วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


พระสูตรทั้งหมดที่หลายๆท่านยกมานั้น ตั้งเป็นข้อสังเกตุนะครับ พระสูตรนั้นพระองค์เพียงอธิบายว่าสิ่งนี้เป็นเหตุให้เิกิดสิ่งนั้น หรือพูดง่ายๆว่าสิ่งทั้งหลายนั้นทำให้เกิดทุกข์ ละสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็หมดทุกข์ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปในทางนี้ทั้งนั้น แต่นั้นเป็นการกล่าวถึงการละ มิได้กล่าวถึงวิธีละหรือวิธีปฎิบัติ

หลายๆท่านตีความว่าวางซะก็จบเพียงไม่เข้าไปยึดก้จบ ท่านต้องกลับมาดูที่มรรคซิครับเส้นทางเดินหรือวิธีปฎิบัติมันมีอะไรมากมาย ไม่ใช่ล่ะด้วยความคิด ความคิดที่ถูกต้องเป้นเพียงแค่การเห็นทางเดินเริ่มต้นบนทางเท่านั้น วิธีเดินก้าวที่สองนั้นสัมมาสังกัปโปนั้นไงการคิดออกจากกามเริ่มขบวนการลดละเลิกแล้ว ย้อนกับไปดูสาวกของพระองค์ที่บรรลุไว ย้อนไปดูสิจะรู้ว่าแต่ละท่านนั้นบำเพ็ญกันมามากแค่ไหนในอดีตชาติ เราจะยึดเป็นตัวอย่างเพียงว่าบรรลุง่ายๆเท่านั้นได้อย่างไร

ถ้าท่านกล่าวว่าเราก็ผ่านมาในสังสารวัฎมากมายก็ต้องบำเพ็ญมาแล้วเหมือนกัน อันนี้ผมไม่ขัดแย้ง แล้วท่านฟังเสร็จอ่านเสร็จมากี่ปีแล้ว มันบรรลุหรือเปล่า รู้ก็รู้เรื่องเดิมๆถ้ามีปัญญาพอสะสมมามากพอบรรลุไปนานแล้ว มันขาดขั้นตอนอะไรหรือเปล่า ถามตัวเองดูแล้วจะรู้ ไม่มีใครรู้หรอกครับ ยังหลงอยู่เยอะ ตั้งเป็นข้อสังเกตุถ้าใครบอกว่าปล่อยวางแบบสบายๆ คือท่านบรรลุแล้วแต่บรรลุในแบบของท่านท่านจึงเข้าใจว่าปล่อยสบายๆแล้วบรรลุ ไม่สามารถสั่งสอนในด้านอื่นได้ หรือท่านไม่รู้และเข้าใจในพระธรรมที่ท่านทรงแสดงเลย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุดยอดปรารถนาหรือความต้องการสูงสุด ก็อันเดียว คือ ต้องการเข้าถึงความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดานี่เอง แต่มนุษย์ก็วนเวียนอยู่กับแง่มุมต่าง่ๆของมัน

สำหรับธรรมที่เปิดเผยไว้ด้วยปัญญาตรัสรู้ในพระพุทธศาสนานั้น เรามองเห็นกันว่า เป็นความจริงที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ความจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้น เป็นหลักการใหญ่ที่ไม่จำกัดเฉพาะด้านวัตถุอย่างเดียว และไม่จำกัดเฉพาะนามธรรม แต่ท่านมองครอบทุกอย่าง ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ที่เราเรียกกันว่า นามรูป

เราถือกันว่า ชีวิตมนุษย์นี้ เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก ถ้าเราไปค้นพบแต่เพียงวัตถุ เราก็ได้เพียงด้านเดียวของธรรม และเข้ามาถึงตัวเราก็แค่ด้านร่างกายเท่านั้นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งกว่านั้น ในเมือรูปธรรม กับ นามธรรมมันอิงอาศัยกันอยู่ จะว่าทางด้านวัตถุ ก็คือส่วนที่เรียกกันง่ายๆว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งกลั่นกรองมาสุดยอด จึงมาเป็นร่างกาย
นอกจากร่างกายแล้ว ยังมีส่วนจิตใจอีกซึ่งเป็นนามธรรม รวมเรียกว่า ขันธ์ ๕ มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ ทั้ง ๕ อย่างนี้ละ เป็นชีวิตของมนุษย์


พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรม ตรัสรู้ความจริงแห่งกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมทั้งเรื่องนามธรรม และรูปธรรม เพราะฉะนั้น จึงเป็นความจริงที่มีความสมบูรณ์ในตัว ไม่ใช่เป็นความจริงเฉพาะด้าน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามนุษย์จะเข้าถีงความจริงแท้ เขาหนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าใจตัวมนุษย์เอง ถ้าเข้าใจตัวมนุษย์เองแล้ว กล่าวได้ว่าเข้าใจหมดทุกอย่าง เพราะว่า ตัวมนุษย์นี้เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก และในสากลพิภพ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้เราค้นพบตัวเอง ให้รู้จักตัวเอง ให้เข้าถึงความจริงที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ นี้


เมื่อเข้าถึงความจริงนี้แล้ว ก็จะทำให้เราปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ทั้งภายในและภายนอก
ถ้าปฏิบัติต่อจิตใจของตัวเองยังไม่ถูกต้อง ก็ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายภายนอกให้ถูกต้องไม่ได้ด้วย และก็จะแก้ปัญหาไม่จบไม่สิ้น


ปํญหาทุกอย่างนั้น มันโยงกันไปหมด มีเหตุปัจจัยถึงกัน ทั้งรูปธรรม และนามธรรม ในที่สุดมนุษย์จะหนีไม่พ้น ที่จะต้องทำความเข้าใจตัวมนุษย์เองให้ชัดเจน


คนจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยทั้งกาย และใจ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม
พระพุทธเจ้าได้จับจุดของความจริงนี้ คือค้นพบความจริงของชีวิตนี้ทั้งหมด ทั้งนามธรรมและรูปธรรม โดยมองเห็นระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยที่ครอบคลุม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่หยิบยกมาก็มีประโยชน์มาก สรุปชีวิตให่แคบลงไม่ต้องอธิบายมากขันต์5ก็จบเรื่อง จะดับขันต์ต่างหากหน้าที่เรา เข้าไปดูต่อที่กิจจญาณจบตรงนี้(เพราะเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่ต้องการจบเรื่องทุกเรื่องใน การสาระวน็

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
พระสูตรทั้งหมดที่หลายๆท่านยกมานั้น ตั้งเป็นข้อสังเกตุนะครับ พระสูตรนั้นพระองค์เพียงอธิบายว่าสิ่งนี้เป็นเหตุให้เิกิดสิ่งนั้น หรือพูดง่ายๆว่าสิ่งทั้งหลายนั้นทำให้เกิดทุกข์ ละสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็หมดทุกข์ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปในทางนี้ทั้งนั้น แต่นั้นเป็นการกล่าวถึงการละ มิได้กล่าวถึงวิธีละหรือวิธีปฎิบัติ

ในพระสูตรแต่ละบท เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ทรงชี้แนะหรือบอกวิธิการปฏิบัติละกิเลส
ของแต่ละบุคคลแล้วแต่จริต เนื้อหาในนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต ควรจะเดินจิตอย่างไร
เมื่อเกิดกิเลสขึ้น
ที่บิกทู่แสดงความเห็นแบบนี้เป็นเพราะบิกทุ่ ยังติดใน วิจิกิจฉา
เลยทำให้ไม่สามารถอ่านหรือพิจารณาพระสูตรได้ เลยโมเมพูดเข้าข้างตัว
ในลักษณะที่ว่า ถ้าสิ่งไหนที่ฉันไม่รู้ก็คือไม่ใช่ อวิชามั้ยครับบิกทู่

bigtoo เขียน:
หลายๆท่านตีความว่าวางซะก็จบเพียงไม่เข้าไปยึดก้จบ ท่านต้องกลับมาดูที่มรรคซิครับเส้นทางเดินหรือวิธีปฎิบัติมันมีอะไรมากมาย ไม่ใช่ล่ะด้วยความคิด

ที่บิกทู่เห็นว่ามรรคมันมากมาย เป็นเพราะบิกทู่เอามรรคมาเป็นความคิดไง
การอธิบายความมาเป็นบัญญัติ มันก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา แต่การปฏิบัติจริง
มันเป็นการปฏิบัติที่ใจ การทำงานของใจมันชั่วพริบตาเดียว
สมัยพุทธกาล พระอริยสาวกแต่ละองค์ก่อนมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ท่านก็ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวก็บรรลุธรรมแล้ว

สรุปตัวเองนั้นแหล่ะคิด แล้วไปว่าชาวบ้านเขาคิด
บิกทู่คิดแล้วยัคิดนอกลู่นอกทางเสียด้วย :b13:
bigtoo เขียน:
ความคิดที่ถูกต้องเป้นเพียงแค่การเห็นทางเดินเริ่มต้นบนทางเท่านั้น วิธีเดินก้าวที่สองนั้นสัมมาสังกัปโปนั้นไงการคิดออกจากกามเริ่มขบวนการลดละเลิกแล้ว

เละแล้วบิกทู่ ความคิดที่ถูกต้องคือความคิดที่ อยู่ในแนวทางของสัมมาทิฐิ
นั้นก็คืออย่าไปคิดทำอะไร นอกลู่นอกทาง ให้มันผิดไปจากสถานะความเป็นอยู่ของตน
ที่สำคัญ อย่าคิดผิดในเหตุแห่งทุกข์
bigtoo เขียน:
ย้อนกับไปดูสาวกของพระองค์ที่บรรลุไว ย้อนไปดูสิจะรู้ว่าแต่ละท่านนั้นบำเพ็ญกันมามากแค่ไหนในอดีตชาติ เราจะยึดเป็นตัวอย่างเพียงว่าบรรลุง่ายๆเท่านั้นได้อย่างไร

ที่บิกทู่บอกว่า เขาบำเพ็ญเพียรกันมาหลายชาติ เป็นเพราะยังไม่มีคนนำทาง
พูดง่ายๆก็คือพระพุทธเจ้ายังไม่ค้นพบวิถีแห่งการพ้นทุกข์ มันก็เลยเป็นต่างคนต่างทำ
ผิดๆถูกๆ แต่นี้เรามีพระพุทธเจ้านำทางแล้ว แล้วทำไมเราจะต้องไปบำเพ็ญเพียร
ผิดๆถูกๆอีกหือบิกทู่ และถ้าสาวกที่บรรลุไว ไม่ใช้เพราะมาเจอพระพุทธเจ้าหรอกหรือ
ผมว่าถ้ายังไม่มีพระพุทธเจ้า ปานนี้ก็ยังบำเพ็ญเพียรอยู่เลยมั้ง
บิกทู่จะแสดงความเห็น ไม่รู้ใช้สติปัญญาคิดตามหรือเปล่า ทำไมความคิดของตัว
มันแย้งกันเอง

bigtoo เขียน:
ถ้าท่านกล่าวว่าเราก็ผ่านมาในสังสารวัฎมากมายก็ต้องบำเพ็ญมาแล้วเหมือนกัน อันนี้ผมไม่ขัดแย้ง

มันไม่เกี่ยวว่าจะบำเพ็ญหรือไม่บำเพ็ญ การจะพูดเรื่องบำเพ็ญเขาจะเน้นไปถึงพระพุทธเจ้า
อริยสัจจ์สี่หรือพระธรรมพระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบองค์แรก นั้นหมายถึงยังไม่มีใครรู้ ไม่มีใครบอก
ผู้ค้นพบค้นแรกมันก็ต้องลองผิดลองถูก ต้องใช้เวลานานกว่า เหตุเพราะไม่มีคนบอก

แต่ถ้าเป็นเราในชาตินี้ เกิดในศาสนาพุทธมีพระธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว
เราไม่ต้องไปค้นหาเองแบบพระพุทธเจ้า เวลามันจึงแตกต่างกัน

ส่วนเรื่องในอดีตมันก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เรื่องของคนอื่นในอดีต
อาจเหมือนคุณในชาตินี้ก็ได้ นั้นก็คือเข้าใจพระธรรมนอกลู่นอกทาง
แล้วตีความหมายไปเองว่า เป็นการบำเพ็ญเพียร
bigtoo เขียน:
แล้วท่านฟังเสร็จอ่านเสร็จมากี่ปีแล้ว มันบรรลุหรือเปล่า รู้ก็รู้เรื่องเดิมๆถ้ามีปัญญาพอสะสมมามากพอบรรลุไปนานแล้ว มันขาดขั้นตอนอะไรหรือเปล่า

มันเป็นคุณคิดไปเอง ว่าเขาท่องตำราให้คุณฟัง คุณไม่เข้าใจแล้ว
ก็โมเมไปเองว่า เขาท่องตำรา คุณไม่คิดในมุมกลับว่า ที่คุณว่าคุณปฏิบัติ
แต่ทำไมเอาสิ่งที่เกิดมาอธิบายไม่ได้ พูดแสดงความเห็นเหมือนเขียนเรียงความ
ใช้จินตนาการในการแสดงความเห็น ที่แน่ๆจะตีความอย่างไรมันก็ไม่ตรงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน

พอมีคนมาอธิบายแสดงความเห็น และยืนยันความเห็นตัวเองถูกต้อง ด้วยการอ้างอิงพุทธพจน์
คุณกลับมองไปว่าเขาท่องตามตำรา

จะบอกให้ทั้งบิกทู่และฝึกจิต มันก็แค่แสดงอาการกลบเกลื่อนความไม่รู้ของตน
ผมถีงได้บอกว่าคุณสองคนแสดงอาการปลอบใจกันเอง มันไม่มีประโยชน์อะไรซักนิด

bigtoo เขียน:
ถามตัวเองดูแล้วจะรู้ ไม่มีใครรู้หรอกครับ ยังหลงอยู่เยอะ ตั้งเป็นข้อสังเกตุถ้าใครบอกว่าปล่อยวางแบบสบายๆ คือท่านบรรลุแล้วแต่บรรลุในแบบของท่านท่านจึงเข้าใจว่าปล่อยสบายๆแล้วบรรลุ ไม่สามารถสั่งสอนในด้านอื่นได้ หรือท่านไม่รู้และเข้าใจในพระธรรมที่ท่านทรงแสดงเลย

คนที่เขารู้จริง เขาถามใจตัวเองอยู่เสมอว่า จะแสดงความเห็น ในใจมีกิเลสมั้ย
เขาตัวรู้เท่าทันกิเลสไงครับ เขาถึงไม่แสดงอาการโอ่อวด พูดแสดงความเห็นก็พยายาม
ให้อยู่ในกรอบของพุทธพจน์ หรือแม้แต่กลัวว่าผู้ฟังจะเข้าใจความเห็นตนเป็นอย่างอื่น
เลยต้องโพสอ้างอิงพุทธพจน์ เพื่อจะสื่อให้เห็นว่า ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์
การแสดงความเห็น อาจใช้คำไม่ตรงกับพุทธพจน์ แต่ความหมายต้องการสื่อในสิ่งที่
พระพุทธเจ้าทรงสอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
สิ่งที่หยิบยกมาก็มีประโยชน์มาก สรุปชีวิตให่แคบลงไม่ต้องอธิบายมากขันต์5ก็จบเรื่อง จะดับขันต์ต่างหากหน้าที่เรา เข้าไปดูต่อที่กิจจญาณจบตรงนี้(เพราะเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่ต้องการจบเรื่องทุกเรื่องใน การสาระวน็


ดับขันต์ต่างหากหน้าที่เรา


พูดกำกวม ดับขันธ์ ดับชีวิตหรือ ผูกคอตายหรือ หรือดับยังไงอธิบายด้วย


ขันธ์ 5 หรือชีวิตมันมีมันเป็นของมันยังงั้นตามธรรมชาติ ในเมื่อมันเป็นธรรมชาติ มนุษย์ก็แค่รู้ๆๆๆตามที่มันเป็นคือไม่ยึดขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง หรือยึดทั้งชีวิตว่าเป็นเราอย่างนี้ต่างหากถึงจะจบแบบศพสวย :b9: (ขำแต่เช้าวันนี้)

"สงฺขิตเตน ปญจุปาทานักขันธา ทุกฺขา" ทุกข์เพราะอุปาทานขันธ์ นี่เข้าทุกขอริยสัจแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 05:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ย้ำ ธรรมชาติ (ขันธ์ 5 ชีวิต) มันเป็นของมันยังงั้น แต่มนุษย์โง่ (อวิชชา) ไปยึดมั่นถือมั่นธรรมชาติ ก็จึงกลายเป็นทุกขอริยสัจ พอเข้าใจมั้ยครับ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ย้ำ ธรรมชาติ (ขันธ์ 5 ชีวิต) มันเป็นของมันยังงั้น แต่มนุษย์โb0.oviง่ (อวิชชา) ไปยึดมั่นถือมั่นธรรมชาติ ก็จึงกลายเป็นทุกขอริยสัจ พอเข้าใจมั้ยครับ :b12:
อะไรๆก็เข้าใจกันเนาะ แต่กิจในอริยสัจ ไม่เข้าใจกันต่างหาก วนไปวนมาอย่างไรก็กิจในอริยสัจ(เป็นหน้าที่) ลด ละ เลิก ง่ายไม่ใช่เข้าใจอย่างเดียว ลด ละ เลิก ชัวร์สุดเป็นรูปธรรม ความคิดมันของปลอม

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร