วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 19:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 06:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


เวลา กิเลส มันเกิดขึ้น … เกิดขึ้นทาง กาย
เกิดขึ้นทาง วาจา เกิดขึ้นทาง ใจ
"รู้ทัน...มัน" เดี๋ยวนี้ มันก็ดับไป เดี๋ยวนี้แหละ

ตัว "สติ" มันปกครองอยู่เสมอ
ถ้ามีสติ อยู่ทุกเมื่อ มันบ่ได้คุมมันล่ะ
ครั้นเกิดขึ้น รู้ทัน มันก็ดับ … รู้ทัน ก็ดับ
รู้ทัน ก็ดับ ... คิดผิด ก็ดับ คิดถูก ก็ดับ
พอใจ ไม่พอใจ ก็ดับลงทันที ที่ "ตัวสติ"

มีสติ รู้ตัว ตามรู้จิต … เมื่อมีสติ รู้ลมหายใจอยู่
ก็ตามรู้จิต … ธรรมชาติของจิต... มีความหลุกหลิก
กลิ้งกลอก อ่อนไหว ว่องไว คิดเรื่อยเปื่อย
ไปได้ทั้งดี และ ชั่ว

ต้องใช้ "สติ" ต่างเชือก มัดจิตไว้ กับ "หลัก"
คือ "ลมหายใจ" ให้ได้! … จิตคิด วิ่งไปที่ไหน
ก็ใช้สติ ระลึกรู้ตามไป ประคองจิตไว้
ไม่ให้คิด ในเรื่องชั่ว อันเป็น บาปทุจริต

ประคองจิตไว้ ให้คิด ในเรื่องดี
อันเป็น บุญสุจริตเท่านั้น
"ความผ่องใส" ในจิตจะเกิด เพิ่มขึ้น
"ความทุกข์" ก็จะค่อย สิ้นไป


หลวงพ่อชา สุภัทโท ตอบปัญหาธรรมแก่พระลูกศิษย์

ถาม:ได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ไม่ได้ผลคืบหน้า

ตอบ:เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆ ในการปฏิบัติ
... ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้น หรือรู้แจ้งนั้น
จะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านจากการหลุดพ้น
ท่านจะเพียรพยายามอย่างหนักตามใจท่านก็ได้
จะเร่งความเพียรทั้งกลางคืนกลางวันก็ได้
แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความอยาก ที่จะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะไม่มีทางที่จะพบความสงบได้เลย
แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความ สงสัยและความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัติมานานเท่าใดหรือหนักเพียงใด
ปัญญา (ที่แท้)จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น
ดังนั้น จงเพียงแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติ
แต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร
อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง


หลวงพ่อชา สุภัทโท ตอบปัญหาธรรมแก่พระลูกศิษย์

ถาม:ควรจะนอนหลับมากน้อยเพียงใด

ตอบ:อย่าถาม ตอบไม่ได้ บางคนนอนหลับคืนละประมาณ ๔ ชั่วโมงก็พอ
... อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านเฝ้าดูและรู้จักตัวของท่านเอง
ถ้าท่านนอนน้อยจนเกินไป ท่านก็จะไม่สบายกาย ทำให้คุมสติไว้ได้ยาก
ถ้านอนมากเกินไป จิตใจก็จะตื้อเฉื่อยชา หรือซัดส่าย
จงหาสภาวะที่พอเหมาะกับตัวท่านเอง ตั้งใจ เฝ้าดูกายและจิต จนท่านรู้ระยะเวลาหลับนอนที่พอเหมาะสำหรับท่าน
ถ้าท่านรู้สึกตัวตื่นแล้วและยังซุกตัวของีบต่อไป
นี่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงมีสติรู้ตัวทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้น




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


เชิญร่วมทำบุญบริจาคเงิน ซื้อหน้าต่างบานเฟี้ยมประดับกระจกสี ติดตั้งถวายกุฏิสงฆ์ วัดธงหลวง จังหวัดน่าน
0841768765

บริจาคเงินปูกระเบื้องลานพระเจดีย์
0841768765

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ และพระโมคคัลลา พระสารีบุตร หน้าตักกว้าง 145 นิ้ว สูง 4.77ม.(ใหญ่ที่สุดในอุโบสถ)ณ. วัดอ่างแกลงธรรมาราม(วัดอ่างตานนท์) หมู่๓ ต.ทางเกวียน อ.แกลงติดต่อ ทำบุญ 081 498 4854


งานทอดกฐินวัดเขานางบวช ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๖

ขอเชิญร่วมจองเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ของวัดเขานางบวช ประจำปี ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖
โทร. ๐๓๕-๘๓๗๕๙๐


เชิญเป็นเจ้าภาพดวงไฟบนเพดานและบนผนังโบสถ์วัดโพธิญาณรังสี
โทร. 0819979093


ขอเชิญเป็นร่วมสร้างห้องน้ำให้สำนักสงฆ์ห้วยตราด (สำนักสงฆ์ห่างใกลความเจริญ))
โทร 084-7020194


เชิญร่วมปฏิบัติธรรมกับหลวงพีโอ ณ.สำนักปฏิบัติธรรมสาขาที่ 10
โทร 089 9352188


ร่วมทำบุญ “สะพานมอญ” สังขละบุรี ขาดยาวกว่า 30 เมตร
สำหรับผู้ที่อยากช่วยบูรณะฟื้นฟูสะพานไม้มอญ สามารถบริจาคเงินสมทบทุน ได้ ณ วัดวังก์วิเวการาม หรือ ที่ตู้รับบริจาคบริเวณเชิงสะพานทั้งสองฝั่ง หรือ โอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสังขละบุรี ชื่อบัญชี “วัดวังก์วิเวการาม (สะพานไม้)” บัญชีเลขที่ 679 216755 4 ได้ตามจิตศรัทธา


ถวายค่าน้ำมันรถเพื่อรับส่ง พระเณรไปเรียนนักธรรม ก่อนสอบสนามหลวงทุกวันพระ
084-7020194

ขอเชิญร่วมโครงการร่วมกันบริจาคเส้นผมเพื่อ ท้องทะเลไทย

ขออนุญาติประชาสัมพันธ์ โครงการมอบผอบ/เจดีย์สำหรับบรรจุพระธาตุเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา (แจกฟรี)
http://www.banduangdham.com/forum/index.php?topic=595.0


ขอเชิญร่วมบุญซื้อที่ดินถวายสร้างสถานปฏิบัติธรรม ถวายเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาสร้างสถานปฏิบัติธรรมและสำนักสงฆ์ วัดหนองกะโตวา ต.ซับสีทอง จ.ชัยภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


อชิตมาณพ ทูลถามด้วยใจต่อไปว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพราหมณ์พาวรี ถามถึงธรรมเป็นศีรษะ

และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ขอพระองค์ตรัสพยากรณ์ข้อนั้น กำจัดความ

สงสัยของพวกข้าพระองค์ ผู้เป็นฤาษีเสียเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพยากรณ์ว่า

ท่านจงรู้เถิดว่า อวิชชา ชื่อว่า ธรรมเป็นศีรษะ วิชชาประกอบด้วยศรัทธา

สติ สมาธิ ฉันทะ และวิริยะ ชื่อว่า เป็นธรรมเครื่องให้ศีรษะตกไป

ลำดันนั้น อชิตมาณพ มีความโสมนัสเป็นอันมาก เบิกบานใจ กระทำหนังเสือ

เหลืองเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง หมอบลงแทบพระบาทยุคลด้วยเศียรเกล้า กราบทูล

ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ผู้มีพระจักษุ พราหมณ์พาวรีผู้เจริญ มีจิตเบิกบาน

ดีใจพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลาย ขอไหว้พระบาทยุคล(ของพระผู้มีพระภาคเจ้า).

ติสสเมตเตยยมาณพทูลถามปัญหาว่า

ใคร ชื่อว่า ผู้ยินดีในโลกนี้ ความหวั่นไหวทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ใคร ใครรู้ส่วนสุด

ทั้งสอง แล้วไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลางด้วยปัญญา พระองค์ตรัสสรรเสริญใคร

ว่าเป็นมหาบุรุษ ใครล่วงตัณหาเครื่องร้อยรัดในโลกนี้ได้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูกร เมตเตยยะ

ภิกษุเห็นโทษในกามทั้งหลายแล้วประพฤติพรหมจรรย์ มีตัณหาปราศจากไป

แล้ว มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นธรรม แล้วดับกิเลสได้แล้ว ชื่อว่าผู้ยินดีในโลกนี้

ความหวั่นไหวทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นรู้ซึ่งส่วนสุดทั้งสองแล้ว

ไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลางด้วยปัญญา เรากล่าวสรรเสริญภิกษุนั้นว่าเป็นมหาบุรุษ

ภิกษุนั้นล่วงตัณหาเครื่องร้อยรัดในโลกนี้เสียได้.





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2013, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้หมั่นสังเกตจิตใจตนเองนะ สังเกตเห็นบ่อยๆ ก็จะเกิดความละอายและความเกรงกลัวขึ้นมา จะเกิดการงดเว้น จิตเกิดการงดเว้นเพราะมีความละอาย หิริโอตตัปปะเป็นปัจจัยให้เกิดศีล ศีลแท้ๆ ก็คือเจตนางดเว้น จะละทุจริตต่างๆ ได้ ก็ทำสุจริต กายวาจาใจดี ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น มีแต่ความเมตตากรุณาเห็นใจกัน จิตจะมีความเป็นปกติ อันนี้เป็นศีล

ตัวศีลนี่อยู่ที่จิต ก็ไม่ได้ดูที่อาการภายนอก บางคนดูภายนอกดีมากเลยนะ พูดเพราะ จะบอกมีศีลดีก็ยังไม่ใช่ บางทีพูดเพราะแต่มีเจตนาเสียดแทงคนอื่น อยู่ด้วยกันแป๊บเดียวอาจจะยังไม่รู้ว่าใครมีศีล แต่ถ้าอยู่ด้วยกันนานๆ ก็ดูออกได้ ถ้าคนไม่มีศีลจริง จะรักษาดีเอาไว้ไม่ได้ เดี๋ยวก็ระเบิด






ต่อไปอีกพระสูตรหนึ่ง ใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค กรรมนิโรธสูตร พระพุทธเจ้าแสดงความรู้เกี่ยวกับกรรม ๔ อย่างด้วยกัน พระองค์ตรัสว่า

นวปุราณานิ ภิกฺขเว กมฺมานิ เทเสสฺสามิ

กมฺมนิโรธญฺจ กมฺมนิโรธคามินิญฺจ ปฏิปทํ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจะแสดง

(๑) กรรมเก่า

(๒) กรรมใหม่

(๓) ความอิสระจากกรรม

(๔) ข้อปฏิบัติให้ถึงความอิสระจากกรรม

พระพุทธเจ้าทรงแสดงครอบคลุมเป็นหลักเอาไว้ เวลาเราศึกษาก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ จะง่ายในการศึกษาธรรมะต่อไป บางคนไปเรียนเรื่องกรรมแง่ใดแง่หนึ่งซะละเอียดเลย เรียนมากเกินไปเลยงง ให้เรียนสั้นๆ ได้กรอบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่งง เมื่อได้กรอบเป็นหลักแล้ว รายละเอียดเราจะไปแตกย่อยขนาดไหนก็ได้ ในพระสูตรนี้ท่านขยายความว่า

กตมญฺจ ภิกฺขเว ปุราณกมฺมํ

จกฺขุํ ภิกฺขเว ปุราณกมฺมํ อภิสงฺขตํ อภิสญฺเจตยิตํ

เวทนิยํ ทฎฺฐพฺพํ...โสตํ ...ฆานํ ...ชิวฺหา ...กาโย ...มโน

ปุราณกมฺโม อภิสงฺขโต อภิสญฺเจตยิโต เวทนิโย...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมเก่าเป็นอย่างไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตา พึงทราบว่าเป็นกรรมเก่า

ถูกปัจจัยปรุงแต่ง สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา

หู ...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ พึงทราบว่าเป็นกรรมเก่า

ถูกปัจจัยปรุงแต่ง สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา

อย่างที่หนึ่ง ปุราณกมฺมํ กรรมเก่า ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งเหล่านี้เป็นผลของกรรม เกิดจากกรรมเก่าๆ ที่เราเคยทำเอาไว้แล้ว ประมวลมาจนเป็นสิ่งที่สมมติว่าเป็นตัวเรานั่งอยู่นี่แหละ แต่ละคนก็แตกต่างกันไปตามกรรม ทำกรรมดีก็ปรุงแต่งให้ดูดี ทำกรรมไม่ดีหรือไม่ประณีตก็ปรุงแต่งให้ดูไม่ดี ชิ้นส่วนแต่ละอย่างที่เป็นอวัยวะของเรานี้ มีความละเอียดปลีกย่อยไม่เหมือนกันเลย ก็เพราะแต่ละคนทำกรรมมาแตกต่างกัน นับตั้งแต่ผิวพรรณ รูปร่าง ทรวดทรง ฯลฯ รวมไปถึงคุณภาพของใจ ที่เป็นอุปนิสัยใจคอ ความเคยชิน จริต อัธยาศัยต่างๆ เกิดจากกรรมเก่าปรุงแต่งขึ้นมา

เมื่อมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาแล้ว ก็มีการรับรู้โลก เรียกว่าผัสสะ ทำให้เกิดความรู้สึกต่อโลก และทำกรรมใหม่ต่อไปอีก ตา หู เป็นต้น เหล่านี้จึงเป็นที่ตั้งของเวทนา ทำให้เกิดความรู้สึก เมื่อเห็นก็รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อคิดนึกก็รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง

ที่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมามากมาย เป็นตัวเรา ของเรา เป็นเขา ของเขา ก็เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นแหละ ส่วนนี้เป็นผลของกรรม เป็นกรรมเก่า เราทำมา อาศัยกรรมเก่าแล้วกระทบผัสสะกับโลก เกิดความรู้สึกกับโลก หลงโลก เข้าใจผิด หลงยึดมั่นจริงจังกับโลกก็ทำกรรมใหม่วนเวียน ออกจากวงจรนี้ไม่ได้ เลยต้องเกิดตายวนเวียนไม่สิ้นสุด

กตมญฺจ ภิกฺขเว นวกมฺมํ

ยํ โข ภิกฺขเว เอตรหิ กมฺมํ กโรติ

กาเยน วาจาย มนสา

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมใหม่เป็นอย่างไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คือ กรรมที่บุคคลทำ

ด้วยกาย วาจา ใจ

นวกมฺมํ กรรมใหม่ คือการกระทำ เรามีกรรมเก่ามาแล้ว คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบผัสสะ เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน แล้วก็ทำกรรมใหม่ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เป็นกรรมดีบ้าง ไม่ดีบ้าง กรรมดีเรียกว่ากุศลกรรม กรรมไม่ดีเรียกอกุศลกรรม

กตโม จ ภิกฺขเว กมฺมนิโรโธ

โย โข ภิกฺขเว กายกมฺมวจีกมฺมมโนกมฺมสฺส นิโรธา วิมุตฺติ ผุสติ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอิสระจากกรรม เป็นอย่างไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คือ บุคคลถูกต้องวิมุตติ

เพราะความหมดไปแห่งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมได้

ความอิสระจากกรรม การไม่มีเหตุที่จะให้ทำกรรมอีก คือ ถึงวิมุตติ ความหลุดพ้น หมดความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ อันเป็นตัวทุกข์ ใจอิสระจากกรรม ไม่มีการปรุงแต่งดิ้นรนขวนขวายจะทำโน่นเพื่อเรา ส่วนข้อปฏิบัติให้ถึงความอิสระ คืออริยมรรค ๘ ดังบาลีว่า

กตมา จ ภิกฺขเว กมฺมนิโรธคามินี ปฏิปทา

อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค,

เสยฺยถิหํ : สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต

สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาที่ให้ถึงความอิสระจากกรรม เป็นอย่างไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ


สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

พระสูตรนี้สั้น ๆ แสดงความเข้าใจเรื่องกรรมครบถ้วนทีเดียว แสดงการเกิดขึ้นเป็นไปของทุกข์ มีกรรมเก่า กรรมใหม่ หมุนเวียนเป็นวัฏฏทุกข์ เป็นวงจรสายเกิดทุกข์ อีกส่วนหนึ่ง แสดงความอิสระจากกรรม หมดกรรม ไม่มีกรรม และข้อปฏิบัติคืออริยมรรค ๘ ประการ เป็นฝ่ายหมดทุกข์ โดยสรุปแล้ว พระองค์ตรัสแค่ ๒ เรื่องเท่านั้น คือเรื่องทุกข์กับการพ้นทุกข์ ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ตรัสอย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ก็จะรู้ว่าพระองค์สอนแต่เรื่องนี้ พระองค์เน้นไปที่การประพฤติปฏิบัติ การประพฤติพรหมจรรย์ ให้อริยมรรค ๘ เกิดขึ้น ให้ถึงการพ้นทุกข์ได้จริง




พระองค์ทรงแสดงพระสูตรนี้ก็สอนเพื่อให้เร่งประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มัวแต่ประมาทหลงลืมไป ไม่มัวแต่เห็นเรื่องอื่นสำคัญกว่าเรื่องนี้ เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเราทั้งหลาย ก็คือการประพฤติพรหมจรรย์ ทำตัวเองให้พ้นทุกข์ หรือใกล้ต่อการพ้นทุกข์เข้าไปอีก จะหมดทุกข์ก็โดยการมีปัญญา รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2013, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่พระองค์สอนเรื่องกรรมเก่า กรรมใหม่ กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทานี้ ไม่ใช่สอนแล้วให้ไปทำกรรม แต่สอนให้ภาวนา เพื่อจะอิสระจากกรรม จะได้ไม่เดือดร้อนภายหลัง สอนเพื่อให้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดวนเวียนไปไม่สิ้นสุด เพราะยังมีการทำกรรมอยู่ ฉะนั้น ให้เห็นโทษของความเกิด เพราะความเกิดนำความแก่ ความเจ็บ ความตาย และทุกข์อื่นๆ มาให้มากมาย สอนเพื่อให้รู้จักพรหมจรรย์ รู้จักวิธีที่จะออกจากวงกลมอันโหดร้ายนี้ วัฏฏะนั้นหาที่สุดเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้ มันเป็นวงกลม เรียกว่าสังสารวัฏ คือวงกลมของการวนเวียนไปของขันธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นการวนเวียนไปของกองทุกข์ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสรุปไว้ตอนท้ายพระสูตรนี้ว่า

อิติ โข ภิกฺขเว เทสิตํ มยา ปุราณกมฺมํ,

เทสิตํ นวกมฺมํ, เทสิโต กมฺมนิโรโธ, เทสิตา กมฺมนิโรธคามินีปฏิปทา,

ยํ โข ภิกฺขเว สตฺถารา กรณียํ สาวกานํ หิเตสินา อนุกมฺปเกน อนุกมฺปํ อุปาทาย,กตํ โว ตํ มยา

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมเก่าเราได้แสดงแล้ว กรรมใหม่เราได้แสดงแล้ว

ความอิสระจากกรรมเราได้แสดงแล้ว

และข้อปฏิบัติที่ทำให้ถึงความอิสระจากกรรมเราได้แสดงแล้ว ด้วยประการฉะนี้,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจใดที่ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์

พึงอาศัยความอนุเคราะห์ กระทำแก่สาวกทั้งหลาย

กิจนั้นเราได้กระทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย

พระองค์ทรงแสดงเกี่ยวกับกรรม เป็นกิจที่ศาสดาควรกระทำแก่สาวก พระองค์ได้ทำกิจแล้ว ส่วนหน้าที่ของเราทั้งหลายก็ต้องฝึกฝนภาวนา มีบาลีต่อไปว่า

เอตานิ ภิกฺขเว รุกฺขมูลานิ, เอตานิ สุญญาคารานิ ฌายถ ภิกฺขเว,

มา ปมาทตฺถ, มา ปจฺฉา วิปฺปฏิสาริโน อหุวตฺถ,

อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนี

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นสถานที่ว่างจากเรือน

เธอทั้งหลายจงปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา

จงอย่าประมาท อย่าเป็นผู้มีความเดือดร้อนใจในภายหลังเลย

นี้คือคำพร่ำสอนของเราสำหรับเธอทั้งหลาย

อนุสาสนี คือ คำพร่ำสอน คำตักเตือน คำที่คอยบอกอยู่เสมอ บอกอยู่บ่อยๆ ให้เรานำไปปฏิบัติ เพื่อจะได้เกิดปัญญา สามารถเป็นที่พึ่งให้แก่ตนได้ คือให้ไปเจริญสมถะและวิปัสสนา มีความไม่ประมาท รู้ตัวอยู่เสมอ

ฌายถ แปลว่า จงเพ่ง จงใส่ใจ แปลโดยเนื้อความว่า จงปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา ถ้าใส่ใจตัวอารมณ์ รู้อยู่ที่ตัวอารมณ์ อยู่ให้จิตสบาย มีกำลัง เรียกว่าทำสมถะ ถ้าใส่ใจลักษณะของตัวอารมณ์ คือเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของตัวอารมณ์ เรียกว่าวิปัสสนา

มา ปมาทตฺถ เธอทั้งหลายจงอย่าประมาท ให้เห็นคุณค่าของเวลา มีสติ มีความรู้ตัวอยู่เสมอ รู้อยู่ในกายในใจ การหลงลืม มัวแต่เหม่อลอย หลงเพลินไปกับสิ่งต่างๆ เรียกว่าประมาท

ในการปฏิบัติ ต้องหัดมีสติ ไม่ประมาท ไม่ลืมกาย ไม่ลืมใจ ให้รู้กาย ให้รู้ใจ กายเดิน ยืน นั่ง นอน เหยียด คู้ กระดิกแขน กระดิกขา ก็ให้รู้ว่ากายมันเป็นอย่างนั้น รู้ความรู้สึก ปวดหลังก็ให้รู้ว่าปวดหลัง เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ก็ให้รู้ หิวก็รู้ว่ามันหิว สบายใจรู้ว่าสบายใจ ไม่สบายใจรู้ว่าไม่สบายใจ รู้จิตใจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ หลง ไม่หลง หดหู่ ฟุ้งซ่าน สงบ ไม่สงบ วิตกกังวลรู้ว่าวิตกกังวล เครียดรู้ว่าเครียด อย่างนี้เรียกว่าไม่หลงลืม ไม่ประมาท มีสติ เมื่อมีสติ ก็ให้เจริญสมถะและวิปัสสนาต่อไป

ดังนั้น ให้รีบปฏิบัติ รีบฝึกฝนเข้าไว้จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง อายุมากจะลำบาก ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว ตื่นเช้าก็ได้ นอนดึกๆ ก็ได้ เดินไปเดินมาได้สบาย มีกำลัง ฝึกสติได้ดี อายุมากทำอย่างนั้นไม่ได้ นั่งแป๊บเดียวก็หลับ นั่งนานๆ ก็ปวดหลัง เดินนานๆ ก็ปวดขา อย่างนี้นะ กายยังดีอยู่ก็ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ให้ปฏิบัติสมถะวิปัสสนา ให้ไม่ประมาท พระองค์เป็นเพียงคนบอกทาง ส่วนการเดินนั้น เราต้องทำเอาเอง นี้แหละเป็นคำพร่ำสอนของพระพุทธเจ้า




ในเรื่องของกรรมที่ได้พูดไปแล้ว ๓ ครั้งนั้น ก็เป็นความเข้าใจเรื่องของกรรมตั้งแต่ต้นคือ กรรมนั้นมันก็เหมือนธรรมะอื่นๆ ที่เป็นของไม่มีตัวไม่มีตน เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อิงอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้มันจึงมี เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะการดับไปของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป

ขนาดตัวเราผู้ทำกรรมนี้ยังไม่มีตัวตนเลย ตัวกรรมซึ่งเป็นตัวเจตนาก็ย่อมไม่มีตัวไม่มีตนเช่นเดียวกัน ขนาดตัวเรานี้ยังเป็นของไม่แน่ไม่นอน เกิดเพราะเหตุเพราะปัจจัย กรรมที่มันเกิดขึ้นเป็นครั้งๆ ก็เป็นของไม่แน่ไม่นอน อิงอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน กรรมนั้นเป็นธรรมะฝ่ายสังขาร เวลาพูดถึงเรื่องของกรรม ก็ได้ขยายความให้เห็นว่า ตัวกรรมแท้ๆ นั้นคืออะไร ตัวกรรมแท้ๆ คือเจตนาที่มันเกิดขึ้นเป็นครั้งๆ เป็นความจงใจที่พิเศษ ที่ต้องการจะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ นี้เรียกว่าตัวกรรม

เหตุเกิดของกรรมคือผัสสะ เพื่อแสดงให้เห็นว่า กรรมนั้นมันไม่ได้มีตัวตนอะไร อิงอาศัยผัสสะจึงเกิดเจตนาขึ้น เราทั้งหลายได้กรรมเก่าอันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้คุณภาพกายและคุณภาพกายใจมาอย่างนี้ ด้วยผลของกรรมเก่าที่เคยทำมา เคยสะสมมาตั้งแต่อดีต จนกระทั่งถึงที่สะสมมาในชาตินี้ ที่เราเรียนหนังสือมาก็ดี ที่พ่อแม่สอนให้ก็ดี สังคมใส่ข้อมูลให้ก็ดี ทัศนคติ อุดมคติที่นับถือกันก็ดี มันเป็นพื้นฐานเดิม จนกระทั่งประมวลเป็นสิ่งที่สมมติเรียกว่าตัวเราในขณะนี้ อันนี้เป็นส่วนของกรรมเก่า เมื่อเรากระทบอารมณ์แล้วก็เกิดความรู้สึกกับสิ่งนั้นๆ ขึ้น

ดังนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ อันเป็นที่ตั้งของความรู้สึกนี้ ท่านจึงเรียกว่า กรรมเก่า เมื่อกรรมเก่าทำงานเรียบร้อยแล้ว เกิดความรู้สึกขึ้น ในบางผัสสะเราก็มีเจตนาจะทำบางอย่างกับมัน เจตนาที่จะทำบางอย่างอันนี้แหละเรียกว่า “กรรม” เป็น กรรมใหม่ เจตนานั่นแหละเป็นกรรม

เราทั้งหลายนี้ไม่ได้ทำกรรมอยู่ตลอดเวลาหรอก เป็นแค่บริหารกรรมเก่าให้มันพอเป็นไปได้ เรียกว่าบริหารทุกข์ ได้ตัวทุกข์มาแล้วก็ต้องบริหารไป ตัวกรรมมันจะเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบอารมณ์แล้วเกิดความรู้สึก และต่อจากความรู้สึกแล้ว ยังมีเจตนาที่จะทำที่พิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย จะทำทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี อันนี้เป็นกรรม

เจตนาที่เราทำกันนั้นก็มีความแตกต่างกัน บางเจตนาก็รุนแรงเร่าร้อนเหมือนนรก คือจะเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ถ้าเราอยู่เขาก็ต้องไม่อยู่ ถ้าเราชนะเขาก็ต้องแพ้ อะไรอย่างนี้ เป็นเจตนาที่จะทำแบบเร่าร้อนรุนแรง มีการเบียดเบียนกัน แย่งชิงกัน ทำลายประโยชน์ของฝ่ายอื่น จนกระทั่งถึงมีการทำลายชีวิตกัน อันนี้เป็นกรรมแบบนรก

บางเจตนาก็ทำด้วยความรู้สึกอยากได้ อยากไม่รู้จักพอสักที รักษาผลประโยชน์ฝ่ายตนเองเป็นหลัก ส่วนคนอื่นๆ หรือฝ่ายอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา ใจนั้นมีความหิว อยากได้นั่นได้นี่ ไม่รู้จักอิ่มจักเต็ม อันนี้เป็นกรรมแบบเปรต

บางเจตนาก็ทำตามความหลงเชื่อคนอื่นเขา ทำแบบหลงๆ ไป เขาว่าดีก็ว่าดีตามเขา เขาว่าไม่ดีก็ว่าไม่ดีตามเขา เขาบอกว่าถูกก็ถูกตามเขา ถ้าไม่ทำก็กลัวว่าจะผิด หรือกลัวผีจะหักคอบ้าง ก็ต้องทำตามๆ เขาไป อันนี้เป็นกรรมแบบสัตว์เดรัจฉาน

บางเจตนาทำแบบมนุษย์ ใจมีหิริ มีโอตตัปปะ ละเว้นกรรมชั่วได้ ละทุจริต ทำแต่สุจริต อันนี้เรียกว่าเป็นกรรมแบบมนุษย์

ถ้าสูงขึ้นไปกว่านั้น ก็เป็นกรรมแบบเทวดา คือ นอกจากมีศีลแล้ว ยังไม่ห่วงใยกังวลในสมบัติแบบมนุษย์ ไม่ติดข้องสมบัติมนุษย์ เสียสละได้ มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่น มีความเมตตากรุณาต่อคนอื่น ไม่ชอบความสุขแบบมนุษย์ทั่วไป ชอบความสุขที่เกิดขึ้นทางด้านจิตใจมากกว่า ความสุขที่เกิดจากการเสียสละ ความสุขจากการออกจากกามคุณ มาทำสมาธิ เข้าฌาน อันนี้เป็นเจตนาที่จะทำแบบเทวดาบ้าง แบบพรหมบ้าง

กรรมมีลักษณะแตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าเราจะมีเจตนาลักษณะเช่นใดในเวลาใด เพราะมันเกิดขึ้นเป็นครั้งๆ กรรมนั้นเมื่อได้ทำแล้ว หากมีเหตุปัจจัยพร้อม ผลของกรรมก็เกิดขึ้น เรียกว่า “วิบาก” บางกรรมก็ให้ผลทันทีในขณะทำนั่นแหละ ให้ทันตาเห็นก็มี บางกรรมก็ให้ผลในลำดับถัดจากนั้นไป หลายชั่วโมงบ้าง หลายวันบ้าง หลายเดือนบ้าง บางกรรมก็ให้ผลในลำดับถัดๆ จากนั้นไปอีก หลายๆ เดือน หลายๆ ปี บางกรรมก็ให้ผลในชาตินี้ บางกรรมก็ให้ผลในชาติหน้า บางกรรมก็ให้ผลในชาติถัดๆ จากนั้นไปอีก

การให้ผลของกรรมจึงมีความสลับซับซ้อนมาก ไม่สามารถจะไปจำกัดได้ว่า มันจะให้ผลเมื่อไหร่ ตอนไหน คอยดูอยู่ว่าเมื่อไหร่กรรมจะให้ผล บางทีกรรมก็ให้ผลไม่ทันใจพวกที่คอยตั้งตาดูอยู่ พวกไปคิดเรื่องกรรมและวิบาก จึงมีโอกาสเป็นบ้าและเดือดร้อนใจ

เราทั้งหลายเรียนเรื่องกรรมไปแล้ว ก็อย่าไปคิดมาก ผมผู้สอนยังไม่คิดมากเลยนะ ท่านที่เรียนก็อย่าไปคิดมากก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเป็นบ้าเอา เอาพอสมควร บางคนก็ง่วน หมกมุ่น ครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องกรรมและผลของกรรมนี่แหละ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าเตือนเอาไว้แล้วว่า มันเป็นเรื่องอจินไตย คือเรื่องที่ไม่ควรคิด เรื่องที่คิดแล้วก็รู้ความจริงไม่ได้ อย่าไปคิดมาก คิดแล้วจะทำให้เป็นบ้าเดือดร้อนใจ

นี้ก็เป็นเรื่องของการวนเวียนไปตามกรรม ซึ่งไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลอะไร เกิดและเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ทีนี้ พระพุทธเจ้าทรงรู้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ทรงสอนเหนือขึ้นไปกว่านั้นด้วย คือสอนกรรมนิโรธ ความสิ้นกรรม ความไม่มีกรรม อิสระจากวงจรของกรรม อยู่เหนือกรรมไป แล้วก็บอกข้อปฏิบัติที่จะทำให้ถึงความสิ้นกรรมด้วย คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ เริ่มตั้งแต่การฝึกฝนให้มีสติสัมปชัญญะตามหลักสติปัฏฐานทั้ง ๔ จนกระทั่งเกิด ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อสมบูรณ์ก็เกิดอริยมรรคมีองค์ ๘ ขึ้น นี้เป็นกรรมนิโรธคามินีปฏิปทา



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2013, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


++"ความสำราญทางกายหรือฝ่ายโลกนั้นต้องดื่มหรือต้องกินอยู่เสมอ จึงจะสำราญ
++แต่ที่แท้มันเป็นเพียงการระงับหรือกลบเกลื่อนความหิวไว้ทุกชั่วคราวที่หิวเท่านั้น
++ส่วนความสำราญทางฝ่ายใจหรือฝ่ายธรรมนั้น ไม่ต้องดื่มไม่ต้องกินก็สำราญอยู่เอง เพราะมันไม่มีความหิว ไม่ต้องดื่มกิน เพื่อแก้หิว ที่กล่าวนี้..."
บางตอนจาก "อาหารของดวงใจ



===> ศีลจะเป็นเกราะคุ้มกันให้เจ้า <===

คุณแห่งศีลนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงๆ
จงให้มั่นคงเถิด เพราะเราไม่รู้ว่ากรรมนั่้น
จะเกิดขึ้นกับเราเมื่อใด แต่หากเรามีศีลมั่นคง
ไม่พร่องไม่หวั่นไหว คุณของการรักษาศีลนั้น
ย่อมจะปรากฏให้เราได้รับรู้อย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะศีล คือ การรักษาความดีของตน
ดีทางกาย ดีทางวาจา ดีทางใจ...

"ทางกาย..."
เราไม่ทำให้ตนและคนอื่นเดือดร้อนเพราะการกระทำของตน

"ทางใจ..."
เราไม่มีความเคืองแค้นผูกพยาบาทต่อใครๆให้ตนเป็นทุกข์

"ทางวาจา..."
เราไม่ทำให้ตนและคนอื่นเดือดร้อนเพราะวาจาของตน

เมื่อใครมาทำร้าย เราไม่ทำร้ายตอบ
เมื่อใครคิดร้าย เราไม่คิดร้ายตอบ
เมื่อใครกล่าวร้าย เราไม่กล่าวร้ายตอบ

*********************************

อย่ารักษาศีลแต่วาจา แต่ใจไม่มีเหลือศีล...
อย่าทำบุญเพราะหวังในอามิสทานชั่วข้ามคืน...
อย่าทำบุญเพราะเอาหน้า แต่ใจขาดศรัทธา...
อย่าคาดหวังให้คนอื่นเหมือนดังใจตนเลย...
อย่าสับสนจนขาดสติ แล้วหาดีใสตัวส่วนชั่ว...
อย่าคิดว่าคนอื่นเขาชั่ว หากตัวนั้นยังไม่เหลือดี...
อย่าทำตัวเป็นนักสืบความชั่วคนอื่นให้เสียเวลา...
อย่าเพียงแต่คิดว่าทำได้ แต่ต้องลงมือทำให้ได้...

*********************************

"หากโทษเวรกรรม โทษเพศ โทษวัย โทษความเจ็บป่วยฯลฯ"
เมื่อใดได้สร้างความชั่วทางกาย วาจา ใจ ให้เกิดขึ้นแล้ว
และเที่ยวไปตีไปเถียงไปกล่าวชั่วให้คนอื่นเขาเสียหาย
ก็แสดงว่าตนเองยังชั่วพร้อม ทั้งสามทางเป็นแน่แท้
ศีลที่รักษา บุญที่ทำมา ก็อย่าหวังว่าจะมีผลในเร็ววัน...

"ก็ไม่ต้องไปสอนใคร ให้สอนตนเองให้รู้ตนเสียก่อน
หากตนเองพอมีบุญทาน พอมีสติ ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว
นั้นแหละจึงค่อยไปสอนคนอื่นให้รู้บุญ รู้ศีล รู้ธรรม รู้ทาน
ไม่เช่นนั้นก็จะทำตนเป็น เหมือนพญามาร คอยทำลาย
มากกว่าจะเป็นพระมาโปรด มาให้ผู้อื่นนั้นเอง....? "


เพราะวันหนึ่ง ศีล สมาธิ ปัญญา บุญนี้แหละ
จะเป็นเกราะให้เราได้ เมื่อพบกับมารที่แฝงมา
ในร่างคนแล้วเข้ามาชน เข้ามาทดสอบเรา
หากไม่มีเกราะบุญที่มั่นคง มันก็จะได้ตี ได้ทุบ
กับพญามารเข้า ดีไม่ดีเรานี้แหละจะเป็นมารตัวพ่อ
จึงขอเตือนสติกันไว้ จงอย่าประมาทมารเป็นๆเลย...?

" จงรักษาศีลไว้ให้เป็นปกติเถิด..."


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ร่วมถวายสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกและบูรณะวัดส่วนที่เสียหาย
0870804136

เรียนเชิญร่วมสร้างมหากุศลหล่อพระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตักกว้าง ๑๒ ศอก ๑๘ ศอก
โทร.081-199-1645

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระวิหารและกุฏิสงฆ์โดนไฟไหม้ ณ วัดมัคคาราม จ.เชียงใหม่
โทร 087-3032098

สร้างบุญ พิธีเททองหล่อระฆัง เททองในวันเสาร์ของงานประจำปี เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗

________________________________________
โทร 089-658-9939

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคเพื่อสมทบทุนสร้างอาคารหลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
0818909666

พิธีเททองหล่อ หลวงพ่อสด จันทสโร วันที่ 18 สค 56เวลา13.00 น วัดตาลเจ็ดยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
โทร. ๐๘๐-๖๒๒๙๓๖๙


หล่อพระพุทธเจ้าองค์ปฐมเนื้อทองคำ เลี้ยงพระเพล ๑๐๐๐ รูป วัดสระพัง อาทิตย์ ๒๕ สค ๒๕๕๖


ขอเชิญร่วมบูรณะกุฏิสงฆ์ วัดบ้านเลือก จังหวัดราชบุรี


ร่วมบุญมุงกระเบื้องหลังบรรณศาลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน
โทร.081-9981552



ทำบุญสร้าง "พระพุทธเจ้าทันใจ" หลวงพ่อบุญมา สุภัทโท วัดสามัคคีธรรม อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง
08-9127-5512

ร่วมบริจาคสร้าง อุโบสถเรือนไม้ (วัดบางประจันต์ วังไคร้ จ.เพชรบุรี)


ขอเชิญสร้างศาลาการเปรียญ วัดปากแคว สุโขทัย

เนื่องจากต้องการหาช่างฝีมือ ช่างหล่อพระพุทธรูป หน้าตักขนาด 5 ศอก (120 นิ้ว)
โทร.089-5689414

วัคถ้ำผางาม จ.ลำปาง ทำบุญสร้างฐานพระประธานและทาสีและเสนาสนะอีกมาก
โทร 092-0030528


ขอเชิญร่วมบุญสร้างห้องน้ำ ยังขาดอีกสองห้อง
สามารถร่วมบุญผ่านบัญชี พระภานรินทร์ สุดางาม เลขที่บัญชี

6022362971 ไทยพาณิชย์ สาขา อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา

ขอรับบริจาคน้ำดื่ม จำนวน ๑๐๐ โหล ( ก่อน ๑๘ / ๘ / ๕๖)
โทร. 084 – 7972215

ขอเชิญร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพสร้างพระพุทธสุวรรณสหัสรังษี(หลวงพ่อพันแสง)วัดนาบุญ แพร่
โทร.๐๕๔-๕๔๕-๓๑๙

กองทุนพระปฐมโพธิญาน(เพื่อสร้างพระเจดีย์,พระสมเด็จองค์ปฐม,ทำบุญทุกอย่าง)
0821959139

เชิญร่วมทำบุญบริจาคเงิน ซื้อหน้าต่างบานเฟี้ยมประดับกระจกสี ติดตั้งถวายกุฏิสงฆ์ วัดธงหลวง จังหวัดน่าน
0841768765


บูรณะ ซ่อมแซมพระพุทธรูป วัดท่าซุง สาขาเก้า วังน้ำเขียว.
0918209133

ขอเชิญสร้างกุฏิกัมมัฏฐาน ๒๕ กองบุญ ๆ ละ๓,๙๙๙ บาท
โทร 084-7020194

เชิญร่วมมหากุศสร้างถวายตุงผ้าบฎพระพุทธเจ้า 28 พระองค์
091. 8596632

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพซื้อที่ดินขยายเขตวัดเทพรัตนาราม สมุทรสาคร
085-6842864

17 พย 2556 วัดสันป่าสัก แม่แตง เชียงใหม่ ยังไม่มีเจ้าภาพทอดกฐิน
083 7663388


กฐินพระราชทาน ประจำปี พ.ศ. 2556 สามารถร่วมบุญได้ดังนี้

1. กฐินพระราชทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ณ วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
ในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13.00 น.
ธนาคารกรุงไทย สาขาวิสุทธิกษัตริย์ ประเภทเงินฝากออมทรัพย์
บัญชีเลขที่ : 006-1-43898-7
ชื่อบัญชี : เงินกฐินพระราชทานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทรศัพท์, โทรสารหมายเลข 0-2281-0212
หนังสือเวียน - กฐินพระราชทานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปี 2556


2. กฐินพระราชทาน กรมการจัดหางาน
ณ วัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม) ต.ท่าฉลอม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
ในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2556 เวลา 09.30 น.
ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงแรงงาน
เลขที่บัญชี : 383-1-04524-0
ชื่อบัญชี : เงินกฐินกรมการจัดหางาน
โทรสารหมายเลข 0-2248-6835, 0-2248-6839
http://115.31.137.49/sk/Documents/katin.pdf


3. กฐินพระราชทาน กระทรวงศึกษาธิการ
ณ วัดอาวุธวิกสิตาราม แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
ในวันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2556 เวลา 14.00 น.
ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงศึกษาธิการ
เลขที่บัญชี : 059-1-31886-5
ชื่อบัญชี : กฐินพระราชทาน กระทรวงศึกษาธิการ
โทรศัพท์หมายเลข 0-2281-9264 โทรสาร 0-2281-1753
หนังสือเวียน - การถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2556


4. กฐินพระราชทาน กระทรวงวัฒนธรรม
ณ วัดใหญ่อินทาราม ตำบลบางปลาสร้อย อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี
ในวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2556 เวลา 10.09 น.
ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกอรุณอัมรินทร์
เลขที่บัญชี : 157-0-11071-9
ชื่อบัญชี : กฐินพระราชทาน
โทรศัพท์หมายเลข 0 2422 8890 - 3 โทรสาร 0 2422 8891 , 0 2422 8886
INFOMA:VIEW


5. กฐินพระราชทาน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ณ วัดป่าประดู่ ตำบลท่าประดู่ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง
ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13.00 น.
1. ธนาคารกสิกรไทย สาขาคลองจั่น
ประเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่ : 040-252-7732
ชื่อบัญชี : กฐินพระราชทาน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
2. ธนาคารกรุงเทพ สาขาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ประเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่ : 944-001-3408
ชื่อบัญชี : กฐินพระราชทาน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
โทรศัพท์หมายเลข 0 2727 3497, 0 2727 3391 - 5 โทรสาร 0 2375 8798
::NIDA news :: - ขอเชิญร่วมทำบุญสมทบพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2556


6. กฐินพระราชทาน กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
ณ วัดคูหาสวรรค์ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง
ในวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2556 เวลา 09.30 น.
ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนวิสุทธิกษัตริย์
บัญชีเลขที่ : 006-0-14414-9
ชื่อบัญชี : กฐินกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ปี 56
โทรศัพท์หมายเลข 0 2628 5240 – 59 ต่อ 2205, 2216 โทรสาร 0 2628 5751, 0 2282 0889
http://water.rid.go.th/hydhome/ma/pictures/s5/122.pdf


7. กฐินพระราชทาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ณ วัดช่องลม ตำบลหน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี
ในวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556 เวลา 10.00 น.
ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงศึกษาธิการ
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ : 059-0-22844-7
ชื่อบัญชี : กฐินพระราชทาน สพฐ.
http://www.ret2.go.th/ict/%E0%B8%94%...72556_0000.pdf


8. กฐินพระราชทาน กรมชลประทาน
ณ วัดคูหาสวรรค์ แขวงคูหาสวรรค์ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
ในวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556 เวลา 14.00 น.
ธนาคารกรุงไทย สาขาศรีย่าน
บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่ : 012-0-11616-2
ชื่อบัญชี : เงินบริจาคเพื่อการกุศลกรมชลประทาน
โทรศัพท์, โทรสาร 0 2241 0251 , 0 2241 4806
http://water.rid.go.th/hydhome/ma/pictures/s5/180.pdf


9. กฐินพระราชทาน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ณ วัดสัตตนารถปริวัตร (พระอารามหลวง) ต.หน้าเมือง อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี
ในวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 เวลา 10.00 น.
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเทคโนโลยีฯ เจ้าคุณทหาร
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ : 088-216428-2
ชื่อบัญชี : กฐินพระราชทาน สจล.
2. ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ : 693-0-03315-4
ชื่อบัญชี : กฐินพระราชทาน สจล.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนพัศดุ โทร. 0 2329 8124
ส่วนบริหารงานทั่วไป โทร. 0 2329 8000 ต่อ 3177, 3172
King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang


10. กฐินพระราชทาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)
ณ พระอารามหลวง วัดบึงพระลานชัย (ธ) ต.ในเมือง อ.เมืองร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด
ในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2556 เวลา 10.00 น.
ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงศึกษาธิการ
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ : 059-0-17626-9
ชื่อบัญชี : เงินบริจาคสมทบกฐิน สำนักงาน สกสค.
http://utdotep.com/prakast_katinKing.pdf

10 พ.ย. 56 เชิญทอดกฐินสามัคคีเพื่อสร้างลวดลายอุโบสถวัดโพธิญาณรังสี
โทร. ๐๘๑ ๙๙๗๙๐๙๓


!! มหากฐิน หล่อองค์หลวงปู่ธรรมโชติองค์ใหญ่ และบูรณะบันไดทางเดินขึ้นวัด284 ขั้น !!
โทร. ๐๓๕-๘๓๗๕๙๐


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคีเพื่อสร้างศาลาฯ กองละ ๒,๕๕๙ บาท
โทร.๐๘๕-๑๙๘-๒๙๑๑


กำหนดการจัดงาน ๑๐๐ ปี ชาตกาล บูชาพระคุณ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
ระหว่างวันที่ ๙-๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ วัดโพธิสมภรณ์ พระอารามหลวง และวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี


เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมสร้างบูรณะวัดส่วนที่กำลังเสียหาย
0870804136


ร่วมสร้างพระมหาเจดีย์
https://www.facebook.com/Watthamsaengdham


วัดที่ต้องการนำโลหิตธาตุไปบูชา เพื่อที่
จะให้หมู่พุทธศาสนิกชนได้สักการะกันหมู่มาก
หากวัดใดมีความประสงค์กรุณาติดต่อที่
keerati009@gmail.com



ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ 10-12 สิงหานี้ มูลนิธินิธิกร บางปู สมุทรปราการ



งานทำบุญอายุวัฒนมงคลครบรอบ 91 ปี พระคุณเจ้า "หลวงตาแตงอ่อน กลฺยาณธมฺโม"
โทร. 088-3224141

น้องเป็นแมวจรอาศัยอยู่ตามใต้ท้องรถ ตอนนี้ท้องแก่มากแล้ว อยากได้บ้านพักพิงชั่วคราวคลอดลูกเพราะท้องที่แล้วตายหมดเพราะฝนตกหนัก
082 098 2165


ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญช่วยคนตาบอด
http://www.thaigiving.org/node/151

บอกบุญเลี้ยงอาหารเด็กไร้ที่พึ่งพิง กับ อ.มุ่ย 10 สค 56
0849757640


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2013, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมใดย่อมจัด (จำทุกข์ให้เกิดขึ้น) เหตุนี้ ธรรมนั้นจึงชื่อ

ว่าธาตุ (แปลว่าธรรมผู้จัดขึ้น๑)

หรือว่า ธรรมทั้งหลายใด อันสัตว์ทั้งหลายทรงไว้ (คือถือ

ไว้) เหตุนี้ ธรรมทั้งหลายนั้น จึงชื่อว่า ธาตุ (แปลว่า ธรรมที่

สัตว์ทรงไว้)

หรือว่า วิธาน - การตั้งไว้ (คือกฎเกณฑ์) ชื่อว่าธาตุ

หรือว่า ทุกข์ อันสัตว์ทั้งหลายทรงไว้ (คือถือไว้) ด้วย

ธรรมชาตินั้น (เป็นเหตุ) เหตุนี้ ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่าธาตุ (แปล

ว่า ธรรมชาติเป็นเหตุทรง (ทุกข์) ไว้ แห่งสัตว์ทั้งหลาย)

หรือว่า ทุกข์ อันสัตว์ทั้งหลายทรงไว้ (คือตั้งไว้) ในธรรม

ชาตินั่น เหตุนี้ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่าธาตุ (แปลว่า ธรรมชาติเป็นที่

อันสัตว์ทรง (ทุกข์) ไว้)

จริงอยู่ ธาตุทั้งหลายที่เป็นโลกิยะ เป็นสิ่งที่ธรรมดากำหนดไว้

โดยความเป็นตัวมูลเหตุ ย่อมจัดแจงสังสารทุกข์ขึ้นเป็นอเนกประการ

ดุจธาตุ (แร่) ทั้งหลาย มีธาตุทองธาตุเงินเป็นอาทิ จัดสรรโลหะ

มีทองและเงินเป็นต้นขึ้น ฉะนั้น

อนึ่ง โลกิยธาตุทั้งหลายนั้นอันสัตว์ทั้งหลายทรงไว้ หมายความ

ว่า (ยึด) ถือไว้ ดุจภาระ (ของหนัก) อันคนทั้งหลายผู้ขนภาระ

ถือ (แบกหาม) ไป ฉะนั้น

อนึ่ง โลกิยธาตุนั้น เป็นแต่ทุกขวิธาน (กฎเกณฑ์แห่งทุกข์)

เท่านั้น เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ (ของใคร)

อนึ่ง สังสารทุกข์ อันสัตว์ทั้งหลายตาม (ยึด) ถือไว้ ก็ด้วย

ธาตุทั้งหลายนั่นเป็นเหตุ

อนึ่ง สังสารทุกข์นั้นที่ถูกจัดไว้แล้วอย่างนั้น สัตว์ทั้งหลายก็ทรงไว้

หมายความว่า ตั้งไว้ในธาตุทั้งหลายนั่นแล

ในธรรมทั้งหลายมีจักขุเป็นต้น ธรรมแต่ละข้อทรงเรียกว่าธาตุ

ก็ด้วยอำนาจแห่งความหมาย มีความหมายว่า 'วิทหติ - จัดขึ้น วิธียเต-

อันสัตว์ทรงไว้' เป็นต้น ตามความที่เป็นได้ ดังกล่าวมาฉะนี้

อีกนัยหนึ่ง ธาตุนี่หาเหมือนอัตตาของพวกเดียรถีย์ซึ่งมิได้มีอยู่

โดยสภาวะไม่ แต่ธาตุนี่ ได้ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน

อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ธาตุ นั่นเป็นคำเรียกสภาวะที่เป็นนิรชีพ

(ไม่มีชีพ) เท่านั้นเอง จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงทำ

ธาตุเทศนาเพื่อถอนชีวสัญญา (ความสำคัญว่าชีพ) ไว้ในพระบาลีว่า

"ดูกรภิกษุ บุรุษนี้มีธาตุ ๖" ดังนี้เป็นอาทิแล ฯลฯ





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพในการสร้างวิหารสาธยายพระไตรปิฎก
โทร.๐๘๙-๙๖๓-๔๕๐๕

ร่วมทำบุญปิดทองคำเปลวแท้ พระพุทธเจ้า ทั้งสามกาล
0868032001


เททองหล่อพระประธาน สันติวนาราม จ. จันทบุรี วันเสาร์ที่ 22 กพ 57
โทร 081-7622614

เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพซื้อต้นดอกแคนา ปลูกเฉลิมพระเกียรติวันแม่แห่งชาติ ต้นละ ๖๐๐ บาท
โทร ๐๘๓-๑๑๔๓๖๘๑

ขอเชิญร่วมสร้างโบสถ์วัดบังพวนที่หนองคาย

ขอเชิญร่วมสร้างพระพุทธรูป "พระเจ้าทองทิพย์" ปางพระวิสุทธิเทพ
086-982 -2915

ขอเชิญพุทธศาสนิกขนร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล
สมทบทุนซื้อเครื่องปรับอากาศ พร้อมติดตั้งระบบไฟฟ้าประจำศาลาปฎิบัติธรรม พระพุทธชินวงศ์ และสมบททุนสร้าง ศาลาปฏิบัติธรรม ธรรมโมลี
โทร. 084-665-5427

เชิญร่วมสร้างหอฉันอิ่มบุญ
โทร.๐๘๘-๙๙๕-๖๕๙๕

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี สมทบทุนสร้างอุโบสถ ณ วัดเขาวงศ์ จ.สุพรรณบุรี


ขอเชิญบวชเนกขัมมะเนื่องในวันแม่แห่งชาติ ณ วัดราชสิงขร เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร
โทร. 086-100-2195

ขอเชิญทอดผ้าป่า พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
โทร - 0-7535-6597

ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสร้างรูปเหมือนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน 12 ตุ.ค.2556
https://www.facebook.com/watpabaantaad.luangta?fref=ts


เชิญร่วมสร้างหอฉันอิ่มบุญ(ท่านแม่ศรี)
โทร.๐๘๘-๙๙๕-๖๕๙๕



ร่วมถวายปัจจัยพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับย่อ"วิสุทธิมรรค"5พันเล่มครับ(ยังขาดทุนทรัพย์พิมพ์)
086-898-6836


บอกบุญ เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพมอบทุนให้กับเด็กที่มาวัดตลอดพรรษา(ร่วมสร้างคนดี)
โทร 0892137759

เชิญร่วมสร้างหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด มอบให้ทหาร-ตชด.ภาคใต้
087-011-2340

ขอเชิญ สาธยายพระไตรปิฎก วัดพระแก้ว
วันที่ พฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๖
ณ วัดพระแก้ว ในพระอุโบสถ เวลา ๑๒.๓๐ น เป็นต้นไป


ร่วมงานบุญครบรอบ100 วันมรณภาพหลวงพ่อบุญญรัตน์ วัดโขงขาวจ.เชียงใหม่
089-686 0043

อาทิตย์นี้ขอเชิญร่วมเดินทางถวายเทียนพรรษา ถวายสังฆทาน หลอดไฟ ฯลฯ 9 วัด
โทร.08 5088 9150


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2013, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่งอย่ามีสิ่งอื่น

เป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะอย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่. ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะมีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มี

ธรรมเป็นสรณะไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่ อย่างไรเล่า. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน

พระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นว่าในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด

อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้

" ตนแลเป็นที่พึ่งของตน. บุคคลอื่นใครเล่า พึง

เป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคล มีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้

พึ่ง ที่บุคคลได้โดยยาก. "

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโถ คือเป็นที่พำนัก พระผู้มีพระภาค-เจ้า ตรัสคำ

นี้ไว้ว่า " บุคคลตั้งอยู่ในตน คือสมบูรณ์แล้วด้วยตน สามารถจะทำกุศลแล้วถึงสวรรค์

หรือเพื่อยังมรรคให้เจริญ หรือทำให้แจ้งซึ่งผลได้, เพราะเหตุนั้นแหละ ตนแลพึงเป็น

ที่พึ่งของตน. คนอื่นใครเล่า ?พึงเป็นที่พึ่งของใครได้. เพราะบุคคลมีตนฝึกดีแล้ว

คือมีความเสพผิดออกแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งบุคคลได้โดยยากกล่าวคือพระอรหัตผล.


ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดา เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรธิดาพึงบำรุง

ด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยตั้งใจว่า ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑ จักรับทำกิจ

ของท่าน ๑ จักดำรงวงศ์ตระกูล ๑ จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑

เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ๑.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้า ๑๘๙

๓. สัจจังกิรชาดก

(ไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู)

[๗๓] "เป็นความจริง ดังที่ได้ยินมาว่า คนบาง

จำพวกในโลกนี้ เคยกล่าวว่า ไม้ลอยน้ำยัง

ประเสริฐกว่า แต่คนบางคนไม่ประเสริฐเลย "

จบ สัจจังกิรชาดกที่ ๓

อรรถกถาสัจจังกิรชาดกที่ ๓

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร

ทรงปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ของพระองค์

ตรัสพระธรรมเทศนามีคำเริ่มต้นว่า "สจฺจํ กิเรวมาหํสุ" ดังนี้.

ความย่อว่า เมื่อภิกษุสงฆ์ประชุมกันในธรรมสภา สนทนา

กันถึงโทษมิใช่คุณของพระเทวทัตว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย

พระเทวทัตมิได้รู้คุณของพระศาสดา ยังจะพยายามเพื่อจะปลง

พระชนม์เสียอีก. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุ

ทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตพยายามเพื่อจะ

ฆ่าเรา แม้ในครั้งก่อน ก็พยายามแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรง

นำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติใน

กรุงพาราณสี พระโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า "ทุฏฐกุมาร"

มีสันดานกักขฬะ หยาบคาย เปรียบได้กับอสรพิษที่ถูกประหาร

ยังไม่ได้ด่า ไม่ได้ตีใครแล้ว จะไม่ยอมตรัสกับใคร ท้าวเธอไม่

เป็นที่ชอบใจ เป็นที่น่าสยดสยองของคนภายใน และคนภายนอก

เหมือนผงกระเด็นเข้านัยน์ตา และเหมือนปีศาจร้ายที่มาคอย

เคี้ยวกิน วันหนึ่งท้าวเธอปรารถนาจะเล่นน้ำในแม่น้ำ ได้เสด็จ

ดำเนินไปสู่ฝั่งน้ำกับบริวารเป็นอันมาก ขณะนั้นมหาเมฆก็ตั้งขึ้น

ทิศทั้งหลายมืดมิด. ท้าวเธอรับสั่งกะผู้รับใช้อย่างทาษว่า เฮ้ย !

มาเถิดจงมาพาข้าพาไปกลางแม่น้ำ ให้ข้าอาบน้ำแล้วพามา.

พวกคนรับใช้ก็พาท้าวเธอไปกลางแม่น้ำ ปรึกษากันว่า พระราชา

จักทรงทำอะไรพวกเราได้ พวกเราจงปล่อยให้คนใจร้ายตายเสีย

ในแม่น้ำนี้แหละ ดังนี้แล้วกล่าวว่า คนกาลกรรณี จงไปที่ชอบเถิด

แล้วช่วยกันกดลงไปในน้ำ แล้วพากันว่ายกลับขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง

เมื่อมีผู้ถามว่า พระราชกุมารไปไหน ? ก็พากันตอบว่า พวกเรา

ไม่เห็นพระกุมาร ท้าวเธอคงเห็นเมฆตั้งเค้า จึงดำลงในน้ำ ชะรอย

จักล่วงหน้าไปแล้ว พวกอำมาตย์ก็พากันไปยังพระราชสำนัก

พระราชาตรัสถามว่า โอรสของเราไปไหน ? พวกอำมาตย์

กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ไม่ทราบเกล้า เมื่อเมฆตั้งเค้าขึ้น พวกข้าพระพุทธเจ้าก็สำคัญว่า

พระราชกุมารคงเสด็จล่วงหน้ามาแล้ว จึงพากันกลับมาพระเจ้าข้า.

พระราชารับสั่งให้เปิดประตู เสด็จไปถึงฝั่งน้ำ ตรัสว่า พวกเจ้า

จงค้นดู แล้วรับสั่งให้ค้นหาในที่นั้น ๆ ไม่มีใครเห็นพระกุมาร

ฝ่ายพระกุมารนั้นเล่า ในเวลาที่เมฆมืดครึ้ม ฝนตกกระหน่ำ

ลอยไปในแม่น้ำ เห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง จึงเกาะท่อนไม้ อันมรณภัย

คุกคามแล้ว ร้องคร่ำครวญลอยไป.

ก็ในกาลนั้น เศรษฐีชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง ฝังทรัพย์

๔๐ โกฏิไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปจึง

ไปเกิดเป็นงูอยู่เหนือขุมทรัพย์. ยังมีอีกผู้หนึ่งฝังสมบัติไว้ตรงนั้น

เหมือนกัน ๓๐ โกฏิ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปบังเกิด

เป็นหนูอยู่ในที่นั้นเหมือนกัน. น้ำเซาะเข้าไปถึงที่อยู่ของงูและ

หนูทั้งสองนั้น. สัตว์ทั้งสองก็ออกมาตามทางที่น้ำเซาะเข้าไป

นั้นแหละ ว่ายตัดกระแสน้ำไป ถึงท่อนไม้ที่พระราชกุมารเกาะ

อยู่นั้น ต่างตัวต่างขึ้นสู่ปลายท่อนไม้คนละข้าง นอนอยู่เหนือ

ท่อนไม้นั้นแล. ก็ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นเอง มีต้นงิ้วอยู่ต้นหนึ่ง ลูกนก

แขกเต้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น ถึงต้นงิ้วนั้น ก็ถูกน้ำเซาะราก

โค่นลงเหนือแม่น้ำ เมื่อฝนกำลังตก ลูกนกแขกเต้าไม่สามารถบิน

ไปได้ ก็ลอยไปเกาะแอบอยู่ด้านหนึ่งของท่อนไม้นั้น. ด้วยประการ

ดังกล่าวมานี้ จึงเป็นอันว่ารวมกันเป็น ๔ คน ล่องลอยไป.

ในกาลนั้น แม้พระโพธิสัตว์ บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์

ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้ว บวชเป็นฤาษี สร้างศาลาอาศัยอยู่

ที่คุ้งน้ำตอนหนึ่ง. ท่านกำลังจงกรมอยู่ในเวลาเที่ยงคืน ได้ยิน

เสียงร่ำไห้ดังสนั่นของพระราชกุมาร ก็ดำริว่า ในเมื่อดาบส

ผู้สมบูรณ์ด้วยเมตตากรุณายังอยู่ จะปล่อยให้บุรุษนี้ตายไม่ควร

เลย เราจักช่วยเขาให้ขึ้นจากน้ำ ให้เขารอดชีวิต แล้วก็ปลอบ

พระราชกุมารว่า อย่ากลัวเลย ว่ายตัดกระแสน้ำไปเกาะท่อนไม้

ที่ปลายข้างหนึ่งฉุดมา ท่านมีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วย

เรี่ยวแรง พักเดียวก็ถึงฝั่ง อุ้มพระกุมารขึ้นไว้บนฝั่ง ครั้นเห็น

สัตว์ทั้งหลายมีงูเป็นต้น ก็ช่วยนำขึ้นไปสู่อาศรมบท ก่อไฟแล้ว

คิดว่า สัตว์เหล่านี้อ่อนแอกว่า ก็ให้งูเป็นต้นผิงไฟก่อน ให้พระ-

ราชกุมารผิงไฟทีหลัง กระทำให้หายหนาว ถึงเมื่อจะให้อาหาร

ก็ให้แก่งูเป็นต้นก่อน แล้วนำผลไม้ไปให้พระราชกุมารทีหลัง.

พระราชกุมารทรงพระดำริว่า ดาบสโกงผู้นี้ มิได้นับถือเรา

ผู้เป็นพระราชกุมาร กลับยกย่องพวกสัตว์ดิรัจฉาน จึงผูก

อาฆาตในพระโพธิสัตว์. แต่ต่อจากนั้นล่วงไปได้สอง-สามวัน

ครั้นพระกุมารและสัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด มีเรี่ยวแรงเป็นปกติ

แล้ว กระแสน้ำในแม่น้ำก็แห้งแล้ว งูไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า

ข้าแต่พระคุณท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าได้กระทำอุปการะอย่าง

ใหญ่หลวงแก่ข้าพเจ้า ก็แลข้าพเจ้ามิใช่ผู้ขัดสน ฝังเงินไว้ ๔๐

โกฏิ ในที่ชื่อโน้น เมื่อพระคุณเจ้าจะใช้สอยทรัพย์ ข้าพเจ้า

สามารถถวายทรัพย์แม้ทั้งหมดนั้นแด่พระคุณเจ้าได้ พระคุณเจ้า

จงไปที่นั้น แล้วเรียกข้าพเจ้าว่า ทีฆะ เถิด แล้วก็ลาไป. ฝ่ายหนู

ก็ปวารณาพระดาบสไว้อย่างนั้นเหมือนกัน กล่าวว่า เมื่อพระ-

คุณเจ้าต้องการจะใช้สอย จงไปยืนอยู่ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้า

ว่า "อุนทุระ" เถิด ดังนี้แล้วก็ลาไป. ส่วนนกแขกเต้า ไหว้พระ-

ดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าเจริญ ข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์

แต่เมื่อพระคุณเจ้าจะต้องการข้าวสาลีแดงละก็ โปรดไปที่อยู่

ของข้าพเจ้า ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้าว่า "สุวะ" ข้าพเจ้า

สามารถจะบอกแก่ฝูงญาติ ให้ช่วยขนข้าวสาสีสีแดงมาถวายได้

หลายเล่มเกวียน แล้วลาไป. ฝ่ายพระราชกุมาร เพราะฝังใจใน

ธรรมของผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นสันดาน คิดได้ว่า การที่เรา

จะไม่พูดอะไร ๆ บ้าง ไปเสียเฉย ๆ ไม่เหมาะเลย เราจักฆ่า

ดาบสเสียเวลาที่ท่านมาหาเรา จงกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า

ผู้เจริญ เมื่อข้าพเจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว นิมนต์มาเถิด

กระผมจักบำรุงพระคุณเจ้าด้วยปัจจัย ๔ แล้วก็ลาไป. พระกุมาร

นั้นเสด็จไปได้ไม่นาน ก็ดำรงอยู่ในราชสมบัติ.

พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราจักทดสอบคนเหล่านั้น ดังนี้แล้ว

จึงไปสู่สำนักงูก่อน ยืนอยู่ไม่ห่าง เรียกว่า "ทีฆะ". เพียงคำเดียว

เท่านั้น งูก็เลื้อยออกมาไหว้พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ข้าแต่พระคุณ-

เจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้มีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิ นิมนต์พระคุณเจ้าขุด

ค้นขนเอาไปให้หมดเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เอาไว้อย่างนี้แหละ

เมื่อมีกิจเกิดขึ้นจึงจะรู้กัน บอกให้งูกลับไปแล้วเลยไปสำนัก

ของหนู เอ่ยเสียงเรียก. แม้หนูก็ปฏิบัติดังนั้นเหมือนกัน. พระ-

โพธิสัตว์ก็บอกให้หนูกลับไป. เลยไปสำนักนกแขกเต้า เรียกว่า

"สุวะ" เพียงคำเดียวเท่านั้นเหมือนกัน นกแขกเต้าก็โผลงจาก

ยอดไม้ ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ

กระผมจักต้องไปหาพวกญาติของกระผมให้ช่วยขนข้าวสาลี

ที่เกิดเอง จากหิมวันตประเทศ มาถวายพระคุณเจ้าหรือขอรับ ?

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อต้องการค่อยรู้กัน บอกให้นกแขกเต้า

กับไป แล้วคิดว่า คราวนี้เราจักทดสอบพระราชา จึงไปพัก

อยู่ที่พระราชอุทยาน รุ่งขึ้นก็สำรวมมรรยาทเรียบร้อย เข้าไปสู่

พระนคร ด้วยภิกขาจารวัตร. ในขณะนั้น พระราชาผู้ทำลาย

มิตรพระองค์นั้น ประทับเหนือคอพระคชาธารอันตกแต่งแล้ว

กระทำปทักษิณพระนคร ด้วยข้าราชบริพารขบวนใหญ่ เห็น

พระโพธิสัตว์แต่ไกลทีเดียว ทรงพระดำริว่า ดาบสผู้นี้ คือ

ดาบสโกงคนนั้น คงประสงค์จะอยู่ในสำนักของเรา จึงได้มา ต้อง

ให้ราชบุรุษตัดศีรษะเสียทันที มิทันให้แก่ประกาศคุณที่ทำไว้

แก่เรา ในท่ามกลางฝูงคนได้ แล้วทรงมองดูราชบุรุษ ในเมื่อ

ราชบุรุษกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ต้องทำอะไร พระเจ้าข้า ? จึงรับสั่งว่า ดาบสโกงนั้น ชะรอย

จะมามุ่งขออะไรเราสักอย่าง พวกเจ้าต้องไม่ให้ดาบสกาลกรรณี

ผู้นั้น เห็นเรา จับมันไปมัดมือไพร่หลัง เฆี่ยนทุก ๔ แยก นำออก

จากพระนคร ตัดหัวมันเสียที่ตะแลงแกง แล้วเอาตัวเสียบหลาวไว้

ราชบุรุษเหล่านั้นรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว พากันไป

มัดพระโพธิสัตว์ ผู้ปราศจากความผิด เฆี่ยนไปทุก ๔ แยก

แล้วเตรียมจะนำไปสู่ตะแลงแกง. พระโพธิสัตว์มิได้คร่ำครวญ

เลยว่า พ่อแม่ทั้งหลาย ในสถานที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ปราศจาก

ความสะทกสะท้าน กล่าวคาถานี้ ความว่า

" เป็นความจริง ดังที่ได้ยินมาว่า คนบาง

จำพวกในโลกนี้ เคยกล่าวว่าไม้ลอยน้ำยัง

ประเสริฐกว่า แต่คนบางคนไม่ประเสริฐเลย "

ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจํ กิเรวมาหํสุ ความว่า

ได้ยินว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้อย่างนี้ไม่ผิดเลย.

บทว่า นรา เอกจฺจิยา อิธ ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต

บางพวกในโลกนี้.

บทว่า กฏฺฐํ นิปฺผวิตํ เสยฺโย ความว่า ได้ยินว่าบุรุษผู้

เป็นบัณฑิตเหล่านั้น ที่กล่าวว่า ไม้แห้งที่เป็นไม้เบา ๆ ลอยอยู่

ในแม่น้ำ เอาขึ้นวางไว้บนบก นั้นประเสริฐกว่า คือมันยังดี นั้น

กล่าวไว้เป็นความจริง. เพราะเหตุไร ? เพราะว่าไม้นั้น ยังเป็น

อุปการะแก่ความต้องการ ในอันจะต้มจะหุงข้าวยาคู และข้าวสวย

ก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการในอันจะผิงไฟของหมู่ชน

ผู้เดือดร้อนด้วยความหนาวก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการ

ในอันกำจัดอันตรายอื่น ๆ ก็ได้

บทว่า น เตฺวเวกจฺจิโย นโร ความว่า ส่วนบุคคลบางคน

คือ คนทำลายมิตร คนอกตัญญู คนใจบาป ถูกกระแสน้ำพัด

ลอยไป ช่วยฉุดมือให้ขึ้นจากแม่น้ำได้ ไม่ประเสริฐเลย เป็น

ความจริงทีเดียว เราช่วยคนใจบาปนี้ให้รอดชีวิตได้ กลับเป็น

อันนำทุกข์มาให้ตน.

พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้ในที่ที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ด้วย

ประการฉะนี้. ฝูงชนต่างได้ยินคำเป็นคาถานั้น ท่านพวกที่เป็น

บัณฑิตในหมู่นั้น พากันกล่าวว่า ข้าแต่ท่านนักพรตผู้เจริญ ท่าน

กระทำคุณอะไรไว้แก่พระราชาของพวกเราหรือ ? พระโพธิสัตว์

จึงเล่าเรื่องนั้นแล้วกล่าวว่า เราเองเป็นผู้ช่วยพระราชานี้ให้ขึ้น

จากห้วงน้ำใหญ่ กลับเป็นการทำทุกข์ให้แก่ตนอย่างนี้ เรามา

หวลรำลึกได้ว่า เราไม่ได้กระทำตามคำของบัณฑิต แต่ครั้งก่อน

สิหนอ จึงกล่าวอย่างนี้. ชาวพระนคร มีกษัตริย์และพราหมณ์

เป็นต้น ฟังคำนั้นแล้ว พากันกล่าวว่า เพราะอาศัยพระราชา

ผู้ทำลายมิตร มิได้รู้แม้มาตรว่าคุณของท่านผู้ถึงพร้อมด้วย

พระคุณ ผู้ให้ชีวิตแก่ตนอย่างนี้ พระองค์นี้ พวกเราจะมีความ

เจริญได้แต่ที่ไหน จับมันเถิด ดังนี้แล้วต่างโกรธแค้น ลุกฮือขึ้น

โดยรอบ ฆ่าพระราชานั้นเสีย ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่บนคอช้างนั่นเอง

ด้วยเครื่องประหาร มีลูกศร หอกซัด ก้อนหิน ละไม้ค้อนเป็นต้น

แล้วจับเท้ากระชากลงมาโยนทิ้งไปเหนือสันคู แล้วอภิเษกพระ-

โพธิสัตว์ให้ดำรงราชย์สืบแทน.

ส่วนพระโพธิสัตว์ ดำรงราชย์โดยธรรม วันหนึ่งทรง

ปรารภจะทดลองสัตว์มีงูเป็นต้น จึงเสด็จไปที่อยู่ของงู ตรัส

เรียกว่า "ทีฆะ" งูเลื้อยมาซบไหว้ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้มีพระคุณ

เชิญมาขนทรัพย์ของท่านไปเสียเถิด. พระราชามีพระดำรัส

ให้อำมาตย์มารับมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แล้วเสด็จไปสำนักของ

หนู ตรัสเรียกว่า "อุนทูร" หนูก็มาซบไหว้แล้วมอบถวายสมบัติ

๓๐ โกฏิ พระราชามีดำรัสให้อำมาตย์รับมอบทรัพย์แม้นั้นไว้.

เสด็จไปที่อยู่ของนกแขกเต้า รับสั่งเรียกว่า "สุวะ" แม้นกแขกเต้า

ก็บินมาซบไหว้ พระบาทยุคลกราบทูลว่า ข้าแต่ท่านเจ้าพระคุณ

ข้าพเจ้าจะไปนำข้าวสาลีมาให้. พระราชารับสั่งว่า เมื่อจะต้อง

การข้าวสาลี จึงค่อยนำมา มาเถิด เรามาพากันไป แล้วทรง

พาสัตว์ทั้ง ๓ กับทรัพย์ ๗๐ โกฏิ ไปพระนคร รับสั่งให้ทำ

ทะนานทอง พระราชาทานเป็นที่อยู่ของงู ถ้ำแก้วผลึกเป็นที่อยู่

ของหนู กรงทองเป็นที่อยู่ของนกแขกเต้า พระราชทานข้าวตอก

คลุกน้ำผึ้งใส่จานทองให้งูและนกแขกเต้ากิน พระราชทาน

ข้าวสารสาลีให้หนูกินทุกวัน ทรงกระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น.

คนทั้ง ๔ แม้นั้นต่างสมัครสมานกัน ร่าเริงบันเทิงอยู่ชั่วชีวิต

ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ต่างก็ไปตามยถากรรม (ตามกรรม).

พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่

ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตพยายามจะฆ่าเราเสีย แม้ในครั้งก่อน

ก็พยายามมาแล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา

นี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า พระราชาผู้ร้ายกาจ

ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตในครั้งนี้ งูได้มาเป็นพระสารีบุตร

หนูได้มาเป็นพระโมคคัลลานะ นกแขกเต้าได้มาเป็นอานนท์

ธรรมราชาผู้เถลิงราชย์ในภายหลังได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2013, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมและผลของกรรม ก็เพื่อให้เราทั้งหลายนั้นเบื่อหน่าย คลายกำหนัดจากโลกนี้ พระองค์สอนเรื่องสัตว์ทั้งหลายนั้นวนเวียนไปตามกรรมของตน สัตว์ทั้งหลายถูกกรรมนั้นจำแนกให้เลวและประณีตต่างกัน บางคนอายุยาว บางคนอายุสั้น บางคนโรคมาก บางคนโรคน้อย บางคนผิวพรรณดี บางคนผิวพรรณไม่ดี บางคนเกิดในตระกูลดี บางคนเกิดในตระกูลต่ำ บางคนร่ำรวย บางคนยากจน บางคนมีอำนาจ บางคนไร้อำนาจ บางคนมีปัญญามาก บางคนก็มีปัญญาน้อย บางคนเป็นคนดี บางคนเป็นคนเลว

พระองค์สอนเรื่องนี้ ก็เพื่อให้เราเลิกคาดหวังอะไรจากคนอื่น ให้เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายนั้น ล้วนแต่เป็นไปอย่างนั้นของเขา เป็นไปตามกรรมของเขานั่นเอง ไม่ใช่เฉพาะเราคนเดียวที่เป็นไปตามกรรม คนอื่นก็เป็นไปตามกรรมเหมือนกัน มันมีแต่วนเวียนไปอย่างนี้ เมื่อยอมรับความจริงได้ เลิกอยากเปลี่ยนแปลงคนอื่น เบื่อหน่ายต่อการเป็นสัตว์โลกที่วนเวียนไปตามกรรม เบื่อหน่ายการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซ้ำๆ ซากๆ พิจารณาเห็นอย่างนี้ มรรคหรือหนทางที่จะปฏิบัติตามหลักของพรหมจรรย์คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ก็จะเกิดขึ้น

ถ้าเรียนเรื่องกรรมไม่เข้าใจ เราจะหลงไปตามกรรม วนเวียนหัวหมุนเป็นทุกข์ เร่าร้อนกับโลกไป สิ่งที่ดีเราก็รัก สิ่งที่ไม่ดีเราก็ชัง บุญก็อยากได้ บาปก็ไม่อยากได้ คนดีก็ชอบเขา คนไม่ดีก็เกลียดเขา มันก็เป็นทุกข์เหมือนเดิม แต่ถ้าเรียนเข้าใจแล้ว ก็เป็นไปเพื่อจะอยู่เหนือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เพราะสังขารทั้งหลายทั้งปวงนั้น มันเป็นที่พึ่งไม่ได้จริง มันเป็นของเกิดดับ เป็นของเปลี่ยนแปลง ที่พึ่งมีอย่างเดียวเท่านั้นก็คือพระนิพพาน

เรื่องกรรมที่ได้บรรยายไปแล้ว ก็แสดงให้เห็นมุมมองเกี่ยวกับกรรม ตั้งแต่เรื่องที่กว้างที่สุด คือ มันเป็นกฎธรรมดา ธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้นของมัน มันไม่ตัวไม่มีตน เป็นสิ่งที่อิงอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น เกิดขึ้นเป็นครั้งๆ เกิดเมื่อมีเหตุ และดับไปเมื่อหมดเหตุ เกิดมาแล้วก็เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เหมือนธรรมะที่เป็นสังขารอื่นๆ

เราทั้งหลายเรียนเรื่องกรรมแล้วก็อย่าไปหลง หรือไปหมกมุ่นมากจนเกินไป พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรม ก็เพื่อให้เราทั้งหลายนั้นขยันพากเพียร ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อที่จะอยู่เหนือวงจรของกรรมนั้น เพราะวงจรของกรรมนั้นเป็นวงจรของทุกข์ คือเกิดกิเลส มีอวิชชา ไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้ความจริง ก็เกิดความอยาก มีเจตนาที่จะทำเพื่อตนเอง ให้ตนเองดี ให้ตนเองเป็นสุข ก็ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้ว ก็เกิดวิบาก ได้รับผลเป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง ดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วก็หยุดอยากไม่ได้ เพราะความไม่รู้นั้นยังอยู่เหมือนเดิม

เมื่อหยุดอยากไม่ได้ก็ทำใหม่ ทำใหม่ก็ได้รับผลมาใหม่ เป็นสุขบ้างทุกข์บ้างอันใหม่ ก็หยุดอยากไม่ได้เหมือนเดิมอีก หยุดอยากไม่ได้ก็ทำใหม่อีก มันก็เลยวนเวียนเป็นวงกลมไปอย่างนี้ เพราะว่ายังไม่รู้อริยสัจ

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง รู้ข้อเท็จจริงอันนี้แล้ว จึงบอกให้เราทั้งหลายนั้นฝึกฝนตนเอง เพื่อให้เกิดวิชชา เกิดปัญญาเพื่อรู้แจ้งอริยสัจ จะได้เลิกวนเวียนตามวงจรนั้นไป ถ้ายังไม่รู้อริยสัจ ไม่เข้าใจความจริง เราก็จะตกอยู่ภายใต้วงจรนั้น วนเวียนไปเรื่อยๆ หากยังมีความเข้าใจผิด มีความยึดมั่นถือมั่นว่า กายนี้ใจนี้ มันเป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็ต้องทำเพื่อมันไปเรื่อยๆ

แต่ความจริงนั้น อัตตาตัวตน หรือตัวเรานั้นมันไม่มีหรอก มีแต่นามกับรูปที่เกิดเพราะเหตุเพราะปัจจัย มีนามกับรูป แต่ไม่มีเรา เรานั้นมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดและความรู้สึก เกิดมาจากความยึดถือเป็นครั้งๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้มีจริงอะไร ขันธ์ทั้ง ๕ ที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นมี แต่ตัวเรานั้นมันไม่มี

นี้ก็สรุปความเข้าใจเรื่องของกรรม ที่พูดไปแล้วในตอนที่ ๑ และตอนที่ ๒ ส่วนตอนที่ ๓ ก็ได้บรรยายมุมมองปลีกย่อยลงไปอีกพอสมควร คือในหลักของพระพุทธศาสนานั้น เมื่อเรียนอะไรแล้ว ถ้าเรียนโดยถูกต้อง จะเป็นไปเพื่อความเพียร ขยันขันแข็ง ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยไป ไม่ประมาท เหมือนที่เราสวดกันเมื่อกี้นี้ พระองค์สอนให้รู้ความจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความไม่แน่ไม่นอน ฉะนั้น ต้องไม่ประมาท

ไม่ใช่ว่า สอนให้ไปยึดถือเอาอันใดอันหนึ่ง พอได้แล้วก็ประมาทอยู่ อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ต้องเห็นว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น มันไม่แน่ไม่นอน จึงจะไม่ประมาท เป็นหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

บางทีเราไม่เข้าใจ มาปฏิบัติธรรมหาสุข พอได้สุขแล้วก็ประมาท บางทีก็เรื่องภายนอก โอ้..ประเทศมันรุ่มร้อน ไม่สงบ ก็ตื่นตูมขึ้นมาทีหนึ่ง พอสงบแล้วก็ประมาท อันนี้ก็ไม่ได้อะไร เพราะไม่เข้าหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านให้เห็นความไม่แน่ไม่นอน ความไม่เที่ยง ความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ตอนนี้ร่างกายเรายังดีอยู่ หายใจเข้าหายใจออกได้อยู่ แต่มันแน่ไหม ไม่แน่นะ หมุนคอได้อยู่ดีๆ แต่ไม่แน่ แป๊บเดียวหมุนไม่ได้แล้ว ลืมหายใจไปแล้ว ฉะนั้น ต้องไม่ประมาท

ตอนนี้ร่างกายเราดีอยู่ ขาเดินไปเดินมาได้อยู่ ต่อไปไม่แน่ อาจจะเดินไม่ได้ก็ได้ เราจึงต้องไม่ประมาท เพื่อนเราตอนนี้ยังเป็นฝ่ายเราอยู่ เวลาพูดอะไรก็อย่าไปเปิดเผยมากเกินไป เพราะมันแน่ไหม ไม่แน่ เดี๋ยวสักหน่อย เขาอาจจะแฉเราก็ได้

แต่เราทั้งหลายนี้โดยส่วนใหญ่ เวลาเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรแล้ว มีอะไรแล้ว ได้นั่นได้นี่แล้ว พากันประมาท ตอนนี้ร่างกายดีอยู่ก็ประมาท ประมาทในร่างกาย ประมาทในความไม่ป่วยไข้ บางคนแก่จะตายอยู่แล้วก็ยังประมาทอยู่ ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าไม่เห็นความไม่แน่ไม่นอน เรียนธรรมะแล้วก็จะเอานั่นจะเอานี่ จะเอาบุญบ้าง จะเอาความสงบบ้าง จะเอาความสุขบ้าง

แต่พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้สอนให้เอาสิ่งเหล่านั้น สอนให้เข้าใจว่า สังขารทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นของไม่เที่ยง เป็นของเสื่อมไปเป็นธรรมดา แล้วก็ให้ไม่ประมาท คือมีสติอยู่เสมอ อย่าไปหลงลืม อย่าไปมัวเมา

เรื่องของกรรมก็ทำนองเดียวกัน ถ้าเราเรียนโดยถูกต้อง ก็จะเป็นไปเพื่อความไม่ประมาท ถ้าเรียนเรื่องกรรมไปแล้ว ประมาทอยู่เหมือนเดิม ยังขาดสติอยู่เหมือนเดิม โยนเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ให้เป็นความผิดของคนอื่นบ้าง เป็นของกรรมเก่าบ้าง เป็นของเจ้ากรรมนายเวรบ้าง ตัวเองยังขาดสติสัมปชัญญะเหมือนเดิม ขาดความสำรวมทางทวารทั้ง ๖ ไม่สำรวมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้ฝึกฝนตนเองอะไรเลย อย่างนี้ก็ชื่อว่า เราเรียนเรื่องกรรมแล้วก็ผิดพลาด




เราทั้งหลายเรียนรู้เรื่องกรรมมานานแล้ว ในเมืองไทยเรานี้ เน้นเรื่องนี้กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก็ยังประมาทเหมือนเดิม ขาดสติเหมือนเดิม อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่า การเรียนนั้นมันไม่ถูกต้อง เรียนจะเอาแต่ดี ไม่ดีก็ไม่เอา ไม่เรียนให้เข้าใจธรรมะ เข้าใจความไม่มีตัวตน ให้เห็นความไม่แน่ไม่นอน ความไม่เที่ยง ความไม่สามารถบังคับบัญชาสิ่งใดๆ ได้ จึงประมาทอยู่เหมือนเดิม พากันจะเอานั่นจะเอานี่ มีความทุกข์หรือเหตุการณ์เกิดขึ้น ก็โยนไปที่คนอื่นนอกตัว ไม่ปรับปรุงแก้ไข ไม่ฝึกให้มีสติสัมปชัญญะ ไม่ฝึกฝนให้พึ่งตนเองได้ มีแต่การปลอบใจตนเองเป็นคราวๆ ไป

บางคนเขามีแฟนไม่ดี แฟนเตะเอาหรือทุบตีเอา โอ้ย.. หมอนี่สงสัยจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมา ฉะนั้น ก็ทนๆ อยู่ต่อไป ใช้เวรใช้กรรมกันไป โดนมันต่อยทุกวัน ก็ทนไป ทุกข์ทรมานไปกับมิจฉาทิฏฐิของตนเองนั่นแหละ

แท้ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าแสดงธรรมะ ก็เพื่อให้เห็นความไม่แน่ไม่นอนของโลกนี้ เพื่อให้เราทั้งหลายนั้นไม่ประมาท เลิกเห็นผิด เลิกยึดมั่นเสีย เพราะอะไรที่เราไปยึดเข้าแล้ว จะไม่มีโทษนั้นไม่มีเลย เลิกหาจุดปลอดภัยในโลก จุดปลอดภัยมีที่เดียวเท่านั้นคือพระนิพพาน

การทำกรรมก็ทำนองเดียวกัน ถึงเราจะทำดีมาเยอะ แน่นอนไหม ไม่แน่หรอก แต่เรานั้นชอบประมาท พอทำดีเยอะ แหม.. แน่นอนแล้ว ฉันจะไปสวรรค์แล้ว นั่นประมาทมากทีเดียวหละ ยังขาดสติสัมปชัญญะเหมือนเดิม ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ถึงตอนนี้จะทำบุญเยอะ กลับไปบ้านมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง เดี๋ยวมีเรื่องขึ้นมาก็เป็นทุกข์ บุญที่ไปทำมาก็ช่วยไม่ได้

โดยส่วนใหญ่เราจะเป็นอย่างนั้น ไปทำบุญ ได้บุญแล้วก็ประมาท กิเลสก็มากเหมือนเดิม ภรรยาไปทำบุญ เข้าวัดแล้ววัดเล่า ๑๐ วัด ๒๐ วัด กลับไปถึงบ้าน ก็บ่นสามีเหมือนเดิม สามีก็เลยเซ็ง โอ้ย.. มันเข้าวัดอีท่าไหนเนี่ย เลยไม่อยากเข้าวัด เพราะไม่เห็นเปลี่ยนนิสัยอะไรได้ ได้บุญแล้วประมาท มันก็เป็นอย่างนี้

แท้ที่จริงแล้ว เราศึกษาให้เข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายมันไม่แน่ไม่นอน ถึงตอนนี้ใจจะสบายอยู่ มีความสงบอยู่ ไปไหว้พระสวดมนต์แล้วมีความสุข แต่มันแน่ไหม ไม่แน่ ฉะนั้น จึงต้องไม่ประมาท ให้มีสติอยู่เสมอ รู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เดินไป เดินมา เหยียด คู้ ให้มีสติ ให้มีความรู้ตัวไว้

เรื่องผลของกรรมก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไปโยนความรับผิดชอบให้กรรมเก่า หรือโยนให้เทวดา มันทำให้เราเป็นสุขเป็นทุกข์ อย่างนี้ก็ไม่ได้ฝึกตนเอง ฉะนั้น เรื่องของกรรม ถ้าเข้าใจโดยถูกต้องก็จะเป็นไปเพื่อความเพียร พระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสดาที่สอนเรื่องของกรรม เรื่องกระทำมีผล เรียกว่า กรรมวาทะ บอกให้กระทำสิ่งที่ควรทำ ให้ละเว้นสิ่งที่ควรเว้น ให้มาทำการฝึกฝนตนเอง เรียกว่า กิริยวาทะ อันไหนควรทำก็รีบทำ อันไหนไม่ควรทำก็งดเว้นไป ไม่ใช่ฟังไปแล้วก็อยู่นิ่ง ไม่มีการกระทำเกิดขึ้น ต้องมีการกระทำเกิดขึ้น จึงจะได้ผล ถ้าไม่มีการกระทำเกิดขึ้น ไม่มีกรรมฐานเกิดขึ้น ก็ไม่ได้ผลอะไร ผมพูดให้ท่านฟัง การมีสติเป็นอย่างนี้ ดูลมหายใจเข้าหายใจออก เดินไปเดินมาอย่างมีสติ ให้มีความรู้ตัวนะ พูดให้ท่านฟังท่านก็เข้าใจ แต่ทำได้ไหม ทำไม่ได้ เพราะไม่มีที่ตั้งของการกระทำ

ฉะนั้น จึงต้องไปฝึกทำกรรมฐาน ดูลมหายใจเข้าหายใจออกบ้าง เดินไปเดินมาบ้าง ทำกรรมฐานต่างๆ เพื่อให้กรรมฐานนั้นสอนเรา จะได้เป็นผู้ที่ทำสิ่งต่างๆ ด้วยความรู้ตัว เหมือนกับการขับรถ เวลาเราดูเขาสอนขับรถ เวลาขับรถนะ นั่งอย่างนี้นะ นั่งแล้วก็เหยียบเบรก เหยียบคันเร่งอย่างนี้นะ หมุนพวงมาลัยอย่างนี้นะ ง่ายไหม โอ้ย...ง่ายเหมือนจะขับเป็นเลย แต่พอจะขับจริงเป็นยังไงบ้าง โครมอยู่เรื่อย ดูเหมือนมันง่าย แต่ทำไม่เป็นหรอก จนกว่าการงานหรือว่าการกระทำนั้นมันจะสอนเรา




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2013, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง

ปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า

อิงฺฆ วทฺธมย ปาส ดังนี้.

ความย่อมีอยู่ว่า ในครั้งนั้นพระศาสดาทรงสดับว่า พระ-

เทวทัตพยายามจะปลงพระชนม์พระองค์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย เทวทัตพยายามจะปลงชีวิตของเรา มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น

แม้เมื่อก่อนก็พยายามเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน

กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นกวางอาศัยอยู่ที่

ละเมาะแห่งหนึ่ง ไม่ไกลสระแห่งหนึ่งในป่า. ไม่ไกลสระนั้นมี

นกชื่อสตปัตตะ จับอยู่ที่ยอดไม้ต้นหนึ่ง. ก็ที่สระมีเต่าอาศัยอยู่.

สัตว์ทั้งสามนั้นเป็นสหายกัน ต่างอยู่กันด้วยความรัก. ครั้งนั้น

พรานเนื้อคนหนึ่งท่องเที่ยวไปในป่า พบรอยเท้าพระโพธิสัตว์

ที่ท่าลงน้ำดื่ม จึงดักบ่วงมีเกลียวแข็งแรงราวกับโซ่เหล็ก แล้ว

กลับไป. พระโพธิสัตว์มาดื่มน้ำ ติดที่บ่วงแต่ยามต้น จึงร้องให้รู้

ว่าติดบ่วงเข้าแล้ว. นกสตปัตตะได้ยินเสียงพระโพธิสัตว์ จึงลง

จากยอดไม้ เต่าก็ขึ้นจากน้ำ ปรึกษากันว่า จะควรทำอย่างไรดี.

นกสตปัตตะจึงบอกเต่าว่า สหายท่านมีฟันจงแทะบ่วงนี้เถิด เรา

จะไปคอยกันไม่ให้พรานมาได้ ด้วยความพยายามที่เราทั้งสอง

ทำอย่างนี้ สหายของเราจักรอดชีวิต เมื่อจะประกาศเนื้อความ

นี้ จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-

ดูก่อนเต่าเราขอเตือน ท่านจงกัดบ่วงอัน

มีเกลียวแข็งด้วยฟัน เราจักทำอุบายไม่ให้นาย

พรานมาถึงเร็วได้.

เต่าจึงเริ่มแทะเชือกหนัง นกสตปัตตะก็จับคอยอยู่บนต้นไม้

ไม่ไกลจากบ้านที่นายพรานอยู่. นายพรานถือหอกออกแต่เช้าตรู่.

นกรู้ว่านายพรานออกก็โฉบปรบปีก เอาปากจิกนายพรานผู้จะ

ออกทางประตูหน้า. นายพรานคิดว่าเราถูกนกกาฬกัณณีตีเข้า

ให้แล้ว จึงกลับไปนอนเสียหน่อยหนึ่ง แล้วลุกขึ้นถือหอกไปอีก.

นกรู้ว่านายพรานนี้ออกไปทางประตูหน้า บัดนี้คงจะออกไปทาง

ประตูหลัง จึงไปจับที่เรือนด้านหลัง ฝ่ายนายพรานคิดว่า เมื่อ

เราออกทางประตูหน้าก็พบนกกาฬกัณณี บัดนี้เราจะออกทาง

ประตูหลัง จึงออกไปทางประตูหลัง. นกก็โฉบลงเอาปากจิกอีก.

นายพรานคิดว่า เราถูกนกกาฬกัณณีตีอีก. บัดนี้นกนี้คงไม่ให้

เราออก นอนรอจนอรุณขึ้น จึงถือหอกออกไปในเวลาอรุณขึ้น.

นกรีบไปบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า พรานกำลังเดินมา. ในขณะนั้น

เต่ากัดเชือกขาดยังเหลืออีกเกลียวเดียว. แต่ฟันของเต่าชักจะ

เรรวนจวนจะร่วง ปากก็ฟูมไปด้วยเลือด. พระโพธิสัตว์เห็น

บุตรนายพรานถือหอก เดินมาด้วยความเร็วดุจฟ้าแลบ จึงกัด

เกลียวนั้นขาดเข้าป่าไป. นกจับอยู่บนยอดไม้. แต่เต่าคงนอน

อยู่ในที่นั้นเอง เพราะบอบช้ำมาก. พรานเห็นเต่า จึงจับใส่

กระสอบแขวนไว้ที่ตอไม้ต้นหนึ่ง. พระโพธิสัตว์กลับมาดูรู้ว่า

เต่าถูกจับไปจึงคิดว่า เราจักให้ช่วยชีวิตสหาย จึงทำเป็นคล้าย

จะหมดกำลังแสดงตนให้พรานเห็น. พรานคิดว่า เนื้อนี้คงหมด

แรง เราจักฆ่ามันเสียแล้วถือหอกติดตามไป. พระโพธิสัตว์ไป

ไม่ไกลไม่ใกล้นัก ล่อพรานเข้าป่าไป. ครั้นรู้ว่าพรานไปไกล

แล้ว จึงเหยียบรอยเท้าลวงไว้ แล้วไปเสียทางอื่นด้วยความเร็ว

ราวกะลมพัด เอาเขายกกระสอบขึ้นแล้วทิ้งลงบนพื้นดิน ขวิด

ฉีกขาดนำเต่าออกมาได้. แม้นกสตปัตตะก็ลงจากต้นไม้. พระ-

โพธิสัตว์เมื่อจะให้โอวาทแก่สัตว์ทั้งสอง จึงกล่าวว่า เราได้ชีวิต

ก็เพราะอาศัยพวกท่าน กิจที่ควรทำแก่สหาย พวกท่านก็ได้ทำ

แก่เราแล้ว บัดนี้พรานคงจะมาจับท่านอีก เพราะฉะนั้น สหาย

สตปัตตะท่านจงพาลูกเล็ก ๆ ของท่านไปอยู่ที่อื่นเสียเถิด สหาย

เต่า แม้ท่านก็จงลงน้ำไปเถิด. สัตว์ทั้งสองได้ทำตาม.

พระศาสดาตรัสรู้แล้ว ตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-

เต่าก็ลงน้ำไป กวางก็เข้าป่าไป นกสต-

ปัตตะไปถึงต้นไม้แล้ว ก็พาลูก ๆ ไปอยู่ในที่

ห่างไกล.

แม้พรานมายังที่นั้น ไม่เห็นใคร ๆ หยิบกระสอบที่ขาด

ขึ้นแล้วก็เสียใจ กลับเรือนของตน. สัตว์ทั้งสามสหายก็มิได้ตัด

ความสนิทสนมกันจนตลอดชีวิต แล้วต่างก็ไปกันตามยถากรรม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม

ชาดก. นายพรานในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ นกสตปัตตะ

ได้เป็นสารีบุตร เต่าได้เป็นโมคคัลลานะ ส่วนกวาง คือเราตถาคต

นี้แล.

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภพระเทวทัต

จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ คำเริ่มต้นว่า าตเมต กุรุงฺคสฺส ดังนี้

ความพิศดารว่า สมัยหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในโรงธรรมสภา

นั่งกล่าวโทษของพระเทวทัตว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตประกอบ

นายขมังธนู เพื่อต้องการปลงพระชนม์พระตถาคตกลิ้งศิลา ปล่อยช้างธนปาลกะ

ตะเกียกตะกายเพื่อจะปลงพระชนม์ของพระทศพล แม้ในกาลทั้งปวง. พระ-

ศาสดาเสด็จมาแล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ตกแต่งไว้แล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุ

ทั้งหลายบัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? ภิกษุทั้งหลายกราบ

ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องการกล่าว

โทษของพระเทวทัตว่า พระเทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ของพระ-

องค์. พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่า

เราในบัดนี้ เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ตะเกียกตะกายเหมือนกัน ก็แต่ว่าไม่

สามารถจะฆ่าเราได้ แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี

พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกวางเคี้ยวกินผลาผลทั้งหลายในราวป่าแห่งหนึ่ง.

ในคราวหน้า กวางนั้นกินผลมะรื่นที่ต้นมะรื่นอันมีผลสะพรั่ง. ลำดับนั้น

มีพรานนั่งห้างชาวบ้านคนหนึ่ง พิจารณารอยเท้าเนื้อทั้งหลายแล้ว

จึงผูกห้างบนต้นไม้แล้วนั่งบนห้างนั้น เอาหอกแทงพวกเนื้อที่มากินผลไม้

แล้วขายเนื้อของเนื้อเหล่านั้นเลี้ยงชีวิต วันหนึ่งพรานนั้น เห็นรอยเท้าของ

พระโพธิสัตว์ที่โคนต้นไม้นั้น จึงผูกห้างบนต้นมะรื่นนั้นแล้ว บริโภคอาหาร

แต่เช้าตรู่ แล้วถือหอกเข้าป่าขึ้นไปยังต้นไม้นั้นแล้วนั่งห้าง.

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ก็ออกจากที่อยู่แต่เช้าตรู่มาด้วยหวังว่าจักกินผลมะรื่น แต่

ไม่ได้ผลุนผลันเข้าไปที่โคนต้นไม้นั้น คิดว่า บางคราวพวกพรานนั่งห้างจะผูก

ห้างบนต้นไม้ อันตรายเห็นปานนี้ มีไหมหนอ จึงได้ยืนพิจารณาอยู่แต่ภายนอก

ฝ่ายนายพรานรู้ว่าพระโพธิสัตว์ ไม่เข้ามา ก็นั่งอยู่บนห้างนั่นแหละ โยนผลมะรื่นให้

ตกลงล้างหน้าพระโพธิสัตว์นั้น. พระโพธิสัตว์ คิดว่า ผลเหล่านี้มาตกลงข้างหน้า

เรา เบื้องบนต้นไม้นั้น มีนายพรานหรือหนอ เมื่อแลดูบ่อย ๆ ก็เห็นนายพราน

แต่ทำเป็นไม่เห็น พูดว่า ต้นไม้ผู้เจริญ เมื่อก่อนท่านให้ผลไม้ทั้งหลายตกลง

ตรง ๆ เหมือนเขย่าผลที่ห้อยอยู่ฉะนั้น บัดนี้ท่านละทิ้งรุกขธรรมเสียแล้ว เมื่อ

ท่านละทิ้งรุกขธรรมเสียอย่างนี้ เราจักเข้าไปยังโคนต้นไม้แม้ต้นอื่น แสวงหาอาหาร

ของเรา แล้วจึงกล่าวคาถานี้ว่า

แน่ะไม้มะรื่น การที่ท่านปล่อยผลไม้ไห้กลิ้งมา

นั้น เราผู้เป็นกวางรู้แล้ว เราจะไปสู่ไม้นะรื่นต้นอื่น

เพราะเราไม่ชอบใจผลของท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า าต ได้แก่ ปรากฏ คือเกิดแล้ว.

บทว่า เอต โยคว่า กรรมนี้. บทว่า กุรุงฺคสฺส แปลว่า เนื้อชนิดกวาง.

บทว่า ย ตฺว เสปณฺณิ เสยฺยสิ ความว่า ดูก่อนต้นไม้มะรื่น ผู้เจริญ

การที่ท่านปล่อยให้ผลกลิ้งตกลงข้างหน้า คือได้เป็นผู้มีผลกระจายมานั้น ทั้ง

หมดเกิดเป็นสิ่งลามกสำหรับเนื้อกวาง. ด้วยบทว่า น เม เต รุจฺจเต นี้

กวางกล่าวว่า เราไม่ชอบใจผลของท่านผู้ให้ผลอยู่อย่างนี้ ท่านจงหยุดเถิด

เราจักไปที่อื่น ดังนี้ ได้ไปแล้ว.

ลำดับนั้น นายพรานทั้งที่นั่งอยู่บนห้างนั่นแล พุ่งหอกไปเพื่อพระ-

โพธิสัตว์นั้นแล้วกล่าวว่า ท่านจงไปเถิด บัดนี้เราเป็นคนผิดหวังท่าน. พระ-

โพธิสัตว์หันกลับมายืนกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ แม้บัดนี้ท่านผิดหวังเราก็จริง แต่

ถึงกระนั้นท่านจะไม่ผิดหวังมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๖ ขุม และกรรมกรณ์

(การลงโทษ)ทั้งหลายมีการจองจำ ๕ ประการเป็นต้น ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้

แล้วก็ได้ไปตามชอบใจ ฝ่ายนายพรานลงมาแล้วไปตามความชอบใจ.

แม้พระศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อ

จะฆ่าเราในบัดนี้ เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ตะเกียกตะกายแล้วเหมือน

กัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบอนุสนธิแล้วทรงประชุมชาดกว่า นาย

พรานนั่งห้างในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัต ส่วนกวางในครั้งนั้น ได้เป็น

เราแล.



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร