วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 19:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2013, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s002 ขออนุญาต รีเทิร์นกระทู้เกี่ยวกับอนัตตาอีกสักครั้ง เพื่อเป็นการใคร่ครวญธรรม

เพื่อความเจริญแห่งสติปัญญา ยิ่งขึ้นไป(พอดีหายไปไม่ทันตั้งตัว จขกท. ก็ไม่ทราบสาเหตุ)

ว่าอนัตตาเป็นอย่างไร ทำไมทำให้ถึงความสิ้นทุกข์ และจะถึงได้อย่างไร


ตามที่ค้างไว้ขอทราบอนัตตา ตามความเห็นของท่านกบ :b20: และทุกๆท่านต่อไป :b9:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2013, 20:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2013, 22:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
ตามที่ค้างไว้ขอทราบอนัตตา

ตามความเห็นของท่านกบ :b20: และทุกๆท่านต่อไป :b9:


:b32: :b32: :b32:

ผมเคยเกรินเอาใว้ว่า....จะเห็นอนัตตา...ต้องเห็นอัตตาก่อน...อย่างที่ครูบาอาจารย์กล่าวใว้นั้น

ทีแรก...จะพูดสั้น ๆ ...ก็เกรงจะสื่อสารผิดเป้า....ยาวหน่อยคงไม่เป็นไร..อิอิ

ตามความคิดผมนะ...เป็นอย่างนี้
......
อนัตตา....ความไม่มีตัวไม่มีตน...ไม่มีสัตว์บุคคลเราเขา...อันนี้เห็นเพื่ออะไร

เห็นเพื่อความเบื่อหน่าย...คลายความยึดมั่น..ใช่มั้ย?...ใช่

ดังนั้น..เห็นที่ไหน...มันถึงจะเกิดอารมณ์นี้ได้ดีได้เร็วที่สุด?....เห็นมาที่ตัวของเจ้าของ

ก้มมองดูตัวแล้วก็ท่องว่า...นี้ไม่ใช่ตัวเรา...อย่างนี้จิตลึก ๆ มันจะยอมรับมั้ย?...คงไม่ง่ายอย่างนั้น

แล้วทำอย่างไร?....ก็เห็นอัตตาในตัวตนของเราก่อน

มันอยู่ในการกระทำของเราตลอด....แต่เราไม่ค่อยจะเห็นมันจริง...

เราทานอาหารทุกวัน....เราเห็นมั้ยว่า...การทานนี้....ทานเพื่อบำรุงร่างกายบำรุงธาตุขันธ์หรือทานเพื่อเรา
เราทำงานอยู่ทุกวันนี้....เราเห็นมั้ยว่า...การทำงานที่หนักที่เหน็ดเหนื่อยอันนี้...ทำงานเพื่อหาเลี้ยงร่างกายธาตุ 4 ขันธ์ 5 หรือทำงานเพื่อเรา
การพูดของเราในคำ ๆ หนึ่งนั้น...เราเห็นมั้ยว่า...คำพูดคำนั้น...พูดเพราะความต้องการลาภยศสรรเสริฐ...พูดเพื่อปกป้องไม่ให้เสื่อมลาภเสื่อมยศสรรเสริฐ

ปกติ...เราทานอาหารก็ทานเพื่อเรา...ทำงานก็ทำเพื่อเรา..จะคิดจะพูดจะทำก็ล้วนเป็นไปเพื่อเรา
เป็นต้น

นี้..คือ..อัตตา...ของเรา...ที่ทำให้การเกิดไม่มีวันยุติ….อัตตาคือภพ

เมื่อเรา...เห็นเรา....ลำดับถัดไป...ก็หาเหตุผลมาชี้แจงให้มันเห็นว่า...มันมีเราจริงที่ตรงไหน?....ซึ่งก็หาไปเถอะ...หายังงัยก็หาเราไม่เจอ...

อนัตตา...เป็นผลความจริงที่สรุปสุดท้ายจากการหาเราในอัตตาที่เราคุ้นเคย
อนัตตา...คือผลของการเห็นความจริงในอัตตา

ผล...ที่ไม่ได้เกิดจากการคิด...แต่ก็มาจากความคิด
อนัตตา...อย่างนี้จึงดับภพดับขาติได้

นี้แบบใช้การคิดพิจารณา...นะ
.......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2013, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b35: :b35: :b20: :b35: :b35:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2013, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
เมื่ออนัตตาทั้งหลายมารวมตัวกันขึ้น
จึงเกิดให้เห็นว่าเป็น อัตตา เมื่อทำลายอัตตาเสียได้ก็จะเห็นอนัตตา

เช่น เราเห็นว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เห็นเป็นสิ่งของ
แท้จริงสิ่งเหล่านี้ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม
เพราะ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ไม่ตัวตน ไม่มีรูปร่างสัณฐานแต่อย่างใดเลย

ยกตัวอย่างเช่น ดิน มีสภาพ แข็งและอ่อน
ถามว่าแข็งและอ่อนรูปร่างเป็นอย่างไร? ก็ไม่มีใครตอบได้
หากถามว่าแข็งมีไหม ? อ่อนมีไหม ? ทุกคนก็ต้อง ตอบว่ามี
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามี ? ก็ตอบว่าต้องเอากายสัมผัสเท่านั้นจึงจะรู้แข็งอ่อนมี

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2013, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตาสิ่งนั้นจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ คือเป็นไปเพื่อความลำบาก ความแตกสลาย
และเราไม่ได้ในสิ้งนั้นว่าขอจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างอื่นเลย เพราะเหตุว่าเมื่อมีปัจจัยให้เกิดเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ และเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็ต้องแปรไปเป็นอย่างอื่น

ตราบใดที่ยังเห็นสิ่งที่เป็นอนัตตาโดยความเป็นอัตตา ก็ไม่หลุดพ้นไปได้ แต่เมื่อมีปัญญาเห็นธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่ตัวตน ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น ก็เป็นฐานะที่จะพึงมีได้ ตามเหตุตามปัจจัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2013, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:

ตราบใดที่ยังเห็นสิ่งที่เป็นอนัตตาโดยความเป็นอัตตา ก็ไม่หลุดพ้นไปได้ แต่เมื่อมีปัญญาเห็นธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่ตัวตน ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น ก็เป็นฐานะที่จะพึงมีได้ ตามเหตุตามปัจจัย


:b19: ชอบตรงนี้มากเลย ผมเห็นว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตาอยู่แล้วไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม

แต่เมื่อเห็นเมื่อรู้ตามจริงแล้ว ก็ไม่ยึด ไม่ทุกข์น่ะ Kiss

แล้ววิธีวิปัสนาทั้งหลายก็เพื่อความรู้และยอมรับตามจริงนี่แหละ s007

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2013, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



"อนัตตา" เป็นหมวดธรรมขั้นสูง ผู้ที่รู้เห็นมีสองจำพวก

หนึ่ง เห็นด้วย "สัญญา" คือ จดจำจากตำรา แล้วนำมาอวดกันไม่มีผลใด ๆ ต่อชีวิต
สอง เห็นด้วย "ปัญญา" คือ รู้จริงเห็นจริงของสรรพสิ่ง สามารถลดละปล่อยวางได้
ตามขั้นของปัญญา

เหมือนคนแบกสัมภาระ เดินทางไกล ..
คนที่หนึ่ง แบกของไปตลอดทาง
คนที่สอง เอาของออกไปตลอดทาง ..


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2013, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


หากเกิดญาณวิปัสสนาภาวนา ขั้น เห็นการเกิดดับของนามรูปแล้ว แล้วทำความเพียรต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยกระดับขึ้นไปเห็นสภาวะของพระไตรลักษณ์ แต่ต้องผ่านวิปัสสนา2ขั้นแรกก่อน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2013, 11:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
หากเกิดญาณวิปัสสนาภาวนา ขั้น เห็นการเกิดดับของนามรูปแล้ว แล้วทำความเพียรต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยกระดับขึ้นไปเห็นสภาวะของพระไตรลักษณ์ แต่ต้องผ่านวิปัสสนา2ขั้นแรกก่อน

รูปนามมันเป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่เขาตั้งขึ้นมา ในสภาวะจริงมันไม่มีหรอก
ที่เรียกว่ารูปนามน่ะ แท้จริงแล้วท่านให้ดู อารมณ์ตัวเองให้ทันให้เร็วที่สุด
คุณนักศึกษารู้จักอารมณ์มั้ยครับ ไอ้ความโกรธความโมโหนั้นแหล่ะ
แล้วก็สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์อยากได้โน้นอยากได้นี่ ที่สำคัญหลงคิดอะไรนาน
จินตนาการไปเรื่อยครับ ที่เขาให้ดู แล้วใช้อะไรดู ก็คือ สติครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2013, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
student เขียน:
หากเกิดญาณวิปัสสนาภาวนา ขั้น เห็นการเกิดดับของนามรูปแล้ว แล้วทำความเพียรต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยกระดับขึ้นไปเห็นสภาวะของพระไตรลักษณ์ แต่ต้องผ่านวิปัสสนา2ขั้นแรกก่อน

รูปนามมันเป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่เขาตั้งขึ้นมา ในสภาวะจริงมันไม่มีหรอก
ที่เรียกว่ารูปนามน่ะ แท้จริงแล้วท่านให้ดู อารมณ์ตัวเองให้ทันให้เร็วที่สุด
คุณนักศึกษารู้จักอารมณ์มั้ยครับ ไอ้ความโกรธความโมโหนั้นแหล่ะ
แล้วก็สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์อยากได้โน้นอยากได้นี่ ที่สำคัญหลงคิดอะไรนาน
จินตนาการไปเรื่อยครับ ที่เขาให้ดู แล้วใช้อะไรดู ก็คือ สติครับ :b13:


อารมณ์นั้นเป็นผลที่เกิดจากผัสสะครับ ซึ่งนามรูป(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)คือปรมัตถธรรมครับ คือ ความจริงที่กำลังเกิดขึ้น อาการปวดขาไม่ใช่อารมณ์ แต่เป็นทุกข์ หรือ สภาวะทุกขัง แต่การมีสติคือ การที่ตามวิญญาณขันธ์ไปเห็น เวทนา สัญญา สังขาร รูปให้ทัน จึงเห็นสภาวะอนิจจัง แล้วอนัตตาคือ สภาพเหมือน หากกล่าวถึงเวทนา เวทนาก็คือ ลักษณะบีบคั้น หากกล่าวถึงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็มีลักษณะอย่างนี้ (สภาวะอนิจจัง และทุกขัง เป็นความปรากฏขึ้นมาให้เห็น สถาวะอนัตตา)ดังนั้น สภาวะอนัตตา จึงต้อง เห็น สภาวะทุกขัง อนิจจัง ไปพร้อมๆกัน ซึ่ง มีเหตุ คือ การประชุมกันของขันธ์5 หรือ นามรูป ครับ จึงต้องเห็นสภาวะ ปรมัตถธรรม ด้วยอาศัยสตินั่นเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2013, 02:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อารมณ์นั้นเป็นผลที่เกิดจากผัสสะครับ ซึ่งนามรูป(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)คือปรมัตถธรรมครับ คือ ความจริงที่กำลังเกิดขึ้น

สิ่งที่เป็นนามอันเกิดจากผัสสะเขาเรียกว่าอารมณ์ ที่เรียกแบบนี้เป็นเพราะ
ไม่มีใครดูสภาวะการเกิดดับของอารมณ์ได้ทันหรอก ครูบาอาจารย์จึงได้
บัญญัติศัพท์เหล่านี้ขี้นมา เพื่อจะเอาไว้อธิบายการเกิดดับของอารมณ์
พูดให้ตรงกับบัญญัติก็คือ อารมณ์ก็คือกระบวนการขันธ์

การเกิดดับของกระบวนการขันธฺหรืออารมณ์ มันรวดเร็วมาก
การรู้หรือรู้ตัว มันจะรู้เอาเมื่อสภาวะหรือกระบวนการขันธ์ได้จบไปแล้ว
ดังนั้นถ้ามีใครมาบอกว่า เกิดขันธ์ห้าก็ให้รู้ ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้
แท้จริงแล้วจากผัสสะที่มากระทบครั้งแรก กว่าเราจะรู้ตัวมันเกิดกระบวนการขันธ์
อันมีเหตุจากผัสสะครั้งแรกไม่เท่าไรต่อเท่าไร ครูบาอาจารย์จีงบอกให้รู้อารมณ์
นั้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายที่เรารู้ทัน ซึ่งมันตรงกับความหมายว่า "ให้อยู่กับปัจจุบัน"

การดูกระบวนการขันธ์ มันขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของแต่ละบุคคลว่า
จะขันธ์ต้วไหนทัน อย่างปุถุชนไม่สามารถดูกระบวนการขันธ์ได้เลย
กระบวนการขันธ์เป็นเรื่องของจิต เมื่อปุถุชนไม่สามารถดูขันธ์ได้ทัน
มันจึงทำให้เกิด อาการทางกายและวาจา
student เขียน:
คือ ความจริงที่กำลังเกิดขึ้น อาการปวดขาไม่ใช่อารมณ์ แต่เป็นทุกข์ หรือ สภาวะทุกขัง

อาการปวดขา มันเป็นผัสสะ ไอ้กระบวนการขันธ์มันไม่มีหรอก อาการปวดขา
ถ้าจะอธิบายก็คือ เมื่อเกิดผัสสะแรงๆขึ้นที่ขา(กายสัมผัส) เมื่อเกิดวิญญาณรู้แล้ว
จะเกิดเวทนาที่เรียกว่า ทุกขเวทนา(ไม่ชอบ) แล้วสัญญาไปจำทุกขเวทนาตัวนี้ได้
จึงเกิดสังขารขันธ์ โมหะ โทสะ พยายามดันหรือปฏิเสธตัวทุกขเวทนาตัวนั้น
เมื่อผัสสะหรือกระบวนการขันธ์เกิดซ้ำๆ ทำให้เกิดกองทุกข์ขึ้น

กองทุกข์ไม่ใช่สภาวะทุกขัง กองทุกข์เป็นการยึดมั่นในกระบวนการขันธ์
เป็นอวิชา ส่วนสภาวะทุกขังเป็นวิชชา คือการไปเห็นการเกิดดับของอารมณ์(อนิจจัง)

ส่วนที่บอกว่า อาการปวดขา มันเป็นการปรุงแต่งของกระบวนการขันธ์จนเกิดผัสสะ
ขี้นที่ใจ อาการปวดขาจึงเป็น....อายตนะภายนอกที่เรียกว่า ธัมมารมณ์
พูดง่ายๆก็คือ.....กำลังคิดว่าปวดขา
แท้จริงแล้ว กำลังเกิดการสัมผัสของกายและโผฏธัพพะอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2013, 03:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
แต่การมีสติคือ การที่ตามวิญญาณขันธ์ไปเห็น เวทนา สัญญา สังขาร รูปให้ทัน จึงเห็นสภาวะอนิจจัง

ไม่ใช่ ! ตัวสติก็เป็นขันธ์ที่เรียกว่า สังขารขันธ์ มันเป็นกระบวนการขันธ์ที่เกิดจาก
มโนทวารและธัมมารมณ์ การกำหนดรู้กุศลไว้ในอดีตเป็นธัมมารมณ์ของ...สติ
สติไม่ใช่การตามรู้ แต่สติเป็นกระบวนการขันธ์ตัวใหม่ที่เป็นกุศล เกิดชึ้นเพื่อมาดับ
กระบวนการขันธ์ที่เป็นอกุศลก่อนหน้า
การตามรู้อารมณ์ได้ต้องอาศัยปัญญาโดยมี สติเป็นเครื่องมือระลึกรู้ปัญญา

สภาวะอนิจจัง คือสภาวะที่จิตไปจำสภาวะหรืออารมณ์ที่เกิดที่ปัจจุบันนั้นได้ว่า
อารมณ์ที่เกิดปัจจุบันนี้ มันเคยเกิดขี้นกับตนมาหลายครั้งแล้วในอดีต มันเกิดแล้วก็หายไป

อธิบาย อย่างเช่น ความโกรธ เคยโกรธแล้วความโกรธก็หายไป เคยหลงคิดเพ้อเจ้อความคิดก็หายไป
เคยอยากกินอยากได้ฯลฯ แล้วมันก็หายไป ส่วนจะจำอารมณ์ไหนได้มันขึ้นอยู่กับว่า รู้ว่าอารมณ์
ปัจจุบันเป็นอารมณ์อะไร
student เขียน:
อนัตตาคือ สภาพเหมือน หากกล่าวถึงเวทนา เวทนาก็คือ ลักษณะบีบคั้น หากกล่าวถึงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็มีลักษณะอย่างนี้ (สภาวะอนิจจัง และทุกขัง เป็นความปรากฏขึ้นมาให้เห็น สถาวะอนัตตา)ดังนั้น สภาวะอนัตตา จึงต้อง เห็น สภาวะทุกขัง อนิจจัง ไปพร้อมๆกัน ซึ่ง มีเหตุ คือ การประชุมกันของขันธ์5 หรือ นามรูป ครับ จึงต้องเห็นสภาวะ ปรมัตถธรรม ด้วยอาศัยสตินั่นเอง

สภาวะอนิจจังบอกไปแล้ว สภาวะทุกข์คือสภาวะ ที่รู้ว่าอะไรคือทุกข์ ไม่ใช่เป็นทุกข์
และรู้อะไรทำให้ทุกข์ก็คือ การไปรู้สภาวะอนิจจังนั้นเอง
รู้เห็นการเกิดขึ้นของอารมณ์ในอดีตและปัจจุบัน รู้ว่าอารมณ์ในอดีตเคยต้องการให้
มันอยู่นานๆแต่มันก็ทำไม่ได้ หรือเคยเกิดอารมณ์ที่ไม่ชอบในอดีต ไม่อยากให้มันเกิด
แต่มันก็มาเกิดอีก สภาวะเหล่านี้คือ สภาวะที่มี อดีตและปัจจุบันเปรียบเทียบกัน

สภาวะอนิจจังทำให้รู้ถึงสภาวะทุกข์และอนัตตาไปพร้อมกัน
สภาวะอนัตตาก็คือ การอยากให้ปัจจุบันคงอยู่แต่ก็กลายเป็นอดีต
หรือการไม่อยากให้อดีตกลับมาอีกแต่มันก็กลับมาอีก.....โดยนัยแล้วมันคือสภาวะที่บังคับไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2013, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีความสงสัยเรื่องวิญญาณขันธ์อยู่ตอนนี้ว่า พอวิญญาณขันธ์เกิดที่ใดที่หนึ่ง หากมีสติก็ชัด หากสติไม่แข็งแรงก็ตามดูยาก พอ ดูอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆก็เหมือนเจอทางตันเหมือนจิต(คุมสติไม่อยู่)จะเหวี่ยงหรือดีดออกไปเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2013, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ผมมีความสงสัยเรื่องวิญญาณขันธ์อยู่ตอนนี้ว่า พอวิญญาณขันธ์เกิดที่ใดที่หนึ่ง หากมีสติก็ชัด หากสติไม่แข็งแรงก็ตามดูยาก พอ ดูอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆก็เหมือนเจอทางตันเหมือนจิต(คุมสติไม่อยู่)จะเหวี่ยงหรือดีดออกไปเอง



เห็นคุณstudent ชอบใช้คำพูดทับศัพท์ จึงนำคำศัพท์ มาแบ่งปัน เพื่อการแยกแยะสภาวะ

วิญญาณขันธ์ เป็นไฉน

[๗๔] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ คือ วิญญาณขันธ์เป็นผัสสสัมปยุต

วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ คือ วิญญาณขันธ์เป็นสเหตุกะ เป็นอเหตุกะ

วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ คือ วิญญาณขันธ์เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นอัพยากฤต

วิญญาณขันธ์หมวดละ ๔ คือ วิญญาณขันธ์เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร เป็นอรูปาวจร เป็นอปริยาปันนะ

วิญญาณขันธ์หมวดละ ๕ คือ วิญญาณขันธ์เป็นสุขินทริยสัมปยุต เป็นทุกขินทริยสัมปยุต เป็นโสมนัสสินทริยสัมปยุต เป็นโทมนัสสินทริยสัมปยุต เป็นอุเปกขินทริยสัมปยุต

วิญญาณขันธ์หมวดละ ๖ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ วิญญาณขันธ์หมวดละ ๖ ด้วยประการฉะนี้

วิญญาณขันธ์หมวดละ ๗ คือ จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายวิญญาณ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ วิญญาณขันธ์หมวดละ ๗ ด้วยประการฉะนี้

วิญญาณขันธ์หมวดละ ๘ คือ จักขุวิญญาณ ฯลฯ สุขสหคตกายวิญญาณ ทุกขสหคตกายวิญญาณ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ วิญญาณขันธ์หมวดละ ๘ ด้วยประการฉะนี้

วิญญาณขันธ์หมวดละ ๙ คือ จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายวิญญาณ มโนธาตุ กุสลมโนวิญญาณธาตุ อกุสลมโนวิญญาณธาตุ อัพยากตมโนวิญญาณธาตุ วิญญาณขันธ์หมวดละ ๙ ด้วยประการฉะนี้

วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ คือ จักขุวิญญาณ ฯลฯ สุขสหคตกายวิญญาณ ทุกขสหคตกายวิญญาณ มโนธาตุ กุสลมโนวิญญาณธาตุ อกุสลมโนวิญญาณธาตุ อัพยากตมโนวิญญาณธาตุ วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ ด้วยประการฉะนี้



วิญญาณ ที่หมายถึง การรู้แจ้งในอารมณ์ เป็นเพียงแค่การรับรู้ ในภาพ ในเสียง ในกลิ่น ในรส ฯ.(อายตนะภายนอก)ที่มากระทบต่างๆเท่านั้น

วิญญาณขันธ์ ตัวนี้ หมายถึง วิญญาณ ๖ ที่เกิดจาก ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย ไม่ใช่วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ ๕

วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ ๕ หมายถึง วิญญาณที่เป็นธาตุรู้ คือ รู้สักแต่ว่ารู้ เป็นวิญญาณประเภท สเหตุกะ และอเหตุกะ ที่เกิดจาก สังขารขันธ์ เป็นเหตุปัจจัย ที่เกิดจาก เวทนา เป็นเหตุปัจจัย

เมื่อเกิดการปรุงแต่งโดยสังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ ๕ จะแปรสภาพเป็น มโน ได้แก่ มโนกรรม

เฉกเช่นเดียวกันกับ วิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาท เป็นวิญญาณขันธ์ ประเภท สเหตุกะและอเหตุกะ ที่เกิดจากสังขาร เป็นสังขาร ในขันธ์ ๕ แต่คนละสภาวะกับ สังขารในขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ขณะ

สังขารในปฏิจจสมุปบาท เกิดจาก มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม เป็นเหตุปัจจัย โดยมี จุติวิญญาณ เป็นปทัฏฐาน โดยมี วิญญาณขันธ์ เป็นผล(สเหตุกะกับอเหตุกะ)

สเหตุกะ หมายถึง ยังมีการเกิด

อเหตุกะ หมายถึง ไม่มีการเกิด

ปัจจุบัน ขณะ เมื่อผัสสะเกิด เช่น ตากระทบรูป มีวิญญาณเกิด (ความรู้แจ้งทางอารมณ์/จักขุวิญญาณ) เกิดขึ้น

ไม่มีเวทนาเกิด(ความยินดี/ยินร้าย) สังขารขันธ์ย่อมย่อมไม่เกิด วิญญาณขันธ์ ได้แก่ ความคิด ย่อมไม่เกิด เป็นวิญญาณขันธ์ประเภท อเหตุกะ คือ ไม่มีเหตุของการเกิด

ปัจจุบัน ขณะ เมื่อผัสสะเกิด เช่น ตากระทบรูป มีวิญญาณเกิด (ความรู้แจ้งทางอารมณ์/จักขุวิญญาณ) เกิดขึ้น

มีเวทนาเกิด(ความยินดี/ยินร้าย) สังขารขันธ์ย่อมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ได้แก่ การปรุงแต่ง ตามความรู้สึกยินดียินร้ายที่เกิดขึ้น

โดยมีตัวตัณหา ได้แก่ กิเลส ที่นองเนืองอยู่ในขันธสันดาน(สังโยชน์ ๑๐) เป็นตัวหนุนนำ ให้เกิดการกระทำ อันดับแรก ได้แก่ วิญญาณขันธ์ ที่เป็นสเหตุกะ คือ มีเหตุของการเกิด เรียกว่า มโนกรรม เป็นการปรุงแต่งทางความคิด

ซึ่งหมายถึง ภพปัจจุบัน ขณะ ได้เกิดขึ้นมาใหม่แล้ว(การกระทำทางมโนกรรม)

ชาติ คือ ผล หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ณ ปัจจุบันขณะ


วิญญาณ ๖ ไม่สามารถบังคับ ไม่ให้เกิดขึ้นได้ เหตุจาก เมื่อยังมีชีวิตอยู่ หมายถึง ยังมีการทำงานของอายตนะ

ตราบนั้น ผัสสะย่อมเกิด เป็นเรื่องปกติ
วิญญาณ ๖ ย่อมเกิด เป็นเรื่องปกติ วิญญาณ ๖ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในคนตาย

วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ ๕ ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยอยู่ ได้แก่ สังโยชน์ (๑๐) ตราบนั้น ห้ามความคิด ย่อมไม่สามารถห้ามได้ แต่สามารถรู้ว่าคิดอยู่ได้

สิ่งที่ห้ามได้ คือ การกระทำ ได้แก่ วจีกรรมและกายกรรม ที่เกิดจาก มโนกรรม โดยมีตัวตัณหาหรือกิเลส เป็นแรงผลักดันอยู่

เพียงฝึก หยุดสร้างเหตุนอกตัว ที่เกิดจาก ความรู้สึกยินดี/ยินร้าย แค่รู้ลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ สภาวะไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ย่อมเกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย พร้อมทั้งเป็นการฝึกละสักกายทิฏฐิไปในตัว ได้แก่ ไม่นำความเห็นของตนที่มีอยู่ ไปสร้างเหตุที่กำลังเกิดขึ้น(ผัสสะ)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 28 ม.ค. 2013, 09:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร