วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 18:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเราอายุยืนยาวอยู่ได้ก็ด้วยอาหาร ศีลก็คงเช่นกัน
ศีลจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยอาหารเช่นกัน

ถามว่า อาหารของศีลคืออะไร .. :b14:

(ตอบถูกไม่มีรางวัลนะครับ)
:b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2789


 ข้อมูลส่วนตัว


หิริโอตัปปะ

จะตอบถูกหรือผิด ก็อยากได้รางวัลค่า rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวิริยะ ^ ^

อาหาร หมายถึงสิ่งที่นํามาซึ่งความเจริญเติบโต หรือนํามาซึ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งหมายถึงความเจริญงอกงาม

ศีลอาศัย อะไรเป็นอาหาร คืออาศัยอะไรนำมาซึ่งความมีศีล....

มีพุทธพจน์ ที่น่านำมาพิจารณาในเรื่องนี้ เช่น

Quote Tipitaka:
"ความเป็นผู้มีมิตรดี เป็นอาหารของศีลทั้งหลาย"
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=24&A=3203&Z=3229


เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถึง ความเป็นผู้มีมิตรดี

ก็จะทำให้ทราบถึงเนื้อความในพระสูตรอีกพระสูตรหนึ่ง ที่ทรงแสดงถึง ความศรัทธากับศีล

Quote Tipitaka:
"ต้นไม้ทั้งหลาย อาศัยบรรพตศิลาล้วนในป่าใหญ่ ย่อมเจริญ
ขึ้นเป็นไม้ใหญ่ชั้นเจ้าป่า ฉันใด บุตร ภรรยา มิตร
อำมาตย์ หมู่ญาติ และคนที่เข้าไปอาศัยเลี้ยงชีพทั้งหลาย
ในโลกนี้ ได้อาศัยกุลบุตรผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล
จึงเจริญได้ ฉันนั้นเหมือนกัน ชนเหล่านั้นเห็นศีล จาคะและ
สุจริตทั้งหลาย ของกุลบุตรผู้มีศีล จาคะและสุจริตนั้น
เมื่อประจักษ์ชัดแล้ว ย่อมประพฤติตาม ชนเหล่านั้น ครั้น
ประพฤติธรรมอันเป็นที่ไปสู่สวรรค์ สุคติ ในโลกนี้แล้ว
ย่อมเป็นผู้เพลิดเพลิน เพียบพร้อมด้วยกาม บันเทิงใจ
ในเทวโลก ฯ"
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=22&A=973&Z=1000

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)
มาถึง ส่วนของหัวข้อกระทู้ "ศีลจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยอาหารเช่นกัน"

ในส่วนนี้ ต้องพิจารณา จาก "โสณทัณฑสูตร"

Quote Tipitaka:
".... [๑๙๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีใน
บุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของ
บุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือ
ด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น...."
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=2833&Z=3477&pagebreak=0

ศีล อาศัยปัญญาเป็นอาหารศีลจึงจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ..........

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
คนเราอายุยืนยาวอยู่ได้ก็ด้วยอาหาร ศีลก็คงเช่นกัน
ศีลจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยอาหารเช่นกัน

ถามว่า อาหารของศีลคืออะไร .. :b14:

(ตอบถูกไม่มีรางวัลนะครับ)
:b13:


หิริกะ โอตตัปปะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็น สาธุคร้าบบ .. :b8:

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
(ต่อ)
มาถึง ส่วนของหัวข้อกระทู้ "ศีลจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยอาหารเช่นกัน"

ในส่วนนี้ ต้องพิจารณา จาก "โสณทัณฑสูตร"

Quote Tipitaka:
".... [๑๙๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีใน
บุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของ
บุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือ
ด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น...."
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=2833&Z=3477&pagebreak=0

ศีล อาศัยปัญญาเป็นอาหารศีลจึงจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ..........


เช่นนั้นการเอาพระสูตรมาอ้าง มันไม่ใช่ว่าจะเหมาเอาว่า ตนปฏิบัติตามพุทธวจนนะครับ
ความสำคัญมันอยู่ที่ ต้องเอาพระสูตรมาอ้างให้ถูกธรรมด้วย ไม่เช่นนั้นจะเป็นว่า...
สักแต่ว่าอ้างไม่รู้เหนือรู้ใต้


ปัญญาเอาไว้พิจารณาเพื่อความบริสุทธิ์แห่งศีล ศีลมีระดับความบริสุทธิ์
เริ่มตั้งแต่ จุลศีล มัชฌิมศีลและมหาศีล การเจริญศีลในลักษณะนี้
จึงต้องอาศัยปัญญา เพื่อการพิจารณา
ดังนั้นปัญญาเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น
การกล่าวเพียงปัญญาอย่างเดียว มันจึงไม่ได้หมายถึงอาหารของศีลโดยตรง

เพราะการมีปัญญาหรือจะให้ปัญญา เจริญมั่นคงได้ ยังต้องอาศัยธรรมอื่นประกอบด้วย


อาหารของศีลที่แท้จริงก็คือ......

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละ ๗ ประการ นี้
๗ ประการเป็นไฉน คือ
ศรัทธาพละ
วิริยพละ
หิริพละ
โอตตัปปพละ
สติพละ
สมาธิพละ
ปัญญาพละ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2013, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 10:10
โพสต์: 104

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
คนเราอายุยืนยาวอยู่ได้ก็ด้วยอาหาร ศีลก็คงเช่นกัน
ศีลจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยอาหารเช่นกัน

ถามว่า อาหารของศีลคืออะไร .. :b14:

(ตอบถูกไม่มีรางวัลนะครับ)
:b13:

พรหมวิหาร 4 คืออาหารหรือเครื่องหล่อเลี้ยงศีลคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2013, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



สติ สัมปชัญญะ เป็นเครื่องทำนุบำรุงรักษาไว้แห่งความบริสุทธิ์ของศีล
เปรียบได้กับ บิดามารดา ..

หิริ โอตัปปะ เป็นเครื่องยับยั้งชั่งใจ ไม่ให้ล่วงละเมิดศีล
เจตนาวิรัติงดเว้น เป็นที่สุดของศีลหรือตัวศีล
ปัญญา คือความรอบรู้ในเรื่องศีล

ส่วนอาหาร ได้แก่ อัปปมัญญาหรือพรหมวิหารสี่

เมตตา ความรัก ความปรารถนาดี
กรุณา ความสงสาร ความไม่เบียดเบียน
มุทิตา ความพลอยยินดี ไม่มีอคติ
อุเบกขา ความปล่อยวางในสิ่งที่ควรปล่อยวาง

ไม่ใช่คำเฉลยนะครับ เป็นความเข้าใจเฉพาะตน ..
ขอบคุณทุกท่านครับ :b8:

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2013, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้อยตีวิด เขียน:
วิริยะ เขียน:
คนเราอายุยืนยาวอยู่ได้ก็ด้วยอาหาร ศีลก็คงเช่นกัน
ศีลจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยอาหารเช่นกัน

ถามว่า อาหารของศีลคืออะไร .. :b14:

(ตอบถูกไม่มีรางวัลนะครับ)
:b13:

พรหมวิหาร 4 คืออาหารหรือเครื่องหล่อเลี้ยงศีลคะ :b8:


พรหมวิหาร ๔ เป็นเครื่องอยู่ของพรหม
ได้แก่ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา
ถ้าใครมีพรหมวิหาร ๔ แสดงว่าเราได้ที่อยู่อย่างพรหมแล้ว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2013, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 10:10
โพสต์: 104

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
พรหมวิหาร ๔ เป็นเครื่องอยู่ของพรหม
ได้แก่ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา
ถ้าใครมีพรหมวิหาร ๔ แสดงว่าเราได้ที่อยู่อย่างพรหมแล้ว

สาธุคะ :b8: หิริโอตัปปะ เป็นคุณธรรมของเทวดา พรหมวิหารสี่เป็นคุณธรรมของพรหม

๑๘. เมตตาเป็นอาหารของศีลหรือพรหมวิหาร ๔ เป็นอาหารของศีล-สมาธิและปัญญา
http://www.manomayitthi.com/articles/42033364/

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2013, 22:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2013, 00:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b8:
มีเรื่องศีลอยู่ด้วยนะครับ ลักษณะการเดินอารมณ์จิตเป็นลำดับชั้น :b42:



:b42: การแสดงธรรมโดยอนุปุพพิกถานั้น หมายถึงเรื่องว่าด้วยอะไรบ้าง

อนุปุพพิกถา คือ พระธรรมเทศนาที่แสดงความลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ เพื่อฟอกอัธยาศัยของสัตว์ให้หมดจดและประณีตขึ้นไปเป็นชั้นๆ จากง่ายไปหายาก เพื่อเตรียมจิตของผู้ฟังให้พร้อมที่จะรับฟังอริยสัจ ๔

อนุปุพพิกถา มี ๕ ประการ คือ

๑. ทานกถา
พรรณนาเรื่องทาน กล่าวถึง การให้ การเสียสละเผื่อแผ่แบ่งปันช่วยเหลือกัน

๒. สีลกถา
พรรณนาเรื่องศีล กล่าวถึง ความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม

๓. สัคคกถา
พรรณนาเรื่องสวรรค์ กล่าวถึง ความสุขความเจริญ และผลที่น่าปรารถนาอันเป็นส่วนดีของกามที่จะพึงเข้าถึง เมื่อได้ประพฤติดีงามตามหลักธรรมสองข้อต้น

๔. กามาทีนวกถา
พรรณนาเรื่องโทษแห่งกาม กล่าวถึง ส่วนเสียข้อบกพร่องของกาม พร้อมทั้งผลร้ายที่สืบเนื่องมาแต่กาม อันไม่ควรหลงใหลหมกมุ่นมัวเมา จนถึงรู้จักที่จะหน่ายถอนตนออกได้

๕. เนกขัมมานิสังสกถา
พรรณนาเรื่องอานิสงส์แห่งการออกจากกาม รวมทั้งอานิสงส์แห่งการออกบวช กล่าวถึง ผลดีของการไม่หมกมุ่นเพลิดเพลินติดอยู่ในกาม และให้มีฉันทะที่จะแสวงความดีงามและความสุขอันสงบที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่านั้น


การแสดงธรรมโดยอนุปุพิกถานั้นมีการแสดงกี่ครั้งในสมัยพุทธกาล

ไม่ทราบจำนวนแน่ชัด เพราะมีมากมายค่ะ


ผลการแสดงธรรมโดยอนุปุพพิกถานั้นทำให้มีผู้บรรลุธรรมมากน้อยเท่าใด

ผลการแสดงธรรมโดยอนุปุพพิกถานั้น ทำให้ผู้ฟังมีจิตสงบ มีจิตอ่อนโยน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน และมีจิตผ่องใส อันสมควรที่จะรับฟังพระธรรมเทศนาขั้นสูงขึ้นไป คือ อริยสัจ ๔ (พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค) กล่าวคือ เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดง “อนุปุพพิกถา” และ “อริยสัจ ๔” จบแล้ว ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดีฉะนั้น ก็จะเกิดแก่ผู้ฟัง คือ ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล นั่นเอง

ตัวอย่างข้างล่างนี้ แสดงให้เห็นความสำคัญของการแสดงธรรม “อนุปุพพิกถา”
ที่ทำให้มีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมากถึงจำนวน ๑๑ นหุต คือ เท่ากับ ๑๑๐,๐๐๐ คน
........................
........................
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6021
อนุโมทนาครับ :b44: :b8: :b8: :b8: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2013, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
อนุโมทนา ทุกความเห็น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2013, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2008, 09:20
โพสต์: 349


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโมทนากับทุกท่านค่ะ :b8: :b27:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร