วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 05:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2013, 04:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นหลายๆท่าน กล่าวถึงสติกันแล้วพูดได้คำเดียวว่า มันคลาดเคลื่อน
ไม่อยากพูดให้มากความ เดี๋ยวจะเกิดโทสะ มาฟังกันเลยดีกว่า

การจะรู้จักและเข้าถึง......สติได้ คุณจะต้องเข้าใจในปรมัตถ์
ที่สำคัญต้องเข้าใจกระบวนการเกิดขันธ์ห้าเสียก่อนครับ

บางคนอาจบอกว่า สติคือรู้ตัว รู้ปัจจุบัน รู้ตัวทั่วพร้อม ระลึกรู้ฯลฯ
และอะไรอีกมากมาย
จะกล่าวอย่างไรก็ตามที ความสำคัญมันอยู่ที่รู้ต้องรู้โดยสภาวะธรรม

ก่อนจะถึงลงลึกในสภาวะธรรม อยากให้รู้และเข้าใจแยกแยะปรมัตถ์เสียก่อน
ปรมัตถ์แบ่งเป็นสองอย่าง นั้นก็คือบัญญัติและสภาวะ

บัญญัติก็คือตัวหนังสือที่เรากำลังอ่าน คำบอกกล่าว คำสอน ฯลฯเหล่านี้้ล้วนเป็นบัญญัติ
แม้แต่คำว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน ถึงที่สุดคำสอนของพระพุทธองค์ก็เป็นบัญญัติ

พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า" สัจฉิกัตถปรมัตถ์" ต้องทำบัญญัติทั้งหลายให้แจ้งโดยปรมัตถ์
นั้นก็คือทำบัญญัติให้เป็นสภาวะธรรม แล้วจะทำอย่างไร
ยกตัวอย่างง่ายๆ มีเพื่อนๆหลายคน เข้ามาสนทนาธรรมกับผม แล้วก็เกิดอากัปกิริยาตอบโต้
บอกว่าผมส่อเสียด บอกผมยั่วยุสารพัดที่จะพูด
แบบนี้แหล่ะเรียกว่า ไม่ทำให้แจ้งในปรมัตถ์
ยึดบัญญัติ จิตจดจ่ออยู่กับบัญญัติ

และการจะทำให้แจ้งต้องทำอย่างไร มันก็ทำในสิ่งที่ผมกล่าวอยู่บ่อยๆ
นั้นก็คือ เมื่ออ่านความเห็นของผมแล้วก็ให้ดูลงไปที่จิตตัวเอง
เมื่อคุณรู้ตัวเองกำลังโกรธหรือรู้ตัวว่าอยากเอาชนะอยากตอบโต้
นั้นแหล่ะเป็นลักษณะของการทำให้แจ้งในปรมัตถ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2013, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สติก็เป็นเพียงบัญญัติตัวหนึ่ง ด้วยมันเป็นบัญญัติและเรารู้มันโดยลักษณะของบัญญัติ
จึงเกิดความสับสนแยกแยะไม่ออก ตัวอย่างเช่น.....รู้กับระลึกรู้

หลายท่านอาจไม่ยอมรับว่า ตัวเองไม่เข้าใจหรือไม่แจ้งในของสติ
แต่เท่าที่ดูมา ผมว่าพวกท่านยังไม่เข้าใจครับ

การจะแยกแยะบัญญัติรู้กับระลึกรู้ได้ต้องอาศัยการรู้แจ้งในกระบวนการขันธ์ห้า
นั้นก็คือรู้ว่า ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เกิดอย่างไรและเกิดตอนไหนในสภาวะ

ต้องเข้าใจก่อนว่า กระบวนการขันธ์ห้านั้นก็คือการเกิด ผัสสะ เวทนา สัญญาและสังขาร
ลักษณะการเกิด ผัสสะ๑ เวทนา๑ สัญญา๑ สังขาร๑ เหล่านี้รวมเรียกว่า๑วิถีจิต

เมื่อเกิดผัสสะขึ้น จนเกิด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แบบนี้เรียกว่า...รู้

สติหรือระลึกรู้ ไม่สามารถเกิดได้ใน วิถีจิตแรกและไม่สามารถเกิดจากทวารทั้งห้า
สติเกิดได้แต่ใน.......มโนทวาร

การเกิดสติหรือการระลึกรู้ จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีทวารทั้งห้าหรือมโนทวารที่เป็นวิถีจิตแรก
เป็นเหตุปัจจัย รู้จึงต่างจากระลึกรู้ รู้คือการรู้ขันธ์ห้า
ระลึกรู้คือการรู้ธรรมตามหลังการรู้ขันธ์ห้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2013, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:


การเกิดสติหรือการระลึกรู้ จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีทวารทั้งห้าหรือมโนทวารที่เป็นวิถีจิตแรก
เป็นเหตุปัจจัย รู้จึงต่างจากระลึกรู้ รู้คือการรู้ขันธ์ห้า
ระลึกรู้คือการรู้ธรรมตามหลังการรู้ขันธ์ห้า



สติจัดอยู่ในขันธ์อะไร บรรดาขันธ์ห้าที่ว่านั่น :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2013, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สติ ตัวเดียวโดดๆ กับ
สติใน สัมมาสติ ใน มิจฉาสติ
สติใน สติปัฏฐาน
สติใน สติพละ
สติใน สตินทรีย์
สติใน สติสัมโพชฌงค์
สติใน อานาปานสติ
สติใน กายคตาสติ

ทำหน้าที่ต่างกันหรือเหมือนกันขอรับ :b1: แล้วอยู่ในขันธ์ไหน ในบรรดาขันธ์ห้าที่ว่านั่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2013, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนที่จะคุยกันต่อ อยากจะยกตัวอย่างว่าอย่างไรจึงเรียกว่าสติ
เพื่อไม่ให้สับสน และการสนทนาจะได้มีหลักของสมาธิ

สมมุติว่า เรากำลังปฏิบัติธรรม ด้วยวิธีเดินจงกรมอยู่
การก้าวเดินในแต่ล่ะก้าว จิตอยู่ที่การก้าวเดิน แบบนี้เรียกว่า.....จิตรู้อยู่กับอากัปกิริยา
และเมื่อขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น จิตหลงไปคิดในเรื่องอื่น
แบบนี้เรียกว่า เกิดอกุศลจิตคือ จิตกำลังเกิดโมหะ แต่เมื่อจิตรู้ว่าเป็นโมหะ
จิตจะระลึกสัญญาในเรื่องเดินจงกรม จิตก็จะกลับมาอยู่ที่อากัปกิริยาเดินเหมือนเดิม
แบบนี้เรียกว่า....สติ

ถ้าสังเกตุให้ดี เราจะใช้สติก็ต่อเมื่อ จิตเกิดโมหะ โทสะ และโลภะ
ถ้าจิตรู้อยู่กับอากัปกิริยาไม่หลง สติก็ไม่มีความจำเป็น เพียงแต่ว่า โดยธรรมชาติของจิต
จิตจะไม่อยู่นิ่ง ชอบที่ซัดส่ายไปเรื่อยๆ ไม่ยอมอยู่กับงาน ดังนั้นจึงต้องอาศัยสติเป็นเครื่องช่วย


ต้องแยกกันให้ดีระหว่างจิตผู้รู้กับจิตระลึกรู้

สติหรือจิตระลึกรู้เป็นเพียงเครื่องมือของจิต เป็นสิ่งที่ช่วยให้จิตผู้รู้อยู่กับปัจจุบันธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2013, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สติจัดอยู่ในขันธ์อะไร บรรดาขันธ์ห้าที่ว่านั่น :b1:

สติเป็นอาการของจิต เป็นเจตสิก จัดอยู่ในสังขารขันธ์
แต่ต้องไม่ลืมว่า.......สติไม่สามารถเกิดจากผัสสะในทวารทั้งห้า
นั้นก็คือ จัขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร และกายทวาร

สติจะเกิดได้แต่มโนทวารเท่านั้นและจะต้องมี เหตุแห่งวิถีจิตตัวอื่นเป็นเหตุให้เกิด
พูดให้เข้าใจ นั้นก็คือจะต้องมีเจตนาต่อผัสสะใดผัสสะหนึ่งเสียก่อน
และต่อเมื่อจิตหลงไปไม่ได้อยู่ในเจตนาต่อผัสสะนั้น จนกว่าจิตกลับไปรู้ผัสสะที่มีเจตนาตัวเดิม
แบบนี้เรียกว่า......สติ

สติเป็นเจตสิกหรือสังขารขันธ์ ที่เรียกว่า....โสภนจิต
ถึงแม้จะมีสภาวะที่คล้ายกับสติ แต่ถ้าสภาวะนั้นเป็นอกุศล
ก็ไม่จัดสภาวะนั้นเป็นสติ (ไว้จะคุยเรื่องมิจฉาสติ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2013, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สติจัดอยู่ในขันธ์อะไร บรรดาขันธ์ห้าที่ว่านั่น :b1:

สติเป็นอาการของจิต เป็นเจตสิก จัดอยู่ในสังขารขันธ์
แต่ต้องไม่ลืมว่า.......สติไม่สามารถเกิดจากผัสสะในทวารทั้งห้า
นั้นก็คือ จัขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร และกายทวาร

สติจะเกิดได้แต่มโนทวารเท่านั้นและจะต้องมี เหตุแห่งวิถีจิตตัวอื่นเป็นเหตุให้เกิด
พูดให้เข้าใจ นั้นก็คือจะต้องมีเจตนาต่อผัสสะใดผัสสะหนึ่งเสียก่อน
และต่อเมื่อจิตหลงไปไม่ได้อยู่ในเจตนาต่อผัสสะนั้น จนกว่าจิตกลับไปรู้ผัสสะที่มีเจตนาตัวเดิม
แบบนี้เรียกว่า......สติ

สติเป็นเจตสิกหรือสังขารขันธ์ ที่เรียกว่า....โสภนจิต
ถึงแม้จะมีสภาวะที่คล้ายกับสติ แต่ถ้าสภาวะนั้นเป็นอกุศล
ก็ไม่จัดสภาวะนั้นเป็นสติ (ไว้จะคุยเรื่องมิจฉาสติ)


ถามโฮฮับ เรียนอภิธรรมจากไหนมาหรอ :b9: ถึง

อ้างคำพูด:
สติเป็นเจตสิกหรือสังขารขันธ์ ที่เรียกว่า....โสภนจิต


ข้างหน้า พอเดาถูก แต่กับข้างหลัง มันเข้าลักษณะหัวมังกุท้ายมังกร :b32:


แค่นีก็เละแล้ว ขืนคุยอีก คงเป็นเต้าหู้หล่นลงพื้น คริๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2013, 23:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool
อ้างคำพูด:
สติหรือจิตระลึกรู้เป็นเพียงเครื่องมือของจิต เป็นสิ่งที่ช่วยให้จิตผู้รู้อยู่กับปัจจุบันธรรม

s004
ความท่อนนี้ควรปรับนิดหนึ่งครับเพื่อให้ตรงตามสภาวธรรม
:b42:
สติหรือจิตระลึกรู้เป็นเพียงเครื่องมือของจิตเป็นสิ่งที่ช่วยให้จิตผู้รู้อยู่กับ.....ปัจจุบันอารมณ์
s006
เพราะปัจจุบันธรรมนั้น มันมีหลายๆอันซ้อนๆกันอยู่ในเวลาเดียวกัน เช่น ขณะคิด ลมหายใจก็กำลังทำงาน หัวใจก็กำลังเต้น ชีพจรก็กำลังตอด อัฐกลาปะกำลังสั่นสะเทือน หูกำลังกระทบเสียง ตาก็กำลังเห็นรูป กายกำลังสัมผัสเย็นร้อน
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 02:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามโฮฮับ เรียนอภิธรรมจากไหนมาหรอ :b9: ถึง
อ้างคำพูด:
สติเป็นเจตสิกหรือสังขารขันธ์ ที่เรียกว่า....โสภนจิต

ข้างหน้า พอเดาถูก แต่กับข้างหลัง มันเข้าลักษณะหัวมังกุท้ายมังกร :b32:
แค่นีก็เละแล้ว ขืนคุยอีก คงเป็นเต้าหู้หล่นลงพื้น คริๆๆ


บอกหลายครั้งแล้วให้ทำความเข้าใจกับธรรมและรู้จักหาเหตุปัจจัยของธรรม

อย่าศึกษาธรรมด้วยการท่องจำคำศัพท์

สติเป็นเจตสิก เจตสิกเป็นอาการของจิต มีลักษณะ เกิดดับพร้อมจิต

ที่บอกว่า สติเป็นเจตสิก ที่เรียกว่า โสภนจิต มันก็ถูกแล้ว

เพราะเจตสิกเป็นส่วนประกอบของจิตในขณะนั้น

ที่ต้องกล่าวว่าเป็นโสภนจิต ก็เพื่อจะให้รู้ว่า สติหรือเจตสิกที่เป็นโสภนเจตสิกไม่สามารถ
เกิดพร้อมกับจิตที่เป็น...อกุศล
เพราะเจตสิกต้องอาศัยจิตเกิดและดับไปพร้อมกับจิตดวงนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 02:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
cool
อ้างคำพูด:
สติหรือจิตระลึกรู้เป็นเพียงเครื่องมือของจิต เป็นสิ่งที่ช่วยให้จิตผู้รู้อยู่กับปัจจุบันธรรม

s004
ความท่อนนี้ควรปรับนิดหนึ่งครับเพื่อให้ตรงตามสภาวธรรม
:b42:
สติหรือจิตระลึกรู้เป็นเพียงเครื่องมือของจิตเป็นสิ่งที่ช่วยให้จิตผู้รู้อยู่กับ.....ปัจจุบันอารมณ์
s006
เพราะปัจจุบันธรรมนั้น มันมีหลายๆอันซ้อนๆกันอยู่ในเวลาเดียวกัน เช่น ขณะคิด ลมหายใจก็กำลังทำงาน หัวใจก็กำลังเต้น ชีพจรก็กำลังตอด อัฐกลาปะกำลังสั่นสะเทือน หูกำลังกระทบเสียง ตาก็กำลังเห็นรูป กายกำลังสัมผัสเย็นร้อน
:b38:


ขณะที่จิตรู้อยู่กับอากัปกิริยา ปัจจุบันอารมณ์ก็คือ.....รู้

ต่อเมื่อจิตหลงไปคิดเรื่องอื่น ปัจจุบันอารมณ์ก็คือ......โมหะ

เข้าใจเสียใหม่และเข้าใจให้ถูก................
สติไม่ได้ระลึกรู้ปัจจุบันอารมณ์ แต่สติระลึกรู้สัญญาหรืออารมณ์เก่า

ส่วนความเห็นตอนท้ายของโสกะเป็นการฟุ้งบัญญัติ
มันคนล่ะเรื่องจึงไม่ต้องหาเหตุมาตอบ(ประจำชอบพูดนอกเรื่อง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 03:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สติ ตัวเดียวโดดๆ กับ
สติใน สัมมาสติ ใน มิจฉาสติ
สติใน สติปัฏฐาน
สติใน สติพละ
สติใน สตินทรีย์
สติใน สติสัมโพชฌงค์
สติใน อานาปานสติ
สติใน กายคตาสติ
ทำหน้าที่ต่างกันหรือเหมือนกันขอรับ :b1: แล้วอยู่ในขันธ์ไหน ในบรรดาขันธ์ห้าที่ว่านั่น


สิ่งที่กรัชกายถามมาทั้งหมด มันถามแบบคนขาดความเข้าใจในสิ่งที่ถาม
ไม่รู้ว่ากำลังถามอะไรและเพื่ออะไร

พูดง่ายๆก็คือไม่รู้ว่า สภาพธรรมที่เรียกว่าสติเป็นอย่างไร
ผลก็คือ เอาคำว่าสติที่เป็นแค่บัญญัติไปขยายความออกไปเกินความเป็นจริง
ซึ่งที่จริงแล้ว สติเป็นสภาวะธรรมที่ตายตัว

กำลังพูดถึงสติ ดันมาถามว่า สติตัวนี้เป็นอย่างไร สติตัวนั้นเป็นอย่างไร
สติมันก็มีตัวเดียว เพราะไม่รู้จริงเลยไปขยายความให้มากเรื่อง

จะยกตัวอย่างให้ดู ฟังให้ดีน่ะกรัชกาย.......
ถ้าพี่โฮกำลังอธิบายคำว่า...กินหมายถึงอะไร แต่กรัชกายยังไม่เข้าใจกับคำว่า"กิน"
แต่ดันมาย้อนถามว่า "กินข้าว" หมายถึงอะไร "กินขนม"หมายถึงอะไร
ที่ถามแบบนี้กรัชกายกำลังทำให้ความหมายของคำผิดเพี้ยน

อาการ"กิน"ก็คืออาการหนึ่ง ส่วนสิ่งที่ถูกกินมันก็เป็นอีกอย่าง
การถามไม่ใช่มาถามว่า "กินข้าว"กับ"กินขนม" แตกต่างกันอย่างไร
แบบนี้กรัชกายกำลังเข้าใจผิดคิดว่า "กินแตกต่างกัน"

ความแตกต่างไม่ไช่อยู่ที่อาการกิน แต่ความแตกต่างอยู่ที่...สิ่งที่ถูกกิน
จะถามมันต้องถามว่า ข้าวกับขนมแตกต่างกันอย่างไร


เช่นเดียวกัน พี่โฮกำลังอธิบายเรื่องสติคืออะไรทำหน้าที่อย่างไร
ดันมาถามว่า สติในโน้น สติในนี้ ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร
สติก็คือสติ สติมีอย่างเดียวและทำหน้าที่อย่างเดียว.......นั้นก็คือการระลึกรู้(กุศลธรรม)

ฉะนั้นสิ่งที่ต่างไม่ใช่สติ แต่ความต่างมันเป็นสิ่งที่สติไประลึกรู้
นั้นก็คือธรรมนั้นเอง ธรรมที่ว่าก็มีหลายอย่างอาทิ ศีล เมตตา อโหสิฯลฯ
ธรรมทุกอย่างที่เป็น..กุศล


ดังนั้นจะถามต้องถามว่า ศีลกับเมตตาต่างกันอย่างไร
******อธิบายเพิ่มเติมอีกหน่อย ตัวสติทำหน้าที่ระลึกรู้แล้วก็ดับไป
แล้วจะมีธรรมที่สติไประลึกรู้มาแทนที่ จิตที่มีสติเป็นอาการก็ดับไป มีจิตตัวรู้ธรรมมาแทนที่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถามโฮฮับ เรียนอภิธรรมจากไหนมาหรอ :b9: ถึง
อ้างคำพูด:
สติเป็นเจตสิกหรือสังขารขันธ์ ที่เรียกว่า....โสภนจิต

ข้างหน้า พอเดาถูก แต่กับข้างหลัง มันเข้าลักษณะหัวมังกุท้ายมังกร :b32:
แค่นีก็เละแล้ว ขืนคุยอีก คงเป็นเต้าหู้หล่นลงพื้น คริๆๆ


บอกหลายครั้งแล้วให้ทำความเข้าใจกับธรรมและรู้จักหาเหตุปัจจัยของธรรม

อย่าศึกษาธรรมด้วยการท่องจำคำศัพท์

สติเป็นเจตสิก เจตสิกเป็นอาการของจิต มีลักษณะ เกิดดับพร้อมจิต

ที่บอกว่า สติเป็นเจตสิก ที่เรียกว่า โสภนจิต มันก็ถูกแล้ว

เพราะเจตสิกเป็นส่วนประกอบของจิตในขณะนั้น

ที่ต้องกล่าวว่าเป็นโสภนจิต ก็เพื่อจะให้รู้ว่า สติหรือเจตสิกที่เป็นโสภนเจตสิกไม่สามารถ
เกิดพร้อมกับจิตที่เป็น...อกุศล
เพราะเจตสิกต้องอาศัยจิตเกิดและดับไปพร้อมกับจิตดวงนั้น



โสภณเจตสิก ก็ โสภณเจตสิก มันจะเป็นโสภณจิตได้อย่างไร :b1:

ถ้าจะพูดต้องพูดให้มันเข้ากับเรื่องว่า โสภณเจตสิก เกิดร่วมกับกุศลจิต (ดีเกิดร่วมกับดี) อกุศลเจตสิก ก็เกิดร่วมกับ อกุศลจิต (ชั่วก็เกิดร่วมกับชั่ว) ไปเรียนใหม่ไป

พูดอย่างโฮฮับนี่ทำลายระบบการศึกษาเขาหมด พูดตามอำเภอใจนิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 04:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่นี้มาดูว่า อย่างไรจึงจะเป็นสติตามความหมายของพระธรรม
ตามความหมายของธรรมนั้น
สติ หมายถึงการระลึกรู้

ระลึกรู้อะไร นั้นก็คือรู้แต่ในสิ่งที่ถูกที่ควร(กุศล)
ดังที่บอกมาแล้วว่า สติไม่ได้มีความต่าง แต่ความต่างมันเป็นสิ่งที่สติไประลึกรู้
นั้นก็คือธรรมนั้นเอง รู้ถูกก็คือธรรม ดังนั้นความต่างก็คือธรรมที่ถูกที่ควรนั้น
ต้องจำให้ขึ้นใจว่า การระลึกรู้ธรรมที่ถูกที่ควรจึงจะเรียกว่า....สติ


ถ้าเรียกให้ถูกจริงๆโดยยึดสติระลึกรู้ธรรมที่ถูกทีควร นั้นก็คือ...สัมมาสติ
สัมมาก็คือธรรมที่ถูกที่ควร สัมมาเป็นกุศลธรรมมีความต่างกัน
นั้นก็คือ ธรรมที่เป็นกุศลในทางโลกียะ เรียกว่า....สาสวะ
และธรรมที่เป็นกุศลในทางโลกุตตระ เรียกว่า....อนาสวะ

สาสวะ คือการมองธรรมตามสภาพธรรมที่ถูกที่ควร
อนาสวะคือการมองธรรมตามสภาพธรรมที่ถูกที่ควร....ตามความเป็นจริง
นั้นก็คือมองตามสังขารธรรม

มีหลายคนที่มักเข้าใจผิดว่า การใช้ความคิดในขณะทำชั่ว
มิจฉาชีพ โจรกรรม อาชญากรรมฯลฯ
คิดไปเองว่า การกระทำเหล่านี้จจะสติคอยกำกับร่วมด้วย ถ้าใครคิดแบบนี้มันผิดครับ

การกระทำของโจรหรือมิจฉาชีพ มันเกิดจากความเห็นผิดมาแต่แรก
การระลึกรู้จึงเป็นการระลึกรู้ที่ผิด การระลึกรู้แบบนี้ไม่ใช่สติที่พระพุทธองค์กล่าว

พระพุทธองค์ให้ความหมาย การระลึกรู้ที่ผิดธรรมเหล่านี้ว่า..มิจฉาสติ
คำว่ามิจฉาสติ ไม่ได้หมายถึงสติ
แต่มิจฉาสติมีความหมายว่า การระลึกรู้ที่ผิดจากสติที่แท้จริง


พูดง่ายๆ สติคือการระลึกรู้สัมมา(สาสวะและอนาสวะ)
การระลึกรู้มิจฉา จึงไม่ใช่สติไปโดยปริยาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับนี่หลงอย่างแรง พูดไปเรื่อยเปื่อยก็คิดว่า การรู้ธรรมเข้าใจธรรม ไม่มีหลักอะไรเลย ไม่ว่าจะเรี่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีเลยริงๆ เดาสุมเอาล้วนๆ คิกๆๆไม่ไหวๆ เสื่อมหมด :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2013, 04:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับนี่หลงอย่างแรง พูดไปเรื่อยเปื่อยก็คิดว่า การรู้ธรรมเข้าใจธรรม ไม่มีหลักอะไรเลย ไม่ว่าจะเรี่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีเลยริงๆ เดาสุมเอาล้วนๆ คิกๆๆไม่ไหวๆ เสื่อมหมด :b1:


กรัชกายแสดงความเห็นให้มันมีเนื้อหาบ้างไม่ได้หรือ
อีกอย่าง แสดงความเห็นแต่ล่ะครั้ง กรุณาใช้ประโยชน์ต่อหน้ากระทู้ให้มันคุ้มค่าหน่อย

แสดงความเห็นแต่ล่ะครั้งสั้นจู๋เป็นหางเต่า แถมนอกเรื่องนอกประเด็น

แบบนี้มันเปลืองหน้ากระทู้ เข้าใจมั้ย
แสดงความเห็นแบบนี้ไม่ต้องบอกน่ะว่า ทำไมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
แสดงความเห็นเยอะมากมาย แต่สั้นจู๋ไม่ได้สาระ
มีแต่ปริมาณไม่มีคุณภาพ :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร