอันงดงาม หรือโคนไม้ ถ้ำ เงื้อม เป็นที่ฟูใจสมควร ก็เข้าอาศัยอยู่ในที่นั้น แต่หากระทำความอาลัยในที่อาศัยแน่นอนไม่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งช้าง.
อนึ่ง ช้างลงสู่น้ำก็ลงสู่สระบัวใหญ่ ๆ ซึ่งบริบูรณ์ด้วยน้ำอันสะอาดไม่ขุ่นและเย็น ดาดาษแล้วด้วยกุมาท อุบล ปทุม ปุณฑริก เล่นอย่างช้างอันประเสริฐ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องลงสู่สระโบกขรณีอันประเสริฐ กล่าวคือ มหาสติปัฏฐาน ซึ่งเต็มแล้วด้วยน้ำ กล่าวคือ ธรรมอันประเสริฐ อันสะอาด ไม่หม่นหมอง ผ่องใส มิได้ขุ่นมัว ดาดาษด้วยดอกไม้ กล่าวคือ วิมุตติ ล้างขัดสังขารทั้งหลายด้วยญาณปรีชา เล่นอย่างโยคาวจร ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งช้าง.
อนึ่ง ช้างยกเท้าขึ้นก็มีสติ จดเท้าลงก็มีสติ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยกเท้าขึ้นด้วยสติสัมปชัญญะ จดเท้าลงด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะในเวลาก้าวไปและก้าวกลับคู้อวัยวะเข้าและออกในที่ทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งช้าง.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ตรัสไว้ในสังยุตตนิกายอันประเสริฐว่า:-
‘ความสำรวมด้วยกายเป็นคุณยังประโยชน์ให้สำเร็จ, ความสำรวมด้วยวาจาเป็นคุณยังประโยชน์ให้สำเร็จ, ความสำรวมด้วยใจเป็นคุณยังประโยชน์ให้สำเร็จ, ความสำรวมในที่ทั้งปวงเป็นคุณยังประโยชน์ให้สำเร็จ, บุคคลผู้สำรวมในที่ทั้งปวง นักปราชญ์กล่าวว่า ‘ผู้มีความละอาย มีไตรทวารรักษาแล้ว’ ดังนี้.”

หัวข้อประจำกุญชรวรรคนั้น
ปลวกหนึ่ง แมวหนึ่ง หนูหนึ่ง แมลงป่องหนึ่ง พังพอนหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกหนึ่ง เนื้อหนึ่ง โคหนึ่ง สุกรหนึ่ง ช้างหนึ่ง เป็นสิบ ฉะนี้.


สีห วรรคที่ห้า

พระราชาตรัสถามว่า “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์เจ็ดประการแห่งราชสีห์ เป็นไฉน?”
พระเถรเจ้าทูลว่า “ขอถวายพระพร ธรรมดาราชสีห์เป็นสัตว์ขาวไม่หม่นหมอง หมดจดสะอาด ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีจิตขาว ไม่หม่นหมอง บริสุทธิ์ผุดผ่อง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งราชสีห์.
อนึ่ง ราชสีห์มีเท้าสี่เป็นเครื่องเที่ยวไป มักเที่ยวไปด้วยลีลาศ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีอิทธิบาทสี่เป็นเครื่องเที่ยวไป ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งราชสีห์.
อนึ่ง ราชสีห์เป็นสัตว์มีผมงอกงามมีรูปอันยิ่ง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีผม กล่าวคือศีลงาม มีรูปอันยิ่งฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งราชสีห์.
อนึ่ง ราชสีห์ย่อมไม่นอบน้อมแก่สัตว์ไร ๆ แม้เพราะต้องเสียชีวิต ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ไม่นอบน้อมแก่ใคร ๆ แม้เพราะจะต้องเสีย จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยาเป็นปัจจัยแห่งคนไข้เป็นบริขาร ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งราชสีห์.
อนึ่ง ราชสีห์เป็นสัตว์มีภักษามิได้ขาด ย่อมบริโภคเนื้อสัตว์ในโอกาสที่สัตว์นั้นล้มนั่นแหละจนพอต้องการ มิได้เลือกบริโภคเนื้อล่ำของสัตว์ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีภักษามิได้ขาด มิได้เลือกตระกูลทั้งหลาย มิได้ละเรือนต้นเข้าไปใกล้ตระกูลทั้งหลาย บริโภคพอยังสรีระให้เป็นไป ในโอกาสเป็นที่รับโภชนะนั่นเอง มิได้เลือกโภชนะอันเลิศ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งราชสีห์.
อนึ่ง ราชสีห์มิได้มีภักษาหารสะสมไว้ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีความบริโภคมิได้กระทำความสะสมไว้ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หกแห่งราชสีห์.
อนึ่ง ราชสีห์มิได้อาหารก็ไม่ได้ดิ้นรน ถึงได้อาหารก็ไม่โลภ ไม่หมกมุ่น ไม่ทะยานกินฉันใด,โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ไม่ได้โภชนะก็ต้องไม่ดิ้นรน ถึงได้โภชนะก็ต้องไม่โลภ ไม่หมกมุ่น ไม่ทะยาน เห็นอาทีนพอยู่เป็นปกติ มีปัญญาเป็นเหตุออกไปจากภพ บริโภคอยู่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่เจ็ดแห่งราสีห์.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงสรรเสริญพระมหากัสสปเถระก็ได้ตรัสไว้ในสังยุตตนิกายอันประเสริฐว่า:-
“แน่ะภิกษุทั้งหลาย กัสสปนี้เป็นผู้สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ และมีปกติกล่าวคุณของการสันโดา ด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ ย่อมไม่ถึงความแสวงหาไม่ควร และกรรมไม่สมควร เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต ไม่ได้บิณฑบาตก็ไม่ดิ้นรนถึงได้บิณฑบาตก็ไม่โลภ ไม่หมกมุ่น ไม่ทะยาน เห็นอาทีนพอยู่เป็นปกติ มีปัญญาเป็นเหตุออกไปจากภาพ บริโภคอยู่’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สามประการแห่งนกจากพราก เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร นกจากพรากย่อมไม่ละทิ้งนางนกตัวที่เป็นภริยาจนตลอดชีวิต ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็มิได้ละทิ้งความกระทำในใจโดยอุบายที่ชอบ จนตลอดชีวิต ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งนกจากพราก.
อนึ่ง นกจากพรากมีสาหร่ายและแหนเป็นภักษา ย่อมถึงความเต็มใจด้วยสาหร่ายและแหนนั้น และไม่เสื่อมจากกำลังและพรรณเพราะความเต็มใจนั้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องทำความเต็มใจตามลาภที่ได้ ฉันนั้น. ก็โยคาวจรผู้ประกอบความเพียรเป็นผู้เต็มใจตามลาภที่ได้ ก็ไม่เสื่อมจากศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ และมิได้เสื่อมจากสรรพกุศลธรรมทั้งหลาย. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งนกจากพราก.
อนึ่ง นกจากพรากย่อมไม่เบียดเบียนสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีทัณฑะอันละทิ้งแล้ว มีศัสตราอันละทิ้งแล้ว มีความละอาย ถึงพร้อมด้วยความเอ็นดู มีปกติอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ในสัตว์มีชีวิตทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งนกจากพราก.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพดิเทพ ก็ได้ทรงภาสิตไว้ ในจักกะวากชาดกว่า:-
“ผู้ใดไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่า ไม่ผจญ ไม่ว่ากล่าว, เวรของผู้นั้น
ย่อมไม่มีกับใคร ๆ เพราะอันไม่เบียดเบียนในสัตว์ทั้งปวง’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งนางนกเงือก เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร นางนกเงือกย่อมไม่เลี้ยงลูกทั้งหลายเพราะริษยาในผัวของตน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องหวงห้ามกิเลสทั้งหลายอันเกิดขึ้นในใจตนเสีย ใส่เข้าซึ่งกิเลสทั้งหลายในโพรงไม้ กล่าวคือ ความสำรวมโดยชอบด้วยสติปัฏฐานแล้วยังกายคตาสติให้เจริญในมโนทวาร ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งนางนกเงือก.
อนึ่ง นางนกเงือกเที่ยวหาอาหารที่ป่าใหญ่ตลอดทั้งวัน เวลาเย็นก็กลับมายังฝูงนกเพื่อความรักษาซึ่งตน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ผู้เดียว เสพที่อันสงัดทั้งเพื่อความพ้นรอบจากสังโยชนธรรม, เมื่อไม่ได้ความยินดีในที่สงัดทั่วนั้น พึงกลับสู่สังฆมณฑล เป็นผู้อันสงฆ์รักษาแล้วอยู่ เพื่ออันป้องกันซึ่งภัย คือ ความถูกว่าได้ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งนางนกเงือก.
แม้คำนี้ท้าวสหัมบดีพรหม ก็ได้กราบทูลในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า:-
“เสพที่นอนที่นั่งอันสงัดทั้งหลาย, ประพฤติเพื่อความพ้นวิเศษจากสังโยชนธรรม; ถ้าไม่ถึงทับความยินดีในเสนาสนะเหล่านั้น, จงเป็นผู้มีตนอันรักษาแล้ว มีสติอยู่ในสังฆมณฑล ดังนี้”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งนกพิราบเรือนเป็นไฉน?”
ถ. ขอถวายพระพร นกพิราบเรือนเมื่ออยู่ที่เรือนของชนอื่นย่อมไม่ถือเอานิมิตหน่อยหนึ่งแห่งเข้าของ แห่งชนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสัตว์มัธยัสถ์หมายรู้มากอยู่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียรเข้าไปสู่ตระกูลอื่น ก็ต้องไม่ถือเอานิมิตในเตียง ตั่ง ผ้า เครื่องประดับ เครื่องอุปโภค เครื่องบริโภค หรือโภชนะวิกัติทั้งหลายของสตรีหรือบุรุณ เป็นผู้มัธยัสถ์ เข้าไปตั้งไว้เฉพาะซึ่งความสำคัญว่าเราเป็นสมณะฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งนกพิราบเรือน.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ทรงภาสิตไว้ ในจูฬนารทชาดก:- ว่า
‘เข้าไปสู่ตระกูลแล้ว พึงเคี้ยวกิตแต่พอประมาณ บรรดาน้ำควรดื่มทั้งหลาย หรือโภชนะทั้งหลายพึงเคี้ยวกินแต่พอประมาณ พึงบริโภคแต่พอประมาณ, และอย่ากระทำซึ่งใจในรูป’ ดังนี้”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งนกเค้า เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร นกเค้าโกรธกาทั้งหลาย พอเวลากลางคืนก็ไปยังฝูงกาแล้วฆ่ากาเสียเป็นอันมาก ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องกระทำความยินร้ายต่ออญาณความไม่รู้เท่าเสีย เป็นผู้ ๆ เดียวนั่ง ณ ที่ลับย่ำยีอญาณ ตัดเสียตั้งแต่รากเง่า ฉันนั้น.นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งนกเค้า.
อนึ่ง นกเค้าเป็นสัตว์หลีกเร้นอยู่ ณ ที่ลับ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีที่สงัดเป็นที่มารื่นรมย์ ยินดีแล้วในการหลีกเร้นอยู่ ฉันนั้น, นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งนกเค้า.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสไว้ ในสังยุตตนิกายอันประเสริฐว่า:-
‘แน่ะภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีที่สงัดเป็นที่มารื่นรมย์ ยินดีในความหลีกเร้นอยู่ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า ‘อันนี้เป็นทุกข์ อันนี้เป็นสมุทัย อันนี้เป็นนิโรธ อันนี้เป็นมรรค’ ดังนี้.”





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 09:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:

อนุโมทนาแล้วๆๆ ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 06:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งนกสตปัตตะ เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร นกสตปัตตะร้องขึ้นและย่อมบอกสุขเกษมหรือทุกข์ภัยให้เป็นนิมิตแก่ชนทั้งหลายอื่น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร เมื่อสำแดงธรรมแก่ชนทั้งหลายอื่น ก็ต้องสำแดงวินิบาตโดยความเป็นทุกข์ภัย แสดงนิพพานโดยความเป็นสุขเกษม ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ประกอบหนึ่งแห่งนกสตปัตตะ.
แม้พระปิโณโฑลภารทวาชเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘ผู้ประกอบความเพียร ควรจะแสดงซึ่งเนื้อความสองอย่างนี้ คือ ความน่ากลัว น่าสะดุ้งในนรก ความสุขอันไพบูลในนิพพาน’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งค้างคาว เป็นไฉน?”
ถ. ขอถวายพระพร ค้างคาวเข้าไปสู่เรือน เที่ยวไปแล้วก็ออกไป ไม่กังวลอยู่ในเรือนนั้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน เที่ยวไปตามลำดับตรอก ได้บิณฑบาตแล้วก็กลับทันที มิได้กังวลอยู่ในบ้านนั้น ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งค้างคาว.
อนึ่ง ค้างคาวเมื่ออยู่ที่เรือนของชนอื่น ไม่ไดทำความเสื่อมแก่ชนเหล่านั้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร เข้าไปสู่ตระกูลแล้วก็ต้องไม่ทำความเดือดร้อนหน่อยหนึ่งแก่ชนเหล่านั้น ด้วยการรบกวนเขาเหลือเกิน ด้วยความเป็นผู้ขอเขามาก ด้วยความเป็นผู้มีโทษเกิดแต่กายมาก ด้วยความเป็นผู้ช่างพูดเหลือเกิน หรือด้วยความเป็นผู้มีสุขและทุกข์ร่วมด้วยเขา, และไม่ยังการงานอันเป็นที่ตั้งแห่งทรัพญ์สมบัติของชนเหล่านั้นให้เสื่อมเสียไป ปรารถนาความเจริญอย่างเดียวโดยประการทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งค้างคาว.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสไว้ในลักขณสูตร ในทีฆนิกายอันประเสริฐว่า:-
‘บุคคลปรารถนาอยู่ว่า ‘ไฉนชนเหล่าอื่นไม่พึงเสื่อมจากศรัทธา ศีล สุตะ ปัญญา จาคะ กรรมที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จเป็นอันมาก ทรัพย์ ข้าวเปลือก นาและที่ดิน บุตรทั้งหลาย ภริยาทั้งหลาย เหล่าสัตว์สี่เท้า เหล่าญาติ เหล่ามิตร เหล่าพวกพ้อง กำลัง พรรณ สุข, ฉะนี้, และจำนงหวังความมั่นคั่ง ความสำเร็จแห่งประโยชน์’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งปลิง เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ปลิงเกาะที่อวัยวะใด ก็เกาะแน่นในอวัยวะนั้น ดื่มโลหิตอยู่ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร หน่วงจิตไว้ในอารมณ์ใด ก็ต้องตั้งอารมณ์นั้นไว้ให้มั่น โดย วรรณ สัณฐาน ทิศ โอกาส ปริจเฉท ลิงค์ และนิมิต ดื่มรส คือ วิมุตติอันไม่เจือกิเลส ด้วยอารมณ์นั้น ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ประกอบหนึ่งแห่งปลิง.
แม้พระอนุรุทธเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘บุคคลมีจิตบริสุทธิ์ ตั้งอยู่เฉพาะในอารมณ์ พึงดื่มรส คือ วิมุตติอันไม่เจือกิเลส ด้วยจิตนั้น’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สามประการแห่งงูเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร งูย่อมเลื้อยไปด้วยอก ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเที่ยวอยู่ด้วยปัญญา; เมื่อโยคาวจรเที่ยวอยู่ด้วยปัญญา จิตก็เที่ยวอยู่ในมรรคาอันนำออกไปจากภพ เว้นสิ่งที่ไม่มีเครื่องหมายเสีย ยังสิ่งที่มีเครื่องหมายให้เจริญ ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่ต้นแห่งงู.
อนึ่ง งูเมื่อเที่ยวไป เว้นยาเสียเที่ยวไปอยู่ ฉันใด,โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเว้นทุจริตเสียเที่ยวอยู่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งงู.
อนึ่ง งูเห็นมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมเดือดร้อน เศร้าโศก เสียใจ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ตรึกถึงความตรึกอันชั่วแล้วยังความไม่ยินดีให้เกิดขึ้นแล้วก็ต้องเดือดร้อน เศร้าโศกเสียใจว่า วันแห่งเราเป็นไปล่วงแล้วด้วยความประมาท วันที่เป็นไปล่วงแล้วนั้น เราไม่อาจได้อีก, ฉะนี้ ฉันนั้น.
แม้กินนรทั้งสอง ก็ได้กล่าวไว้ ในภัลลาฏิยชาดกว่า:-
‘แน่ะนายพราน เราทั้งสองอยู่ปราศจากกันสิ้นราตรีหนึ่ง อันใด เราทั้งสองไม่อยากจะพลัดพรากกัน ระลึกถึงกันอยู่ เดือดร้อนเนือง ๆ เศร้าโศกถึงกันสิ้นราตรีหนึ่ง อันนั้น. ราตรีนั้นจักมีอีกไม่ได้’ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งงูเหลือม เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร งูเหลือมเป็นสัตว์มีกายใหญ่ มีท้องพร่องขัดสนอาหาร ย่อมไม่ได้อาหารสักว่าพอเต็มท้อง สิ้นวันเป็นอันมากเป็นสัตว์ไม่บริบูรณ์ด้วยอาหาร ย่อมประทังไปเพียงแต่อาหารสักว่ายังสรีระให้เป็นไป ฉันใด, เมื่อโยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ขวนขวายเพื่อภิกขาจารวัตร เข้าไปใกล้บิณฑะของบุคคลอื่น มีความมุ่งหมายบิณฑะอันบุคคลอื่นให้แล้ว เว้นเสียจากความถือเอาเอง ก็ยากที่จะได้อาหารให้เพียงพอ, ถึงกระนั้น กุลบุตรผู้เป็นไปในอำนาจประโยชน์ก็ไม่บริโภคคำข้าวสี่ห้าคำ ยังกระเพาะให้เต็มด้วยน้ำแทนคำข้าวที่เหลือนั้น ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ประการหนึ่งแห่งงูเหลือม.
แม้พระสารีบุตรเถระผู้ธรรมเสนาบดี ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘ภิกษุเมื่อบริโภคของสดหรือของแห้งก็มิให้อิ่มนัก เป็นผู้มีอุทรพร่อง มีอาหารพอประมาณ มีสติเว้นเสีย ไม่บริโภค คำข้าวสี่ห้าคำ ดื่มน้ำแทน การประพฤตินั้นเป็นของควรเพื่อวิหารธรรมอันสำราญ แห่งภิกษุผู้มีจิตส่งไปแล้ว’ ดังนี้.”

หัวข้อประจำสีหวรรคนึ่ง

ราชสีห์หนึ่ง นกจากพรากหนึ่ง นางนกเงือกหนึ่ง นกพิราบเรือนหนึ่ง นกเค้าหนึ่ง นกสตปัตตะหนึ่ง ค้างคาวหนึ่ง ปลิงหนึ่ง งูหนึ่ง งูเหลือมหนึ่ง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าวรรค.


มักกฎ วรรคที่หก

พระราชาตรัสถามว่า “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งแมลงมุมชักใยใกล้ทาง เป็นไฉน?”
พระเถรเจ้าทูลว่า “ขอถวายพระพร แมลงมุมชักใยใกล้ทางนั้น ชักใยดุจเพดานไว้ใกล้ทางแล้ว, ถ้าว่าหนอนหรือแหลงหรือบุ้งมาติดที่ใยนั้น, ก็จับเอาสัตว์มีหนอนเป็นต้นนั้นกิน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องทำใย คือ สติปัฏฐานให้เป็นดุจเพดาน ที่ทวารทั้งหก ถ้าว่าแมลงกล่าวคือกิเลสมาติดที่ใยนั้น, ก็ฆ่าเสียที่ใยนั้น ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ประการหนึ่งแห่งแมลงมุมชักใยใกล้ทาง.
แม้พระอนุรุทธเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘สติปัฏฐานอันประเสริฐสูงสุด เป็นดุจเพดานในทวารทั้งหก กิเลสทั้งหลายมาติดในเพดาน คือ สติปัฏฐานนั้น ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง พึงฆ่ากิเลสนั้นเสีย’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งทารกกินนม เป็นไฉน?”
ถ. ขอถวายพระพร ทารกกินนมย่อมข้องอยู่ในประโยชน์ของตน อยากนมก็ร้องไห้ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องข้องอยู่ในประโยชน์ของตน เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องรู้ ในอุทเทส ปริปุจฉา สัมมาประโยค ที่สงัดทั่ว ความอยู่รวมด้วยบุคคลผู้ควรเคารพ ความคบกับกัลยาณมิตร ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ประการหนึ่งแห่งทารกกินนม.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสไว้ในปรินิพพานสูตร ในทีฆนิกายอันประเสริฐว่า:-
‘ดูก่อนอานนท์ ท่านทั้งหลายจงสืบต่อไปในประโยชน์ของตน, จงประกอบเนือง ๆ ในประโยชน์ของตน, จงเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีจิตส่งไปแล้ว อยู่ทุกอิริยาบถ ในประโยชน์ของตน’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งเต่าเหลือง เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร เต่าเหลืองเว้นเสียซึ่งน้ำ เพราะกลัวแต่น้ำเที่ยวอยู่บนบก ก็แต่หาเสื่อมจากอายุ เพราะการเว้นเสียซึ่งน้ำนั้นไม่ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้เห็นภัยในความประมาทอยู่เป็นนิตย์ เห็นคุณวิเศษในความไม่ประมาทอยู่เป็นปกติ ก็แหละความเสื่อมจากสามัญคุณไม่ ย่อมเข้าไปในที่ใกล้พระนิพพาน เพราะความเป็นผู้มีอันเห็นภัยเป็นปกตินั้น ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ประการหนึ่งแห่งเต่าเหลือ.”
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสไว้ในธรรมบทว่า:-
“ภิกษุผู้ยินดีในอัปปมาทธรรม หรือมีปกติเห็นภัยในความประมาท, เป็นผู้ไม่ควรจะเสื่อมในที่ใกล้พระนิพพาน ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์ห้าประการแห่งป่าชัฏ เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ธรรมดาป่าชัฏย่อมปกปิดไว้ซึ่งชนผู้ไม่สะอาด ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องปกปิดซึ่งความผิดความพลั้งพลาดแห่งชนเหล่าอื่น ไม่เปิดเผย ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ต้นแห่งป่าชัฏ.”
อนึ่ง ป่าชัฏเป็นที่ว่างจากชนเป็นอันมาก ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ว่างจากข่าย คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ และกิเลสทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งป่าชัฏ.
อนึ่ง ป่าชัฏเป็นสถานที่เงียบ เป็นที่ปราศจากความคับแคบด้วยชน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้สงบสงัดจากอกุศลธรรมอันลามกทั้งหลาย ซึ่งมิใช่ของประเสริฐ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งป่าชัฏ.
อนึ่ง ป่าชัฏเป็นที่อันสงบหมดจด ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้สงบแล้วหมดจดแล้ว ดับแล้ว มีมานะอันละแล้ว มีความลบหลู่คุณท่านอันละแล้ว ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งป่าชัฏ.”
อนึ่ง ป่าชัฏเป็นสถานที่อันอริยชนต้องเสพ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ส้องเสพด้วยอริยชน ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งป่าชัฏ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสไว้ ในสังยุตตนิกายอันประเสริฐว่า:-
‘ผู้มีปัญญาพึงเสพกับด้วยบัณฑิตทั้งหลาย ผู้ไกลจากกิเลส ผู้มีจิตสงวัดแล้ว มีตนส่งไปแล้ว มีปกติเพ่งพินิจ ผู้มีความเพียรอันปรารภแล้วเป็นนิตย์’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สามประการแห่งต้นไม้ เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ขึ้นชื่อว่าต้นไม้ ย่อมทรงดอกและผลฉันใด. โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ทรงดอก กล่าวคือ วิมุตติ และผล กล่าวคือ สามัญคุณ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งต้นไม้.
อนึ่ง ต้นไม่ย่อมให้ซึ่งร่มเงาแก่ชนทั้งหลายผู้เข้าใกล้ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ต้อนรับ ด้วยอามิสปฏิสันถารหรือธรรมปฏิสันถารแก่บุคคลผู้เข้าไปหา ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งต้นไม้.
อนึ่ง ต้นไม้ย่อมไม่ทำซึ่งความที่ร่มเงาให้เป็นของมีประมาณต่างกัน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องไม่ทำความเป็นของมีประมาณต่างกันในสัตว์ทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งต้นไม้.
แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
“พระมุนีนาถเจ้า เป็นผู้มีพระหฤทัยเสมอในชนทั้งปวง คือ ในเทวทัตผู้ฆ่า ในอังคุลิมาลกโจร ในธนปาลกคชสาร และในพระราหุล ดังนี้”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์ห้าประการแห่งฝนเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ฝนย่อมระงับเสียซึ่งธุลีเหงื่อไคลซึ่งเกิดขึ้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องระงับเสียซึ่งธุลีเหงื่อไคล คือ กิเลสซึ่งเกิดขึ้น ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งฝน.
อนึ่ง ฝนย่อมยังความร้อนที่แผ่นดินให้ดับเสีย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยังโลกทั้งเทวโลกด้วยเมตตาภาวนาฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งฝน.
อนึ่ง ฝนย่อมยังพืชทั้งปวงให้งอกขึ้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยังศรัทธาของสัตว์ทั้งปวงให้เกิดขึ้น แล้วหว่านลงซึ่งพืช กล่าวคือ ศรัทธานั้น ในสมบัติสามประการ คือ ทิพยสมบัติ และมนุษยสมบัติ จนถึงสุขสมบัติ คือ นิพพานอันมีประโยชน์อย่างยิ่งฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งฝน.
อนึ่ง ฝนตั้งขึ้นแล้วแต่ฤดู ย่อมรักษาไว้ซึ่งหญ้า ต้นไม้ เครือเขา พุ่มไม้ ผัก และไม้เป็นเจ้าแห่งไพรทั้งหลาย ซึ่งงอกขึ้นบนแผ่นดินฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยังความทำในใจโดยอุบายที่ชอบให้เกิดขึ้น แล้วรักษาไว้ซึงสมณธรรมด้วยความทำในใจโดยอุบายที่ชอบนั้น เพราะว่ากุศลธรรมทั้งปวงมีโยนิโสมนสิการเป็นมูลราก ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งฝน.
อนึ่ง ฝนเมื่อตก ย่อมยังแม่น้ำ หนอง สระบัว ซอก หัวย ธาร เขา บึง บ่อ ให้เต็มด้วยธารน้ำทั้งหลาย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยังฝนคือธรรมให้ตก ด้วยปริยัติเป็นที่มา ยังใจแห่งชนทั้งหลาย ผู้ใคร่ซึ่งธรรมอันบุคคลพึงตรัสรู้ ให้เต็มรอบ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ห้าแห่งฝน:-
แม้พระสารีบุตรเถระผู้ธรรมเสนาบดี ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘พระมหามุนีผู้ทรงพระภาคเจ้า ทอดพระเนตรเห็นชนผู้อันพระองค์ควรแนะนำให้ตรัสรู้ ในที่แม้มีแสนโยชน์เป็นประมาณ ก็เสด็จพุทธดำเนินไปหาชนนั้นโดยขณะเดียว ยังชนนั้นให้ตรัสรู้ธรรม’ ดังนี้.
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สามประการแห่งแก้วมณี เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร แก้วมณีเป็นของหมดจดส่วนเดียว ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีอาชีพหมดจดส่วนเดียวฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งแก้วมณี.
อนึ่ง แก้วมณีย่อมไม่เจือปนกับอะไร ๆ ฉันใด,โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องไม่ระคนด้วยคนชั่วทั้งหลาย ด้วยสหายชั่วทั้งหลาย ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งแก้วมณี.
อนึ่ง แก้วมณีอันนายช่างย่อมประกอบกับชาติแล้วทั้งหลาย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องอยู่รวมกับบุคคลทั้งหลายผู้มีชาติอุดมเลิศ ต้องอยู่รวมด้วยบุคคลผู้ปฏิบัติ ผู้ตั้งอยู่ในผล ผู้พร้อมเพรียงด้วยเสขผล ด้วยมณีรัตนะ คือ สมณะผู้โสดาบัน สหทาคามี อนาคารมี อรหันต์ เตวิชชา ฉฬภิญญา ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งแก้วมณี.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสพุทธพจน์นี้ไว้ในสุตตนิบาตว่า :-
‘ท่านทั้งหลายผู้บริสุทธิ์มีสติตั้งมั่น พึงสำเร็จการอยู่รวมด้วย ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย, แต่นั้น ท่านทั้งหลายผู้พร้อมเพียงกัน มีปัญญารักษาตนโดยไม่เหลือ จักทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สีประการแห่งพรานเนื้อ เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร พรานเนื้อเป็นผู้มีความหลับน้อย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้มีความหลับน้อย ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ต้นแห่งพรานเนื้อ.
อนึ่ง พรานเนื้อย่อมผูกใจอยู่แต่ในเนื้อทั้งหลาย ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องผูกใจอยู่แต่ในอารมณ์ทั้งหลาย ฉันนั้น นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งพรานเนื้อ.
อนึ่ง พรานเนื้อย่อมรู้กาลของกิจที่จะพึงทำ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องรู้จักกาลของความหลีกเร้นอยู่ว่า ‘กาลนี้เป็นกาลของความหลีกเร้นอยู่, กาลนี้เป็นกาลของความออกจากความหลีกเร้นอยู่’ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งพรานเนื้อ.
อนึ่ง พรานเนื้อเห็นเนื้อแล้ว ย่อมยังความยินดีให้เกิดเฉพาะว่า ‘เราจักได้เนื้อนี้’ ดังนี้ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องรื่นรมย์ในอารมณ์ ยังความยินดีให้เกิดเฉพาะในอารมณ์ว่า ‘เราจักบรรลุคุณพิเศษอันยิ่ง’ ดังนี้ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งพรานเนื้อ.
แม้พระโมฆราชเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘ภิกษุได้อารมณ์แล้ว มีจิตส่งไปในอารมณ์แล้ว ยังความยินดีให้เกิดยิ่งว่า ‘เราจักบรรลุคุณอันยิ่ง’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งพรานเบ็ด เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร พรานเบ็ดย่อมวัดปลาทั้งหลายขึ้นด้วยเบ็ด ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยกขึ้นซึ่งสามัญผลทั้งหลายอันยิ่งด้วยญาณ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งพรานเบ็ด.
อนึ่ง พรานเบ็ดฆ่าซึ่งปลาตัวเล็ก ๆ ย่อมได้ลาภเป็นอันมาก ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องละซึ่งอามิสในโลกเล็กน้อยเสีย; เพราะว่าละเสียซึ่งอามิสในโลกแล้ว ย่อมบรรลุสามัญผลเป็นอันมาก ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งพรานเบ็ด.
แม้พระราหุลเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘ละโลกามิสเสียแล้ว พึงได้สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ และผลสี่ อภิญญาหก’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งช่างไม้ เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ช่างไม้ย่อมถากไม้ตามเส้นดำ คือ สายบรรทัดที่ขึงขีดไว้ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยืนอยู่ที่แผ่นดิน กล่าวคือ ศีล แล้วถือซึ่งขวาน กล่าวคือ ปัญญา ด้วยมือ กล่าวคือ ศรัทธา ถากซึ่งกิเลสทั้งหลาย อนุโลมตามพระชินพระศาสนา ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งช่างไม้.
อนึ่ง ช่างไม้ถากกระพี้ออกเสีย ถือเอาแต่แก่น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องนำเสียซึ่งหนทางแห่งความกล่าวแก่งแย่งว่า ‘เที่ยง ขาด ชีวิตอันนั้น สรีระอันนั้น, ชีวิตอื่น สรีระอื่น, ธรรมชาติสูงสุดอันนั้น, ธรรมชาติสูงสุดอันอื่น, ธรรมชาติอันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่ควร, ไม่ใช่ความกระทำของบุรุษ, มิใช่ความอยู่ด้วยสามารถแห่งความประพฤติพรหมจรรย์, ความฉิบหายแห่งสัตว์, ความปรากฏแห่งสัตว์ใหม่, ความที่สังขารเที่ยง, ผู้ใดกระทำ ผู้นั้นรู้แจ้งพร้อมเฉพาะ, ผู้อื่นกระทำ ผู้อื่นรู้แจ้งพร้อมเฉพาะ, ความเห็นกรรมและผลของกรรม, ความเห็นผลของความกระทำฉะนี้ก็ดี ซึ่งหนทางแห่งความกล่าวแก่งแย่งอย่างอื่นก็ดี แล้วถือเอาซึ่งความเป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลาย ซึ่งความที่สังขารทั้งหลายสูญอย่างยิ่ง ซึ่งความที่สังขารทั้งหลายเป็นของไม่มีเพียร ไม่มีชีวิต ซึ่งความที่สังขารทั้งหลายเป็นของล่วงส่วน ซึ่งความที่สังขารทั้งหลายเป็นของว่างเปล่า ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งช่างไม้.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ทรงภาสิตไว้ว่า:-
“ท่านทั้งหลาย จงกำจัดเสียซึ่งกิเลสดุจหยากเยื่อ จงเสือกไปเสียซึ่งกิเลสอันดุจสวะ แต่นั้น ท่านทั้งหลาย จงลอยเสียซึ่งบุคคลทั้งหลายผู้เป็นดุจฟาง ผู้ไม่ใช่สมณะ แต่มีความถือตัวว่าเราเป็นสมณะ ครั้นท่านทั้งหลายกำจัดบุคคลทั้งหลายผู้มีความปรารถนาลามก มีอาจาระและโคจรอันลามก พึงเป็นผู้หมดจด มีสติตั้งมั่นสำเร็จความอยู่รวมด้วยบุคคลผู้หมดจดทั้งหลาย’ ดังนี้.”

หัวข้อประจำมักกฏวรรคนั้น

แมลงมุมหนึ่ง ทารกหนึ่ง เต่าหนึ่ง ป่าหนึ่ง ต้นไม้หนึ่ง ฝนหนึ่ง แก้วมณีหนึ่ง พรานเนื้อหนึ่ง พรานเบ็ดหนึ่ง ช่างไม้หนึ่ง.


กุมภ วรรคที่เจ็ด

พระราชาตรัสถามว่า “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์หนึ่งประการแห่งหม้อ เป็นไฉน?”
พระเถรเจ้าทูลว่า “ขอถวายพระพร หม้อเต็มเปี่ยมแล้วด้วยน้ำย่อมไม่ดัง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ถึงแล้วซึ่งบารมีในนิกายเป็นที่มา ในธรรมอันบุคคลพึงบรรลุ ในปริยัติ ในสามัญคุณ ก็ไม่ทำเสียง และเพราะความถึงบารมีในคุณนั้น ก็ไม่ทำมานะ ไม่แสดงความเย่อหยิ่ง เป็นผู้มีมานะอันละแล้ว มีความเย่อหยิ่งอันละแล้ว เป็นผู้ตรง ไม่ปากกล้า ไม่อวดตัว ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ประการหนึ่งแห่งหม้อ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสไว้ว่า:-
‘ของใดพร่อง ของนั้นดัง, ของใดเต็ม ของนั้นเงียบ, คนพาลเปรียบด้วยหม้อเปล่า บัณฑิตดุจห้วงน้ำอันเปี่ยม’ ดังนี้.”
ร. ”พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งกาลักน้ำ เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร กาลักน้ำบุคคลดูดดีแล้ว ย่อมดูดน้ำออกฉันใด, ใจของโยคาวจรผู้ประกอบความเพียร แอบแนบแล้วในโยนิโสนมสิการ ก็ย่อมนำโยคาวจรไป ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่ต้นแห่งกาลักน้ำ.
อนึ่ง กาลักน้ำอันบุคคลดูดครั้งเดียว ย่อมไม่ดูดน้ำออก ฉันใด, ความเลื่อมใสอันใด ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว โดยนยว่า ‘พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบยิ่ง พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสดีแล้ว พระสงฆ์ปฏิบัติดีแล้ว’ ฉะนี้ โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร. ไม่ควรยังความเลื่อมใสนั้นให้ออกไปเสียจากจิตสันดานอีก; และปรีชาญาณอันใด เกิดขึ้นแล้วครั้งเดียวโดยนัยว่า ‘รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง’ ฉะนี้ โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร อย่าให้ปรีชาญาณนั้น ออกไปเสียจากจิตสันดาน ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งกาลักน้ำ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสไว้ว่า:-
‘นรชนผู้ชำระสะอาดแล้วในญาณเครื่องเห็น เป็นผู้เที่ยงแล้วในอริยธรรม เป็นผู้ถือธรรมอันวิเศษ ย่อมไม่หวั่นไหวโดยส่วนมิใช่อันเดียว และนรชนนั้น ย่อมเป็นอย่างนั้นแหละเพราะความเป็นหัวหน้าโดยประการทั้งปวง’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สามประการแห่งร่มเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ร่มกั้นอยู่บนศีรษะ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ไปอยู่บนกระหม่อมแห่งกิเลสทั้งหลายฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่แรกแห่งร่ม.
อนึ่ง ร่มเป็นของบำรุงศีรษะ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้บำรุงโยนิโสมนสิการ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งร่ม.
อนึ่ง ร่มย่อมบำบัดเสียซึ่งลมและแดดและฝน ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องบำบัดเสียซึ่งลม คือ ความสำคัญ แดด คือ ไฟสามอย่าง และฝน คือ กิเลส ของสมณพราหมณ์เป็นอันมาก ผู้มีความเห็นต่าง ๆ กัน ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งร่ม.
แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘ร่มดีไม่ทะลุประกอบมั่นคง ย่อมห้ามเสียซึ่งลมและแดดและห่าฝน ฉันใด, แม้พุทธบุตรก็ทรงร่ม คือ ศีล เป็นผู้สะอาด ห้ามเสียซึ่งฝน คือ กิเลส และแดด คือ ไฟสามอยาง ฉันนั้น’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สามประการแห่งนาเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร นาย่อมถืงพร้อมด้วยเหมือง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยเหมือง คือ สุจริตและข้อปฏิบัติน้อยใหญ่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่แรกแห่งนา.
อนึ่ง นาเป็นของถึงพร้อมแล้วด้วยคัน และรักษาน้ำไว้ด้วยคันนั้นยังธัญชาติให้สำเร็จ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคันนา คือ ศีลและความละอายบาป ถือเอาสามัญผลทั้งสี่ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งนา.
อนึ่ง นาเป็นของถึงพร้อมด้วยความเจริญงาม ยังความยินดีให้เกิดแก่ชาวนา, พืชที่เขาหว่านแม้น้อย ก็มีผลมาก ที่เขาหว่านมาก ก็ยังมีผลมากกว่านั้น ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ให้ผลอันไพบูลย์แก่ทายกทั้งหลาย ยังความยินดีให้เกิดแก่ทายกทั้งหลาย, ทานที่เขาให้น้อยก็มีผลมาก ที่เขาให้มากก็ยิ่งมีผลมากกว่านั้น ฉันนั้น. นี้แลต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งนา.
แม้พระอุบาลีเถระผู้วินัยธร ก็ได้กล่าวไว้ว่า:-
‘ภิกษุพึงเป็นผู้เปรียบด้วยนา มีความหมั่นและให้ผลไพบูลย์; ผู้ใดให้ผลอันไพบูลย์ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นดุจนาอันเลิศ’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สองประการแห่งยาเป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร กิมิชาติทั้งหลาย ย่อมไม่ตั้งอยู่พร้อมในยาฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องไม่ให้กิเลสตั้งอยู่พร้อมในใจ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งยา.
อนึ่ง ยาย่อมกำจัดเสียซึ่งพิษ ที่สัตว์กัด ที่ถูกต้อง ที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ชิมทั้งปวง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องกำจัดเสียซึ่งพิษ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งยา.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เทพาดิเทพ ก็ได้ตรัสพุทธพจน์นี้ไว้ว่า:-
‘ผู้ประกอบความเพียร ใคร่เพื่อจะเห็นซึ่งเนื้อความตามเป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลาย พึงเป็นประหนึ่งว่ายา เพราะยังพิษคือกิเลสให้พินาศ. ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สามประการแห่งโภชนะ เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร โภชนะเป็นเครื่องอุปถัมภ์แห่งสัตว์ทั้งปวงฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้อุปถัมภ์มรรคาแห่งสัตว์ทั้งปวง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่หนึ่งแห่งโภชนะ.
อนึ่ง โภชนะยังกำลังของสัตว์ให้เจริญ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเจริญด้วยกำไร คือ บุญ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งโภชนะ.
อนึ่ง โภชนะเป็นของที่สัตว์ทั้งปวงปรารถนา ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องเป็นผู้อันโลกทั้งปวงปรารถนา ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งโภชนะ.
แม้พระโมฆราชเถระ ก็ได้ภาสิตคำนี้ได้ว่า:-
‘ผู้ประกอบความเพียร พึงเป็นผู้อันโลกทั้งปวงปรารถนาด้วยความสำรวม ความกำหนด ศีล ข้อปฏิบัติ’ ดังนี้.”
ร. “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ต้องถือเอาองค์สี่ประการแห่งคนแผลงศร เป็นไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร คนแผลงศรเมื่อจะแผลงศร ตั้งไว้ซึ่งเท้าทั้งสองให้มั่นที่แผ่นดิน, กระทำเข่าทั้งสองไม่ให้มีความเป็นของวิกล, ตั้งไว้ซึ่งสายแห่งศร ณ ที่ต่อ คือ สะเอว, กระทำการให้แข็งขึง ยกมือทั้งสองขึ้นยังที่แห่งที่ต่อ, บีบเข้าซึ่งกำมือ, กระทำนิ้วทั้งหลายมิให้มีระหว่าง, ประคองคอไว้ หลิ่วตาทั้งสองและหุบปาก, เล็งให้ตรงที่หมาย, ยังความยินดีให้เกิดขึ้นว่า ‘เราจักยิง’ ฉะนี้ ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องตั้งไว้ซึ่งเท้าทั้งสอง คือ วิริยะ ณ แผ่นดิน คือ ศีล,กระทำความอดกลั้นและความเสงี่ยม ให้เป็นของไม่วิกล, ตั้งจิตไว้ในความสำรวม, นำตนเข้าไปในความระวังและความกำหนด บีบซึ่งความสยบด้วยความอิจฉาเข้า, กระทำจิตในโยนิโสมนสิการมิให้มีระหว่าง, ประคองไว้ซึ่งความเพียร, ปิดทวารทั้งหกเสีย, เข้าไปตั้งไว้ซึ่งสติ, ยังความยินดีให้เกิดขึ้นว่า ‘เราจักยิงกิเลสทั้งหลายด้วยศร คือ ปรีชาญาณ’ ฉะนี้ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์เป็นประถมแห่งคนแผลงศร.”
อนึ่ง คนแผลงศรย่อมรักษาซึ่งไม้ตะเกียบ เพื่ออันดัดลูกศรซึ่งคดโกงไม่ตรงให้ตรง ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องรักษาไว้ซึ่งตะเกียบ คือ สติเป็นที่ตั้งไว้ทั่วกายนี้ เมื่ออันดัดจิตอันคดโกงไม่ตรงให้ตรง ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สองแห่งคนแผลงศร.
อนึ่ง คนแผลงศร ย่อมยิงไปเป้า ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องยิงเข้าไปในกายนี้ คือ ยิงเข้าไปโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา โดยความเป็นโรค โดยความเป็นดังหัวฝี โดยความเป็นดังลูกศร โดยความเป็นเครื่องลำบาก โดยความเป็นความป่วยเจ็บ โดยความเป็นสิ่งอื่น โดยความเป็นของทรุดโทรม โดยความเป็นเหตุร้าย โดยความเป็นอุปัททวะ โดยความเป็นภัย โดยความเป็นของขัดข้อง โดยความเป็นของหวั่นไหว โดยความเป็นของเปื่อยพัง โดยความเป็นของไม่ยั่งยืน โดยความเป็นของหาที่ป้องกันไม่ได้ โดยความเป็นของไม่มีที่หลีกเร้น โดยความเป็นของไม่มีวัตถุเป็นที่พึ่ง โดยความเป็นของไม่มีบุคคลเป็นที่พึ่ง โดยความเป็นของว่าง โดยความเป็นของสูญ โดยความเป็นโทษเป็นไป ดังมนุษย์อันบุคคลพึงกรุณา โดยความเป็นของไม่มีแก่นสาร โดยความเป็นรากเง่าแห่งเครื่องลำบาก โดยความเป็นดังคนฆ่า โดยความเป็นของเป็นไปกับด้วยอาสวะ โดยความเป็นของที่ปัจจัยปรุงแต่ง โดยความเป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา โดยความเป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา โดยความเป็นของมีเจ็บไข้เป็นธรรมดา โดยความเป็นของมีความตายเป็นธรรมดา โดยความเป็นของมีความแห้งใจเป็นธรรมดา โดยความเป็นของมีความรำพันเพ้อด้วยวาจาเป็นธรรมดา โดยความเป็นของมีความคับใจเป็นธรรมดา โดยความเป็นของมีเครื่องเศร้าหมองพร้อมเป็นธรรมดา, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ต้องยิงเข้าไปในกายนี้ อย่างนี้ ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สามแห่งคนแผลงศร.

อนึ่ง คนแผลงศร ย่อมหัดยิงทุกเวลาเย็นเช้า ฉันใด, โยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ก็ต้องหัดยิงเจ้าไปในอารมณ์ทุกเวลาเย็นเช้า ฉันนั้น. นี้แล ต้องถือเอาองค์ที่สี่แห่งคนแผลงศร.
แม้พระสารีบุตรเถระผู้ธรรมเสนาบดี ก็ได้กล่าวคำนี้ไว้ว่า:-
‘ธรรมดาคนแผลงศร ย่อมหัดยิงทุกเวลาเย็นเช้า เมื่อไม่ทอดทิ้งซึ่งการหัดยิง ย่อมได้รางวัลและบำเหน็จเครื่องยินดี ฉันใด;พุทธบุตรก็กระทำซึ่งอันยิงเข้าไปในกาย เมื่อไม่ทอดทิ้งซึ่งอันเข้าไปยิงในกาย ย่อมบรรลุพระอรหัต ฉันนั้น’ ดังนี้.”
(หมดฉบับนิทเทสแห่งบทมาติกาเพียงนี้ ไม่มีนิทเทสจนหมดบทมาติกาที่ตั้งไว้นั้น, ต่อนี้ ดำเนินความตามเรื่องเป็นลำดับไปจนจบ)
มิลินทปัญหา ซึ่งมาในคัมภีร์นี้สองร้อยหกสิบสองปัญหา เป็นไปในกัณฑ์หกกัณฑ์ ประดับด้วยวรรคยี่สิบวรรค. ก็แต่มิลินทปัญหาที่ยังไม่มาในคัมภีร์นี้อีกสี่สิบสองปัญหา รวมทั้งที่มาทั้งที่ไม่มาด้วยกันทั้งหมดเป็นสามร้อยกับสี่ปัญหา ถึงซึ่งอันนับว่า มิลินทปัญหาทั้งสิ้นด้วยประการฉะนี้.


อปรภาคกถา

ในกาลเป็นที่จบปุจฉาวิสัชนา แห่งพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนเถระ มหาปฐพีซึ่งหนาแปดล้านสี่แสนโยชน์นี้ ได้หวั่นไหวหกส่วนจนถึงที่สุดแห่งน้ำ, สายฟ้าก็แลบลั่น, เทพดาทั้งหลายก็ยังฝนคือทิพยบุปผชาติให้ตกลง, ท้าวมหาพรหมก็ให้สาธุการ สำเนียงกึกก้องใหญ่เป็นราวกะเสียงกึกก้องแห่งฟ้าคะนอง ก็ได้มีในท้องมหาสมุทร. พระเจ้ามิลินท์และราชบริพารทั้งหลาย ทรงน้อมอัญชลีด้วยเศียรเกล้าถวายนมัสการ ด้วยประการฉะนี้.
พระเจ้ามิลินท์ มีพระหฤทัยบันเทิงเกินเปรียบ มีความถือพระองค์ในพระหฤทัยทำลายเสียแล้ว ทรงทราบสิ่งที่เป็นแก่นสารในพระพุทธศาสนา ไม่มีความสงสัยในพระรัตนตรัยเป็นอันดี เป็นผู้ไม่มีความขุ่นพระหฤทัย ไม่มีพระหฤทัยกระด้าง ทรงเลื่อมใสในคุณทั้งหลายและบรรพชา ปฏิปทาดี อริยาบถทั้งหลายของพระเถระเกินเปรียบเป็นผู้มีพระหฤทัยสละสลวย ไม่ทรงอาลัย มีความถือพระองค์และเย่อหยิ่งอันกำจัดแล้ว ดุจพญานาคมีเขี้ยวอันถอนเสียแล้ว ได้รับสั่งอย่างนี้ว่า “พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ดีแล้ว ๆ ปัญหาเป็นพุทธวิสัย พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาแล้ว, ในพระพุทธศาสนานี้ ยกพระธรรมเสนาบดี สารีบุตรเถระเสีย ผู้อื่นเช่นกับพระผู้เป็นเจ้ามิได้มี ในการที่จะวิสัชนาปัญหาได้. พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงงดโทษล่วงเกินของข้าพเจ้า. พระผู้เป็นเจ้าจงทรงไว้ซึ่งข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้ไป” ดังนี้.
กาลนั้น พระเจ้ามิลินท์ พร้อมด้วยหมู่พล เสด็จไปหาพระนาคเสนเถระแล้ว ให้สร้างพระมหาวิหารซึ่ง
มิลินทวิหารถวายพระเถระทรงบำรุงปฏิบัติพระนาคเสนเถระกับพระภิกษุขีณาสพ ประมาณร้อยโกฏิ ด้วยปัจจัยทั้งสี่. ทรงเลื่อมใสในปัญญาแห่งพระเถระอีก จึงทรงมอบราชสมบัติแด่พระโอรส เสด็จออกบรรพชา เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า:-
“ปัญญาเป็นธรรมชาติอันประเสริฐที่สุดในโลก, เพราะว่าเป็นไป เพื่อความดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรม, บัณฑิตทั้งหลาย ฆ่าเสียซึ่งความสงสัยด้วยปัญญาแล้ว ย่อมถึงธรรมชาติเป็นที่ระงับ. ปัญญาตั้งอยู่ในขันธ์ใด, สติในขันธ์ใด มิได้บกพร่อง, ขันธ์นั้นทรงไว้ซึ่งบูชาอันวิเศษ เป็นยอดยิ่งไม่มีอะไรเกินทีเดียว. เพราะเหตุนั้นแล บุคคลผู้ดำเนินด้วยปัญญา เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตน พึงบูชาท่านผู้มีปัญญาดุจบูชาพระเจดีย์ ฉันนั้น,” ด้วยประการฉะนี้.

ปัญหาเวยยากรณปกรณ์
แห่งพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนเถระจบ





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 06:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านยังไม่จบเห็นว่าดี ก็เลยอนุโมทนาไว้ก่อนครับ
tongue tongue tongue

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 15:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




e0b89ae0b8b1e0b8a7e0b8abe0b8a5e0b8a7e0b88722.jpg
e0b89ae0b8b1e0b8a7e0b8abe0b8a5e0b8a7e0b88722.jpg [ 42.6 KiB | เปิดดู 3768 ครั้ง ]
.. :b8:

ปราศจากความยากลำบาก อดทนต่อสิ่งอดทนได้ยาก มุ่งมั่นพากเพียรเพื่อแสวงหาการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย และการดับไปของสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว คงไม่อาจจินตนาการได้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายจะดำรงอยู่ด้วยฐานะอย่างไร.. แต่มนุษย์ก็โชคดี..เพราะผู้เสียสละด้วยความเมตตาอันไม่มีประมาณ อีกมิได้เมตตาเพราะเหตุแห่งญาติ แห่งคุณ ฯลฯ มีอยู่ ก็อุปการะคุณของผู้ให้สิ่งใดๆ มีข้้าวของ ตำแหน่ง ฯลฯ แล้วแก่ผู้ใด ผู้นั้นยังต้องยกย่อง สรรเสริญ กล่าวต่อๆ กันไปด้วยเหตุของการประกาศซึ่งคุณอันนั้นให้เป็นที่ประจักษ์ ประดุจดังผู้ปรารถนาจะแสดงเสียงระฆังด้วยการตีระฆังแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้านี้อุปการะแล้วด้วยวิธีการดับทุกข์ แสดงเหตุ และปัจจัยแห่งการสโมสรของสรรพสัตว์ทั้งหลาย แสดงเหตุ และปัจจัยเพื่อความสุขอันเหนือกว่าความสุขคือพระนิพพานนี้ มิได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าหรือ ก็ผู้ใดเห็นธรรมอันพระพุทธเจ้าแสดงแล้ว จึงควรนอบน้อมบูชาด้วยสิ่งอันประมาณค่ามิได้ เสมอกันกับการประพฤติธรรมด้วยตนเป็นเครื่องแสดงถึงคุณของผู้อุปการะแ้ล้วให้เ็ป็นที่ประจักษ์เถิด จึงชื่อว่าได้ตอบแทนแล้วซึ่งอุปการะคุณนั้นแท้จริง

อนุโมทนาแล้วๆๆ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 06:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่ออาตมาไปเล่าเรียนวิชากับ "หลวงพ่อเดิม"
อนุสรณพจน์ น้อมระลึกถึงพระเดชพระคุณ ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ "หลวงพ่อเดิม"
เนื่องด้วย วันอังคารที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ เป็นวันครบรอบวันมรณภาพครบ ๕๐ ปี ของพระเดชพระคุณ ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
อาตมภาพขอน้อมระลึกถึงพระคุณของพระเดชพระคุณ "หลวงพ่อเดิม" ซึ่งท่านเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตสมณเพศแก่อาตมภาพ ด้วย "หลวงพ่อเดิม" ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ เป็นดวงประทีป คือเป็นตัวอย่างที่ทำให้อาตมภาพได้รู้ว่า พระคืออะไร พระมีหน้าที่อะไร พระทำอะไรได้บ้าง และพระที่ดีนั้นควรจะทำอย่างไร
อาตมภาพในฐานะศิษย์ผู้ซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อเดิม ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ ผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาอันบริสุทธิ์ จักตั้งใจปฏิบัติเพื่อบูชาพระคุณ "หลวงพ่อเดิม" ให้สุดความสามารถ ดังแบบอย่างที่หลวงพ่อได้กระทำให้ดูแล้วด้วยกายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม
พระเดชพระคุณท่านเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ที่อาตมาเคารพบูชาจากข้อวัตรปฏิบัติ ปฏิปทา และศีลาจารวัตรของ "หลวงพ่อเดิม" ทำให้อาตมภาพยังรู้สึกเสียดายว่าเราน่าจะพบกับท่านก่อนหน้านี้นานแล้ว
หนังสือ "พุทโธโลยี" เรื่อง "เมื่ออาตมาไปเล่าเรียนวิชากับ "หลวงพ่อเดิม"" เล่มนี้ จึงนับว่าเป็นบุญวาสนาช่วงหนึ่งของชีวิตที่ได้มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้ และได้เล่าเรียนวิชาจากท่าน
กุศลธรรมทานมัยอันได้แก่บุญกุศลอันจักบังเกิดขึ้นจากการจัดพิมพ์เผยแพร่กิตติคุณหลวงพ่อเดิมในครั้งนี้ ขอน้อมอุทิศถวายพระเดชพระคุณ ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ "หลวงพ่อเดิม" ด้วยความเคารพและด้วยความกตัญญูกตเวทิตาธรรม จงเป็นพลวปัจจัยอำนวยวิบากสมบัติมนุญผลอันเป็นที่น่าพอใจแด่พระเดชพระคุณ ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ "หลวงพ่อเดิม" ที่เคารพบูชา โดยควรแก่ฐานะในสัมปรายภพทุกประการเทอญ
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบารมีของพระเดชพระคุณ ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ "หลวงพ่อเดิม" จงคุ้มครองและบันดาลให้ทุกท่านมีความสุข และเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ได้รับความปลื้มปีติในธรรม และเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนาจงทุกประการ

พระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม)
เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี
และเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
คำปรารภ
ตลอดชีวิตในสมเพศของ พระเดชพระคุณท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ "หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร" วัดหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติในกรอบแห่งความดี ยึดมั่นในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่เบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่น ท่านสร้างความเจริญในถิ่นทุรกันดาร ท่านทำดีเพื่อให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรือง สมกับสมณศักดิ์ "พระครูนิวาสธรรมขันธ์" อันหมายถึง เป็นที่ตั้งแห่งธรรมทั้งปวง
กิตติคุณในเรื่อง "วิชาขลัง" ของ "หลวงพ่อเดิม" นั้นเป็นที่เลื่องลือกันแพร่หลายมานานนักหนา ซึ่งท่านได้โปรดชี้แจงว่า "ของจริง รู้จริง เห็นจริง ย่อมทำได้จริง"
พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเป็นศิษย์ในองค์ "หลวงพ่อเดิม" พระครูนิวาสธรรมขันธ์ แห่งวัดหนองโพธิ์ ท่านเป็นศิษย์องค์แรกและเป็นองค์สุดท้ายที่ได้เล่าเรียนวิชาคชศาสตร์จาก "หลวงพ่อเดิม" เอาไว้ทั้งหมดและในจำนวนศิษย์องค์เดียวที่ยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
เมตตาบารมี "หลวงพ่อเดิม" แห่งวัดหนองโพธิ์ ซึ่งมีต่อบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งฆราวาสและสงฆ์แผ่ไพศาลทุกวันนี้ ศิษย์ในองค์หลวงพ่อเดิมต่างได้เป็นที่พึ่งพิงของศิษยานุศิษย์รุ่นต่อมา เป็นเนื้อนาบุญอันไพศาลตามรอยเท้า "หลวงพ่อเดิม" ทั้งหมด บารมีธรรมส่วนหนึ่งของ "หลวงพ่อเดิม" เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แควที่หล่อหลอมอยู่ในตัวของ "หลวงพ่อจรัญ" นั่นคือ ท่านและเมตตาที่ "หลวงพ่อจรัญ" มีอยู่เต็มเปี่ยมในจิตใจ ท่านอยู่ในฐานะพระผู้พัฒนาทั้งจิตใจและชีวิตของผู้คนมาหน้าหลายตาที่ต่างก็พากันไปพึ่งบารมีธรรมของท่าน บรรพชิตก็เข้าไปสู่การอบรมสั่งสอนอันนำไปสู่ทางอันถูกต้องตามแนวแห่งวิปัสสนากรรมฐาน "วัดอัมพวัน" จึงเป็นศูนย์วิปัสสนากรรมฐาน และ แหล่งฝึกฝนในทางจิต อันเป็นที่รู้จักขจรขจายไปทั่วแคว้นแดนไทย
เรื่องราวเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือ "พุทโธโลยี" เรื่อง "เมื่ออาตมาไปเล่าเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม" นี้ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม) ได้บรรยายเล่าให้เห็นคุณค่าของการได้พบและรู้จักครูอาจารย์ ให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนในแง่มุมใหม่ โดยใช้ภาษาปัจจุบันที่เข้าใจง่าย แทรกด้วยตัวอย่างประกอบชวนติดตาม มีการเปรียบเทียบกับสิ่งที่ใกล้ตัว อีกทั้งท่านยังได้เล่าเรื่องราวได้อย่างละเอียดทีละขั้นตอน อันแสดงถึงความเคารพและระลึกถึงเมตตาธรรมของ "หลวงพ่อเดิม" ที่ได้เมตตาประสิทธิ์ประสาทวิชา "คชศาสตร์" ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า "หลวงพ่อเดิม" ท่านจะสอนวิชาให้ผู้ใดนั้น ท่านจะต้องดูด้วยญาณก่อนว่า วาสนาบารมีของท่านผู้นั้นเหมาะสมไปในทางใด เมื่อสอนให้แล้วก็จะประสบผลเป็นที่น่าพอใจทุกราย
จึงนับได้ว่า "หลวงพ่อจรัญ" นอกจากจะเป็นศิษย์สืบทอดทางพุทธาคมทางด้านคชศาสตร์แล้ว ยังสืบทอดนิสัยทางคุณธรรมจาก "หลวงพ่อเดิม" มาพร้อมกันด้วย
สำนักพิมพ์ "พระพุทธศาสนาประกาศ" จึงมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสจัดพิมพ์ "พุทโธโลยี" หลวงพ่อจรัญ เล่าเรื่อง หลวงพ่อเดิม เรื่อง "เมื่ออาตมาไปเล่าเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม" ออกเผยแพร่ด้วยความเชื่อมั่นว่า ผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้จะได้รับธรรมะและแง่คิดที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ชีวิตตามควรแก่กรณี จึงนับได้ว่าเป็นบุญวาสนาของเราท่านทั้งหลายที่ได้มีโอกาสรับรู้เรื่องราวระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ซึ่งท่านได้รับทราบชีวิตและความดีเด่นในปฏิปทาของ "หลวงพ่อเดิม" จากคำบอกเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเวลา ๕๐ ปีแล้ว จากศิษย์คือ "หลวงพ่อจรัญ"
กุศลอันพึงมีพึงได้จากการเผยแพร่ธรรมครั้งนี้ สำนักพิมพ์ "พระพุทธศาสนาประกาศ" ขอน้อมถวายเพื่อบูชาพระคุณพระบรมศาสดา อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้งขอน้อมถวายบูชาแด่พระเดชพระคุณ ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) แห่งวัดหนองโพธิ์ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณ พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) แห่งวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ด้วยเทอญ
นายนิคม จาตุรันต์
สำนักพิมพ์ "พระพุทธศาสนาประกาศ"
เมื่ออาตมาไปเล่าเรียนวิชากับ "หลวงพ่อเดิม"
อาตมานับถือหลวงพ่อเดิมมาก เพราะท่านให้ชีวิตอันเป็นอมตะในสมณเพศแก่อาตมา อาตมาสวดมนต์ไหว้พระแล้วก็กราบหลวงพ่อเดิมทุกวัน ระลึกถึงพระคุณของท่านที่ได้สร้างอาตมาให้เป็นสงฆ์ที่ดี อัฐิของท่านอาตมาก็แบ่งเอามากราบไหว้เพื่อเพื่อระลึกถึงพระคุณ ท่านเป็นพระที่ลึกซึ้งและเยี่ยมยอดจริง ๆ จะหาพระอาจารย์อย่างท่านได้ยาก
ย้อนระลึกเล่าสู่กันฟัง เรื่องนี้ผ่านมาเป็นเวลา ๕๐ ปีแล้ว อาตมาได้ไปเล่าเรียนวิชากับพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) วัดหนองโพธิ์ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ อาตมายังรู้สึกเสียดายว่า เราน่าจะพบกับท่านก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่กรรมของเรายังมีอยู่ พอพบท่านใกล้ชิดท่านได้เพียงหกเดือน ท่านก็มรณภาพจากไป
ตอนนั้นอาตมาบวชเป็นพระภิกษุด้วยความจำใจ อาตมาขอบอกตรง ๆ ว่า อาตมาเกลียดพระมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้ว อาตมาไม่ชอบเพราะพระเป็นผู้ที่ไม่ทำการงาน ได้แต่บิณฑบาตข้าวชาวบ้านไปฉัน แล้วก็สวดมนต์ทำอะไรที่ไม่ค่อยจะเป็นที่สบอารมณ์ของอาตมา แต่เมื่อโยมบิดามารดาจะตัดแม่ตัดลูกหากไม่บวช อาตมาจึงต้องโกนหัวเข้าห่มผ้าเหลือง บวชแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก เขาห้ามอะไรก็ไม่ฟัง ให้มันนอกรีตนอกรอย รอจนรับกฐินเสร็จ อาตมาก็จะสึกให้มันพ้นภาระหน้าที่ไปเสียที อย่าลืมนะ อาตมาไม่ได้บวชเพราะศรัทธาก็หาไม่ อันนี้เป็นความสัตย์
อาตมาตัดสินใจในเช้าวันหลังจากรับกฐินแล้วเข้าไปกราบหลวงพ่อช่อ ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ไปถึงก็กราบตรงหน้าท่าน บอกความประสงค์ไปเลยทีเดียวว่า
"หลวงพ่อครับ กระผมขอสึกจากภิกษุสภาวะขอรับ"
หลวงพ่อช่อ วัดพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเป็นพระที่หลังโกง แต่ท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัยนัก ท่านมีกิจนิมนต์จะไปฉันเพล ท่านก็ถามว่า
"สึกแน่หรือพระจรัญ ไม่เปลี่ยนใจอยู่ต่อนะ"
ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา อาตมาก็กราบลาท่านกลับมากุฏิ หลวงพ่อช่อท่านก็ทำน้ำมนต์สึกเตรียมไว้ อาตมาก็เดินมาถึงกุฏิยิ้มย่องผ่องใสว่า วันนี้ล่ะจะพ้นจากภาระที่น่าเบื่อหน่ายเสียทีหนึ่ง มองไปที่กระเป๋าใส่เสื้อผ้าที่ซื้อเตรียมไว้ใส่หลังจากสึกแล้วก็ดีใจเป็นล้นพ้นทีเดียว
แต่พอเข้าไปในกุฏิก็เกิดง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาเฉย ๆ มันคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น มักลืม ๆ หลง ๆ ไปหมด นอนอยู่ตรงนั้น พลันหูก็ได้ยินเสียงประหลาดแว่วมาที่หูเหมือนมาพูดที่ริมหูว่า
"สึกไปหาอะไรกันเล่า นะโมยังไม่ได้เลย นะโมได้แล้วสึกก็ไม่น่าเสียดาย"
ใจก็ค้านว่า "นะโมสวดได้จนคล่องไม่อย่างนั้นจะรับกฐินได้อย่างไรกันล่ะ"
เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกว่า "นะโมได้แล้วก็ยังไม่ได้พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณน่ะซี ได้แล้วค่อยสึกดีไหมล่ะ"
ทันใดก็มีเสียงคนตบประตูกุฏิตึง ๆ แล้วก็มีเสียงเรียกดัง ๆ ว่า
"หลวงพี่...หลวงพี่ ท่านสมภารให้ผมมาตาม ท่านว่าอย่าโอ้เอ้อยู่ ท่านจะไปฉันเพลที่วัดหนองมน ต้องเดินเท้าไปมันจะไม่ทันการ"
อาตมาลุกทะลึ่งพรวดพราดขึ้นมาเปิดประตู เจ้าเด็กคนนั้นไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงสั่งสอนของยายที่สั่งไว้ว่า
"ตอนสึกนี่สำคัญนะหลานนะ ถ้าสึกในระหว่างฤกษ์ไม่ดีล่ะก็บางคนก็ตาย บางคนก็ติดคุกติดตะราง บางคนก็เสียคนไปเลย ระวังให้ดีนะ ฤกษ์สึกนี้สำคัญนัก"
อาตมาเดินไปหาท่านสมภารตอนนั้น พระอันดับก็มานั่งกันพร้อมแล้ว ท่านสมภารส่งเสียงเร่ง
"เข้ามาเสียทีหนึ่ง จะได้สึกให้รู้แล้วรู้รอดไป"
"พระเดชพระคุณที่เคารพ วันนี้กระผมไม่สึกแล้วขอรับ รอวันหลังก็ได้ขอรับ วันนี้นิมนต์ท่านไปฉันเพลก่อน"
"แล้วกันนี่เอ้า เสียเวลาแท้ ๆ เชียว"
ท่านสมภารเทน้ำมนต์สึกจากบาตรทิ้งดังซ่า หันไปคว้าย่ามกับตาลปัตรเดินลงจากกุฏิไปกิจนิมนต์ ส่วนอาตมากลับมากุฏินั่งนึกไปนึกมาว่า เราสึกที่นี่ฤกษ์ไม่ดี ก็ไปสึกที่อื่นก็ได้ ถือโอกาสเที่ยวไปด้วย ไปเหนือดีกว่า ไปสึกเอาข้างหน้า ว่าแล้วอาตมาก็เอาไตรจีวรใส่กระเป๋าใบหนึ่ง เสื้อผ้าฆราวาสใส่กระเป๋าอีกใบหนึ่ง หิ้วมาลาหลวงพ่อช่อเพื่อเดินทางไปให้พ้นจากวัดพรหมบุรี หลวงพ่อช่อท่านก็อวยชัยให้พร เพราะท่านเองก็ไม่อยากสึกให้อาตมาเหมือนกัน
อาตมาหิ้วกระเป๋าสองใบ เดินทางมาลพบุรี ซื้อตั๋วรถไฟไปพิษณุโลก แล้วก็เตรียมออกเดินทางไปพิษณุโลก พอรถไฟมาอาตมาก็ขึ้นไปนั่งในตู้รถไฟมีคนอยู่กันเต็ม แต่เขาก็สละที่นั่งให้อาตมาที่หนึ่ง
รถไฟแล่นมาถึงบ้านหมี่ก็เกิดเครื่องเสียกะทันหัน จอดซ่อมอยู่นานก็ไม่เสร็จ เวลาก็ผ่านไป เสียงคนในตู้รถไฟนั้นเขาก็คุยกันว่า
"แหม! รถไฟเสียเวลาจังเลย จะไปนมัสการหลวงพ่อเดิมสักหน่อย ไม่น่ามีอุปสรรคเลยเชียว"
อาตมาได้ยินคำว่า "หลวงพ่อเดิม" ก็หูผึ่ง หลวงพ่อเดิมนี้ อาตมาเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยทราบว่าท่านอยู่ที่ไหน จึงถามเขาว่า
"หลวงพ่อเดิมท่านอยู่ที่ไหนกันหรือโยม"
"ท่านอยู่วัดหนองโพ ต้องลงรถที่สถานีหนองโพ แล้วเดินเท้าเข้าไปที่วัด ถ้าท่านต้องการจะไปนมัสการก็ลงรถไฟที่นั่นพร้อมกับพวกเราก็ได้"
อาตมาก็คิดตัดสินใจเลยว่า ตั๋วรถไฟเราตีถึงพิษณุโลกก็จริงอยู่ แต่ถ้าจะลงที่หนองโพเสียก่อนก็ดี เพราะถ้าอย่างไรเสียก็สึกเสียที่วัดหนองโพเลย ไม่ต้องตะรอนไปไกล จึงตอบโยมพวกนั้นไปว่า
"อาตมาจะไปพิษณุโลก แต่โยมว่าหลวงพ่อเดิมท่านอยู่หนองโพ เป็นทางผ่าน อาตมาก็จะเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อเดิมพร้อม ๆ กับโยมเลยทีเดียว"
มันเหมือนปาฏิหาริย์ พออาตมารับปากโยม รถไฟก็ติดเครื่องเปิดหวูดออกเดินทาง
พอถึงสถานีหนองโพ อาตมาก็ลงรถไฟพร้อม ๆ ญาติโยม สถานีรถไฟหนองโพตอนนั้นเล็กนิดเดียว ไม่น่าที่ขบวนรถไฟจะจอด หากบารมีหลวงพ่อเดิมไม่ดีจริงแล้วไซร้ คงไม่มีขบวนรถไฟมาจอดเป็นแน่ แต่ด้วยบารมีเทพเจ้าแห่งสี่แควโดยแท้ รถไฟจึงจอดเพราะมีคนเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อเดิมกันเต็มตู้รถโดยสาร
อาตมาเดินตามญาติโยมไปตามทาง มือสองข้างก็หิ้วกระเป๋าไปด้วย ใจก็คิดว่า เอาล่ะวะได้สึกเสียทีหนึ่งจะได้พ้นจากสภาวะที่น่ารำคาญนี้เสียที ใจมันบอกว่า สึกเถอะ สึกเถอะ เป็นฆราวาสสบายกว่าเยอะ ทำอะไรตามใจชอบ ไม่มีศีล ๒๒๗ ข้อ มาคอยรั้งคอยดึง สึกนั่นแหละดีที่สุด
คิดจะสึกมาจนถึงประตูวัดหนองโพ ญาติโยมก็นิมนต์ให้เดินไปข้างหน้า ให้ไปนมัสการหลวงพ่อเดิมก่อน อาตมาก็เดินไปถึงกุฏิของท่าน ภาพที่ได้เห็นก็คือ หลวงพ่อเดิมท่านนั่งตัวตรง เป็นสง่า รูปร่างท่านดูสูงใหญ่แบบคนโบราณ ผิวดำแดงมีรัศมีผ่องใส ผิวหนังเหี่ยวย่นไปทั้งตัว ท่านอยู่ในวัยชราภาพมาก นัยน์ตาของท่านดูเปล่งปลั่งแววแจ่มใสไม่เหมือนตาคนแก่ทั่ว ๆ ไป มีพลัง มีอำนาจ มีพลังดึงดูดเมื่อมองประสานกันแล้วทำให้เกิดความรู้สึกยำเกรงเป็นที่สุด
อาตมาก้มลงกราบเบื้องหน้าท่านด้วยความเลื่อมใส นี่หรือหลวงพ่อเดิม แห่งวัดหนองโพที่ผู้คนนับถือ ชราภาพป่านนี้แล้วยังส่อความเข้มขลังและมีพลังอำนาจในตัว นี่เป็นเพราะอะไรกันหนอ หรือเป็นเพราะท่านมีศีลและภาวนา ตลอดจนบารมีอันสูงส่งของท่านคอยเป็นตบะและเดชะอยู่
หลวงพ่อเดิม เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว กล่าวถามอาตมาด้วยประโยคแรก น้ำเสียงของท่านไปแหบหรือเล็กเหมือนคนแก่อายุวัย ๙๐ ปีเศษ แต่แจ่มใสและกังวานเป็นยิ่งนัก
"คุณมาจากอารามไหนกัน"
"คุณเดินทางเพื่อจะสึกเพียงอย่างเดียวหรือ"
อาตมาสะดุ้งเพราะไม่ได้บอกใคร แต่หลวงพ่อเดิมรู้ จึงตอบไปตามตรงว่า
"ขอรับ ผมจะมาสึกหาลาเพศจากภิกษุสภาวะ"
"อ้อ! อย่างนี้เอง เอาล่ะ อยู่กับฉันไปก่อนก็แล้วกัน วันนี้ไม่เหมาะสำหรับคุยเรื่องการสึกหาลาเพศ"
ท่านเรียกมัคทายกให้นำอาตมาไปพักที่กุฏิรับรองแล้วสั่งว่า
"ต้อนรับท่านให้ดี ท่านเป็นแขกของหลวงพ่อ อย่าให้ขาดตกบกพร่องนะ"
อาตมามีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดต้องตอบแทนคุณไม่อยู่เปล่า ๆ เมื่อหลวงพ่อเดิมท่านให้พักอยู่ด้วยในฐานะแขกของท่าน การตอบแทนพระคุณก็คือการไปนวดเฟ้นให้หลวงพ่อเดิมท่านคลายเมื่อย ซึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็มีเมตตากับแขกแปลกหน้าด้วยการพูดคุยเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง
ตอนกลางคืนอาตมานวดให้ท่าน พอเช้าก็ได้พบกับเรื่องประหลาด คือหลวงพ่อเดิมท่านฉันข้าวต้มตอนเช้า ท่านฉันอาหารแข็งไม่ได้แล้วตอนนั้นพอฉันเสร็จเขาก็พยุงท่านมานั่งเข้าที่ พอสาย ๆ หน่อยก็มีคนมาจากทั่วทุกสารทิศ มานมัสการหลวงพ่อเดิม ท่านก็เป่าหัวให้อย่างแรงทุกคน เป่าจนน่ากลัวว่าจะเป็นลมเพราะหมดแรง แต่หลวงพ่อเดิมท่านก็เป่าอย่างนั้นแหละว่า
"เพี้ยง ดี...เพี้ยง ดี"
คนก็ไปเช่าแหวนลงถมบ้าง มีดหมอบ้าง เหรียญบ้าง รูปหล่อบ้าง แล้วแต่จะต้องการ พอมาถึงหลวงพ่อเดิมท่านก็เป่ากำกับให้ เขาก็เอากลับไปบ้านกัน บางคนก็เอานางกวักงาช้างไปค้าขาย่ากันวุ่นไปหมด แต่ผู้คนก็ไม่ได้ขาดสาย วันทั้งวันเห็จแต่มีคนมาหลวงพ่อเดิม ศิษย์ก็ได้แต่มองตาละห้อย ห่วงหลวงพ่อเดิม ซึ่งอายุวัย ๙๐ ปีเศษ เกรงจะมรณภาพเพราะตรากตรำ แต่พูดอะไรไม่ได้ เวลาจะไปไหนมาไหน ตอนนั้นไม่ถนัดแล้ว ต้องเอาเกวียนเล็ก ๆ มาให้ท่านนั่งแล้วก็ลากไปตามทาง ท่านชราภาพจริง ๆ แต่ไม่ยอมหยุดกิจนิมนต์และการรับแขก ศิษย์ก็ไม่กล้าขัดใจท่าน เพราะท่านสั่งว่า ท่านจะสงเคราะห์ญาติโยมจนวาระสุดท้ายของชีวิตของท่าน
เวลาตกกลางคืน อาตมาก็อดใจไม่ได้ พอนวดให้ท่าน ก็กราบเรียนถามท่านตรง ๆ ว่า
"หลวงพ่อขอรับ เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี ของหลวงพ่อน่ะมันดีจริงหรือครับ"
ท่านยิ้มแล้วก็ตอบว่า
"ดีอย่างไรฉันบอกเธอเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ต้องอยู่กับฉันต่อไปจึงจะรู้ดี"
พออาตมาพูพดเรื่องการสึก หลวงพ่อเดิมก็กระแอมดัง ๆ คล้ายจะดุ
"แอ้ม อึ้ม อึ้ม อึ้อมม์"
อาตมาก็เลยไม่ได้สึกต้องอยู่ต่อไป อาตมาเป็นคนซอกแซก มองไปมองมาก็เห็นว่าที่กุฏิหลวงพ่อเดิมด้านนอกมีปี่พาทย์ มีดาบ มีกระบี่กระบองสำหรับต่อสู้และการร่ายรำ อาตมาเป็นคนไม่ชอบเก็บความสงสัย จึงถามท่านตรง ๆ ในคืนต่อมาว่า
"ดาบเอย กระบี่เอย มีไว้ทำไมกันครับหลวงพ่อ พระใช้ของพวกนี้ได้หรือครับหลวงพ่อ"
หลวงพ่อเดิมหัวเราะหึ ๆ แล้วกล่าวว่า
"ช้าไว้ ช้าไว้ เธอเป็นผู้เยาว์ บวชแค่พรรษาเดียว ก็เร่งร้อนจะสึก ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง ฟังแล้วคิดตามไปนะ"
"วัดในสมัยโบราณครั้งกระโน้น เป็นแหล่งรวมสรรพวิชา เรียกกันว่า "สำนักทิศาปาโมกข์" เชียวนะจะบอกให้ บางแห่งก็เรียก "ตักศิลา" ดังนั้นผู้เข้ามาในวัดนั้นจึงไม่ได้เข้ามาทำบุญอย่างเดียว แต่เข้ามาศึกษาหาความรู้กับพระในวัดด้วย มันเป็นอย่างนี้แหละ"
นวดไปอีกสักครู่ หลวงพ่อเดิมท่านก็เล่าเรื่องวัดในสมัยโบราณต่อไปอีก ท่านเล่าว่า
"วัดในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น สอนอะไรบ้าง ก็สอนวิชาราชบุรุษ กฎหมาย นิติศาสตร์ต่าง ๆ เศรษฐศาสตร์ ศิลปหัตถกรรม เรียนเวชศาสตร์ เรียนดนตรีดีดสีตีเป่าต่าง ๆ พระสมันนั้นสอนได้ทั้งนั้น ทั้งยังมีตำราพิชัยสงคราม ฤกษ์ผานาทีต่าง ๆ"
อาตมาก็สงสัย จึงถามหลวงพ่อเดิมท่านไปว่า "ราชบุรุษน่ะ เรียนอะไรขอรับหลวงพ่อ ผมไม่เคยได้ยิน"
หลวงพ่อเดิมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วอธิบายว่า
"ราชบุรุษคือ วิชารัฐศาสตร์ การปกครองตนเองและผู้อื่น เข้าวัดต้องปกครองตัวได้ ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ มีระเบียบมีวินัย สามารถะอาไปใช้ในชีวิตฆราวาสได้ นี่เรียกว่า ราชบุรุษ"
พอถึงตอนนี้อาตมาก็เลยถามเข้าจุดว่า
"แล้วมีดพร้ากระท้าขวาน กระบี่กระบองเอาไว้ทำไมกันเล่าขอรับหลวงพ่อ"
หลวงพ่อเดิมท่านว่า
"ช่างสงสัยจริงนะ จะบอกให้ กระบี่กระบองคือหัวใจของการรบและการต่อสู้เพื่อป้องกันแผ่นดินไทย เป็นลูกผู้ชาย ต้องเป็นทหาร วัดหนองโพมีดีทางกระบี่กระบองและดาบต่าง ๆ ส่วนวัดอื่น ๆ ในสมัยนั้นก็เก่งไปแต่ละด้าน อักขระบ้าง การสร้างเครื่องรางของขลังบ้าง ดนตรีบ้าง ก็แล้วแต่ใครอยากเรียนอะไร ก็ไปเรียนกัน
ดังนั้นวัดจึงเป็นตักศิลาโดยแท้ สมัยก่อนโรงเรียนแบบปัจจุบันไม่มี พ่อแม่ก็ต้องคอยดูว่าวัดไหนเก่งทางไหนก็พาลูกไปเรียน เรียนจบแล้วถ้ายังไม่พอก็ไปเรียนต่อที่วัดอื่น นี่แหละวัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสำนักเรียนด้วยเหตุนี้"
อาตมาจึงได้ถามคำถามซึ่งคิดว่าหลวงพ่อเดิมคงไม่ได้เล่าเอาไว้ว่า
"เหตุใดวัดหนองโพจึงเก่งทางด้านกระบี่กระบอง ขอรับหลวงพ่อ"
หลวงพ่อเดิมท่านหยุดนิดหนึ่ง แล้วเริ่มเล่าย้อนหลังขึ้นไปสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะล่ม เหมือนท่านอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวท่านเอง
หลวงพ่อเดิมท่านทอดสายตาออกไปนอกกุฏิสู่ความเวิ้งว้างของโลกภายนอก น้ำเสียงของท่านดูกร้าวและแกร่งขึ้นมา คล้ายกับจะรื้อฟื้นความทรงจำอันเจ็บปวดครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาต้องตกอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงที่พม่าข้าศึกเข้าปล้นสะดม เผาผลาญอย่างไร้ความปรานี แล้วเล่าให้ฟังว่า
"คุณฟังให้ดี ๆ นะ ฉันจะเล่าเรื่องแต่เบื้องหลังให้คุณฟังแล้วคิดตาม ฉันไม่ค่อยจะได้เล่าให้ใครฟัง แต่สำหรับคุณ ฉันจะเผยเรื่องราวโดยไม่ปิดบัง หลวงพ่อเฒ่าแห่งวัดหนองโพ ซึ่งเป็นสมภารองค์แรกของวัดหนองโพ คุณรู้ไหมว่าท่านเป็นใคร เอาล่าฉันจะบอกให้
ท่านเป็นขุนศึกคู่ใจของพระยาตาก ซึ่งเดินทางจากเมืองตากเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาพร้อมกับพระยาตาก เพื่อเข้ามารับตำแหน่งเจ้าพระยาวชิรปราการ ไปครองเมืองกำแพงเพชร แต่พม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทุกด้าน พระยาตากท่านจึงต้องสู้กับพม่าข้าศึกโดยตั้งค่ายที่วัดพิชัย
หลวงพ่อเดิมท่านได้เล่าให้อาตมาฟังต่อไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับว่าท่านคืออดีตนักรบแห่งกรุงศรีอยุธยาผู้สละชีวิตเพื่อเป็นชาติพลีในครั้งกระนั้น
ชาวบ้านบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ตั้งค่ายเข้าต่อตีกองทัพพม่าจนแตกกระจัดกระจายไปถึง ๗ ครั้ง ๗ หน สู้อย่างกล้าหาญ คนเพียงหยิบมือเดียวเมื่อเทียบกับกองทัพพม่า แต่สามารถทำลายกำลังพม่าข้าศึกเป็นก่ายเป็นกองแล้ว ทำไมกรุงศรีอยุธยาจึงล่ม
มันไม่ได้ล่มเพราะคนไทยไม่มีฝีมือ แต่พม่าเอาสุกี้พระนายกองมอญที่เคยพึ่งบารมีข้าวแดงแกงร้อนของไทย มาเป็นคนนำทางเข้าทำลายคนไทยประการหนึ่ง
ประการที่สอง คนไทยเราแตกความสามัคคี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ค่ายบางระจันสู้จนล้มตายเป็นอันมาก เพราะสุกี้พระนายกองเอาปืนใหญ่มายิงใส่ค่าย ส่งคนไปขอปืนใหญ่จากกรุงศรีอยุธยา ยังถูกคนไทยด้วยกันพูดให้ต้องน้ำตาตกว่า
"น้ำหน้าอย่างชาวบ้านธรรมดานะหรือจะเอาปืนใหญ่ไปสู้พม่า ขืนเอาไปก็ถูกพม่ามันชิงเอามายิงกรุงศรีอยุธยาเท่านั้นเอง"
ท่านขุนสรรค์ พันเรือง นายทองแสงใหญ่ นายจัน หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น นายดอกแก้ว นายแท่น มาประชุมหารือกันแล้วก็ท้อแท้ใจว่า ดูหรือเราสละเลือดเนื้อกันแทบตาย แต่ผลที่ได้รับก็คือ การดูหมิ่นฝีมือและน้ำใจ พม่ามันยิงด้วยปืนใหญ่ทุกวัน ล้มตายกันวันละหลายคน อย่ากระนั้นเลยเปิดค่ายออกไปรบกับมัน ให้รู้ดีรู้ชั่วไปให้โลกเขาร่ำลือว่า ชาวบางระจันยอมสละชีวิตเพื่อรักษาแผ่นดิน หลวงพ่อเดิมท่านเล่าไปอีกว่า "คุณรู้ไหมว่า ครั้งนั้นชาวค่ายบางระจันควงมีดพร้า กระท้าขวานดาหน้าเข้าหาห่าปืนใหญ่ของพม่าข้าศึก เข้ารบกับพม่าด้วยความกล้าหาญ เอาชีวิตเข้าแลก ยอมตายกันหมดทั้งค่าย ให้พม่าเดินข้ามศพเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาดีกว่าให้พวกมันจับไปร้อยหวายผูกเป็นพวงเอาไปเป็นขี้ข้าที่หงสาวดี พม่าข้ามศพชาวบ้านบางระจันเข้ามาตั้งทัพที่วัดทุ่งพระเมรุ มันจึงไม่เผาทำลาย มันล้อมกรุงเอาไว้ คนไทยมีฝีมือจะสู้พม่า แต่เจ้าบ้านผ่านเมืองสมัยนั้นกลับไม่ยอมสู้ นอนงอมืองอเท้ากะให้น้ำหลาก พม่าจะได้ยกทัพกลับ แต่คราวนี้ผิดคาด พม่ามันเตรียมตัวมาอย่างดี เอาปืนใหญ่ยิงเข้ามาทุกวัน ถูกเรือนชานชาวบ้าน ไฟไหม้วอดวายตายกันเป็นเบือ พระยาตากสุดจะทน ลากปืนใหญ่มายิงใส่พม่า จนล้มตายเกลื่อน กำลังจะบรรจุลูกที่สอง ก็มีคนถือดาบอาญาสิทธิ์มาบอกว่า "ให้พระยาตากเข้าไปรับการพิจารณาโทษที่ศาลาลูกขุน ในฐานะฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาล ที่ห้ามยิงปืนใหญ่ก่อนจะได้รับอนุญาต เพราะนางสนมกรมพระแม่จะตกใจ" เนื่องจากพระยาตากมีความดีความชอบในแผ่นดินมาก่อน ให้รอลงพระราชอาญา หากฝ่าฝืนยิงปืนอีกจะถูกตัดหัวทันที ในที่สุดพระยาตากได้ตัดสินใจตีหักแหวกวงล้อมพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปกู้ชาติ หลวงพ่อเฒ่า ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนศึกคู่ใจก็ร่วมตีหักออกมาในครั้งกระนั้น ได้ช่วยพระยาตากทำศึกกับพม่าอย่างโชกโชน จนกระทั่งพระยาตากได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช จึงได้แต่งตั้งหลวงพ่อเฒ่าจะให้เป็นคุณหลวง แต่หลวงพ่อเฒ่าท่านถวายบังคมลาออกจากการรับราชการ เพราะเห็นว่าได้ทำศึกมามากแล้ว ฆ่าคนมาก็มาก จะข้อเข้าบวชในพระพุทธศาสนา พระยาตากก็อนุญาตให้ตามที่ขอ หลวงพ่อเฒ่าท่านจึงเดินทางมาจังหวัดนครสวรรค์ แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้มาฟื้นฟูวัดหนองโพขึ้นหลังจากที่กรุงธนบุรีได้เป็นปึกแผ่นแล้ว พระยาตากยังได้ให้คนนำของมาถวายและไถ่ถามทุกข์สุขอยู่เสมอ แต่หลวงพ่อเฒ่าท่านไม่ได้บอกชาวบ้าน ชาวบ้านจึงรู้แต่เพียงว่าท่านบวชแล้วก็ลงเรือมากับเพื่อนภิกษุด้วยกันแล้วอพยพหลบนายภาษีมาตั้งวัดหนองโพ วัดหนองโพจึงมีการสอนวิชากระบี่ กระบอง และวิชาดาบ ได้สืบทอดกันมา หลวงพ่อเฒ่าท่านได้เคยเล่าให้ลูกหลานฟังว่า "สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น คนที่จะเข้ามาเป็นนักรบชั้นแนวหน้าชั้นขุนศึกนั้น ต้องศึกษาอักขระและภาษาต่าง ๆ ไปจนถึงตำรับพิชัยสงคราม ต้องบวชเรียนวิปัสสนากรรมฐาน ฝึกรากฐานจิตใจเสียก่อนแล้วจึงจะเรียนเพลงอาวุธกันในสำนักเรียน ก็คือวัดทั้งหลายในกรุงศรีอยุธยานั่นเอง แต่ท่านไม่เคยบอกใครนะว่าท่านเป็นอดีตขุนศึกคู่พระทัยของพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะท่านไม่ต้องการรำลึกถึงอดีต ท่านวางดาบวางมีดถวายตัวเป็นพุทธบุตรแล้ว ท่านไม่ต้องการข้องแวะอีก แต่การถ่ายทอดวิชานั้น ท่านต้องทำ ด้วยว่าหากไปข้างหน้าเกิดศึกสงคราม วิชาการต่อสู้จะได้ไม่สูญไป ชายไทยจะได้จับดาบจับมีดขึ้นสู้กับข้าศึกได้ ไม่ต้องเป็นขี้ข้าเขา เพราะว่าพระเจ้าตากสินมหาราชกว่าจะกู้ชาติมาได้แต่ละตารางนิ้วนั้น มันยากลำบากเหลือแสน ต้องสิ้นเปลืองชีวิตทหารเป็นก่ายกอง บางครั้งก็ต้องสละพระโลหิตของพระองค์ลงรดแผ่นดินเพื่อแลกเอกราชของชาติไทย นี่แหละคือหลวงพ่อเฒ่าแห่งวัดหนองโพ จำไว้นะคุณ ท่านคือขุนศึกคู่พระทัย หนึ่งในห้าคนของพระเจ้าตากสินมหาราช" สำนักวัดหนองโพนั้นมิได้สร้างแค่คนดี พระดี และศิลปินเท่านั้น ยังสร้างนักกระบี่กระบองที่ดีไว้อีกด้วย อาตมาได้เห็นการสอนกระบี่กระบองที่วัดหนองโพ มีพระสอนให้เด็กรู้จักการตี การป้องปัด และการร่ายรำ จึงได้เข้าใจว่า พระในวัดสมัยโบราณท่านไม่ได้ผลาญข้าวสุกชาวบ้านเปล่า ๆ ท่านตอบแทนด้วยการสั่งสอนอบรมลูกหลานของคนที่เอาข้าวปลาอาหารมาทำบุญกับท่านพร้อมกันไปด้วย วันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านได้เอ่ยเล่าเรื่องวัดสมัยโบราณ สร้างปุโรหิตาจารย์ และถ่ายทอดตำราพิชัยสงคราม ปุโรหิตาจารย์นั้น สมัยนี้ก็เทียบเท่ากับเสนาธิการในการวางแผนการรบ ถ้าเสนาธิการรอบรู้พิชัยสงคราม ย่อมกำชัยชนะมาสู่ผืนปฐพีของตนได้อย่างไม่ยากนัก เพราะตำรับพิชัยสงครามก็คือการหยั่งรู้กำลังศตรูและการเดินทัพของศัตรู ท่านได้ตั้งปัญหาถามอาตมาว่า "นี่แน่ะเธอ ตอนกลางคืนเธอเดินอยู่ในป่า เธอรู้ไหมว่าทิศไหนเป็นทิศไหนกันแน่" "ไม่รู้ครับหลวงพ่อ กระผมไม่มีความรู้ด้านนี้เลย" หลวงพ่อเดิมหัวเราะหึ ๆ อย่างอารมณ์ดีแล้วกล่าวสอนอาตมาให้ได้รู้เคล็ดลับบางประการเอาไว้ เพื่อใช้ประดับสติปัญญา และแก้ไขสถานการณ์เมื่อคับขัน ท่านว่า "เมื่อจะหาทิศทางนั้น ถ้ามองไม่เห็นทิศ ให้ดูดาวเหนือ ถ้าดูดาวเหนือไม่เป็นก็ต้องใช้อย่างอื่นแทน นี่แน่ะเธอ ถ้าเธอเดินผ่านหน้าวัด เธอจะรู้ได้ทันทีว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ถ้าไม่มีโบสถ์แล้วดูดาวไม่เป็นก็ต้องดูต้นไม้" "ดูต้นไม้ ต้นไม้ก็เหมือน ๆ กันนี่ครับ และมันก็ยืนต้นของมันอยู่เฉย ๆ จะไปบอกทิศทางได้อย่างไรกันครับ" "ฟังไว้นะเธอ เธอต้องรู้จักต้นไม้ว่า ต้นไม้แบบนี้ขึ้นอยู่ในทิศเหนือ หรือมีกิ่งก้านเอนไปทางทิศเหนือ หรือต้นไม้อย่างนี้ชอบขึ้นหรือเอนไปทางทิศใต้ เป็นต้น" "เข้าใจแล้วครับ แล้วไม่มีต้นไม้ ผมจะทำอย่างไรดีเล่าครับ" "ไม่ยากเลยนี่เธอ เรียนสมาธิ เรียนกสิณแล้ว ก็ง่ายแล้ว นอนคว่ำลงไปกางแขนทั้งสองข้างออก เจริญสมาธิจนแน่นิ่ง อธิษฐานจิตจะเกิดพลังความร้อนแผ่กระจายจากทรวงอกไปยังแขนข้างใดข้างหนึ่ง ข้างไหนร้อนนั่นแหละแขนชี้ไปทางทิศเหนือ" หลังจากนั้นหลวงพ่อเดิมได้สอนวิชาเมฆฉายให้แก่อาตมา ท่านกล่าวเล่าว่า "แม่ทัพสมัยก่อนโน้นเวลาจะออกรบทัพจับศึก นอกจากจะเตรียมอาวุธไว้ป้องกันตัวและคาถาอาคมแล้ว ยังทำเมฆฉายด้วยการยกร่างของตนเองขึ้นไปบนก้อนเมฆ ทำนิมิต จะมองเห็นเลยว่าไปคราวนี้เป็นอย่างไร ถ้าไปดีมีชัยก็จะติดต่อกันทั้งร่าง ถ้าลางร้าย ตัวนิมิตบนก้อนเมฆจะคอขาด แขนขาด ต่อกันไม่ติด ก็รู้ล่ะว่าออกไปแล้วจะตาย ก็จะสั่งเสียและฝากฝังลูกเต้าไว้กับพระเจ้าแผ่นดิน แล้วตัวเองก็ออกไปตายอย่างชายชาติทหาร นี่แหละพิชัยสงครามล่ะเธอ" อาตมายังทันเขาโกนจุกกันข้างวัดหนองโพ หลวงพ่อเดิมท่านเห็นว่าอาตมาเป็นพระบวชใหม่จึงถามว่า "สวดได้ไหมล่ะ จะได้ไปสวดมนต์ด้วยกัน" อาตมาก็ตอบว่า "ได้ขอรับ กระผมสวดได้ ท่านก็ให้ไปด้วย พอพระสวดเสร็จ เขาก็ให้ปี่พาทย์ของวัดนั่นแหละบรรเลงเพลงแบบการต่อสู้ แล้วก็มีเด็กวัดหนองโพอีกนั่นแหละแต่งตัวทะมัดทะแมง มารำกระบี่กระบองตีกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว ค่าบูชาครูหกบาทใส่พานพร้อมดอกไม้ ธูปเทียน เงินหกบาทที่ได้หลวงพ่อก็แบ่งให้เด็ก ๆ ตามแต่คนไหนบ้านมีฐานะดีก็เอาไปน้อยหน่อย คนที่พ่อแม่ยากจนหรือเป็นกำพร้าก็ได้มาก เอาไว้เรียนหนังสือให้เป็นเจ้าคนนายคนต่อไป ลิเกวัดหนองโพก็มีการสอน อาตมากล้าพูดได้ว่า วัดหนองโพมีลิเก หลวงพ่อเดิมท่านเอามาหัดให้มีอาชีพกัน เมื่อมีวงปี่พาทย์ก็ต้องมีลิเก ที่วัดเทวราช จังหวัดอ่างทอง ก็มีเหมือนกัน ตอนที่อาตมาเล็ก ๆ ยังจำได้คนที่สอนกลอนลิเก ไม่ใช่ครูลิเก แต่เป็นสมภารวัดเทวราช ท่านเก่งเทศน์มหาชาติ เจ้าบทเจ้ากลอน ท่านก็สอนกลอนลิเกให้ ครูโรงเรียนก็จัดเด็กที่ยากจนเอามาหัดเล่นลิเก ไม่ต้องเล่นเรื่องอะไรหรอก มหาชาติตั้งแต่ทศพรไปจนจบ คนดูติดกันเกรียวกราว พอเอ่ยถึงลิเกเทวราชแล้วทุกคนร้อง อ๋อ! ต้องรีบไปรอหน้าโรงแต่หัววัน หลวงพ่อเดิมท่านไม่แต่เพียงให้มีการสอนลิเกที่วัดหนองโพเท่านั้น เพลงฉ่อย เพลงเกี่ยวข้าว หลวงพ่อเดิมก็สอนให้หมด รักษามรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ไม่ให้สูญหาย หลวงพ่อเดิมท่านเป็นพระนักอนุรักษ์ของโบราณโดยสายเลือดทีเดียว พระสมัยก่อนนั้นท่านเก่งทุกด้านนะ ไม่ใช่แค่นั่งเทศนาอย่างเดียว ท่านรอบรู้ไปเสียทุกอย่าง เรียกว่า พระสมัยนั้นเป็นพระที่เก่งทั้งทางโลกและทางธรรม อาตมาอยู่วัดหนองโพนานวันเข้า เรื่องจะสึกก็ยังคิดอยู่ พอเห็นว่าสมควรแก่เวลาก็คลานเข้าไปหาหลวงพ่อเดิม แล้วก็กราบเรียนท่านว่า "หลวงพ่อขอรับ กระผมจะสึกละขอรับ อยากเป็นฆราวาสเต็มแก่" หลวงพ่อเดิมท่านหันมาจ้องดูแล้วก็ทำเหมือนครั้งแรกที่เคยเจอท่านกระแอม "แฮ้ม แฮ้ม แฮ้ม แฮ้ม แฮ้ม หยุดไว้ก่อน คุณอย่างเพ่งจะมาสึก ตอนนี้ไม่ถึงเวลา" อาตมาก็ไม่กล้าจะพูดเรื่องสึกต่อไป แต่ก็คิดอุบายมาได้ว่าก็ไหน ๆ จะสึกแล้ว ไม่วันใดวันหนึ่งทำไมไม่ขอคาถามหานิยม สีผึ้ง สึกไปแล้วจะได้จีบผู้หญิงได้ง่าย ๆ มีภรรยาสวย ๆ เลยกราบเรียนท่านไปว่า "ไม่ถึงเวลาก็ไม่เป็นไรขอรับ กระผมขอคาถามหานิยมอย่างเด็ดขาดสักบท ที่สีปากด้วยสีผึ้ง แล้วผู้หญิงเดินตามต้อย ๆ กระผมอยากได้มานานแล้ว" อาตมารบเร้าเรื่องคาถามหาเมตตาจากหลวงพ่อเดิม ท่านก็สอนเป็นปรัชญาเรื่อยไป อาตมาก็อยากจะสึกแต่ไม่กล้าจะรบเร้าท่านมาก ท่านคอยห้ามเอาไว้ในที ส่วนใหญ่จะว่าไม่ได้ฤกษ์สึก ในที่สุดอาตมาก็รบเร้าเอาจนหลวงพ่อเดิมท่านใจอ่อน หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะหึ ๆ แล้วก็ยิ้มอย่างเมตตา ก่อนจะสั่งให้หากระดาษดินสอมาให้ท่าน ท่านให้คาถาสารพัด จดกันไม่หวาดไม่ไหว จดแล้วท่านบอกให้ไปท่องให้ได้ โอ้โหคาถามากมายจนอาตมาไม่ต้องมาขอคาถาเพิ่ม มัวแต่ท่องคาถา เรื่องสึกก็เลยลืมไป เห็นไหมล่ะหลวงพ่อเดิมท่านทันคนขนาดไหน ท่านดัดหลังแก้ลำอาตมาจนเซ่อไปเลยทีเดียว คาถาบทหนึ่งซึ่งหลวงพ่อเดิมท่านใจอ่อนให้ถาคาไว้ ซึ่งเป็นคาถาที่ศิษย์หลวงพ่อเดิมใช้กันทุกคน คือ นะ เมตตา โม กรุณา พุท ปรานี ธา ยินดี ยะ เอ็นดู มะ คือตัวกู อะ คือคนทั้งหลาย อุ เมตตาแก่กูสวาหะ นะ โม พุทธายะ อาตมาสุดแสนดีใจว่าได้คาถาเมตตาเอามาท่องจนขึ้นใจ คราวนี้ได้การล่ะ สึกเมื่อใดจะได้เอาไปใช้ให้สมกับที่รอ แต่จนแล้วจนรอด หลวงพ่อเดิมก็ไม่สึกให้เสียทีหนึ่ง คอยว่าเมื่อใดเหลวงพ่อจะเมตตาสึกให้ ก็ไม่มีวี่แวว อาตมาท่องจนขึ้นใจ แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าคาถานั้นแท้ที่จริงอยู่ในพระกรรมฐานนั่นเอง เพราะพระกรรมฐานสอนให้แผ่เมตตา ถ้าไม่มีเมตตาปรานีแล้ว ท่องคาถาไปก็เปล่า ๆ พอมานั่งเจริญพระกรรมฐานจริงจัง หลังจากหลวงพ่อเดิมมรณภาพไปแล้ว จึงกระจ่างมองเห็นภาพท่านสอนคาถาเมตตาให้ทุกอิริยาบถ นี่เป็นอย่างนี้ หลวงพ่อเดิมท่านเป็นพระทันสมัยทันการณ์ทุกอย่าง อาตมายังได้คาถาอีกบทหนึ่งซึ่งท่านสอนให้ เนื่องจากอาตมาปรารภจะได้คาถาเมตตาชนิดที่เรียกว่า ภาวนาแล้วผู้หญิงติดเป็นตังเม หลวงพ่อเดิมท่านก็เลี่ยงไปเลี่ยงมา ในที่สุดก็จดคาถาให้ว่า นะกาโรกุกะสันโธ สิโรมัชเฌ โมกาโรโกมะนาคะมะโน นลาถิเต พุทกาโรกัสสะโปพุทโธ จะเทวเนตเต ธากาโรศากยะมุนีโคตโม จะเทวกัณเณ ยะกาโรศรีอริยะเมตตรัยโย ชีวหาถิเต ปัญจะพุทธานะมามิหัง เมื่อหลวงพ่อเดิมให้คาถามา อาตมาก็ท่องไปเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่ได้สึก พอมาเรียนพระกรรมฐานและสติปัฏฐานสี่ ในตอนหลังนี้ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่า คาถาที่หลวงพ่อให้ ไม่ใช่คาถาเมตตาที่ไหนเลย แต่เป็นคำสอนของพระบรมศาสดาทั้งนั้น ก็คือว่า ให้ระมัดระวังศีรษะ ให้รู้จักน้อมคารวะผู้มีคุณธรรม หน้าผากก็ให้ผ่าเผยด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม ดวงตาให้สำรวมระวังในการมองดู เพราะนั่นเป็นทางเกิดกิเลสต่าง ๆ ให้สำรวมระวังหู ให้ฟังแต่สิ่งดี ๆ อย่าไปฟังเรื่องไม่ดี ฟังหูไว้หู ให้หูหนักเข้าไว้ อย่าหูเบา และลิ้นนั้นให้ระวังสำรวมในรสอาหาร อย่าไปติดมันเข้า เพราะมันทำให้เกิดกิเลส ดังนั้นคาถาเมตตาของหลวงพ่อเดิม จึงรวมเอาคำสอนของพระบรมศาสดา เรื่องการสำรวมระวังอินทรีย์ทั้งนั้น แต่เมื่อคนเกิดไปภาวนาด้วยความมั่นใจแล้วก็ทำให้ขลังขึ้นได้เหมือนกัน อาตมาได้เรียนถามหลวงพ่อเดิมต่อไปถึงเรื่องมนตรามหาเสน่ห์ ที่ได้จดจากหลวงพ่อเดิมไปหลายบทด้วยกันว่า "หลวงพ่อครับ เอาบทที่ว่าแน่ ๆ เสกแล้วผู้หญิงรักสักบทเถอะ มากนักผมว่าไม่ค่อยจะดี" เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพหันมาหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะกล่าวตอบต่อไปว่า "ต้องการอย่างนั้นจริง ๆ นะ ไม่กลับคำนะ สัจจังเว อมตฺตา วาจา นะ" "แน่นอนครับ ผมสึกออกไปอยากได้เมียสวย ๆ สักคน ต้องเสกคาถากันหน่อยละครับ" "เอาฟังให้ดี ๆ นะแล้วจำเอาไว้ก็แล้วกัน พูดจริง ทำจริง ทุกสิ่งผู้หญิงดีรัก พูดไม่จริง ทำไม่จริง ทุกสิ่งผู้หญิงเลวรัก ผู้หญิงมีหลายอย่างนะ ผู้หญิง ผู้หยังแม่กระชังก้นรั่ว มาเที่ยวเลาะขอบรั้วหาดีไม่ได้ ผู้ชายก็ชายกระเบน ไม่เอาไหนก็เลยไปกันใหญ่" เมื่อท่องหนักเข้า อาตมาก็สงสัยขึ้นมาว่า คาถานี้ใช้อย่างไรดี วันหนึ่งเห็นหลวงพ่อเดิมกำลังเป่าหัวศิษย์ เสียงว่า "เพี้ยง...ดี" ไม่เห็นท่านท่องคาถาสักบท อาตมาก็จำเอาไว้ เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน ให้คาถาเรามาท่องยืดยาว แต่พอถึงคราวท่านเองกลับไม่ท่อง ใช้ลมปากเป่าเพี้ยง ๆ พอตกกลางคืนไปนวดให้ท่าน อาตมาก็เลยตัดพ้อต่อว่าหลวงพ่อเดิมท่านว่า "หลวงพ่อให้คาถากระผมไปท่องตั้งมากมาย ผมก็ท่อง กะว่าจะดีให้ได้ แต่พอเห็นหลวงพ่อเป่า เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี ให้คนอื่น หลวงพ่อไม่เห็นท่องคาถาอะไรเลย จับหัวมาได้ก็เป่าเพี้ยง ดี เพียง ดี อย่างนี้ผมก็ท่องเสียเวลาเปล่า" หลวงพ่อเดิมท่านก็เลยไขความลับให้อาตมาฟัง ทำให้อาตมาได้หูตาสว่างกันตอนนั้นเอง ท่านบอกอย่างนี้ "คาถาน่ะไม่ขลังหรอก เขาเอาไว้ท่องเอาไว้เป็นองค์ภาวนา เพื่อให้จิตเป็นหนึ่งต่างหาก เหมือนเราจะเดินข้ามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เปรียบเหมือนกำลังจิตที่ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นอำนาจอันมหาศาล ต้องอาศัยการภาวนาคาถา เพื่อให้จิตเป็นหนึ่ง ใช้คาถานั่นแหละเป็นองค์ภาวนาต่างสะพานข้ามฟากไป พอจิตข้ามฟากไปถึงจุดหมายปลายทาง คือเป็นหนึ่งเป็นพลังมหาศาลแล้วก็รื้อสะพาน คือคาถาที่ภาวนาทิ้งไป จิตเป็นหนึ่งเป็นพลังมหาศาล แล้วเขาเรียกว่าจิตตานุภาพ ฉันจึงไม่ต้องท่องคาถา แต่ใช้เจริญจิตให้เป็นหนึ่งแล้วเป่าลมปราณ อธิษฐานให้เขาสมหวังว่า เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี เข้าใจหรือยังล่ะ ไปท่องต่อไป ท่องให้จิตมันข้ามฟากให้ได้" อาตมาก็ถามว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น หลวงพ่อเดิมท่านก็อธิบายให้อาตมาฟังต่อไปว่า "ตอนแรกก็ยกระดับจิตขั้นประถมก่อน แล้วภาวนาขึ้นไปถึงชั้นมัธยม แล้วก็เจริญให้เป็นเอกัคคตา มันเป็นการเจริญภาวนา เจริญจิตให้เป็นเอกัคคตา เมื่อจิตบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสทั้งหยาบและละเอียดแล้ว จะต้องการอะไรก็ได้ทุกประการ คิดเงินก็ได้เงิน คิดทองก็ได้ทอง แต่หลวงพ่อคิดแต่เมตตาให้เขาได้พ้นเคราะห์ ให้เขารวย ให้เขาดี เป่าไปเขาจึงได้ตามที่หลวงพ่อให้ไป" และท่านบอกว่า "คุณท่องต่อไปเถอะ ทำให้จิตเป็นเอกัคคตาให้ได้ แล้วก็จะรู้เองว่า เพี้ยง ดี ของหลวงพ่อเป็นอย่างไร" อาตมานวดหลวงพ่อเดิมทุกคืน ตลอดเวลาหกเดือนที่อยู่กับท่าน มันเป็นเรื่องน่าแปลก ไม่มีพระสักองค์ที่มานวดท่าน มาขอของดีจากท่านเหมือนอาตมา ใกล้เกลือกินด่างกันหมด อาตมาจึงว่า แม้อาตมาจะอยู่กับหลวงพ่อเดิมไม่นาน แต่อาตมาได้ของดีจากหลวงพ่อเดิมมามารพอสมควร คิดถึงเดี๋ยวนี้แล้วก็เสียดายว่า เราหนอเรา ทำไมไม่รู้จักหลวงพ่อเดิมก่อนหน้านี้นาน ๆ เสียดายเหลือเกิน อาตมาขอเล่าเรื่องแปลก ๆ ให้ฟังเรื่องหนึ่ง คนที่มาหาหลวงพ่อเดิมไม่ได้มารับแหวน รับมีด รับเหรียญ รับรูปหล่ออย่างเดียว แต่มาขอรอยเท้าหลวงพ่อ อาตมานี่แหละเป็นคนเอาครามมาทาเท้าหลวงพ่อ แล้วก็เอาหมอนรอง เอาผ้าขาวปูแล้วหลวงพ่อเดิมท่านก็เหยียบรอยเท้าลงไปแล้วก็เป่า "เพี้ยง ดี" เอาให้คนที่ต้องการเอาไป ดูเอาซีความดีของหลวงพ่อเดิมน่ะ แม้แต่รอยเท้าเขาก็เอาไปบูชากัน นี่แหละ อำนาจแห่ง ศีล ทาน และภาวนาของท่าน อาตมายังจำภาพเก่า ๆ ได้ดี ไม่มีวันลืม ก็เลยไม่สึกออกไปมีลูกมีเมีย ท่านช่างล่วงรู้เข้าไปถึงใจอาตมา หลายวันเข้า อาตมาก็อดที่จะถามไม่ได้ เพราะว่ามันมีความอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมหนอ คนจึงต้องการรอยเท้าหลวงพ่อเดิมไปบูชา รอยเท้าของท่านดีอย่างไรกันแน่ คืนหนึ่งได้โอกาสนวดท่าน แล้วก็เลยถามท่านตรง ๆ ว่า "หลวงพ่อครับ รอยเท้าหลวงพ่อที่เขามาเอาไปบูชาน่ะดีตรงไหน เห็นเขามาเอาไปทุกวัน ๆ ช่วยบอกให้กระผมได้ตาสว่างสักหน่อยเถอะขอรับหลวงพ่อ" เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพ หันหน้ากลับมามองอาตมา นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่พูดว่าอะไร อาตมาก็นิ่งคอยฟังว่า หลวงพ่อเดิมท่านจะพูดถึงรอยเท้าของท่านว่าอย่างไร ท่านดูเหมือนจะทิ้งช่วงเพื่อเหตุผลอะไรสักอย่าง แล้วท่านจึงได้กล่าวกับอาตมาให้ได้เข้าใจเป็นปรัชญาที่อาตมากล้าท้าได้ว่า ผู้มีรอยเท้าหลวงพ่อเดิมติดตัวจะไม่เคยรู้ความหมายของรอยเท้าหลวงพ่อเดิมมีอย่างไรหลวงพ่อเดิมท่านตอบอาตมาว่า "ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๕ ประเทศไทยต้องถูกญี่ปุ่นเข้ายึดไว้เป็นทางผ่าน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ทำให้สัมพันธมิตรประกาศสงครามกับไทยไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ลำพังประกาศสงครามธรรมดาคงไม่เป็นไร แต่นี่เล่นแห่กันเอาระเบิดมาทำลาย มาถล่มใส่ที่มั่นของฝ่ายญี่ปุ่นในประเทศไทยอย่างหนัก ผลของการทิ้งระเบิดทำให้ชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยพินาศไปไม่น้อย ผู้คนต่างก็หวาดกลัวภัยสงครามกันแทบเป็นบ้า ข้าวยากหมากแพงอดอยากกันทั่วหน้า ประชาชนชาวนครสวรรค์และใกล้เคียงต่างก็พากันเสาะหาของขลังติดบ้าน ติดตัว กลัวภัยระเบิด ที่มีสตางค์ก็ไปบูชาวัตถุมงคลมาไว้เป็นกำลังใจ โดยเฉพาะวัดหนองโพนั้น วันหนึ่ง ๆ คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาเช่าแหวน รูปหล่อ เหรียญ มีด พระงาแกะ สิงห์งาแกะกันเป็นจ้าละหวั่น คนที่ไม่มีเงินก็ได้แต่หน้าเศร้าเพราะกรรมการวัดเขาสร้างวัตถุมงคลต้องลงทุนด้วยเงิน เขาก็ให้เช่าบูชา ส่วนที่เกินทุนออกมา หลวงพ่อเดิมท่านก็เอาไปสร้างโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญตามวัดต่าง ๆ ให้เจริญยิ่งขึ้น จะเป็นใครเป็นผู้ริเริ่มนั้นยืนยันไม่ได้ แต่ปรากฏว่ามีผู้นำเอาผ้าขาวมาให้หลวงพ่อเดิมเหยียบรอยเท้า สีที่ใช้ก็คือ ความลงผสมน้ำนี่เอง เอามาทาฝ่าเท้าหลวงพ่อเดิมแล้วให้ท่านเหยียบ การเหยียบตอนแรกเหยียบกับกระดาษเปล่า ติดชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง ก็ว่ากันไปตามสะดวก ต่อมามีผู้ไปเกิดประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ตีไม่แตก บางทีก็เอาไปโบกไล่เครื่องบินให้วนไปที่อื่น หรือโบกปัดระเบิด บางบ้านรอบ ๆ บ้านพินาศยับเยินด้วยแรงระเบิดทำลาย แต่บ้านที่มีรอยเท้าหลวงพ่อเดิมกลับปลอดภัย ไม่มีกระเบื้องแตกสักแผ่น เล่าลือกันหนักเข้า หลวงพ่อเดิมก็ต้องนั่งประทับรอยเท้าจนขาเมื่อย ทางวัดได้จัดบริการแบบใหม่คือ หาหมอนมารองเป็นที่ประทับรอยเท้าหลวงพ่อเดิม เมื่อเอาครามทาฝ่าเท้าหลวงพ่อเดิมแล้ว ก็วางผ้าขาวลงไปบนหมอน แล้วหลวงพ่อเดิมท่านก็ประทับรอยเท้าลงไป ปรากฏว่าไม่ต้องออกแรงมาก ลายเท้าติดชัดเจนเรียบร้อย วันหนึ่ง หลวงพ่อห้อยเท้าเหยียบรอยเท้าเป็นชั่วโมง ๆ จนศิษย์สงสาร พากันอุ้มหลวงพ่อเดิมหนีเข้ากุฏิไป หลวงพ่อเดิมท่านก็ร้องว่า อย่าเลย ๆ เขาต้องการพบฉัน อย่าให้เขาเสียศรัทธา พอศิษย์วางลงผู้คนก็ฮือกันเข้าไปใหม่ เล่นกันเหงื่อไหลไคลย้อย หลวงพ่อน้อย (ท่านพระครูนิพันธ์ธรรมคุต) อดีตเจ้าอาวาสหนองโพ เคยขอเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม ท่านไม่ขัดข้อง แต่ท่านได้ให้คติไว้ข้อหนึ่งว่า "อยากได้วิชา ฉันไม่หวง แต่เมื่อเป็นแล้วละก็ จะมานึกถึงตัวภายหลังจะได้ไม่มาว่ากัน ว่าไม่บอกเสียก่อน" เมื่อหมดผู้คนที่มาหลวงพ่อเดิม เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพ จึงปรารภเป็นทำนองขบขันกับศิษย์ว่า "มันทำเหมือนฉันเป็นหนูถีบจักร เหนื่อยเหลือเกิน" ปู่โคน อินยิ้ม อดีตมัคทายกวัดหนองโพได้กล่าวถึงการเหยียบรอยเท้าหลวงพ่อเดิม ท่านเหยียบรอยเท้าต้องยกเท้าขึ้นลงอย่างนั้นว่า "หลวงพ่อท่านบอกเป็นปริศนาว่าฉันใช้กรรมเขาให้หมด กรรมที่ฉันตกปลอกช้างที่จับเอามาช่วยงานไงละ มันไปไหนไม่ได้ ก็ยกขาขึ้น ๆ ลง ๆ เพื่อให้หายเหนื่อย ฉันก็เลยผ่อนใช้กรรมเขาไป" เมื่อหลวงพ่อเดิมท่านประทับรอยเท้าครั้งหนึ่งก็จะเอามือสองข้างกดที่หัวเข่าแล้วเป่าเพี้ยงลงไปพ้วงหนึ่ง ทุกครั้งเป็นการกำกับ และเมื่อท่านไปเหยียบรอยเท้าครั้งใหญ่ที่ค่ายจิรประวัติ มณฑลทหารบกจังหวัดนครสวรรค์ ท่านเคยใช้นะปัดตลอดเหยียบรอยเท้าทะลุ ครั้งละ ๑๐ ผืน เพื่อให้ทันกับเวลาและจำนวนทหาร ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เพราะหลวงพ่อเดิมท่านไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะท่านไม่คาดว่าเขาจะให้ท่านเหยียบมากมายขนาดนั้น ครามที่ใช้ผสมน้ำนั้นมีหลายสี สีน้ำเงินแก่ก็มี น้ำเงินอมฟ้าก็มี น้ำเงินอมดำก็มี และที่ออกม่วงก็เคยพบ แต่ที่เหมือนกันก็คือ ถ้าถูกน้ำแล้วจะละลาย เพราะครามกลัวน้ำเป็นอย่างยิ่ง สีจะซีดจางหรือไม่ อยู่ที่การรักษาสภาพไม่ให้ถูกความชื้น ถูกแดดหรือถูกเหงื่อจนชุ่ม นั่นคือผ้ารอยเท้าของเทพเจ้าแห่งวัดหนองโพ อาตมาเรียนถามหลวงพ่อเดิมเรื่องรอยเท้าของท่านว่า "ที่หลวงพ่อเหยียบรอยเท้าให้เขาไปนั้น มันดีอย่างไรครับ บอกให้กระผมได้ตาสว่างสักครั้งหนึ่งเถิดขอรับ" เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพมองดูหน้าอาตมาก่อนจะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอันดังกังวานว่า "เอ้อ ตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย หูดีก็ได้ หูร้ายก็เสีย" อาตมาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะหลวงพ่อเดิมท่านตอบไม่ตรงคำถาม จึงรุกเข้าไปถามใหม่ "ไม่ใช่อย่างนั้นหลวงพ่อครับ กระผมต้องการรู้ว่าที่เขาเอาไปใช้กันน่ะดีทางไหนกันแน่ ถึงได้มาขอกันจนเหยียบไม่ได้หยุด" "เอ้องั้นเรอะ ฟังนะ เขาว่าดีเอาไปโพกหัวแล้วยิงไม่ออก โพกหัวแล้วตีไม่แตก นั่นว่ากันอย่างนั้น ฉันไม่ได้ว่านะ เขาว่ากันไปเองแหละ" "อ้าวแล้วอย่างนั้นหลวงพ่อให้เขาเอาไปทำไมกันล่ะครับ ถ้าหลวงพ่อไม่ได้ว่าดี เขาว่ากันเองล่ะก็" "เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับฉันนี่คุณ ธรรมะของฉันที่ฉันฝากไว้ในรอยเท้ามันไม่ใช่อย่างที่เขาเล่าลือกัน" "ธรรมะอะไรกันครับหลวงพ่อ ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อย ผมงงไปหมดแล้ว" เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพนิ่งสักครู่ เหมือนจะรวบรวมจิตแสดงธรรมให้อาตมา ซึ่งเป็นภิกษุหนุ่มฟัง อาตมาก็นิ่งคอยฟัง หลวงพ่อเดิมได้เผยธรรมะในรอยเท้าของท่านอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งอาตมาเชื่อแน่ว่าผู้ที่มีรอยเท้าของท่านคงไม่มีโอกาสรู้ เพราะมัวแต่ไปคิดว่ามหาอุด คงกระพัน กันลูกปืนเสียเป็นส่วนใหญ่ หลวงพ่อเดิมท่านว่าอย่างนี้ "รอยเท้าของฉันเหยียบไว้เป็นที่ระลึกว่า ฉันคือหลวงพ่อเดิม ที่ในหลวงท่านพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระครูนิวาสธรรมขันธ์ หมายถึงว่า เป็นที่ตั้งแห่งธรรมทั้งปวง ฉันปฏิบัติในกรอบแห่งความดี ฉันไม่เบียดเบียน ฉันสร้างความเจริญในถิ่นกันดาร ฉันทำดีเพื่อให้พระศาสนารุ่งเรือง เมื่อได้รอยเท้าของฉันไปแล้วก็จงระลึกว่า หลวงพ่อเดิมท่านทำดี เราควรทำความดีเจริญรอยตามรอยเท้าของท่านไปเป็นคนดี คิดดี ทำดี อยู่แต่ในศีลธรรมอันดีงาม นั่นแหละรอยเท้าของฉันจึงจะขลัง ไม่ใช่เอาไปโพกหัวแล้วยิงไม่ออก แต่ไม่เคยมีใครถามฉันสักราย เห็นแต่เอารอยเท้าไปติดตัวแล้วหายเงียบไป" อาตมาได้ฟังจบลงแล้วน้ำตาคลอ มันซาบซึ้งใจจริง ๆ ตั้งแต่บวชมาจนคิดจะสึกก็เพิ่งพบหลวงพ่อเดิมนี่แหละที่ท่านมีปรัชญาอันซาบซึ้งใจของอาตมา อาตมากล้าพูดได้ว่า หกเดือนที่อยู่วัดหนองโพ ทำให้อาตมาเป็นพระเต็มตัว ความคิดสึกหมดไป เพราะเห็นแล้วว่าพระที่ดีอย่างหลวงพ่อยังมี พระที่ไม่ดีที่เราเคยเห็นมานั้นเทียบกับท่านไม่ได้ เหมือนเพชรกับแก้วที่ไม่อาจมาเคียงคู่กันได้เลย หลวงพ่อเดิมยังให้แง่คิดกับอาตมาอีกอย่างหนึ่งในวาระนั้นว่า "คุณฟังฉันให้ดี ๆ นะ คนที่มาวัดนั้นร้อยละแปดสิบเป็นพวกคนโง่ จ้องจะมาเอาแต่ของขลัง เพราะเขายังห่างธรรมะ ร้อยละยี่สิบเข้ามาหาธรรมะมาสนทนาธรรมกับฉัน มีเพียงไม่กี่คนที่ถามฉันเหมือนที่คุณถามฉัน ก็จะบอกกับเขาว่า "เอารอยเท้าฉันไปนะ ฉันเป็นอุปัชฌาย์ของเธอ ฉันเป็นพระที่เธอนับถือ ฉันไม่เก่งอะไรหรอก แต่ฉันสร้างความดี เธอจงเอารอยเท้าฉันไปดูให้ติดตา แล้วทำความดีตามรอยเท้าฉัน แล้วจะประสบความสุขความเจริญทั่วหน้า" หลวงพ่อเดิมท่านสอนเรื่องการบวชโดยกล่าวกับอาตมาว่า "นี่แน่ะคุณ คุณลองนึกย้อนกลับไปดูซิว่า ก่อนที่คุณจะกล่าวคำขอบวชน่ะ ต้องพากเพียรท่องขานนาคขนาดไหน ต้องสวมเสื้อครุยแบบเนติบัณฑิตขลิบทองสวยงาม เข้าขบวนแห่ พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ดีใจกันใหญ่ว่า เออ ลูกหลานเราได้บวชแล้ว จะได้เป็นบัณฑิตสมกับที่ได้ตั้งใจนำตัวเข้าอุปสมบท เข้ามาแล้ววนโบสถ์สามรอบวันทาเสมาเข้ามาในพระอุโบสถ กล่าวคำขออุปสมบทกับเหล่าสงฆ์ต่อเบื้องหน้าพระพักตร์ของพระประธานในโบสถ์ที่แทนองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ทีละคำ ๆ ไม่ใช่บวชได้เลยนะ ต้องเอาผ้าไตรถวายอุปัชฌาย์แล้วออกไปให้พระกรรมวาจาจารย์ถามแล้วสอบอีกว่า ครบถ้วนตามพุทธบัญญัติไหม ครบแล้วก็จะมาบอกกับอุปัชฌาย์ว่าครบแล้ว ต้องทำตามขั้นตอนกว่าจะได้บาตรมาสะพาย กว่าจะสำเร็จเป็นองค์พระสงฆ์ต้องสวด ญัตติจตุตถกรรม จึงสำเร็จเป็นภิกษุสภาวะ ตายจากฆราวาส มีนามใหม่เป็นนามสำหรับภิกษุ เช่น หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านจะกล่าวว่า "พุทธสโรนามะเต แปลว่า เจ้ามีนามว่า พุทธสโรภิกขุ" เห็นไหมล่ะว่าการเป็นภิกษุนั้นยากแค่ไหน แต่เวลาสึกซีง่ายเหลือเกิน เพียงแต่ไปคุกเข่าต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ แล้วกล่าวคำสั้น ๆ ว่า "ข้าพเจ้าขออกจากการเป็นสงฆ์" พระอุปัชฌาย์ก็จะเอื้อมมือไปปลดสังฆาฏิออกจากบ่า แล้วกล่าวคำให้สึกได้ง่าย แต่คุณเห็นไหมว่าสำคัญแค่ไหน สึกออกไปแล้วบางคนแทนที่จะไปเป็นบัณฑิตหรือทิด เปล่าเลยพอสึกเช้า ค่ำก็กินเหล้าเมาหยำเป กลับกลายเป็นหมาไป อย่างน่าเสียดายที่สุด ดูเถิดบวชเรียนมาสามเดือน พอสึกเสร็จกลายเป็นหมาไปแล้ว" คำว่า พอสึกเช้า ค่ำไปกินเหล้าเป็นหมา เป็นคำพูดจากปากหลวงพ่อเดิม อาตมาไม่ได้แต่งเติมเสริมแต่ง หลวงพ่อเดิมท่านเป็นพระที่พูดตรงไม่อ้อมค้อม ท่านพูดออกมาจากใจของท่านจริง ๆ กล่าวจบหลวงพ่อเดิมท่านชี้ไปที่เสื้อนาคที่ทางวัดมีไว้ให้สวมเวลาเป็นนาค ท่านย้ำอีกว่า "นั่นเห็นไหมล่ะ มีตะลอมพอกเป็นเทวดา สึกเช้า เมาเย็นพวกนี้ไม่สมกับได้บวชได้เรียน ไม่เป็นบัณฑิตกลับเป็นหมาไปได้" อาตมาก็เลยถามหลวงพ่อเดิมต่อไปว่า "ก็แล้วบวชพรรษาเดียวกับหลายพรรษามันแตกต่างกันอย่างไรขอรับ" หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะหึ หึ เหมือนเคยก่อนจะอธิบายว่า "บวชสามพรรษาเขาว่าได้ปริญญาตรี เจ็ดพรรษาปริญญาโท สิบพรรษาปริญญาเอก บวชพรรษาเดียวสองพรรษายังเป็นทิดไม่ได้ รู้ไหมล่ะ ทิดมาจากคำว่าบัณฑิต" แล้วท่านก็ชี้ไปที่สุดสำหรับแต่งบวชนาคของวัดหนองโพ เห็นเป็นเสื้อครุยแบบปริญญาแล้วก็มีมงกุฎแบบตะลอมพอกพร้อมอยู่สำหรับให้พ่อนาคใส่ ดูสวยงามแล้วท่านก็อธิบายต่อไปว่า "คนเราเป็นฆราวาส เป็นหนุ่ม มันสุก ๆ ดิบ ๆ แล้วมาบวช พอเป็นพ่อนาคก็ต้องเป็นเทวดา คือสวมชุดตะลอมพอกอย่างนั้น เรียกว่าเป็นเทวดาไม่ใช้มนุษย์ธรรมดาแล้ว เพราะจะได้เป็นสงฆ์ เป็นบัณฑิต พอเข้าไปอยู่หน้าอุปัชฌาย์ก็เป็นพรหมแล้ว ทีนี้พอบวชเสร็จแล้วสึกบางคนแทนที่จะเป็นบัณฑิต หรือเป็นทิด กลับกลายเป็นเดรัจฉานไปเสียทันตาเห็น" อาตมาเรียนถามหลวงพ่อเดิมเมื่อเห็นท่านค้างคำพูดเอาไว้เพื่อให้รู้ตลอด "เป็นเดรัจฉานได้อย่างไรขอรับ" "เป็นซี่ ทำไมจะไม่เป็น ก็พอสึกตอนเช้าก็กินเหล้าเมาเย็นหยำเปอย่างนี้ เรียกว่าบวชไม่ได้ประโยชน์ สึกแล้วกลายเป็นเดรัจฉานไป" นี่คือแนวคิดของหลวงพ่อเดิม ท่านเกลียดคนกินเหล้า เกลียดพวกบวชแล้วสึกออกไปเป็นคนชั่ว เป็นขี้เหล้า ท่านไม่ชอบคนกินเหล้าเมายา ตอนที่อาตมานวดให้หลวงพ่อเดิม ตอนหนึ่งท่านก็เล่าให้ฟังว่า "เธอฟังไว้นะ สมเด็จพระบรมศาสดาของเรา เมื่อท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แห่งกรุงกบิลพัศดุ์นั้น ท่านเล่าเรียนเชี่ยวชาญในวิชาการทุกด้าน ไตรเวทก็ทรงเชี่ยวชาญ การใช้ศรชัยไปจนถึงตำรับพิชัยสงครามต่าง ๆ เรียนการปกครองคนหมู่มาก แต่แล้วก็ทรงได้พระสติว่า วิชาหนึ่งที่ไม่ได้เรียนก็คือ วิชาการพ้นจากกองทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด จึงทรงออกแสวงหาความหลุดพ้น เป็นพระบรมศาสดาในที่สุด" อาตมาฟังแล้วก็เกิดสติคิดขึ้นมาว่า หลวงพ่อเดิมองค์นี้ท่านมิได้เก่งแต่เพียงวิชาอาคม เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี แต่อย่างเดียว แต่ท่านยังมีธรรมะที่ลึกซึ้งและกินใจ สำหรับสั่งสอนผู้คน แม้แต่ตัวของอาตมาเองที่ต้องการจะสึก ยังไม่อาจสึกได้เหมือนที่ต้องการ "มีหลายรายเอารอยเท้าฉันไป แล้วเอาไปประกอบกรรมชั่ว ไปปล้นเขา ไปจี้เขา ไปลักวัวลักควายเขา ถูกยิงตายคาที่ หายโหง รอยเท้าฉันอยู่กับตัวช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เดินตามรอยเท้าฉันไปในทางที่ดี กลับแหกคอกไปในทางชั่วแล้วจะมาหวังพึ่งอะไรได้เล่า" ดังนั้นมีมีรอยเท้าหลวงพ่อเดิมแล้ว จะใช้ในทางที่ดี ๆ เดินตามรอยเท้าหลวงพ่อเดิมไปให้ตลอดแล้วจะไม่ตายโหง อย่าเดินคนละทางกับรอยเท้าหลวงพ่อเดิมท่าน มิฉะนั้นจะลำบากภายหลัง นี่คือปรัชญาชีวิตในรอยเท้าหลวงพ่อเดิมที่ฝากเอาไว้กับบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายให้ได้คิดกันต่อมา อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมเป็นเดือน ๆ เข้า ก็เลยขอลาท่านกลับวัดพรหมบุรี พระอุปัชฌาย์เห็นเข้าก็บอกว่า "เอ้าไงล่ะ ยังไม่ได้สึกอีกเรอะ" อาตมาก็ตอบว่า "ผมไปอยู่กับหลวงพ่อเดิมมาครับ ยังไม่ได้ฤกษ์สึก ว่าอยู่วัดสักพักจะกลับไปใหม่" หลังจากอยู่วัดพรหมบุรีได้ไม่นานก็กลับไปวัดหนองโพ คราวนี้ก็บอกกับหลวงพ่อเดิมอีกครั้งหนึ่งว่า "หลวงพ่อครับ ผมจะสึกละครับไม่อยากอยู่แล้ว" คราวนี้หลวงพ่อเดิมไม่กระแอม แต่มองหน้าอาตมานิ่งนานเหมือนจะค้นลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจ ครู่ใหญ่ท่านก็ถอนหายใจเฮือกเหมือนโล่งใจ กล่าวกับอาตมาว่า "อย่าไปไหนไกลฉันเลย ฉันจะบอกเธอเป็นคนแรกว่า ไม่เกินสามเดือน ฉันจะมรณภาพจากเธอไปแล้ว จงอย่าห่างฉันช่วงนี้แหละสำคัญที่สุด เธอจำไว้" พอได้ยินอย่างนี้ อาตมารู้สึกใจหายวาบ เพราะเห็นว่าหลวงพ่อชราภาพมาก และท่านก็ไม่หลงไม่ลืม ดังนั้นท่านปลงอายุของท่าน จึงเป็นเรื่องใหญ่และแน่นอนที่ท่านจะลาจากโลกนี้ไปแล้วหรือ" ตอนนั้นเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว และเจ้าคณะอำเภอท่าตะโกมาหาหลวงพ่อที่วัดบ่อยมาก อาตมาจำได้ว่า ท่านผลัดเปลี่ยนกันมานมัสการหลวงพ่อเดิม แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากเรื่องปลงอายุกับพระเหล่านั้น บอกกับอาตมาองค์เดียว นี่ท่านเมตตาอาตมาเป็นพิเศษทีเดียว วันเวลาผ่านไป อาตมายิ่งได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเดิมท่าน ก็ยิ่งสนุกลืมเรื่องสึกไปเสียสนิท หลวงพ่อเดิมก็ดูเหมือนจะรู้ว่าอาตมาซึ่งเปรียบเสมือนม้าพยศ กำลังค่อย ๆ เชื่องลงแล้ว วันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็เป็นฝ่ายพูดให้อาตมาได้สำนึกว่า "นี่คุณมาอยู่กับฉันนานแล้วเรียนพระกรรมฐานไหมล่ะ จะสอนให้ อย่าไปสึกเลย คุณน่ะอยู่ในผ้าเหลืองแล้วจะเจริญก้าวหน้ากว่าเป็นฆราวาส" แต่อาตมานั้นเป็นผู้เกลียดพระมาเป็นทุนเดิม ก็เลยบอกกับหลวงพ่อเดิมว่า "อย่างไรเสียผมก็ต้องสึกแน่ ๆ ขอรับ เพราะผมไม่เคยชอบครองเพศสมณะเลยจริง ๆ ผมไม่ค่อยจะอยากอยู่เป็นพระ ผมจะต้องสึกครับ" หลวงพ่อเดิมท่านก็กล่าวเป็นสุภาษิตสอนใจ ที่อาตมาจำได้ทุกวันนี้ว่า "ยิ่งเกลียดก็ยิ่งใกล้ ยิ่งรักก็ยิ่งไกล จำไว้ให้ดีนะคุณ" อาตมาก็รับคำว่า "ขอรับ จะจำไว้ครับ" ท่านก็บอกต่อไปอีกว่า "ยิ่งเกลียดเขา เรายิ่งต้องแผ่เมตตาแล้วความเกลียดมันจะหายไป ความรักมันจะเกิดขึ้นตรงนี้" กล่าวจบแล้วหลวงพ่อเดิมท่านก็เอามือชี้ไปที่หัวใจแล้วก็มองดูหน้าอาตมา อาตมานั่งนิ่งรู้สึกซาบซึ้งในคำของหลวงพ่อเดิมเป็นอย่างยิ่ง และก็มาเปรียบเทียบดูว่า อาตมาแต่ก่อนนี้เกลียดจริงเชียวพวกผู้หญิงน่ะ ไม่อยากให้เข้าวัด แต่เอาซิ เดี๋ยวนี้คนที่มาช่วยทำงานทำการ ทำครัว ช่วยดูแลญาติโยมเป็นผู้หญิงเต็มวัดเลย เขาถึงว่า เกลียดอย่างไหนก็ยิ่งใกล้ เพราะอะไร เพราะเวลาเห็นเขาไม่ดี ไม่ว่าหญิงหรือชาย แต่พอเรามีเมตตาแล้วก็ เราก็แผ่เมตตาต้องการให้เขาพ้นจากความไม่ดี ก็เลยช่วยเขา เขาก็เลยกลายเป็นศิษย์ไปหมด วันหนึ่งอาตมามากราบเรียนหลวงพ่อเดิมแล้วก้มลงกราบ กล่าวย้ำอีกว่า "ผมต้องการสึกครับ ผมจะไม่ครองผ้าต่อไป เพราะผมไม่ปรารถนาจะเป็นพระต่อไป" หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะหึ ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ ไม่กล่าวอะไรต่อไปอีกเลย อาตมาก็คิดว่าวันนี้แหละสึกแน่ พอกราบลาหลวงพ่อมาแล้วก็เดินไปหาทายกไปบอกว่า "ทายก วันนี้ฉันจะสึกแล้ว เอ้านี่เงินสองบาท ไปจ้างเขารีดเสื้อผ้าให้หน่อยนะ" ตอนนั้นอาตมาจำได้ว่ามีกางเกงอย่างดี เสื้ออย่างดี นาฬิกายี่ห้อไวเลอร์หนึ่งเรือน ไม่เดินเสียด้วย เออโก้พิลึกล่ะ ตอนที่เป็นฆราวาสก่อนบวชนี้เปรี้ยวสมวัยในตอนนั้น เตรียมรีดเสื้อไว้แล้วก็พอดีค่ำจึงไปถวายการนวดเพื่อจะได้บอกหลวงพ่อเดิมว่า "ผมจะสึกพรุ่งนี้ล่ะขอรับ" แต่ยังไม่ทันจะบอกหลวงพ่อก็บอกกับอาตมาถึงสิ่งที่หลวงพ่อเดิมท่านไม่เคยได้บอกใคร ทำเอาอาตมานิ่งอึ้งเป็นครู่ ท่านพูดด้วยน้ำเสียงอันเรียบ ๆ



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 14:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:

อนุโมทนาแล้วๆๆ ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ว่า "นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่เคยบอกใครเลย ฉันบอกเธอคนเดียว รู้แล้วนิ่งไว้อย่าแพร่งพราย เขาจะเสียขวัญกัน อีก ๑๔ วัน ฉันจะมรณภาพแล้ว ขอให้เธอจำคำฉันไว้ให้ดี ๆ" หลวงพ่อกล่าวจบแล้วก็หลับตาลงนิ่งไปเป็นครู่ ลมหายใจระบายออกเหมือนโล่งใจ ก่อนจะกล่าวกับอาตมาว่า "ฉันต้องการมอบวิชาการอย่างหนึ่งให้เธอไว้เป็นคนแรก และคนสุดท้าย ฉันเห็นว่าเธอนั้นเหมาะที่สุดแล้ว" อาตมาได้ยินก็ดีใจ เพราะคิดว่าเป็นคาถาเรียกพระเข้าตัวแน่ เพราะต้องการนัก แต่ผิดคาด หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า "วิชาที่หลวงพ่อจะมอบให้แก่เธอคือวิชาคชศาสตร์ การต่อช้างป่า การกำราบช้างตกน้ำมัน การดูแลช้าง วิชาคชศาสตร์ต้องคนมีวาสนาบารมีพอจึงจะเรียนได้ ฉันเห็นว่าเธอนี่แหละจะรับไว้ได้ ฉันจึงมอบให้" อาตมาได้ยินก็เลยตอบไปตรง ๆ ว่า "ไม่เอาล่ะครับหลวงพ่อ ผมไม่อยากได้เลยครับ ผมอยากได้คาถาเมตตามหานิยม และเรียกพระเข้าตัวครับ" หลวงพ่อเดิมท่านเปลี่ยนจากท่านอนให้นวด มานั่งตัวตรงประกายตาท่านที่ต้องกับแสงตะเกียงเป็นแววแห่งอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ท่านยกนิ้วมืออันเหี่ยวย่นตามวัยของท่าน ขึ้นชี้หน้าอาตมาแล้วกล่าวด้วยเสียงอันมีอำนาจสะท้านเข้าไปถึงหัวอกว่า "นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกให้ เธอยังเป็นเด็ก เป็นผู้อ่อนอาวุโส ผู้ใหญ่เขาให้อะไรก็รับไว้ซี ไปปฏิเสธทำไมกัน อย่าจองหองไม่เข้าเรื่องซี" อาตมาก็ว่า "ต่อทำไมครับ ช้างป่ามันอยู่ในป่าก็เรื่องของมัน มันตกน้ำมันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่ครับ แล้วเดี๋ยวนี้บ้านเมืองเจริญมากแล้ว ไม่ต้องใช้ช้างป่าแล้วล่ะครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อเดิมท่านจึงใช้คำคมมาพูดกับอาตมา ซึ่งทำให้อาตมาถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะท่านมาไม้สูงจริง ๆ ท่านถามว่า "นี่คุณ คุณมีเสื้อตัวเดียวกับมีเสื้อสิบตัว อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ ลองบอกมาซิ" "สิบตัวก็ดีกว่าซีครับหลวงพ่อ" "ก็นั่นนะซิ ยังไม่ได้ใส่ก็รีดเก็บแขวนไว้ เวลาจะใช้ก็หยิบมาสวมง่ายไม่ต้องไปรีดให้เปลืองเวลา พ่อแม่ปู่ย่าตายายเขาให้อะไรก็เอาไว้ก่อนเลย อย่าไปจองหอง รับไว้ ของดีทั้งนั้นเลย แม้แต่ไม้แคะหูที่เขาให้ก็เก็บไว้ มันเป็นประโยชน์ในเวลาข้างหน้านะ" อาตมาก็ไม่ยอมท่าน เถียงต่อไปอีกเพราะไม่อยากได้ มีอย่างที่ไหนวิชาต่อช้าง บังคับช้าง ไม่เห็นเข้าท่าเลยจริง ๆ เลยบอกหลวงพ่อเดิมไปว่า "ผมไม่เรียนครับ ผมจะสึกอยู่วันนี้ พรุ่งนี้ แล้วเรียนไปทำไมกัน ผมจะสึกครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อเดิมท่านถอนหายใจใหญ่แล้วกล่าวกับอาตมาว่า "เธอฟังหลวงพ่อให้ดีนะหลวงพ่อจะว่าให้ฟัง อันผู้ใหญ่น่ะเขาเห็นการณ์ไกลกว่าเด็กมาก ไม่ใช่เขาพูดอะไรส่งเดชก็หาไม่" อาตมาก็นิ่งไม่ตอบอะไร เพราะใจนั้นไม่อยากเรียน หลวงพ่อเดิมก็พูดต่อไปว่า "ที่หลวงพ่อมอบวิชาคชศาสตร์ให้นี้ เพื่อตอบแทนที่เธอมาช่วยปฏิบัติฉันมาเป็นเวลานาน ฉันไม่เคยให้ใครเลย คนหนองโพหรือคนที่อื่น ฉันไม่เคยสอนให้ใครมาก่อนเลย ต้องการให้เธอสืบวิชาไว้ไม่ให้ตายตามหลวงพ่อไปพร้อมกันเข้าใจหรือยังล่ะ" อาตมาได้แต่นิ่ง นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับ หลวงพ่อเดิมท่านก็ว่า "เอาล่ะ ๆ คืนนี้เธอกลับไปนอนก่อน พรุ่งนี้หลวงพ่อจะเริ่มสอน" อาตมาจึงได้เรียนวิชาคชศาสตร์ เริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิตามที่ท่านสอน โดยท่านควบคุมเอง และยังได้สอนกสิณให้อีกด้วย หลวงพ่อเดิมท่านสอนกสิณอย่างละเอียดทีละขั้นตอน แล้วให้ทดลองทำ อาตมาก็ทำตามได้ความรู้ทางด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทำกสิณอย่างเต็มที่พอได้ความรู้อย่างดีแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า "เห็นไหมล่ะ ถ้าเธอไม่เรียนวิชาคชศาสตร์แล้ว เธอก็จะไม่ได้กสิณจากหลวงพ่อและไม่ได้อะไรเลย มามือเปล่าก็กลับไปมือเปล่า อย่าเป็นคนหยิ่งยะโสแมงป่องเลย ผู้ใหญ่เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่พูดเรื่อยเปื่อยไปหรอก" อาตมาซาบซึ้งใจเหลือเกิน ตั้งแต่นั้นมา พระเถระผู้ใหญ่ให้อะไร สอนอะไร ก็เอาไว้หมด ไม่เคยรังเกียจหรือถือดีว่าเคยได้ยินได้ฟังหรือเคยทำมาแล้ว ไม่ว่าท่านจะให้อะไรก็น้อมรับไว้หมดเลย ทำให้กลายเป็นคนว่านอนสอนง่าย และเข้ากับคนได้ดีจนทุกวันนี้ อาตมาก็ยังระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิมไม่หาย เพราะถ้าไม่ได้ท่าน อาตมาก็คงสึกไปเป็นฆราวาส ไม่ได้นุ่งเหลืองมาสั่งสอนธรรมะกับญาติโยมหรอก อันว่าของที่เขาให้มานั้นนะ ถ้าไม่ได้ใช้เองเห็นคนไหนสมควรก็ให้ไปใช้ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย มีของไว้มาก ๆ แจกเป็นทานก็ได้" การเรียนกสิณนั้น เรียนหลายอย่าง กสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ กสิณในวิชากสิณ หลวงพ่อเดิมท่านสอนให้หมดไม่ปิดบัง ทำให้อาตมาเพลินเรียนไม่รู้ว่าเอากำลังมาจากไหน รับไว้อย่างเต็มที่ ความคิดเรื่องสึกเริ่มเลือนหายไป คิดแต่ว่าเรียน ๆ ๆ ให้มากที่สุด พอได้ที่แล้ววันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็เรียกอาตมาไปเรียนวิชาคชศาสตร์ง่าย ๆ ก่อนท่านสอนว่า "ช้างนั้นเขาว่ามีหูทิพย์จริงไหม" หลวงพ่อขอตอบว่า "จริง" "มีทุกตัวไหม" "ไม่ทุกตัว" แล้วรู้ได้อย่างไรว่าหูทิพย์ อาตมาก็งงเลยถามหลวงพ่อเดิมท่านไปตามประสาคนไม่รู้เรื่องว่า "นั่นนะซีครับ ช้างก็เหมือนช้าง ไม่ผิดกันนี่ครับ" หลวงพ่อเดิมจึงได้ไขปัญหาต่อไป "ให้ดูที่เทวดารักษาตัวช้างอยู่ก็ด้วยกสิณที่เธอได้เรียนไปนั่นแหละ เป็นตัวกำหนดเอา" อาตมาจึงมารู้ตอนนี้เองว่า หลวงพ่อเดิมท่านต้องการให้เรียนกสิณก่อน เพราะกสิณคือหลักในการทำให้จิตแข็งแกร่งเป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคสึกที่กำลังเกาะกินใจอาตมาจนกร่อนไปด้วยความเร่าร้อน กสิณดับได้เหมือนเอาน้ำเย็น ๆ สาดลงบนกองไฟอันร้อนรนให้มอดดับ "กำหนดเห็นแล้วทำอย่างไรครับจึงจะทำให้ช้างละพยศหายตกมันได้" "ไม่ยากแล้ว กำหนดเห็นเทวดารักษาช้าง แล้วก็แผ่เมตตาให้เทวดา เทวดารับแล้วเขาก็จะบังคับช้างให้เชื่องแล้วไม่ตกมันต่อไป พระที่ท่านมีกสิณท่านจึงแผ่เมตตาให้เทวดา ไม่ใช่แผ่ให้ช้าง แผ่ให้ช้างล่ะก็แบนเป็นกล้วยปิ้งหมด" อาตมาก็นิ่งฟังหลวงพ่อเดิมท่านว่าจะว่าอะไรต่อไปอีก ท่านก็เล่าความหลังเมื่อท่านเป็นเด็กว่า "ตอนที่หลวงพ่อตามโยมพ่อไปทำไร่ที่ท่าตะโก ที่นั่นช้างป่ามาก มันเข้ามากินของในไร่เสียหายมาก พวกชาวไร่พอเช้าขึ้นก็ด่าพ่อล่อแม่ช้างกันเป็นการใหญ่ เคียดแค้นที่ช้างมันเข้ามากินของในไร่ พอตกดึกไม่มากินเปล่า ๆ มาช่วยกันรื้อกระท่อมแล้วรื้อถูกด้วย กระท่อมไหนด่าว่าก็รื้อกระท่อมนั้น เจ้าของวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิต ทำไมจึงรู้เพราะเทวดาบอกเขานำมาเล่นงานเอา" อาตมาจึงเข้าใจในที่สุด ก็เรียนเรื่องช้างในวิชาคชศาสตร์ไปเรื่อย ๆ จนมาถึงการสยบช้างตกมัน หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนว่า "ช้างตกมันนั้นมันดุและร้ายที่สุด จะสยบได้ต้องเพ่งเมตตาพระกรรมฐานให้มากที่สุด จะเผลอไม่ได้เลยต้องแน่วแน่อย่างที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วจะต้องเอาชีวิตไปสังเวยมัน มันไม่เห็นแล้วตอนนั้นว่าใครเป็นใคร เพราะมันตกมัน มันมืดบอดไปหมด เทวดาที่รักษาช้างเท่านั้น จะต้านช้างและเอาช้างนั้นไว้ได้ ถ้าเทวดาเขาไม่เอาด้วยล่ะก็ตาย" อาตมาจดจำไว้ หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนต่อไปอีก ท่านสอนถึง การกำหนดจิตเพ่งกสิณและเจริญเมตตาพระกรรมฐาน ซึ่งการเพ่งกสิณและเจริญเมตตาพระกรรมฐานไปสยบช้างตกมันนั้น มันต้องเพ่งให้ได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นอย่างน้อย ต่ำกว่านั้นไม่ได้ ต้องรีบถอนหนี เพราะช้างเป็นสัตว์ร้ายมันเอาตายแน่ จะแผ่เมตตาจะปราบช้าง ต้องดูกาลเทศะด้วย ไม่ใช่แผ่ดะไป อันนี้ขอบอกขอเตือน พระธุดงค์มือหัดใหม่อย่าได้ริอ่านทำเข้า พลาดแล้วจะกลายเป็นเหยื่อช้างตกมันไปง่าย ๆ ควาญที่เคยเลี้ยงดูมันมา เวลามันตกมัน มันยังขยี้เสียยับเยิน นับประสาอะไรกับคนอื่น เทวดารักษาช้างนั้นสำคัญที่สุด ช้างบางตัวก็มีเทวดารักษา บางตัวก็ไม่มี ต้องกำหนดจิตให้เห็นจึงจะสามารถแผ่เมตตาให้กับเทวดารักษาช้างนั้นได้ ถ้าไม่แผ่เมตตาให้เทวดาแล้วล่ะก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เมื่อได้เข้าป่าได้ผจญช้างตกมัน หรือช้างป่าที่ดุร้ายหมายชีวิตต้อนเจริญกสิณ ให้จิตหยั่งลงลึก ประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ให้จงได้ แล้วเพ่งดูเทวดาที่รักษาช้าง เมื่อเห็นแล้วก็ให้กำหนดจิตแผ่เมตตาออกไปให้เต็มที่ เพื่อให้เทวดารักษาช้างได้รับ และจัดการกำราบช้าง บทที่แผ่ออกไปว่าดังนี้ "เมตตัญจะสัพพะโล กัสสะหมิง มานะสัมภาวะเย อปริมาณัง" ในจังหวะเดียวกันก็แผ่กระแสแห่งเมตตาธรรมออกไปให้กว้างใหญ่ไพศาล ไร้ขอบเขตเหมือนคำบาลีที่แผ่ออกไปว่า "เมตตัญจะ อปริมาณัง อันหมายความว่า เมตตานั้นไร้ขอบเขตจำกัดสรรพสัตว์ ตลอดจนอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ย่อมได้รับกระแสแห่งความเมตตานี้ได้ทั่วกัน กสิณคุมเอาไว้ให้มั่น นั่นแหละ คือ การกำราบช้าง" การคุมจิตในการแผ่เมตตานั้น หลวงพ่อเดิมท่านให้ใช้คาถาภาวนาในช่วงลมหายใจว่า "เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา" เจริญไว้ทุกลมหายใจอย่าให้ขาดตกหล่น เพราะเป็นช่วงสำคัญมาก เมื่อเทพยดาที่รักษาช้างได้รับเมตตานั้นแล้วก็จะบังคับช้างให้เบี่ยงเบนแล้วออกไปให้พ้นจากที่ ๆ ประจันหน้าอยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือเหมือนกับนักเลงโต สั่งลูกน้องว่า คนนี้เขาเป็นคนดี อย่าได้ไปทำร้ายเขา ไปที่อื่นเสียอย่างนี้แหละ เมตตาหลวงพ่อเดิมท่านว่า เป็นสุดยอดแห่งคุณธรรม เป็นเครื่องค้ำจุนโลก จะพินาศหมดเพราะเข่นฆ่ากั้นจนไม่มีใครเหลือ อันนี้อาตมาขอแทรกไว้ตรงนี้ว่า เวลาไปมีเรื่องกับใครอย่าใช้ความโกรธ เราต้องดูว่าเขามีผู้ใหญ่คอยคุมอยู่ มีผู้บังคับบัญชา ต้องเข้าไปให้ถึงคนใหญ่ไปบอกเขา มีเรื่องกับลูกเขา เขามีพ่อมีแม่ก็ต้องบอกพ่อบอกแม่เขาให้รู้เอาไว้ จะได้ห้ามปรามไม่ให้มามีเรื่องอีก ต้องเข้าให้ถูกตามช่องจึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องไม่จบ ช้างก็เหมือนกัน เราไม่บอกเทวดาที่รักษาช้าง เขาก็วางเฉย เอ็งจะทำอะไรก็ตามใจ ไม่วิ่งหนีให้ทัน ก็มีหวังแบนแต๋อยู่ใต้อุ้งเท้าช้างแน่ นี่แหละหลวงพ่อเดิมท่านให้วิชาคชศาสตร์แก่อาตมา เพราะอาตมาปรารภจะสึกลูกเดียว ถ้าท่านสอนให้เรียนกสิณ ก็จะไม่สำเร็จเพราะไม่ต้องการได้ แต่ท่านวิชาคชศาสตร์โดยสอนว่า ถ้าจะปราบช้างให้เจริญกสิณแล้วจึงจะปราบช้างได้ เรียนกสิณแล้วใจก็ไม่คิดสึก เรียกว่าลืมเรื่องสึกไป ท่านจึงได้สองสองต่อคือ ต่อแรกทำให้อาตมาเป็นพระมาได้จนทุกวันนี้ ต่อที่สองคือ วิชาคชศาสตร์ไม่ตายแต่อาตมารับทอดเอาไว้จนได้ในที่สุด อาตมาจึงว่าเหลวงพ่อเดิมท่านไม่ใช่ธรรมดา แต่ท่านเป็นอัจฉริยะจริง ๆ อาตมายอมรับว่าหลวงพ่อเดิมท่านเป็นผู้รอบรู้หมดทุกด้านสมกับที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากยอดขุนศึกของพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช อันเป็นปฐมสมภารของวัดหนองโพโดยแท้ และวิชานี้ได้ตกทอดมายังหลวงพ่อเดิม และถ่ายทอดมายังอาตมาให้สืบทอดเอาไว้จนทุกวันนี้ นอกจากนั้นแล้ว ยังทำให้อาตมาได้ดำรงสมณเพศมาจนวินาทีที่ได้เล่าให้โยมฟังด้วยบารมีท่าน" วิชาที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิชาการกำหนดรู้สภาวะของผู้คน ยกตัวอย่างเช่น อาตมาเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ต้นไม้เขียวสดชื่น ไม่ดอกก็งดงาม แต่เมื่อกำหนดจิตเข้าไปสิ่งที่กระทบคือ ความรู้สึก ซู่ ซู่ วาบ วาบ สลับกัน อย่างนี้ท่านว่าไม่นานนักจะมีคนตายในบ้านนั้น คนไข้หนักก็จักไม่รอดได้ บางบ้านผ่านไป ต้นไม้ก็กรอบแห้ง ไม่น่าดูเสียเลย แต่ได้กำหนดจิตเข้าไปดู ปรากฏว่ามีสัมผัสว่า ซู่ซู่ ซู่ซู่ ติดต่อกัน ท่านว่าบ้านนั้นกำลังจะรวยและมีโชคมีลาภ อีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อตื่นจากที่นอนแล้วถ้าหมั่นสังเกตจะพบว่า ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะได้เงิน ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะเสียเงิน และจิตเป็นอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อารมณ์ที่อยู่ในจิตจะบอกเหตุดีร้าย อาตมาก็เรียนเอาไว้ จดเอาไว้ และแล้ววันหนึ่งก็ได้ใช้ ตอนนั้นเขานิมนต์ไปที่เชียงราย อาตมาก็ออกเดินทางจากวัดตั้งแต่ตีหนึ่ง คนขับชื่อนายวิรัช อาตมาก็บอกกับเขาว่า "นี่แน่ะวิรัช ถ้าเกิดอารมณ์อย่างนี้เมื่อใดให้บอกกับฉันนะ ฉันจะได้นั่งสมาธิเข้าควบคุมไว้ ถ้าไม่บอกแล้วจะเกิดอันตราย" พอเลยตัวเมืองเชียงรายไปได้ไม่มากนัก นายวิรัชก็บอกว่า หลวงพ่อ ๆ เกิดอารมณ์อย่างที่หลวงพ่อสอนเอาไว้แล้ว "หลวงพ่อ เอาไงดี" อาตมาก็บอกว่า "หยุดพักเสียไม่ต้องเดินทางต่อไป มันเกิดอาเพทแล้วจะมีอันตราย" จอดพักผ่อน พอได้เวลาก็ให้ออกเดินทางไปเพียงอีกสามกิโลเมตรเท่านั้น รถโดยสารประสานงากับรถบรรทุกแหลกยับ คนกระเด็นออกมาตายเกลื่อนกลาด เลือดแดงไปหมด นี่หลวงพ่อเดิมท่านพูดจริง ถ้าอาตมาไม่มีความรู้ รถแล่นไปก็คงจะโดนเข้าให้ด้วย ถึงได้บอกว่า ผู้ใหญ่ให้อะไรล่ะก็รับไว้หมด อย่ารังเกียจ อย่าจองหอง อาตมาประทับใจคำหลวงพ่อเดิมว่า "อย่าจองหอง ผู้ใหญ่ให้ของ อย่าจองหองพองขน ให้รับเอาไว้ เด็กสมัยใหม่นี้มันจองหองกันนัก ให้อะไรก็ไม่เอา ๆ แล้วผลสุด้ายก็ไม่ได้ดีกันสักเท่าไร" อาตมาจะเล่าให้ฟังอีกเรื่อง เรื่องนี้ไม่ขอเอ่ยชื่อ แม่ให้ของที่ระลึก แม่ก็ไม่มีสตางค์เพราะส่งลูกเรียนหมดแล้ว พี่สาวได้ก่อน แม่เอาไม้แคะหูที่แม่เคยใช้ทำด้วยนาคมอบให้ลูกสาวคนโต เพราะไม่มีอะไรจะให้ พี่สาวคนโตแสนจะแค้น จึงพูดกับแม่ว่า "โธ่เอ๊ย! นึกว่าจะให้อะไร อีแค่ไม้แคะหูทำด้วยนาคแค่นี้ ราคาไม่ถึง ๑๐๐ บาท ไม่เอาล่ะ แม่เอาไว้ใช้เหอะ" ว่าแล้วก็โยนไม้แคะหูใส่หน้าแม่อย่างหมดความเกรงใจ น้องสาวคนรองก็คลานเข้าไปเก็บไว้บอกกับแม่ว่า "หนูขอเก็บเป็นที่ระลึกก็แล้วกัน" แม่ก็น้ำตาคลอบอกกับลูกว่า "เอาไปเถอะแม่ก็มีอยู่แค่นี้เองแหละ เอาไปไว้เป็นที่ระลึกก็แล้วกัน" ต่อมาพี่สาวก็ออกเรือน น้องสาวก็ตามไปอยู่ด้วย เพราะยังไม่ได้ออกเรือน แม่ก็ตายไปแล้ว คืนหนึ่งมีแมงคาเรืองเข้าหูพี่สาว ตื่นขึ้นมาร้องโอดโอย จะไปรักษาก็ไม่ได้ เพราะมันดึก และพาหนะที่จะไปก็ไม่มี น้องสาวเห็นพี่สาวดิ้นร้องอย่างนั้นก็เอาไม้แคะหูของแม่ขึ้นมา จบที่หน้าผาก ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วบอกดวงวิณญาณแม่ว่า "ด้วยความรักของแม่ที่มีต่อลูก ขอให้วิญญาณแม่มาสิงที่ไม้แคะหูนี้ หนูควานไปจงทำให้แมงคาเรืองมันตายด้วยเถอะ" เมื่อน้องสาวแหย่ไม้เข้าไปแล้วควักคว้าน ติดเอาแมงคาเรืองขาดออกมาค่อนตัว แมงคาเรืองก็ตาย หูก็หายปวด รุ่งเช้าก็ค่อย ๆ เอาน้ำหยอดแล้วแมงคาเรืองที่เหลือแต่หัวกับตัวอีกนิดหน่อยก็ออกมา ไหมล่ะ ถ้าไม่ได้แคะหูนาคที่พี่สาวโยนทิ้งรดหัวแม่ก็คงจะตายเพราะความเจ็บปวดไปแล้ว อาตมาขอพูดถึงเรื่องการที่ผู้ใหญ่ให้ของแล้วเด็กไม่รับหรือไม่รู้จักว่าผู้ใหญ่เขาเมตตาขนาดไหน อาตมาจะเล่าให้ฟังเรื่องมีอยู่ว่า มีญาติโยมอยู่รายหนึ่งมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ที่เขาร่ำรวยมาได้ทุกวันนี้ เพราะเขาได้ของดีมาโดยไม่คาดฝัน เรื่องมีอยู่ดังนี้ เขาเองนั้นเป็นเพื่อนกับหลานชายของคุณย่า ซึ่งรักหลานชายคนนี้มาก แต่สมบัติที่มีนั้นแบ่งให้ลูก ๆ ไปหมดแล้ว เหลือแต่หลานชายคนนี้ จึงได้เรียกไปมอบสมบัติที่ย่าสุดจะหวง "หลานเอ๊ย! ย่ามีของจะให้หลาน เป็นของที่ย่ารักมากที่สุด เอาเก็บไว้นะหลาน เก็บไว้ให้ดี ย่าให้เจ้าเพราะเป็นหลานที่ย่ารักที่สุด" เจ้าหลานชายคิดว่าถ้าไม่ใช่เงินสดก็คงเป็นเครื่องเพชรเครื่องทองโบราณ แต่พอเห็นสิ่งที่ย่ายื่นมาให้ก็หน้าเสีย เพราะมันเป็นเพียงตลับเงินโบราณเล็ก ๆ ใบหนึ่งเท่านั้น "ตลับสีผึ้งที่ย่ารักมาก เป็นของมีค่าเหนือกว่าอะไรทั้งสิ้น เก็บไว้ให้ดีนะ" หลานรับตลับสีผึ้งมาแล้วด้วยความแค้นเคืองแต่ไม่กล้าแสดงออก พอกลับมาถึงบ้านก็บอกกับภรรยาว่า ดูนี่ซิ เห็นไหมล่ะ ย่าของฉันท่านมีเมตตามาก แบ่งสมบัติให้ลูกหมดแล้ว เหลือตลับสีผึ้งอันนี้ไว้ให้ ว่าแล้วก็โยนตลับสีผึ้งลงไปกับพื้นตรงหน้าภรรยา ซึ่งมองด้วยความไม่พอใจเหมือนสามี แล้วพูดว่า "โธ่เอ๋ย! ให้หลานทั้งทีให้มันดีกว่านี้ไม่ได้เชอะ เอาไปไหนก็เอาไปไป๊ เอาไปให้พ้นเลย" หลานผู้นั้นเก็บตลับสีผึ้งไว้ระยะหนึ่ง พอเพื่อนมาเห็นเข้าก็ชอบใจ จึงได้ออกปากขอเอาไปใช้ ผู้เป็นหลานกำลังเคืองอยู่พอดี ก็ให้เป็นการประชดไปทันทีโดยไม่ได้คิดว่าตลับสีผึ้งนั้นผู้ให้คือมารดาของผู้ให้กำเนิดตัวเอง เพื่อนได้ตลับสีผึ้งไปแล้วก็เอาไปสีปาก ทำมาค้าขึ้น ก็ทำบุญอุทิศให้ผู้เป็นเจ้าของตลับสีผึ้งทุกเข้า ฐานะก็ดีขึ้นทันตาเห็น ทำให้ชาวบ้านถึงกับออกปากว่าครอบครัวนี้ทำมาค้าขึ้นจริง ๆ เรื่องรู้ไปเข้าหูของเจ้าของเก่าเข้า ก็พูดว่าดวงมันดีก็รวยนะซี ตลับสีผึ้งขี้กะโล้โท้แบบนั้นจะมีอะไร วิญญาณย่าได้รับการอุทิศกุศลหนักเข้าก็ไปเข้าฝันคนที่บูชาตลับสีผึ้งว่า "สีผึ้งธรรมดาน่ะ ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไร แต่ที่อยู่ก้นตลับนั้นให้นำขึ้นมาเป็นเครื่องประดับให้เหมาะสม เพราะเป็นเพชรตาแมวที่เจ้าของหวงมาก ตั้งใจจะให้หลานได้ไว้ แต่หลานก็กลับไม่ใส่ใจ ความมาแตกรู้ถึงหูของหลาน ก็มาขอคืน แต่เพื่อนก็ไม่ยอมให้คืน เพราะเจ้าของให้มาด้วยความเสน่หาแล้ว ถือว่าถูกต้อง ฟ้องร้องกัน ก็ปรากฏว่า เจ้าของเดิมแพ้คดีด้วยพยานรู้เห็นกันอยู่เป็นการให้ด้วยเสน่หา จึงได้แต่น้ำตาตกเพราะไม่เฉลียวใจ ดูถูกปู่ย่าตายายตัวเอง ดังนั้นโปรดจำไว้ ผู้ใหญ่ให้ของอะไรอย่าไปรังเกียจ เก็บเอาไว้ให้ดี วันนี้ไม่มีประโยชน์ วันพรุ่งนี้มีประโยชน์ วันพรุ่งนี้ไม่มีประโยชน์ วันมะรืนไม่มีประโยชน์ ปีหน้าอาจมีประโยชน์ ตั้งแต่อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมได้รับฟังคำสั่งสอนของท่านแล้ว อาตมาก็จำเอาไว้เลย พระผู้ใหญ่ให้อะไรอาตมารับหมดไม่ยอมทิ้งเลย จึงได้บอกว่า ผู้ใหญ่ให้ของล่ะก็อย่าปฏิเสธ รับเอาไว้เลย เขาให้น่ะเขาเห็นแล้วว่าต่อไปได้ใช้ สำหรับอาตมานั้น ใครมีวิชาก็เรียนเอาไว้ แม้แต่เขมรมาจากสุรินทร์ พวกส่วยเอาผ้าไหมทอมาขายที่แถววัดอัมพวัน นักเลงใหญ่มีลูกสาวซื้อผ้าไหมซิ่นและเสื้อไหมไว้แล้วไม่ให้สตางค์เขา เขาก็เลยใช้วิชาปิดประตู กำลังท้องใช้วิชาไม่ให้ลูกคลอดออก ก่อนจะไปส่วยเขามาพักกับอาตมา เขาเรียกอาตมาว่า หลวงพี่ เขาว่า "บ้านนักเลงนั้นซื้อของแล้วไม่ให้เงิน มันโกงฉันก็เลยเอากุญแจใส่ไม่ให้มันคลอดลูกออกมาได้" อาตมาก็เลยขอเรียนรู้เจ้าส่วยนั้นก็สอนให้ สอนทั้งวิธีใส่กลอนลั่นกุญแจ และการเปิด การถอนให้ เขาคิดค่ายกครู ๑๒ บาท อาตมาก็หาให้ เรียกว่า เรียนเอาไว้เพราะว่าเวลาจำเป็นจะได้ช่วยเหลือสัตว์ผู้ยาก ก็เพราะถือคติของหลวงพ่อเดิมนั่นแหละ เรียนแล้วส่วยคนนั้นก็กลับไป อาตมาก็เฉยไว้ พอได้กำหนดคลอดเท่านั้นแหละ หมอตำแยห้าหมอส่ายหน้าดิก บอกว่ายอมแพ้ เพราะไม่ว่าจะใช้ความรู้ที่เล่าเรียนมาจนหมดไส้หมดพุง เด็กมันก็ไม่กลับหัวลงมา ลมเบ่งมีแต่มันช่วยไม่ได้ ร้องได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน อาตมาจึงรู้ว่า อ้อ! บ้านนี้เองที่ส่วยทำวิชาเอาไว้ อาตมาก็จะช่วย ช่วยไม่ได้เพราะวิชาที่เรียนมามีเคล็ดว่าต้องให้เข้าออกปากเชิญจึงจะช่วย ถ้าอยู่ ๆ ไม่มีใครขอร้อง ไปช่วยวิชามันเสื่อมหมด อาตมาก็บอกให้เจ้าศิษย์วัดไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วก็พูดเปรย ๆ ว่า ไปให้หลวงพ่อจรัญท่านรักษาซี ได้การแห่กันมาทั้งบ้าน มาบอก "หลวงพ่อขา ช่วยทีเถอะเด็กน่ะตายแน่แล้ว ก็เอาเด็กออกไม่ได้ แม่มันก็ต้องตายอีกคนหนึ่ง" อาตมาก็ทำน้ำมนต์ตามที่เจ้าส่วนสอน ก็ยังไม่เคยทำสักที ถ้ามันหลอกก็คงจะหน้าแตก แต่มันพูดจริง พอทำน้ำมนต์แล้วเพ่งพลังจิตลงไปแล้วก็ให้เอาไปกินที่บ้านของเขา ปรากฏว่าพอน้ำมนต์ถึงท้อง เด็กที่ตายก็ออกมาพร้อมรก ตัวแม่รอดชีวิตได้ นี่แหละอาตมาจึงว่า รู้ไว้ ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม หลวงพ่อเดิมท่านสอนอย่างนั้น เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ได้ใช้แล้ว คาถาอาคม เพราะเรามาเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็ละทิ้งเสียทั้งหมด เพราะไม่รู้จะใช้ไปทำไม แต่ก็ยังอยู่ในไส้พุงนะ ไม่ใช่ทิ้งแล้วลืมเลย คือไม่ทำเท่านั้น เมื่ออาตมาเรียนจบแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านอาพาธหนัก ทรุดลงทันที เหมือนกับว่าท่านทรงสังขารอยู่เพื่อสอนวิชาคชศาสตร์ให้กับอาตมาเป็นครั้งสุดท้าย หลวงพ่อเดิมท่านอาพาธคราวนี้อาตมาได้ใกล้ชิดอยู่จนมรณภาพ เพราะอยู่กับท่านมาตลอดหกเดือนจนคุ้น ลูกหลานหลวงพ่อเขาช่วยกันพยาบาลอย่างใกล้ชิด อาตมาก็อยู่หน้ากุฏิ เพราะไม่มีที่และหลวงพ่อก็อาพาธหนัก ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมจนวาระสุดท้ายมาถึง วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส เมฆไม่มี อากาศร้อนอบอ้าว มันแล้งจริง ๆ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเมฆฝนตั้งเค้าทะมึนมาเหนือท้องฟ้าบ้านหนองโพ และฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา มันเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมาก อาตมารู้ตอนหลังนี้ว่า หลวงพ่อเดิมท่านปรารภก่อนหน้าที่ฝนจะตกว่า "น้ำในสระบ้านหนองโพมีกินกันพอหรือ" ลูกหลานก็บอกว่า "ถ้าฝนไม่ตกในสี่ห้าวันนี้ก็ต้องอดกันแน่ เพราะน้ำแห้งลงไปมาก" หลวงพ่อเดิมท่านก็ให้ลูกหลานช่วยแต่งจีวรครองให้ท่านให้รัดกุม แล้วท่านก็หลับตา มือสองข้างพนมไว้ที่หน้าอก ปากสวดพร่ำภาวนาคาถาและเจริญกสิณของท่านไปเพียงไม่นาน เมฆฝนก็ก่อตัวขึ้นดำมืดไปหมด แล้วก็ตกลงมาอย่างหนักจนน้ำไหลลงสระถึงค่อนสระจึงขาดเม็ด และเมื่อฝนขาดเม็ด หลวงพ่อเดิมท่านก็ขาดใจเหมือนสายฝน อาตมารู้ว่าหลวงพ่อสิ้นเมื่อได้ยินเสียงลูกหลานหลวงพ่อที่อยู่ด้านในห้องร้องไห้ และออกมาร้องบอกคนข้างนอกว่า หลวงพ่อเดิมท่านมรณภาพแล้ว ให้ตีกลองและระฆังเป็นสัญญาณ อาตมารู้สึกใจหาย แม้จะเป็นศิษย์เพียงหกเดือนสุดท้าย แต่อาตมาได้รับสมบัติตกทอดจากหลวงพ่อเดิมอย่างมหาศาล คือ กสิณ และความเป็นพระมาจนทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้หลวงพ่อเดิม ป่านนี้อาตมาก็คงไม่ได้มาเล่าเรื่องนี้ทั้งที่ครองผ้าเหลืองหรอกนะ อาตมาอยู่ช่วยงานศพหลวงพ่อเดิมตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนที่มีการตั้งศพหลวงพ่อเพื่อสวดพระอภิธรรม ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก (เดิมเป็นมหาห้อง) เจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานจัดงานศพ เพราะเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อเดิมอย่างยิ่ง ตอนนั้นอาตมาได้เข้าใกล้ชิดท่าน เพราะท่านเคยมาเยี่ยมหลวงพ่อเดิม และหลวงพ่อเดิมก็คงจะบอกกับท่านว่า พระจรัญรูปนั้นเขาจะสึกไปเป็นฆราวาสแล้วท่านยับยั้งเอาไว้ พอว่างแขกท่านก็เรียกอาตมาเข้าไป อาตมาก็เข้าไปกราบท่านพูดว่า "เธอใช่ไหมชื่อ จรัญ มาจากพรหมบุรี" "ขอรับกระผม หลวงพ่อบอกกับพระคุณท่านหรือขอรับ" "นี่เธอฟังฉันนะ ฟังให้ดี ๆ เธอเคารพหลวงพ่อเดิมหรือเปล่า" "ขอรับ กระผมเคารพขอรับ" "ดีแล้วฉันจะบอกกับเธอตรงนี้โดยไม่ปิดบังว่า ฉันเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ฉันนี่แหละคือศิษย์ของหลวงพ่อเดิมองค์หนึ่ง ได้ดีมาทุกวันนี้ก็ด้วยบารมีหลวงพ่อเดิมนี่แหละ เธอเป็นศิษย์ที่หลวงพ่อเลือกสรรแล้ว" อาตมาก็งงนอกจากเจ้าคณะจังหวัดจะเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมแล้ว จึงเรียนถามเจ้าคณะจังหวัดไปตามประสาซื่อว่า "กระผมไม่เข้าใจขอรับว่าทำไมพระคุณท่านจึงว่า หลวงพ่อเดิมเลือกสรรกระผมแล้ว" "เธอฟังฉันให้ดี ๆ นะ วิชาคชศาสตร์นี้ไม่ว่าฆราวาสหรือสงฆ์ในหรือนอกบ้านหนองโพ หลวงพ่อเดิมไม่เคยถ่ายทอดให้ แต่คุณคนเดียวนี่แหละที่หลวงพ่อมอบให้ จึงนับเป็นวาสนาบารมีของคุณโดยแท้ มีผู้มาขอเรียนกับหลวงพ่อเดิมตรง ๆ แต่หลวงพ่อเดิมก็ได้แต่หัวเราะ อย่างเก่งก็บอกว่า รอไปก่อนนะ ยังไม่ถึงเวลาจนแล้วจนรอด หลวงพ่อท่านก็ไม่พูดถึง เป็นอันว่าไม่ได้เรียน" อาตมาจึงเข้าใจในทันทีว่า หลวงพ่อเดิมท่านเมตตาต่อตัวอาตมามากเป็นพิเศษ จึงถ่ายทอดวิชาคชศาสตร์ให้จนครบถ้วนกระบวนความ เหมือนท่านจะมีญาณวิเศษหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเมื่อท่านมรณภาพแล้ว อาตมาจะได้เข้าไปในป่าเรียนวิชากับพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งของท่านแล้ว ออกเดินธุดงค์เดี่ยวหาความชำนาญ วันนั้นก็ได้พบกับช้างป่าตัวเบ่อเริ่มส่งเสียงร้องแปร๋น ๆ กางหูชูงารี่เข้ามาจะกระทืบอาตมาให้แบนติดเท้า อาตมาจึงเข้าที่เจริญพระกรรมฐานและกสิณจนแน่วแน่ แล้วแผ่เมตตาให้เทวดาประจำตัวช้าง ช้างที่กำลังวิ่งแปร๋นเข้ามามีอันเป็นหน้าหงายสะบัดหูชูงา สะบัดงวงไปมาเข้ามาไม่ได้ เทวดาเขารั้งเอาไว้จนอยู่ บอกว่าอย่าไปทำร้ายพระสงฆ์ท่านไม่ใช่ผู้เบียดเบียน เจ้ามาเกิดเป็นเดรัจฉานก็นับว่ากรรมแล้ว ถ้าไปแทงท่านตายก็กรรมหนักเข้าไปอีก ไม่ต้องมีโอกาสได้เป็นคนกัน มันเป็นเสี้ยวชีวิตแห่งความเป็นความตายทีเดียว เพราะช้างมันแล่นเข้ามาเกือบจะถึงอยู่แล้ว มันจึงเบนออกจากอาตมา หลังจากนั้นได้มองเห็นภาพหลวงพ่อเดิมทุกอิริยาบถ นึกถึงคำที่ท่านว่า ผู้ใหญ่เข้าให้อะไรอย่างหยิ่งยะโสโอหัง เอาไว้ก่อน วันหน้าจะเป็นประโยชน์ อาตมายกมือขึ้นจบที่หน้าผาก ระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิมว่า "หลวงพ่อครับ ถ้าหลวงพ่อไม่สอนวิชาคชศาสตร์ให้กระผมในวันนั้น วันนี้ผมต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี้แน่ ๆ ดีแต่ว่าหลวงพ่อสอนวิชาคชศาตร์ให้จึงรอดมาได้ หลวงพ่อครับ ชาตินี้ผมไม่ลืมหลวงพ่อเด็ดขาด" อาตมายังย้อนไปถึงคำหลวงพ่อเดิมว่า "ฉันรู้นะว่าเธอน่ะต้องการสึกและเมื่อก่อนเธอเกลียดผู้หญิงมาก แต่เธอจะกลับสึกไปหาผู้หญิง ต่อไปเธอจำไว้นะ จำคำหลวงพ่อไว้" "ยิ่งเกลียดยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรักยิ่งออกห่าง เมื่อเรามีความเกลียดแล้ว แผ่เมตตาความเกลียดก็หายไป ความรักใคร่ก็เข้ามาแทนที่ต่อไป" ไม่แต่เท่านั้นนะ อาตมาจะเล่าต่อให้ฟัง วิชาคชศาสตร์นี้ อาตมายังนำเอามาใช้ประโยชน์ได้อีกเรื่องเมื่อแม่ชีอายุ ๖๐ ปี เคยเกิดเป็นช้างมาก่อน ระลึกชาติได้ พอมาที่วัดอาตมาก็สอบสวนได้ความอย่างนี้ว่า พรานทองดีมีช้างตัวเมียอยู่ตัวหนึ่ง เป็นลูกช้างเก็บจากป่ามาตั้งแต่เล็ก ๆ พรานทองดีเลี้ยงไว้ เจ้าช้างนี้ประหลาดชอบตามพรานทองดีไปวัด ไปฟังเทศน์ ไปหมอบฟังพระเทศน์จนโตก็ยังทำอย่างนั้นเป็นประจำ พรานทองดีแกรักของแกมาก เลี้ยงดูไม่ให้อดอยาก แต่พรานทองดีแกบุญน้อย เมื่อพรานทองดีเสียชีวิต ช้างก็ต้องตกเป็นของลูกหลาน ลูกหลานเห็นอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ ต้องหาหญ้าหาของกินให้ช้างกิน จึงขายต่อไป แม่ช้างน้ำตาไหล ร้องไห้ไม่อยากจากบ้านพรานทองดี ซึ่งเหมือนพ่อของมันไป แต่ควาญช้างที่ซื้อไปก็เอาตะขอสับลากไปจนได้ มันเดินไปร้องไห้ไป ตรอมใจไป ไม่ยอมกินอาหาร พอไปถึงเมืองศรีเทพ (เพชรบูรณ์เก่า) ก็ล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงนั้นเอง เพราะมันเสียใจ พอช้างตายแล้วจึงได้กลับมาเกิดเป็นผู้หญิงอยู่ข้างบ้านพรานทองดีที่ภูพาน อายุได้ ๑๒ ปีก็ร่ำลาพ่อแม่ บวชชีแล้วระลึกชาติได้ อายุ ๖๐ ปี มาที่วัด อาตมาก็สอบสวนอย่างไร ก็เอานิสัยที่หลวงพ่อเดิมท่านสอบว่าช้างตัวผู้มีนิสัยอย่างไร ช้างตัวเมียมีนิสัยอย่างไรแล้ววันหนึ่ง ๆ ทำอะไรบ้าง คนที่นั่งฟังอาตมาถามให้แม่ชีก็ตอบเป็นข้อ ๆ ก็งงไม่รู้ว่าอาตมาเอาอะไรมาถาม จนที่สุด อาตมาก็ยอมรับว่า จริงเพราะถ้าคนไม่เคยเป็นช้างและไม่เคยรู้เรื่องคชศาสตร์ที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อเดิมมาแล้ว จะไม่รู้เลยว่าอะไร แต่แม่ชีตอบได้ฉะฉานว่าอะไรเป็นอะไร แต่แม่ชีตอบได้ฉะฉานและขาวสะอาดเป็นอันว่าระลึกชาติได้จริง นี่เห็นไหมล่ะว่า หลวงพ่อเดิมท่านเหมือนมีตาทิพย์ มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ อาตมาขอแทรกคำกลอนไว้ตรงนี้ เป็นคาถาแก้จน คาถาทำให้มีกินมีใช้ คาถามีอยู่ว่า "ไม่ยอมเรียนหรือจะรู้ ไม่ยอมดูหรือจะเห็น ไม่ยอมทำหรือจะเป็น ก็ลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย" ดังนั้น ต้องเรียน ต้องรู้ ต้องทำให้เป็นตัวอย่าง อย่าดูถูกวิชาการเรียน เขาให้อะไรก็เรียนไว้ไม่เสียหาย ช่วยตัวได้เวลาจำเป็นนี่เป็นตัวอย่าง เมตตาที่หลวงพ่อเดิมท่านสอนให้นี้ ท่านให้อาตมาไว้ผจญภัยจริง ๆ เพราะแม้แต่ไปต่างแดนก็ได้ใช้เมตตานี้เหมือนกันที่ศรีลังกาโน่นมันร้ายกาจกว่าช้าง เพราะเข้าเป็นคนที่มีใจอำมหิตโหดร้าย เมตตาที่หลวงพ่อเดิมสอนนี้ ทำให้อาตมากำราบได้แม้แต่คนใจทมิฬ อาตมาออกจากวัดหนองโพแล้วก็ปวารณาตัวเองเลยว่า ข้าแต่หลวงพ่อเดิม ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ แห่งวัดหนองโพ ศิษย์ขอบบวชจนตายไม่ยอมสิกหาลาเพศ เพราะหลวงพ่อเดิมคือดวงประทีป คือตัวอย่างที่ทำให้ผมได้รู้ว่าพระคือใคร พระมีหน้าที่อะไร พระทำอะไรได้บ้าง และพระที่ดีนั้นควรทำอย่างไร อาตมากบอกกับโยมตรง ๆ เลยว่า อาตมานับถือหลวงพ่อเดิมมาก เพราะท่านให้ชีวิตอันเป็นอมตะในสมณเพศแก่อาตมา ถ้าท่านไปประทังไว้ อาตมาก็คงจะสึก ไม่ได้มานั่งคุยกับโยมในผ้าเหลืองอย่างนี้หรอก อาตมาสวดมนต์ไหว้พระแล้วก็กราบหลวงพ่อเดิมทุกวัน ระลึกถึงพระคุณของท่านที่ได้สร้างอาตมาให้เป็นสงฆ์ที่ดี อัฐิของท่านอาตมาก็แบ่งเอามาไหว้ มากราบระลึกถึงพระคุณ ท่านเป็นพระที่ลึกซึ้งและเยี่ยมยอดจริง ๆ จะหาพระอาจารย์อย่างท่านได้ยาก วันพระราชทานเพลิงศพนั้น จะเล่าให้ฟัง ผู้คนล้อมรอบเมรุที่เผาท่านเบียดเสียดยัดเยียดกัน ตำรวจก็เข้าไปกัน ไฟยังไม่ทันดับสนิท ผู้คนต่างเฮโลเข้ามาจะเก็บอัฐิเพราะความนับถือ


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 13:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:
อนุโมทนาแล้วๆๆ ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร