วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 16:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2013, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


การเกิดขึ้นของสัตว์ ย่อมมีธรรมคือเหตุให้เกิด มี ๔ อย่าง
๑. อวิชชา ๒. ตัณหา ๓. อุปาทาน ๔. กรรม เป็นเหตุทำให้เกิด
และมีอาหารเป็นปัจจัยเป็นผู้อุปถัมภ์
ซึ่งก็เป็นสาธารณะแก่สัตว์ทุกจำพวกที่อาศัยอาหารดำรงค์ชีพ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2013, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เรียกกันว่า “สัตว์” เพราะติดเบญจขันธ์

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! คนกล่าวกันว่า ‘สัตว์ สัตว์’ ดังนี้, เขากล่าวกันว่า ‘สัตว์’

เช่นนี้ มีความหมายเพียงไร ? พระเจ้าข้า !”

ราธะ ! ฉันทะ (ความพอใจ) ราคะ (ความกำหนัด) นันทิ (ความเพลิน)

ตัณหา (ความทะยานอยาก) ใด ๆ มีอยู่ ในรูป, สัตว์ ย่อมเกี่ยวข้อง ย่อมติด

ในรูปนั้น ด้วยฉันทราคะเป็นต้นนั้น เพราะฉะนั้น สัตว์นั้น จึงถูกเรียกว่า

“สัตว์ (ผู้ข้องติด)” ดังนี้;

ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใด ๆ มีอยู่ในเวทนา, สัตว์ย่อม

เกี่ยวข้อง ย่อมติดในเวทนานั้น ด้วยฉันทราคะเป็นต้นนั้น เพราะฉะนั้น

สัตว์นั้น จึงถูกเรียกว่า “สัตว์” ดังนี้;

ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใด ๆ มีอยู่ในสัญญา, สัตว์ย่อม

เกี่ยวข้อง ย่อมติดในสัญญานั้น ด้วยฉันทราคะเป็นต้นนั้น เพราะฉะนั้น

สัตว์นั้น จึงถูกเรียกว่า “สัตว์” ดังนี้;

ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใด ๆ มีอยู่ในสังขารทั้งหลาย,

สัตว์ย่อมเกี่ยวข้อง ย่อมติดในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยฉันทราคะเป็นต้นนั้น

เพราะฉะนั้น สัตว์นั้น จึงถูกเรียกว่า “สัตว์” ดังนี้;

ราธะ ! ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ใดๆ มีอยู่ในวิญญาณ, สัตว์

ย่อมเกี่ยวข้อง ย่อมติดในวิญญาณนั้น ด้วยฉันทราคะเป็นต้นนั้น เพราะฉะนั้น

สัตว์นั้น จึงถูกเรียกว่า “สัตว์” ดังนี้ แล.

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๒/๓๖๗.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2013, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นเทวดา ถ้าเกิดออกมาแล้ว จึงถูกสมมุติเรียกว่า สัตว์ ทั้งหมด

ผู้ที่ไม่ถูกเรียกว่า เป็นสัตว์ คือ พระอรหันต์เท่านั้น

หวังว่าคงจะเคยได้ยินคำนี้คือ
พระโพธิสัตว์
พระมหาสัตว์

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2013, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
การเกิดขึ้นของสัตว์ ย่อมมีธรรมคือเหตุให้เกิด มี ๔ อย่าง
๑. อวิชชา ๒. ตัณหา ๓. อุปาทาน ๔. กรรม เป็นเหตุทำให้เกิด
และมีอาหารเป็นปัจจัยเป็นผู้อุปถัมภ์
ซึ่งก็เป็นสาธารณะแก่สัตว์ทุกจำพวกที่อาศัยอาหารดำรงค์ชีพ


๑. อวิชชา ๒. ตัณหา ๓. อุปาทาน ๔. กรรม เป็นเหตุทำให้เกิด
แต่ใน ๔ อย่างนี้เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เกิด ซึ่งก็ไม่เกี่ยวข้องกับการทำให้ถึงสุคติ ทุคติ แต่ประการใด
แต่ก็คงมี "กรรม" อย่างเดียวเป็นสำคัญ ด้วยที่ว่ากรรมนั้นมีทั้งดีและชั่ว มีทั้งทุจริตและสุจริต ที่เรียกอกุศลกรรม กุสลกรรม ถ้ากรรมดีให้ผลก็ไปเกิดในสุคติ ถ้ากรรมชั่วให้ผลก็ไปเกิดในทุคติ

ข้อนี้สมจริงตามที่ตรัสไว้ว่า
ตีหิ ภิกฺขเว ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเย กตเมหิ ตีหิ?
อกุสเลน กายกมฺเมน อกุสเลน วจีกมฺเมน อกุสเลน มโนกมฺเมน

แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย : บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยธรรม ๓ อย่าง ย่อมเป็นผู้ถูกชัดไปในนรก
เหมือนถูกฉุดไปตั้งไว้. ด้วยธรรม ๓ อย่าง
ได้แก่ อกุศลกายกรรม ด้วยอกุศลวจีกรรม อกุศลมโนกรรม ดังนี้ เป็นต้น
เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าถึงเหตุที่ไปเกิดที่ดีและไม่ดีต้องอ้างถึงกรรมทีเดียว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2013, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นเทวดา ถ้าเกิดออกมาแล้ว จึงถูกสมมุติเรียกว่า สัตว์ ทั้งหมด

ผู้ที่ไม่ถูกเรียกว่า เป็นสัตว์ คือ พระอรหันต์เท่านั้น

หวังว่าคงจะเคยได้ยินคำนี้คือ
พระโพธิสัตว์
พระมหาสัตว์

เคยได้ยิน คำว่า "สัตว์" แต่พระองค์บัญญัติเรียก
ตั้งแต่ สัตว์ที่มี ๒ เท้า สัตว์ที่มี ๔ เท้า และสัตว์ที่มากเท้า ตลอดจนถึงสัตว์ไม่มีเท้า
แต่พระอรหันต์ไม่ทราบ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2013, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เคยได้ยิน คำว่า "สัตว์" แต่พระองค์บัญญัติเรียก
ตั้งแต่ สัตว์ที่มี ๒ เท้า สัตว์ที่มี ๔ เท้า และสัตว์ที่มากเท้า ตลอดจนถึงสัตว์ไม่มีเท้า
แต่พระอรหันต์ไม่ทราบ



อ้างคำพูด:
ฉันทะ (ความพอใจ) ราคะ (ความกำหนัด) นันทิ (ความเพลิน)

ตัณหา (ความทะยานอยาก) ใด ๆ มีอยู่ ในรูป(และเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ), สัตว์ ย่อมเกี่ยวข้อง ย่อมติด

ในรูป(และเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นั้น ด้วยฉันทราคะเป็นต้นนั้น เพราะฉะนั้น สัตว์นั้น จึงถูกเรียกว่า

“สัตว์ (ผู้ข้องติด)” ดังนี้;


พระอรหันต์ทั้งปวง ไม่มี ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ในขันธ์5 จึงไม่ชื่อว่า เป็นสัตว์
ในเมื่อไม่เป็นสัตว์ ก็ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก

ผมแค่ตีความเอา ................ ก็พอจะสรุป ได้ว่า พระอรหันต์ ไม่เป็นสัตว์(ผู้ข้องติด)

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2013, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
เคยได้ยิน คำว่า "สัตว์" แต่พระองค์บัญญัติเรียก
ตั้งแต่ สัตว์ที่มี ๒ เท้า สัตว์ที่มี ๔ เท้า และสัตว์ที่มากเท้า ตลอดจนถึงสัตว์ไม่มีเท้า
แต่พระอรหันต์ไม่ทราบ



อ้างคำพูด:
ฉันทะ (ความพอใจ) ราคะ (ความกำหนัด) นันทิ (ความเพลิน)

ตัณหา (ความทะยานอยาก) ใด ๆ มีอยู่ ในรูป(และเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ), สัตว์ ย่อมเกี่ยวข้อง ย่อมติด

ในรูป(และเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นั้น ด้วยฉันทราคะเป็นต้นนั้น เพราะฉะนั้น สัตว์นั้น จึงถูกเรียกว่า

“สัตว์ (ผู้ข้องติด)” ดังนี้;


พระอรหันต์ทั้งปวง ไม่มี ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ในขันธ์5 จึงไม่ชื่อว่า เป็นสัตว์
ในเมื่อไม่เป็นสัตว์ ก็ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก

ผมแค่ตีความเอา ................ ก็พอจะสรุป ได้ว่า พระอรหันต์ ไม่เป็นสัตว์(ผู้ข้องติด)


อนุโมทนาครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร