วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 06:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ท่านสอนว่าทำบุญด้วยการอยากสืบทอดต่อจากบิดามารดา ทำบุญด้วยความกตัญญู....จึงเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาภูมิ << ผมไม่ได้ลอกมาเป๊ะๆ นะครับ

แล้วถ้าพ่อแม่เขาไม่ชอบทำบุญ แต่เขาชอบทำบุญ แล้วอยากไปสวรรค์ชั้นนี้ เขาจะไปได้ไหม
แล้วสวรรค์ชั้นยามาเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมรายละเอียด หายากมาก ส่วนใหญ่ไม่มีรายละเอียดเลย


ตอนนี้ผมถือศีล 8 วันพระครับ ถือมาหลายวันพระแล้ว คาดว่าคงทำไปเรื่อยๆ อาจมีหยุดบ้าง และปฏิบัติกุศลกรรมบถ 10 อยู่แทบทุกวันครับ จึงเอาบุญมาฝากนะครับ ผมก็อยากไปชั้นยามานะครับ ไปรอพระศรีอาริย์ แล้วเสวยสุขเสร็จมาเป็นสาวกของท่าน นี่คือความคิดผม

สาธุๆๆครับ onion

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออีก 1 คำถามนะครับ

คือผมถือศีล 8 เวลานอนผมนอนกอดหมอนด้วย แบบนี้ผิดไหมครับ
ขอบคุณนะครับ

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


PaiKung26 เขียน:
ที่ท่านสอนว่าทำบุญด้วยการอยากสืบทอดต่อจากบิดามารดา ทำบุญด้วยความกตัญญู....จึงเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาภูมิ << ผมไม่ได้ลอกมาเป๊ะๆนะครับ

แล้วถ้าพ่อแม่เข้าไม่ชอบทำบุญ แต่เขาชอบทำบุญ แล้วอยากไปสวรรค์ชั้นนี้ เขาจะไปได้ไหม
แล้วสวรรค์ชั้นยามาเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมรายละเอียด หายากมาก ส่วนใหญ่ไม่มีรายละเอียดเลย


ตอนนี้ผมถือศีล 8 วันพระครับ ถือมาหลายวันพระแล้ว คาดว่าคงทำไปเรื่อยๆอาจมีหยุดบ้าง และปฏิบัติ กุศลกรรมบถ 10 อยู่แทบทุกวันครับ จึงเอาบุญมาฝากนะครับ ผมก็อยากไปชั้นยามานะครับ ไปรอพระศรีอาริย์ แล้วเสวยสุขเสร็จมาเป็นสาวกของท่าน นี่คือความคิดผม

สาธุๆๆครับ onion

อ่านความเห็นนี้แล้วคุณน้องก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนคิดอะไรแปลกๆเหมือนเราด้วย :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
PaiKung26 เขียน:
ที่ท่านสอนว่าทำบุญด้วยการอยากสืบทอดต่อจากบิดามารดา ทำบุญด้วยความกตัญญู....จึงเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาภูมิ << ผมไม่ได้ลอกมาเป๊ะๆนะครับ

แล้วถ้าพ่อแม่เข้าไม่ชอบทำบุญ แต่เขาชอบทำบุญ แล้วอยากไปสวรรค์ชั้นนี้ เขาจะไปได้ไหม
แล้วสวรรค์ชั้นยามาเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมรายละเอียด หายากมาก ส่วนใหญ่ไม่มีรายละเอียดเลย


ตอนนี้ผมถือศีล 8 วันพระครับ ถือมาหลายวันพระแล้ว คาดว่าคงทำไปเรื่อยๆอาจมีหยุดบ้าง และปฏิบัติ กุศลกรรมบถ 10 อยู่แทบทุกวันครับ จึงเอาบุญมาฝากนะครับ ผมก็อยากไปชั้นยามานะครับ ไปรอพระศรีอาริย์ แล้วเสวยสุขเสร็จมาเป็นสาวกของท่าน นี่คือความคิดผม

สาธุๆๆครับ onion

อ่านความเห็นนี้แล้วคุณน้องก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนคิดอะไรแปลกๆเหมือนเราด้วย :b32: :b32:

:b12: :b12: :b12:
รู้มาเท่าไหร่ ก็เห็นและคิดได้เท่านั้น........รีบหากัลยาณมิตรที่พูดได้ ทำได้จริงๆให้พบ แล้วศึกษาเพิ่มเติมจากท่าน.....หลังจากนั้น ความคิด ความเห็น ความหวัง ตั้งใจของคุณ จะเข้าตรงทางที่พระพุทธบิดาทรงสอนให้ชาวโลกทุกคนมุ่งหน้าไป

อนึ่ง มีผู้คนติดหลงอยู่ในภพพระศรีอารย์ หรือ ติดพุทธภูมิ ติดโพธิสัตว์ภูมิ ด้วยความไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง แล้วอธิฏฐาน มัดตนเองไว้กับความเห็นอันนั้น จนชวดเชยโอกาสที่จะปิดประตูอบาย ดับไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่บนหัวตนเอง ในชาตินี้

onion onion
ฉนั้นพึงศึกษาต่อไปก่อน อย่าพึ่งมัดตนเองไว้กับความคิดความเห็นใดๆ จะติดหล่มนะครับ
:b8:
onion
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


PaiKung26 เขียน:
ที่ท่านสอนว่าทำบุญด้วยการอยากสืบทอดต่อจากบิดามารดา ทำบุญด้วยความกตัญญู....จึงเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาภูมิ << ผมไม่ได้ลอกมาเป๊ะๆนะครับ

แล้วถ้าพ่อแม่เข้าไม่ชอบทำบุญ แต่เขาชอบทำบุญ แล้วอยากไปสวรรค์ชั้นนี้ เขาจะไปได้ไหม
แล้วสวรรค์ชั้นยามาเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมรายละเอียด หายากมาก ส่วนใหญ่ไม่มีรายละเอียดเลย


ตอนนี้ผมถือศีล 8 วันพระครับ ถือมาหลายวันพระแล้ว คาดว่าคงทำไปเรื่อยๆอาจมีหยุดบ้าง และปฏิบัติ กุศลกรรมบถ 10 อยู่แทบทุกวันครับ จึงเอาบุญมาฝากนะครับ ผมก็อยากไปชั้นยามานะครับ ไปรอพระศรีอาริย์ แล้วเสวยสุขเสร็จมาเป็นสาวกของท่าน นี่คือความคิดผม

สาธุๆๆครับ onion


อธิษฐานได้ครับ ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา เป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาภูมิ
อนุโมทนากับกุศลทั้งหลายที่คุณได้กระทำนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
รู้มาเท่าไหร่ ก็เห็นและคิดได้เท่านั้น........รีบหากัลยาณมิตรที่พูดได้ ทำได้จริงๆให้พบ แล้วศึกษาเพิ่มเติมจากท่าน.....หลังจากนั้น ความคิด ความเห็น ความหวัง ตั้งใจของคุณ จะเข้าตรงทางที่พระพุทธบิดาทรงสอนให้ชาวโลกทุกคนมุ่งหน้าไป

คุณโสกะครับ ผมว่าเราต่างเตือนตัวเองดีกว่าครับ
คุณจะเที่ยวไปบ่งการข่มขืน ความเป็นศรัทธาของคนอื่นมันไม่ถูกครับ
น้องเขาตั้งอธิษฐานจิตไว้เช่นนั้น มันไม่ผิดครับ

แต่ถ้าเป็นผู้กล่าวอ้างว่า ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์๘ แล้วก็เข้าถ้ำอดข้าวอดน้ำ
เพียงเพื่อให้ปราศจากลมหายใจ แบบนี้ซิครับ....ผิด

หวังเป็นพุทธภูมิหรือพระโพธิสัตว์ ไม่ต้องปฏิบัติตามพระพุทธ์องค์หรือกัลยาณมิตรตามที่คุณบอก

ผู้หวังพุทธภูมิ เป็นผู้ที่กำลังสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า

กรุณาอย่าเอาพระโคดมของเราไปเที่ยวสบประมาทผู้ที่หวังพุทธภูมิ
แบบนี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยในธรรมของพระโคดม และธรรมที่เป็นธรรมชาติ

asoka เขียน:
อนึ่ง มีผู้คนติดหลงอยู่ในภพพระศรีอารย์ หรือ ติดพุทธภูมิ ติดโพธิสัตว์ภูมิ ด้วยความไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง แล้วอธิฏฐาน มัดตนเองไว้กับความเห็นอันนั้น จนชวดเชยโอกาสที่จะปิดประตูอบาย ดับไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่บนหัวตนเอง ในชาตินี้


ผมว่าโสกะหนักกว่าน้องเขาอีกครับ เอากิเลสเอามานะของตนไปปรามาสคนอื่น
ทำแบบนี้ ผมว่าจะเป็นโสกะเองครับที่จะชวดเรื่องการปิดประตูอบาย

คนที่เขาหวังพุทธภูมิ หวังเป็นพระโพธิสัตว์ ย่อมต้องประกอบคุณงามความดี
สร้างแต่กุศลผลบุญ ที่สำคัญมีเมตตาต่อสัตว์โลก

แต่คุณเอาเรื่องอบายภูมิมาเปรียบเทียบกับผู้หวังพุทธภูมิ
คุณโสกะครับ คุณกำลังสาปแช่งคนที่กำลังสร้างบุญอยู่นะครับ
คุณไม่รู้หรอกว่า การว่ากล่าวผู้ที่กำลังสร้างบุญกุศล มันบาป
มันเป็นการเปิดประตูอบายให้ตนเอง


asoka เขียน:
ฉนั้นพึงศึกษาต่อไปก่อน อย่าพึ่งมัดตนเองไว้กับความคิดความเห็นใดๆ จะติดหล่มนะครับ

มันต้องรู้ตัวเองก่อนว่าปรารถนาสิ่งใด แล้วจึงลงมือปฏิบัติ
ไม่ใช่ใครเขามาพูดกรอกหูก็เชื่อเขา

คุณโสกะครับ อย่าได้เที่ยวเอาพุทธศาสนาไปบังคับคนอื่นว่า ต้องเอาต้องนับถือ
ใครเข้าจะหวังพุทธภูมิ ใครจะนับถือคริสต์ อิสลาม มันก็เป็นเรื่องของเขา
มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะไป ปรามาสเหน็บแนม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




54119e8f7.jpg
54119e8f7.jpg [ 37.24 KiB | เปิดดู 7819 ครั้ง ]
สวรรค์ชั้นที่ 3
ยามาภูมิ

ยามาภูมิอยู่ในอากาศ สูงกว่ายอดเขาสิเนรุ 42,000 โยชน์
เป็นภูมิที่สวยงามและประณีตกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ที่พรั่งพร้อมด้วยความสุขที่เป็นทิพย์ปราศจากความยากลำบากใด ๆ ถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์วิมาน และทิพยสมบัติก็ปราณีตมากพระสยามเทวธิราช หรือเรียกว่า พระสุยามะ หรือ ท้าวสุยามะเทวราช ผู้มีอายุยืนถึง 2,000 ปีทิพย์เป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา

เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นนี้ เรียกว่า ยามา หรือ ยามะ เป็นจำพวกอากาสัฏฐเทวดาจำพวกเดียว
เพราะมีวิมานลอยอยู่ในอากาศเป็นที่อยู่เทวดาที่อยู่ในภูมิสูงขึ้นไปกว่าชั้นนี้ก็ล้วนแต่เป็นอากาสัฏฐเทวดาทั้งสิ้น

เทวดาในชั้นยามาภูมิ ล้วนเป็นผู้มีบุญมาก หน้าตางดงามรุ่งเรืองนัก มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างผาสุกเสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ตามสมควรแก่อัตภาพ ทิพย์วิมานเป็นปราสาทเงิน ปราสาททอง ปราศจากแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพราะว่าอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์ และ พระจันทร์ มากมายนัก
มีความสว่างอันเกิดจากรัศมีแห่งแก้ว และรัศมีจากกายของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ถ้าดอกไม้บานก็จะเป็นกลางวันดอกไม้หุบจะเป็นกลางคืน

เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นยามาภูมิแล้ว 200 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1 วันในสวรรค์ชั้นยามา

ทางไปสวรรค์ชั้นยามา

ต้องพยายามสร้างบุญ ต้องเป็นผู้หนักแน่นในการบำเพ็ญบุญ
ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า...
"ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเป็นการทำดี แต่คิดว่าบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย
ได้เคยทำบุญทำทานมาโดยตลอด เราก็ควรได้ทำตามประเพณีที่ท่านเคยทำมาถ้าผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นยามา"

"ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลยเมื่อถึงกาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา"

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาค่ะ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

ทานสูตร

[๔๙]
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณีชื่อคัคครา
ใกล้จัมปานคร ครั้งนั้นแล อุบาสกชาวเมืองจัมปามากด้วยกัน เข้าไปหาท่าน
พระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าว
กะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี
พระภาค พวกกระผมได้ฟังมานานแล้ว ขอได้โปรดเถิด พวกกระผมพึงได้ฟัง
ธรรมีกถาของพระผู้มีพระภาค ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายพึงมาในวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายพึงได้ฟังธรรมีกถาใน
สำนักพระผู้มีพระภาคแน่นอน อุบาสกชาวเมืองจัมปารับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว
ลุกจากที่นั่ง อภิวาทกระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ต่อมา ถึงวันอุโบสถ อุบาสก
ชาวเมืองจัมปาพากันเข้าไปหาพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควร
ข้างหนึ่ง ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสกชาวเมืองจัมปา เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแล
ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแล
และทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
พึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแล
ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทาน
เช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พึงมี ฯ
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทาน
เช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก
อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนใน
โลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิต
ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้
เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่อง
ลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกร
สารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทาน
เห็นปานนี้หรือ ฯ
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิต
ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้
เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
แห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่
แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคน
ในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน
ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า
ทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์
ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทาน
เห็นปานนี้หรือ ฯ
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มี
จิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไป
แล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทาน
นั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้น
กรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่
ความเป็นอย่างนี้ ฯ
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็
ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
แห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา
มารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วย
คิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้
จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว
ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
เราหุงหากินได้ สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะ
ไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี
วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ
ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้น
ฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
จักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯ
และภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิด
ความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
แห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็น
ใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อ
เราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็น
เครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์
ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้
ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน
ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสีย
ประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาช-
*ฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้
ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและ
โสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกร
สารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้
ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบาง
คนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

จบสูตรที่ ๙

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
nongkong เขียน:
PaiKung26 เขียน:
ที่ท่านสอนว่าทำบุญด้วยการอยากสืบทอดต่อจากบิดามารดา ทำบุญด้วยความกตัญญู....จึงเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาภูมิ << ผมไม่ได้ลอกมาเป๊ะๆนะครับ

แล้วถ้าพ่อแม่เข้าไม่ชอบทำบุญ แต่เขาชอบทำบุญ แล้วอยากไปสวรรค์ชั้นนี้ เขาจะไปได้ไหม
แล้วสวรรค์ชั้นยามาเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมรายละเอียด หายากมาก ส่วนใหญ่ไม่มีรายละเอียดเลย


ตอนนี้ผมถือศีล 8 วันพระครับ ถือมาหลายวันพระแล้ว คาดว่าคงทำไปเรื่อยๆอาจมีหยุดบ้าง และปฏิบัติ กุศลกรรมบถ 10 อยู่แทบทุกวันครับ จึงเอาบุญมาฝากนะครับ ผมก็อยากไปชั้นยามานะครับ ไปรอพระศรีอาริย์ แล้วเสวยสุขเสร็จมาเป็นสาวกของท่าน นี่คือความคิดผม

สาธุๆๆครับ onion

อ่านความเห็นนี้แล้วคุณน้องก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนคิดอะไรแปลกๆเหมือนเราด้วย :b32: :b32:

:b12: :b12: :b12:
รู้มาเท่าไหร่ ก็เห็นและคิดได้เท่านั้น........รีบหากัลยาณมิตรที่พูดได้ ทำได้จริงๆให้พบ แล้วศึกษาเพิ่มเติมจากท่าน.....หลังจากนั้น ความคิด ความเห็น ความหวัง ตั้งใจของคุณ จะเข้าตรงทางที่พระพุทธบิดาทรงสอนให้ชาวโลกทุกคนมุ่งหน้าไป

อนึ่ง มีผู้คนติดหลงอยู่ในภพพระศรีอารย์ หรือ ติดพุทธภูมิ ติดโพธิสัตว์ภูมิ ด้วยความไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง แล้วอธิฏฐาน มัดตนเองไว้กับความเห็นอันนั้น จนชวดเชยโอกาสที่จะปิดประตูอบาย ดับไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่บนหัวตนเอง ในชาตินี้

onion onion
ฉนั้นพึงศึกษาต่อไปก่อน อย่าพึ่งมัดตนเองไว้กับความคิดความเห็นใดๆ จะติดหล่มนะครับ
:b8:
onion
:b36:

คุณน้องก็ปฏิบัติโดยการบำเพ็ญบารมี 10 ซึ่งหมายถึงการทำความดีอย่างยิ่งยวดเพื่อบรรลุเป้าหมายในอนาคตกาล แล้วอโสกะคิดว่าคุณน้องปราถนาอะไร คุณน้องปราถนา ลาภ ยศ ชื่อเสียง เงินทองหรือ ถึงต้องบำเพ็ญบารมี10 อโสกะไม่ได้มารู้มาเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติของคุณน้อง แล้วทำไมจึงกล้าพูดประโยคนั้นกับคุณน้อง อโสกะเข้าถึงภูมิธรรมคุณน้องแล้วหรือ ถึงเข้าใจว่า การอธิษฐานของคุณน้องคือการผุกมัดตนในธรรมที่ไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง อโสกะกล้ามากนะที่บังอาจมาหลบหลู่ศรัทธราของผู้อื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาคุณโยม ปลีกวิเวก

ป.ล. ตอบคำถามบางข้อให้หลังไมค์
หากว่างลองเช็คดูนะครับ ที่กล่องข้อความ ^^

PaiKung26 เขียน:
ที่ท่านสอนว่าทำบุญด้วยการอยากสืบทอดต่อจากบิดามารดา ทำบุญด้วยความกตัญญู....จึงเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาภูมิ << ผมไม่ได้ลอกมาเป๊ะๆ นะครับ

อ้างคำพูด:
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็
ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
แห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ทานสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


[1.] ทานมีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก(ได้น้อย) ยังเป็นผู้กลับมา
[2.] ทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา


[ข้อ 1.-6.] ทานมีผลมาก ไ่ม่มีอานิสงส์มาก(ได้น้อย)

1.หวัง ผูกพัน สั่งสม คิดว่าตายไปแล้วจะได้ เมื่อตายย่อม
เข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา

2.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิดว่าตายไปแล้วจะได้
แต่คิดว่าทานเป็นการดี(การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
เมื่อตายย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์

3.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิดว่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา
เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง
ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา

4.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิด่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
ไม่คิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควร
ทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน
สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน
เราหุงหากินได้
จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร
เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต

5.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิด่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
ไม่คิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควร
ทำให้เสียประเพณี ไม่คิดว่าเราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้
ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์
ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า แต่ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน
เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน
คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี
อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ
เมื่อตายไปย่อมเ้ข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี

6.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิด่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
ไม่คิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควร
ทำให้เสียประเพณี ไม่คิดว่าเราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้
ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์
ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร ไม่คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษี
แต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี
ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี
และภคุฤาษี บูชามหายัญ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้
จิตจะเลื่อมใส เกิด ความปลื้มใจและโสมนัส
เมื่อตายย่อมเข้าถึง
ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี


เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ


จบ [1.] ทานที่มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก(ได้น้อย) เพราะยังเป็นผู้กลับมา!

2. (ข้อ 7.) ทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เป็นผู้ไม่กลับมา


7.ไม่คิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส
เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต
ในที่นี้อาศัยทานอาศัยการให้ปรุงแต่งจิตอบรมสมถะ(สมาธิ)และวิปัสสนา(ปัญญา)


อ้างคำพูด:
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน
ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสีย
ประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาช-
*ฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้
ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส
จะเกิดความปลื้มใจและ
โสมนัส
แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่แล้ว
เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกร
สารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้
ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก
และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบาง
คนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ทานสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0



จบ [2.] ทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก เพราะเป็นผู้ไม่กลับมา
ข้อ 1.- 6. มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ข้อ 7. มีผลมาก มีอานิสงส์มากฯลฯ

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


PaiKung26 เขียน:
แล้วถ้าพ่อแม่เขาไม่ชอบทำบุญ แต่เขาชอบทำบุญ แล้วอยากไปสวรรค์ชั้นนี้ เขาจะไปได้ไหม
แล้วสวรรค์ชั้นยามาเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมรายละเอียด หายากมาก ส่วนใหญ่ไม่มีรายละเอียดเลย

อ้างคำพูด:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมให้ทาน คือ ข้าว
น้ำ ... เครื่องประทีป แก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาให้สิ่งใด ย่อมหวังสิ่งนั้น
เขาได้สดับมาว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์ ... ชั้นยามา ... ชั้นดุสิต ... ชั้นนิมมานรดี ...
ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี มีอายุยืน มีผิวพรรณงาม มีความสุขมาก เขาจึงมีความ
ปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ เมื่อตายไป ขอเราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่ง
เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เขาตั้งจิตอธิษฐาน นึกภาวนาอยู่ จิตของเขานึกน้อม
ไปในทางเลว ไม่เจริญยิ่งขึ้น เมื่อตายไป เขาเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดา
ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี แต่ข้อนั้นเรากล่าวว่าเป็นของผู้มีศีล ไม่ใช่ของผู้ทุศีล ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาแห่งใจของคนผู้มีศีล ย่อมสำเร็จได้เพราะจิตบริสุทธิ์ ฯ
-----------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ทานูปปัตติสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


ไปได้หรือไม่ได้ ดูใน "ทานูปปัตติสูตร "แสดงเอาไว้แล้วว่า เป็นทางไปสวรรค์แน่
แต่มีผลมีอานิสงส์อะไรอย่างไร เป็นเรื่องใคร่ควรพิจารณาเอาเอง
โดย "เขาตั้งจิตอธิษฐาน นึกภาวนาอยู่ จิตของเขานึกน้อม
ไปในทางเลว ไม่เจริญยิ่งขึ้น เมื่อตายไป เขาเข้าถึงความ
เป็นสหายแห่งเทวดา"

"แต่ข้อนั้นเรากล่าวว่าเป็นของผู้มีศีล ไม่ใช่ของผู้ทุศีล ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาแห่งใจของคนผู้มีศีล ย่อมสำเร็จ
ได้เพราะจิตบริสุทธิ์ ฯ"


ดังนั้นถึงพ่อแม่ทำหรือไม่ทำ เพราะมีคติความเชื่อต่างกัน
โดยที่แท้ความจริงแล้ว ลักษณะการทำทานของพ่อของแม่
ก็คือให้ เสียสละกับลูกกับหลาน อาจไม่ได้จำแนกทาน
ในข้อ 6.,7. ไม่ได้ถวายสมณพรามหณ์ นักบวช ฤาษีฯลฯ
แต่ก็ให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้การศึกษา เพราะพ่อแม่หวัง
มีจิตผูกพันจึงให้ มุ่งสั่งสมให้บุตรหลาน คิดว่าลำบากไป
ในวันหน้าจะได้ มีบุตรมีหลานเลี้ยงดูแลตนเอง ลักษณะนี้
พ่อแม่บิดามารดา ก็ทำทานในลักษณะ ที่เข้าถึงความ
เป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา

ก็เป็นการให้ที่มีผลมาก มีอานิสงส์ไม่มาก คือน้อยที่สุด
กว่าทุกๆ ข้อ เพราะผลคือให้มาก แต่ลูกหลานบุตร
อาจอกตัญญูก็ได้ แถมอานิสงส์ก็น้อย เช่นยกตัวอย่าง

พ่อแม่ส่งเสียให้เล่าเรียนจบสูงๆ ทำมาหากินได้ ก็ไป
ดูแลลูกเมียเสียหมด ไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อและแม่เลย
พ่อแม่เฝ้าอุตสาห์เลี้ยงดูมา เคยหวังไว้ มีจิตผูกพัน
สั่งสมให้มอบให้แต่ลูกคนนี้คนเดียว คิดไว้ว่าจะได้รับ
การดูแลเอาใจใส่ อกุศลกรรมเล่นตลก มีบุตรไม่ดี
นานๆ ที่ปีหน จะกลับบ้าน ซื้อเสื้อผ้า ซื้อของกิน
ของใช้มาฝาก พอให้พ่อแม่บิดามารดาได้รับความสุข
เพราะผลบุญที่ทำเอาไว้ โดยมีความหวัง มีจิตผูกพัน
มุ่งสั่งสม คิดว่าภายหน้าจะได้สบาย!

เมื่อสิ้นกรรม ฤทธิ์ ยศ หมดความเป็นใหญ่ กรรมนั้นผ่านไปแล้ว
เจตนาในวันเก่าๆ ของพ่อแม่เป็นอดีตไปแล้ว ฤทธิ์ยศความเป็นใหญ่
เสื่อมสิ้นไปหมดแล้ว ความสุขที่ บุตรดูจะมีอนาคต สอบได้
เรียนดี มีงานทำ หวังใจไว้ อุ่นใจว่า ตนเอง(พ่อแม่)จะสบาย

ก็ต้องกลับมา สู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาอยู่กับความเป็นจริง
ลูกพอได้ดีมีสุข ก็ลืมพ่อลืมแม่ นี่เป็นตัวอย่าง ของทานที่มี
ผลมาก(แต่กับลูกมากกว่า) แต่ไม่มีอานิสงส์มาก คือไม่ได้
อบรมสั่งสอนเลี้ยงดู ไม่ใกล้ชิดพูกพัน ให้แต่วัตถุเงินทอง
ในที่สุด ที่หวังไว้ไม่เป็นไปตามหวัง อานิสงส์ของทาน
ที่เคยให้ไว้ ให้ไป แล้วคิดว่า ภายหน้า บุตรหลานจะตอบแทน
นี่แหละครับ ทานที่มีความหวัง มีจิตผูกพัน มุ่งสั่งสม
คิดว่าตายไปแล้วจะเสวยผลทาน เมื่อเข้าถึงความเป็นสหาย
แ่ห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา สิ้นกรรม ฤทธิ์ ยศ หมดความเป็นใหญ่
ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ นี่จึงเป็นทานของพ่อของแม่(บางคน)
ที่มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก ^^

ของคุณโยมก็ตั้งใจ รักษาศีล ความปรารถนาแห่งใจย่อมสำเร็จ
ส่วนรายละเอียดชั้นยามา เลิศกว่าประณีตกว่า ชั้นจาตุมและดาวดึงส์^^

PaiKung26 เขียน:
ตอนนี้ผมถือศีล 8 วันพระครับ ถือมาหลายวันพระแล้ว คาดว่าคงทำไปเรื่อยๆ อาจมีหยุดบ้าง และปฏิบัติกุศลกรรมบถ 10 อยู่แทบทุกวันครับ จึงเอาบุญมาฝากนะครับ ผมก็อยากไปชั้นยามานะครับ ไปรอพระศรีอาริย์ แล้วเสวยสุขเสร็จมาเป็นสาวกของท่าน นี่คือความคิดผม

สาธุๆๆครับ onion

พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ตรัสแสดงเรื่องอริยสัจ ๔ พระพุทธเจ้าองค์
ในอนาคตข้างหน้า ก็จะตรัสแสดงในเรื่องอริยสัจ ๔ เหมือนกัน
พระพุทธเจ้าทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ล้วนตรัสแสดงเรื่องอริยสัจ ๔
สอนเรื่องทุกข์ และความดับทุกข์ทั้งสิ้น ^^

โชคดีพอดีหาพระสูตรเจอ นำมาโพสเลยดีกว่า

อ้างคำพูด:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เหล่าใดในอดีตกาล ตรัสรู้แล้วตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น
ตรัสรู้แล้วซึ่งอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งใน
อนาคตกาล จักตรัสรู้ตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดแล้ว จักตรัสรู้
อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบัน ตรัสรู้
อยู่ตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ตรัสรู้อยู่ซึ่งอริยสัจ ๔ ตามความ
เป็นจริง อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ... ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ก็พระ-
*อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตกาล ตรัสรู้แล้วตามความเป็นจริง ... จักตรัสรู้ ...
ตรัสรู้อยู่ตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ตรัสรู้อยู่ซึ่งอริยสัจ ๔ ตาม
ความเป็นจริง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตาม
ความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

-----------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
อรหันตสูตร
ว่าด้วยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 94&Z=10307





PaiKung26 เขียน:
ขออีก 1 คำถามนะครับ

คือผมถือศีล 8 เวลานอนผมนอนกอดหมอนด้วย แบบนี้ผิดไหมครับ
ขอบคุณนะครับ

ไม่นอนที่นอนสูง คือนิ่มๆ ใหญ่ๆ ให้นอนพื้นที่ต่ำมีผ้า
หรือเบาะปูรองนอน เขาให้ไม่ติดสุข ติดสบาย ไม่เพลินนอน
เพลินนิ่ม มาตัวเปล่า ก็ไปตัวเปล่า จะเอาหมอนข้างไปด้วยหรือ^^

ขอเจริญพร.

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
อนุโมทนาคุณโยม ปลีกวิเวก

ป.ล. ตอบคำถามบางข้อให้หลังไมค์
หากว่างลองเช็คดูนะครับ ที่กล่องข้อความ ^^

PaiKung26 เขียน:
ที่ท่านสอนว่าทำบุญด้วยการอยากสืบทอดต่อจากบิดามารดา ทำบุญด้วยความกตัญญู....จึงเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาภูมิ << ผมไม่ได้ลอกมาเป๊ะๆ นะครับ

อ้างคำพูด:
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็
ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
แห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ทานสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


[1.] ทานมีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก(ได้น้อย) ยังเป็นผู้กลับมา
[2.] ทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา


[ข้อ 1.-6.] ทานมีผลมาก ไ่ม่มีอานิสงส์มาก(ได้น้อย)

1.หวัง ผูกพัน สั่งสม คิดว่าตายไปแล้วจะได้ เมื่อตายย่อม
เข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา

2.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิดว่าตายไปแล้วจะได้
แต่คิดว่าทานเป็นการดี(การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
เมื่อตายย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์

3.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิดว่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา
เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง
ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา

4.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิด่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
ไม่คิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควร
ทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน
สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน
เราหุงหากินได้
จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร
เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต

5.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิด่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
ไม่คิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควร
ทำให้เสียประเพณี ไม่คิดว่าเราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้
ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์
ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า แต่ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน
เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน
คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี
อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ
เมื่อตายไปย่อมเ้ข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี

6.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิด่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
ไม่คิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควร
ทำให้เสียประเพณี ไม่คิดว่าเราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้
ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์
ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร ไม่คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษี
แต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี
ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี
และภคุฤาษี บูชามหายัญ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้
จิตจะเลื่อมใส เกิด ความปลื้มใจและโสมนัส
เมื่อตายย่อมเข้าถึง
ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี


เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ


จบ [1.] ทานที่มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก(ได้น้อย) เพราะยังเป็นผู้กลับมา!

2. (ข้อ 7.) ทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เป็นผู้ไม่กลับมา


7.ไม่คิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส
เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต
ในที่นี้อาศัยทานอาศัยการให้ปรุงแต่งจิตอบรมสมถะ(สมาธิ)และวิปัสสนา(ปัญญา)


อ้างคำพูด:
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน
ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสีย
ประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาช-
*ฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้
ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส
จะเกิดความปลื้มใจและ
โสมนัส
แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่แล้ว
เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกร
สารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้
ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก
และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบาง
คนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ทานสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0



จบ [2.] ทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก เพราะเป็นผู้ไม่กลับมา
ข้อ 1.- 6. มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ข้อ 7. มีผลมาก มีอานิสงส์มากฯลฯ


อนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ :b8:
อ่านแล้วมีความเข้าใจมากขึ้น...

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2013, 21:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b6:
โฮฮับ เขียน:
เข้าถ้ำอดข้าวอดน้ำ
เพียงเพื่อให้ปราศจากลมหายใจ แบบนี้ซิครับ....ผิด

Onion_L
โฮฮับ ไปบิดเบือนคำพูดแล้วมาแต่งเติมเสียใหม่ให้เห็นเป็นลบ ไม่มีตอนไหนเลยที่บอกว่า เข้าถ้ำอดข้าวอดน้ำ
:b12: :b12: :b12:
สำหรับน้องคงต้องขอให้กลับไปพิจารณาใหม่ให้ลึกซึ้งนะครับ ว่า ที่ asoka พูดกับน้องเจ้าของกระทู้นั้นด้วยกุศลเจตนาหรืออะไร? ใช่เป็นการเรียกสัมปชัญญะให้กลับคืนมาสู่ปัจจุบัน และความจริงหรือเปล่านะครับ
s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


หยุดก่อนครับ ทุกท่าน ใจเย็นๆไว้ ผมถามเป็นธรรมทานครับ อย่าทะเลาะกันเลยครับ

ท่านผู้ชายและท่านผู้หญิงที่เถียงกันเรื่องพุทธภูมิและการหลุดพ้น คือเราควรแลกเปลี่ยนความรู้ดีกว่าครับ อันไหนผมผิดก็แนะนำมาครับ อย่าไปทะเลาะกันให้มีอกุศลจิตเลย

ว่าแต่ทำบุญแล้วอธิษฐานไปสวรรค์ชั้นนู้นๆนี้ๆ มันไม่เสียกำลังใจในการทำบุญหรอกหรอครับ มันจะรู้สึกไม่อิ่มบุญเต็มที่

*ผมฝันว่ามีเทวดามาบอกว่าอยากมาอยู่ชั้นยามาให้ทำบุญแล้วคิดว่าสืบทอดประเพณีของพระพุทธศาสนาแล้วจะได้อยู่ยามาภูมิ ไม่เห็นภาพ ได้ยินแต่เสียงเป็นความรู้สึกครับ*

ตอนนั้นผมถือศีล 8 อยู่ไม่น่าฝันเพราะอิ่มแน่ ไม่เพ้อเองก็เทวดามาเข้าฝัน --" tongue

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2013, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
อนุโมทนาคุณโยม ปลีกวิเวก

ป.ล. ตอบคำถามบางข้อให้หลังไมค์
หากว่างลองเช็คดูนะครับ ที่กล่องข้อความ ^^

PaiKung26 เขียน:
ที่ท่านสอนว่าทำบุญด้วยการอยากสืบทอดต่อจากบิดามารดา ทำบุญด้วยความกตัญญู....จึงเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามาภูมิ << ผมไม่ได้ลอกมาเป๊ะๆ นะครับ

อ้างคำพูด:
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็
ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
แห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ทานสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


[1.] ทานมีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก(ได้น้อย) ยังเป็นผู้กลับมา
[2.] ทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา


[ข้อ 1.-6.] ทานมีผลมาก ไ่ม่มีอานิสงส์มาก(ได้น้อย)

1.หวัง ผูกพัน สั่งสม คิดว่าตายไปแล้วจะได้ เมื่อตายย่อม
เข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา

2.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิดว่าตายไปแล้วจะได้
แต่คิดว่าทานเป็นการดี(การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
เมื่อตายย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์

3.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิดว่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา
เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง
ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา

4.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิด่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
ไม่คิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควร
ทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน
สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน
เราหุงหากินได้
จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร
เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต

5.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิด่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
ไม่คิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควร
ทำให้เสียประเพณี ไม่คิดว่าเราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้
ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์
ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า แต่ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน
เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน
คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี
อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ
เมื่อตายไปย่อมเ้ข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี

6.ไม่หวัง ไม่ผูกพัน ไม่สั่งสม ไม่คิด่าตายไปแล้วจะได้
ไม่คิดว่าทานเป็นการดี (การเสียสละ,การให้เป็นสิ่งสมควร)
ไม่คิดว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควร
ทำให้เสียประเพณี ไม่คิดว่าเราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้
ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์
ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร ไม่คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษี
แต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี
ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี
และภคุฤาษี บูชามหายัญ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้
จิตจะเลื่อมใส เกิด ความปลื้มใจและโสมนัส
เมื่อตายย่อมเข้าถึง
ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี


เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ


จบ [1.] ทานที่มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก(ได้น้อย) เพราะยังเป็นผู้กลับมา!

2. (ข้อ 7.) ทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เป็นผู้ไม่กลับมา


7.ไม่คิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส
เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต
ในที่นี้อาศัยทานอาศัยการให้ปรุงแต่งจิตอบรมสมถะ(สมาธิ)และวิปัสสนา(ปัญญา)


อ้างคำพูด:
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน
ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสีย
ประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาช-
*ฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้
ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส
จะเกิดความปลื้มใจและ
โสมนัส
แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่แล้ว
เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกร
สารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้
ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก
และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบาง
คนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ทานสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0




ผมรู้ว่าเป็นความดี ชอบทำทำแล้วมีความสุข แล้วก็ได้สืบพระพุทธศาสนา มันจะเข้าอันไหนหว่า เพราะมันเข้าได้หลายอันนะครับ

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร