วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 18:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเมื่อกล่าวถึงความสุขแล้ว พระนิพพานมี สันติสุข
หมายถึง ไม่มีกิเลสและไม่มีขันธ์ ๕ นั่นเอง จึงเป็นสุขที่ไม่ต้องเสวยอารมณ์

อธิบายว่า
พระนิพพานนี้ไม่ใช่ธรรมที่เสวยอารมณ์ต่างๆ เหมือนสัตว์ทั้งหลาย
และไม่มีอารมณ์ที่จะพึงเสวยเหมือนกับ รูปารมณ์ สัททารมณ์ เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินได้ว่า ในพระนิพพานย่อมไม่มีเวทยิตสุข คือ ความสุขที่เกี่ยวด้วยการ
เสวยกามคุณอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นไปในโลกเลย แต่มีสภาพสงบที่เรียกว่า "สันติสุข" ซึ่ง
ความสุขที่ประเสริฐและปราณีตกว่าเวทยิตสุข

ธรรมดาเวทยิตสุข คือ ความสุขที่เกี่ยวกับการเสวยอารมณ์ต่างๆ นั้น
เมื่อเสวยอารมณ์ไปแล้วอารมณ์เหล่านั้นย่อมหมดไปๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เสวยย่อมขวนขวาย
พยายามสร้างหามาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อตนจะได้เสวยต่อไป ความลำบากต่างๆ ที่จะต้องได้รับ
อันเนื่องมาจากการแสวงหาความสุขเหล่านั้นย่อมมีมากมาย ไม่คุ้มกับความสุขที่จะได้รับ
เมื่อลงทุนลงแรงด้วยความลำบาก และความสุขที่ได้มานั้นก็ยังไม่เป็นที่เพียงพอแก่ความต้องการ

สัตว์ทั้งหลายก็ต้องพยายามให้หนักขึ้นไปอีก จะเป็นทางสุจริตก็ตาม ทุจริตก็ตาม
ขอเพียงให้ได้มาตามสิ่งที่ตนต้องการมาให้สมประสงค์เท่านั้น เมื่อสัตว์ทั้งหลายประพฤติตน
ให้เป็นไปด้วยอำนาจของโลภะ ที่สนใจ ติดใจ ต่อเวทยิตสุขต่างๆอยู่ เมื่อสิ้นชีวิตจากภพนี้ไปแล้ว
ก็ต้องเกิดในอบายภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่ง และจะต้องได้เสวยความทุกข์ยากลำบากอย่างมหันต์
ที่ตนไม่เคยได้รับเลยขณะที่มีชีวิตอยู่ในมนุษย์โลก

ความลำบากต่างๆ ที่ได้รับอยู่ในอบายภูมินั้น
เปรียบเหมือนหนึ่งเป็นการใช้หนี้ให้แก่เวทยิตสุขที่ตนยืมเขามาใช้
พร้อมดอกเบี้ยเมื่อยังอยู่ในมนุษย์โลก ฉะนั้นบัณฑิตทั้งหลายไม่ยกย่องสรรเสริญเวทยิตสุข

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับ "สันติสุข" นั้น
ไม่เกี่ยวด้วยการเสวยกามคุณอารมณ์ ๆ เหมือนกับเวทยิตสุข
เป็นสภาพที่สงบจากสังขารธรรม รูป นาม ทั้งปวง สภาพเช่นนี้แหละเป็นความสุขที่มีอยู่ในพระนิพพาน

อุปมาเหมือนมหาเศรษฐีผู้บริบูรณ์ด้วยกามคุณอารมณ์ต่างๆ
มี รูป เสียง กลี่น รส สัมผัส อย่างพร้อมมูล วันหนึ่งท่านเศรษฐีกำลังหลับอยู่อย่างมีความสุข
ฝ่ายข้าทาสบริวารทั้งหลายก็จัดแจงเตรียมโภชนาหาร พร้อมด้วยเครื่องบำรุงบำเรอความสุขต่างๆ
ไว้ให้สำหรับท่านเศรษฐี เมื่อเตรียมพร้อมก็เข้าไปปลุก ท่านเศรษฐีถูกปลุกในขณะที่กำลังหลับสนิทอยู่
ก็ไม่พอใจ จึงดุพวกบริวารเหล่านั้นว่า ทำไมจึงมาปลุกเราในขณะที่กำลังนอนสบาย ๆ อยู่เช่นนี้
คนใช้ตอบว่า อาหารพร้อมด้วยเครื่องบำเรอความสุขความสำราญได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว
พวกข้าพเจ้าจึงได้มาปลุกท่าน เพื่อให้ท่านได้ตื่นขึ้นมาเสวยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
ท่านเศรษฐีไม่ยอมลุก กลับไล่คนใช้ว่าออกไปให้พ้น แล้วก็หลับต่อไป

ขณะที่ท่านเศรษฐีนอนอยู่นั้นไม่มีการเสวยอารมณ์อย่างชัดเจนแต่อย่างใด
แต่ท่านเศรษฐีก็ยังมีความพอใจในการนอนหลับ ยิ่งกว่าความสุขที่เกิ่ยวกับการเสวยอารมณ์ต่างๆ
และธรรมดาคนในโลกนี้ย่อมพอใจในการนอนหลับได้สนิทว่าสบายมาก นี้แสดงให้เห็นว่า
เพียงแต่การนอนหลับที่สงบจากการเสวยกามคุณอารมณ์ได้ชั่วคราวก็ยังรู้สึกว่าเป็นความสุขถึงเพียงนี้
ถ้าเป็นความสุขชนิดที่สงบจากสังขารธรรม รูป นาม ทั้งปวงแล้ว จะมีความสุขประเสริฐเพียงใด

ขอได้โปรดพิจารณาดูเถิด onion onion

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 22:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะ..คิดว่าหลับ...เป็นคุณต่อรูปมากกว่า...จึงพอใจในหลับมากกว่า...การได้กามคุณคือ..รูป..รส...กลิ่น..เสียง..สัมผัสดี

เหมือนการกำเนิด...สวรรค์..และพรหม

เมื่อมนุษย์...พอใจในกามคุณ5 ว่าเป็นคุณกับรูป...เพื่อแสวงหาให้ได้มากๆ...จึงเกิดเบียดเบียน..ทำให้มีผลไปทุคติภพ
เป็นสัตว์นรก..เปรต..อสุรกายเป็นต้น

เมื่อต้องประสพกับทุกข์.กายก็ไม่ยั่งยืน...จึงคิดทำดี...มีความเห็นใจกันและคน..เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่กัน...จึงเกิดสุคติภพ..คือโลกสวรรค์...

แต่ทุกครั้งที่สุข..ก็มักจะเผลอตัวเผลอใจ...ทำกรรมอันเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นทุกที่ซึ่งก็มีผลลงไปอบายภูมิทุกที...กายก็ไม่ยั่งยืนอีก

จึงได้คิดว่า..เพราะความต้องการกามคุณ..ยังทำให้มีโอกาสทุกข์ได้...จึงหันมาปฏิเสธกามคุณ...โดยการทำใจให้สงบ...นี้แหละจึงเป็นเหตุให้เกิดภพภูมิของพรหม...หากสงบใจได้ด้วยการเพ่งรูป...เกิดเป็นรูปพรหม...หากสงบใจได้ด้วยการปฏิเสธรูป.เกิดเป็นอรูปพรหม

จะเห็นว่า...การเกิดขึ้นของอบายภูมิ...เพราะหลงว่ากามคุณ..เป็นคุณกับรูป..ทำให้รูปยั่งยืน..
เกิดโลกสวรรค์..เพราะเห็นว่าอบายภูมิเป็นทุกข์....รูปกายก็ไม่มีสภาพดี...จึงละการเบียเดเบียน
เกิดโลกแห่งพรหม....ก็เพราะต้องการได้ความยั่งยืนกว่า

เราเห็นกายเป็นเครื่องหมายของความสุข...สุขคือมีกาย..(มิจฉาญาณ)

เห็นเยื่อใย..ของ....สุขคือกาย...กายคือสุข..เมื่อไร....โอกาสพ้นทุกข์ก็มา

บางท่านจึงกล่าวว่า....ตีสักกายทิฏฐิตัวเดียว..ก็เป็นอรหันต์ได้


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


“ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานรู้หรือไม่ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
“ ขอถวายพระพร…รู้ คือผู้ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานทำไมจึงรู้ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
“ ขอถวายพระพร พวกใดไม่ถูกตัดมือ ตัดเท้า พวกนั้นรู้หรือไม่ว่า การตัดมือตัดเท้าเป็นทุกข์ ? ”
“ อ๋อ..รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
“ เหตุไฉนจึงรู้ล่ะ ? ”
“ รู้ด้วยเขาได้ยินเสียงผู้ถูกตัดมือตัดเท้าร้องไห้ครวญคราง ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกที่ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ได้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงพวกได้นิพพาน ”
“ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 04:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
“ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานรู้หรือไม่ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
“ ขอถวายพระพร…รู้ คือผู้ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานทำไมจึงรู้ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
“ ขอถวายพระพร พวกใดไม่ถูกตัดมือ ตัดเท้า พวกนั้นรู้หรือไม่ว่า การตัดมือตัดเท้าเป็นทุกข์ ? ”
“ อ๋อ..รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
“ เหตุไฉนจึงรู้ล่ะ ? ”
“ รู้ด้วยเขาได้ยินเสียงผู้ถูกตัดมือตัดเท้าร้องไห้ครวญคราง ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกที่ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ได้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงพวกได้นิพพาน ”
“ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

ผมอ่านความเห็นนี้แล้ว ผมสรุปให้ครับว่า....ใช่ไม่ได้ผิดหลักคำสอนของพุทธองค์
อาจเป็นเพราะ คุณโกวิทไปหยิบยกข้อความมาเป็นบางส่วน เลยทำให้ความหมายมันผิดเพี้ยนไป

ความเห็นนี้ทำให้ความหมายของคำว่า "รู้"ของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไปครับ
แยกสภาวะรู้กับปรุงแต่งให้ดีครับ


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 03:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระนิพพานเป็นธรรมที่มิได้เสวยอารมณ์

ใช่แล้วครับ ธรรมที่เสวยอารมณ์ได้แปลว่าต้องมีผู้เสวย
นิพพานพ้นจากสภาวะ"ผู้เสวย"ไปแล้ว แต่นิพพานไม่ได้สูญ

เพราะมีตนจึงมีทุกข์ เพราะไม่มีตนนั่นแหละจึงไม่มีทุกข์


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
พระนิพพานเป็นธรรมที่มิได้เสวยอารมณ์

ใช่แล้วครับ ธรรมที่เสวยอารมณ์ได้แปลว่าต้องมีผู้เสวย
นิพพานพ้นจากสภาวะ"ผู้เสวย"ไปแล้ว แต่นิพพานไม่ได้สูญ

เพราะมีตนจึงมีทุกข์ เพราะไม่มีตนนั่นแหละจึงไม่มีทุกข์


จะเสวยอารมณ์หรือไม่ มันต้องขึ้นอยู่ที่ว่า เราให้ความหมายของ อารมณ์ อย่างไร
อารมณ์ก่อวิบากมั้ย หรืออารมณ์ที่ไม่ก่อวิบาก

พระอรหันต์ก็มีเวทนา เราจะเรียกเวทนาของพระอรหันต์ว่าอารมณ์มั้ย

ถ้าอยากรู้ลึกว่า เวทนาหมายถึงอะไร ก็เชิญถามเชิญแย้งมาได้ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
พระนิพพานเป็นธรรมที่มิได้เสวยอารมณ์

ใช่แล้วครับ ธรรมที่เสวยอารมณ์ได้แปลว่าต้องมีผู้เสวย
นิพพานพ้นจากสภาวะ"ผู้เสวย"ไปแล้ว แต่นิพพานไม่ได้สูญ

เพราะมีตนจึงมีทุกข์ เพราะไม่มีตนนั่นแหละจึงไม่มีทุกข์


เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ลงมือปฏิบัติได้เลย ลุย...! ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถามใครอีก
ไม่ต้องรู้ลึกให้มากไปกว่านี้จะกลายเป็นความฟุ้งซ่าน เสียเวลา ถ้าถามมากไปกว่านี้ก็ทำให้หลง
เกิดความลังเลสงสัยเกิดขึ้นมาได้อีก หมดทุกข์ก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว
ข้อควรระวัง ! กับช่อดอกไม้แห่งมารย่อมหยิบยื่นให้ตนหลง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 28 มิ.ย. 2013, 19:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ลงมือปฏิบัติได้เลย ลุย...! ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถามใครอีก
ไม่ต้องรู้ลึกให้มากไปกว่านี้จะกลายเป็นความฟุ้งซ่าน เสียเวลา ถ้าถามมากไปกว่านี้ก็ทำให้หลง
เกิดความลังเลสงสัยเกิดขึ้นมาได้อีก หมดทุกข์ก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว
ข้อควรระวัง ! กับช่อดอกไม้แห่งมารย่อมหยิบยื่นให้ตนหลง


ขอบคุณครับ
จะพยายามเร่งปฏิบัติอยู่ครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร