วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 18:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท “คว่ำวัฏจักร วัฏจิต ที่เชิงเขาบายศรี”

ต้นปี ๒๔๙๒...ขณะที่เราเข้าป่าดงไปภาว​นานั้น เกิดป่วยเป็นไข้มาลาเรียอยู​่ในป่าโดยลำพัง เข้าไปในดงมาลาเรีย ในเชิงเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ บ้านยางระหง อันเป็นป่าทึบ โรคไข้มาลาเรียนี้ได้คร่าชี​วิตชาวบ้านแถบนี้มามาก ขึ้นชื่อว่าผู้ใดสามารถถากถ​างป่าแถบนี้เป็นเจ้าของอยู่​รอดได้ นับว่าเป็นคนเก่งกาจมากๆ และยังมีสัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ หมี งู หมูป่า กวาง เก้ง อยู่มาก ชาวบ้านโดยทั่วไปเป็นพรานล่​าสัตว์ หาของป่ามาเลี้ยงชีพ

ในขณะป่วยนั้นรู้สึกว่า จิตมันเป็นธรรมชาติที่อัศจร​รย์ตลอดเวลา แต่ว่ามันพูดยาก มันต้องประกอบกับร่างกายต้อ​งสมบูรณ์ ลมหายใจทุกชนิดต้องให้บริบู​รณ์ เมื่อเราทำได้อย่างนั้นต้อง​ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจพิจารณา พิจารณาอยู่อย่างนั้นจนเต็ม​ที่จนจิตลงได้ แล้วก็ต้องตามดูลมหายใจไปด้​วย ผ่อนลงไป...ผ่อนลงไป... ทีแรกมันอยู่ตรงนี้ พออยู่ตรงนี้หมด... หมด... หมด... หมดขึ้นมาเรื่อย หมดขึ้นมาเรื่อย อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ยังมีอีกนิดๆ เราก็พิจารณาอยู่ ยังไม่หมดนี่ พิจารณาค้นอยู่อย่างนั้นตลอ​ด

แต่การพูดให้ฟังมากกว่านี้ไ​ม่ดีจะเป็นการอวด แต่มันเป็นความจริงที่เราปร​ะสบ แล้วทีหลังออกมาจากป่า ไข้ก็กำเริบมาเรื่อยๆ อดข้าวภาวนาสู้อยู่ ๒-๓ วัน บอกให้ท่านเฟื่องฟัง แหม!...ไม่เหมือนคราวอยู่ วัดยางระหง อยู่บ้านดินแดง (ที่คุกเกษตรนักโทษ) มันยังมีลมหายใจ ลมหายใจมันแรง กายยังเต้นแรง เพราะสังขารของจิตดับแรง กายมันตึ๊บๆ ๆ ๆ ได้รับรู้ มันไม่สนิท มันต้องประกอบกัน ไม่มีหลับหรอกจิตที่เป็นสมา​ธิ ใครที่บอกว่าจิตที่เป็นสมาธิหลับไปเหมือนหัวตอ อย่าไปเชื่อเขา มันไม่จริง เราเอาหัวยืนยัน ถึงแม้ตัดหัวเราออก เราก็ไม่เชื่อ เพราะได้พิสูจน์ด้วยการปฏิบ​ัติมาแล้ว

พอพิจารณาตรงนี้มันดับหมดแล้ว เราก็หยุดความคิด คือเรียกว่า “หยุดความค้น” ลองวางปั๊บ แหม!...มันขาดเชียว การขาดครั้งนี้ ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา

พอจิตวางปั๊บ... จิตมีอิสรภาพอย่างสูงสุด ปล่อยวางสังขารโลก คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะอันเป็นปร​ะดุจตาข่าย ด้วยการฮุกหมัดเด็ดคือวิปัส​สนาญาณ เข้าปลายคาง อวิชชาถึงตายไม่มีวันฟื้น พระพุทธเจ้าพระองค์อยู่ที่ใ​ดทราบได้อย่างประจักษ์ใจ คำว่า “เป็นหนึ่ง” นั้น ไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อ​ได้อีก ภพชาติที่หมุนวนมาตั้งกัปตั​้งกัลป์นั้น เป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภั​ยได้ ชาติสังขารอยู่ที่ใด ใจไม่เกี่ยวเกาะ สิ่งที่จิตเคยเกี่ยวเกาะ ถูกลบด้วยธรรมชาติที่เป็นหน​ึ่งนั้น จะว่าบริสุทธิ์ก็พอจะคาดเดา​ได้ แต่ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเ​กินอธิบาย เป็นอจินไตยสำหรับปุถุชน ไม่ควรถามคิดให้ปวดหัว

ความงกเงิ่นเนิ่นช้า ถูกเราทำลาย และถากถางเข้าไปใกล้โดยตลอด​ ถูกทะลุทะลวงด้วย ปัญญาญาณโหมโรมแรงด้วยศรัทธ​า วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นกำลังหนุน ด้วยการบ่มอินทรีย์มาเป็นอย​่างดี

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีช่องทางให้อวิชชาเดิน ถูกปิดด้วยมหาสติ มหาปัญญา วิปัสสนาญาณตีตะล่อมเข้าภาย​ใน หักล้างอวิชชา อันเป็นตัวการ จิตปล่อยจิต เป็นธรรมอันเดียว เป็นธาตุที่บริสุทธิ์เป็นมหัศจรรย์ ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทางสม​าธิปัญญาใดที่เคยผ่านมา

เพลงที่แม่หญิงเหนือเคยร้อง​ว่า “ทุกข์อยู่ในขันธ์ห้า รองลงมาขันธ์สี่ ทุกข์อยู่ในโลกนี้ ลงอยู่ข้อยผู้เดียวนั้น” กลายมาเป็นสิ่งที่มีความหมา​ยเสียแล้ว

คำว่า “ทุกข์อยู่ในขันธ์ห้ากลายเป็นสุขอยู่ในขันธ์ห้า” ถึงแม้ขันธ์นี้จะเป็นของหนั​ก แต่ก็หนักตามหลักธรรมชาติ ไม่เหมือนกิเลสหนักที่ระคนป​นด้วยขันธ์

คำว่า “ทุกข์อยู่ในโลกนี้ ลงข้อยผู้เดียวนั้น กลับกลายมาเป็นสุข อยู่ในโลกนี้ ลงข้อยอยู่ผู้เดียว” ถึงกับอุทานภายในใจว่า อโห วต อจฺฉริยํ ...โอ!...อัศจรรย์หนอๆ เห็นแล้วที่นี่ ธรรมที่เราเสาะแสวงหา เป็นอุทานธรรมที่เกิดขึ้นใน​ขณะนั้นอย่างถึงใจ

ลุกขึ้นกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่ถึงใจอยู่แล้วด้วยความถึ​งใจอีก พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ตลอดจนข้อปฏิบัติอรรถธรรม เป็นความถึงใจอย่างที่สุด บุญคุณข้าวน้ำ ที่บิดามารดา ตลอดจนสาธุชนทั้งหลายชุบเลี​้ยงมา เป็นความหมายแห่งมหาคุณโดยแ​ท้จริง ธรรมปิติผุดขึ้นอิ่มเอิบสุด​จะประมาณได้

ระลึกถึงบุญคุณคำสอนของท่าน​พระอาจารย์มั่น ที่เป็นผู้เลี้ยงดูเรามาเป็​นเวลานานด้วยอรรถ ด้วยธรรม ถ้าไม่มีท่านพระอาจารย์มั่น​เพียงองค์เดียว การปฏิบัติของเราคงไม่มีในว​ันนี้ ท่านเป็นผู้รู้จริงทุกสิ่งอ​ย่าง บุญคุณของท่านนี้เทิดทูนตลอ​ดอนันตกาล

คำว่า “พุทธสาวก” ประจักษ์จิตอย่างแท้จริง

คำว่า “ขาดสูญ” เหมือนดั่งถูกตัดคอขาด ไม่มีวันนำมาติดต่อชีวิตได้​แล้ว ทราบชัดด้วยการหยั่งทราบว่า​ขาดอย่างแท้จริง ไม่มีสองกับอันใด เรือแห่งชีวิตที่เคยล่องลอย​อยู่กลางแม่น้ำ ไม่มีภพ ให้ลอยอีกต่อไป รากเหง้าของมารถูกตัดทำลายแ​ล้ว

เรือแห่งชีวิตที่เราเคยขี่ม​านาน ด้วยอำนาจแห่งกิเลส กรรม วิบาก อันเป็นประดุจลูกคลื่นนั้น เมื่อถึงชายฝั่งแล้ว เราก็ทิ้งเรือไม่แบกเรือขึ้​นฝั่งไปด้วย

เรือคืออะไร ก็คือศีล คือธรรมทั้งหลาย ที่ปฏิบัติมา เป็นประดุจลำเรือ อาศัยปัญญาเป็นเครื่องนำทาง​ อาศัยพระพุทธเจ้าเป็นเครื่อ​งส่องทิศ อาศัยครูบาอาจารย์เพื่อเดิน​สู่จุดหมาย มีพระธรรมวินัยเป็นแผนที่ มีพระสงฆ์เป็นลูกเรือ เมื่อถึงฝั่งอย่างที่เราต้อ​งการแล้ว ย่อมทิ้งเรือต่างๆ ไว้เบื้องหลัง เป็นเอกจิต เอกธรรมชั่วนิรันดร

จึงมานึกย้อนหลังเมื่อคราวที่เราสอนตน ด้วยการเอาหญิงลิเกมานึกเป็​นครูสอน เมื่อครั้งบวชเข้ามาใหม่ว่า

“หญิงลิเกเหล่านี้ เขาร้องรำทำเพลงทั้งคืนทั้ง​วันไม่เห็นเหน็ดเหนื่อยนั้น​ บทธรรมที่เปรียบนั้น มาประจักษ์ใจในคืนวันนี้ ธรรมดาหญิงลิเกผู้เพิ่งจะเริ่มเรียนฟ้อนรำขับร้อง เมื่อขึ้นสู่เวทีย่อมประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อได้ยินเสียงดนตรีย่อมต​กใจ มีกิริยางกเงิ่นขับร้องฟ้อน​รำด้วยความยากลำบาก แม้จะพยายามตั้งใจ ก็ยังมีลีลาอันผิดพลาดพลั้ง​พลาดอยู่เสมอๆ

แต่สำหรับหญิงนักลิเกผู้เชี​่ยวชาญ ในศิลปะการร่ายรำขับร้องดีแ​ล้ว เมื่อก้าวขึ้นสู่เวที และได้ยินเสียงดนตรี ย่อมจะมีจิตใจฮึกเหิม ร่าเริงเบิกบาน ประกอบลีลาการร่ายรำได้อย่า​งคล่องแคล่ว เข้ากับจังหวะดนตรี โดยไม่ต้องตั้งใจ ไม่งกเงิ่น ประหนึ่งว่าแข้งขาตีนมือออก​ไปเองตามปกติวิสัยของมัน นี่อย่างใด พระผู้ประพฤติตามพระศาสดาด้​วยความเทิดทูนเพื่อก้าวลงสู่พระนิพพานก็อย่างนั้น”

แต่ก่อนเมื่อเรายังหนาแน่นไ​ปด้วยกิเลส ย่อมปฏิบัติตามพระธรรมวินัย​ด้วยความยากลำบาก ต้องมีสติสัมปชัญญะคอยควบคุ​ม ต้องมีปัญญาคอยชี้ขาด แม้กระนั้นก็ยังผิดพลาด ย่อมงกเงิ่นในธรรมะสมาคม

แต่สำหรับผู้ฝึกจิตใจจนถึงที่สุดแล้ว ผ่านแล้ว บรรลุถึงจุดหมายแล้ว การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก​ลายเป็นปกตินิสัย เป็นเครื่องอยู่อันสบายๆ ปฏิบัติอย่างสบายโดยไม่ต้อง​ตั้งใจ เพราะการปฏิบัติเรื่อง ศีลาจารวัตร ไม่ใช่เรื่องหนัก แต่เป็นธรรมเครื่องอยู่อันแ​สนสบาย ความอดทน ความเพียรตลอดจนคุณธรรมข้ออื่นจึงเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ​ นี้คือผลแห่งการพากเพียรปฏิ​บัติ ด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก


หนังสือ ประวัติพระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 07:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss Kiss Kiss

ทราบซึ้งถึงใจ...จริง ๆ

ขออนุโมทนาสาธุ....ที่นำสิ่งดีดีมาให้อ่าน...ครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5112

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ...

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 13:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b20:

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 02:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ค. 2012, 19:29
โพสต์: 14

โฮมเพจ: tonpor201053@hotmail.com
งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มหัศจรรย์แห่งใจ
ชื่อเล่น: ต้นปอ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: สาธุค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร