วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 22:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2013, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า มรรคคือหนทางที่เป็นไปเพื่อจุดมุ่งหมาย
การจะทำให้เกิดมรรคได้เราจะต้องมีจุดมุ่งหมายเสียก่อน อย่างเช่น......

เราต้องการไปสถานที่ใดสักแห่งเราก็ต้อง หาทางหรือถนนหนทางที่มุ่งตรงไปสถานที่นั้น
ดังนั้นจุดมุ่งหมายหรือสถานที่ๆเราจะไป จึงมีความสำคัญเป็นอันดับแรก
มรรคเป็นเพียงส่วนประกอบ แต่ก็ไม่ใช่ไม่สำคัญ มันมีความสำคัญ
เพราะต้องอาศัยมันเพื่อให้สู่จุดมุ่งหมาย

เมื่อจุดมุ่งหมายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มรรคเป็นส่วนประกอบให้จุดมุ่งหมายเกิดความสำเร็จ
เหตุนี้จึงต้องให้........จุดมุ่งหมายและมรรคสัมพันธ์กัน เปรียบเหมือนการไปสถานที่ใดที่หนึ่ง
ย่อมต้องใช้ถนนหนทางให้ถูก มันจึงจะพาเราไปสู่จุดมุ่งหมายได้
ในที่นี้จะขอกล่าวแต่เพียงจุดมุ่งหมายที่พระพุทธองค์ทรงสอน นั้นก็คือ...นิพพาน

การจะชี้หนทางหรือมรรคเพื่อไปสู่นิพพานได้ จะต้องบอกให้รู้ก่อนว่าหนทางที่ถูกเป็นอย่างไร
และหนทางที่ผิดเป็นอย่างไร การอ่านพระธรรมจึงต้องมีปัญญาแยกแยะว่า....
สิ่งในเป็นหนทางที่ผิดจากจุดมุ่งหมายที่พระพุทธองค์ทรงกำหนด นั้นก็คือนิพพาน

ต้องขอบอกก่อนว่า ที่กล่าวว่าหนทางที่ผิด มันหมายถึงผิดไปจากหนทางเพื่อนิพพาน
ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ทำเป็นความผิดเป็นความชั่ว ในตอนแรกถึงได้เกริ่นไว้ก่อน ในเรื่องจุดมุ่งหมาย
และในที่นี้จุดมุ่งหมายก็คือ.....นิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2013, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเรารู้จุดมุ่งหมายแล้ว รู้ว่าจุดมุ่งหมายก็คือนิพพาน ที่นี้มารู้หนทางหรือมรรค
มรรคที่ว่า มีอยู่สองหลักใหญ่ หลักหนึ่งมันไม่ใช่ทางสู่นิพพาน แต่อีกหลักหนึ่งใช่

เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงควรเดินไปในทางที่ถูก นั้นหมายความว่า หนทางหรือมรรคเพื่อนิพพานนั้นเอง
พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้เห็นว่าหนทางในถูก แต่ในความถูกนั้นพระพุทธองค์ ทรงชี้ให้เห็นถึง
หนทางผิด เพื่อให้รู้ว่าไม่ควรเดิน.....ตามหลักการจะรู้ถูกได้ จำเป็นต้องรู้ผิดด้วย

มรรคที่พระพุทธองค์ชี้แนะเพื่อนิพพาน......มีอยู่๘องค์ เรียกว่าอริยมรรคมีองค์๘
เรียกสั้นๆว่า สัมมามรรค
และยังมีหนทางผิดจากนิพพานก็มีอยู่๘เช่นกัน......เรียกว่า.....มิจฉามรรค


ในความเป็นมรรคที่กล่าวมา จะมีมรรคอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่เป็นทั้ง สัมมามรรค
และเป็นทั้งมิจฉามรรค......เราเรียกมรรคกลุ่มนี้ว่า สัมมามรรค ที่เป็นสาสวะ

สัมมามรรคที่เป็นสาสวะ เป็นทั้งมิจฉามรรคและสัมมามรรค
ถ้ากล่าวในแง่ของความเป็นอกุศล สัมมาสาสวะเป็นคนล่ะกลุ่มกับมิจฉามรรค

แต่ถ้ากล่าวในแง่ความเป็นกุศล สัมมาสาสวะจัดอยู่ในกลุ่มของสัมมามรรค
ตรงข้ามถ้ากล่าวในแง่นิพพาน....สัมมาสาสวะ จัดอยู่ในกลุ่มของมิจฉามรรค

ขอแบ่งกลุ่มให้ดูง่ายๆ.....
๑.มิจฉา....(กุศล อกุศล)
๒.สัมมา....(กุศล.....สาสวะและอนาสวะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2013, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราต้องทำความเข้าใจให้ดีกับบัญญัตที่เรียกว่า......มรรค
เมื่อเราจะกล่าวถึงคำว่ามรรค เราจะต้องกล่าวด้วยว่า.....มรรคของอะไร
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า มรรคต้องมีจุดหมายปลายทาง


ไม่ใช่จะมาบอกว่า มรรคมีเท่านั้นเท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ให้เข้าใจได้เลยว่า
บุคคลนั้นขาดความเข้าใจในมรรค

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะกล่าวถึงอริยมรรคมีองค์๘
เราจะต้องกล่าวหรือเราต้องรู้จุดหมายปลายทางเสียก่อน นั้นก็คือ....สัมมาญาณะ
ในอริยมรรคมีองค์๘ มรรคแต่ล่ะองค์ล้วนเป็นมรรคของ...สัมมาญาณะ

เช่นกันในอริยมรรคมีองค์แปด ในองค์มรรคแต่ล่ะองค์ล้วนมี มรรคของตนเอง
อย่างเช่น...สัมมาทิฐิ ย่อมต้องมีมรรคเพื่อสัมมาทิฐิ และองค์อริยมรรคอื่นก็เช่นกัน

สรุปให้ฟังสั้นๆว่า การจะกล่าวในเรื่องของ..มรรค
จะมากล่าวเพียงแค่ว่า มรรคมีเท่านั้นเท่านี้ไม่ได้
เราจะต้องบอกด้วยว่า มรรคของอะไรหรือมรรคเพื่ออะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2013, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น การจะมาบอกจำนวนมรรค จะต้องมีจุดหมายปลายทาง
เพราะมันขึ้นอยู่กับองค์ธรรมที่เป็นประธาน เหตุนี้มรรคในแต่ล่ะองค์ธรรมประธานจะไม่เท่ากัน

ทั้งนี้และทั้งนั้น.......มรรคที่เป็นจำนวนหรือหัวใจของพุทธศาสนิก ไม่แยกว่าจะเป็นบุคคล
ระดับไหน ปุถุชนหรืออริยชน ผลสุดท้ายแห่งการตรัสรู้.........
จะต้องอาศัยมรรคที่พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้ นั้นก็คือมรรคในโพธิปักขิยธรรม

มรรคในโพธิปักขิยธรรมมีจำนวนทั้งสิ้น......๓๗ประการ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จินตนาการเข้าไปเอ้า....

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2013, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จินตนาการเข้าไปเอ้า....


กรัชกายกับบิกทู่นิสัยพอกัน ทำอะไรเป็นเด็ก
พอถูกขัดใจ ก็พาลไปทั่ว กระทู้นี้มันเกี่ยวอะไรด้วย
แล้วที่พูดมามันมีเหตุผลมั้ยล่ะนั้น ไร้เดียงสาจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2013, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จินตนาการเข้าไปเอ้า....


กรัชกายกับบิกทู่นิสัยพอกัน ทำอะไรเป็นเด็ก
พอถูกขัดใจ ก็พาลไปทั่ว กระทู้นี้มันเกี่ยวอะไรด้วย
แล้วที่พูดมามันมีเหตุผลมั้ยล่ะนั้น ไร้เดียงสาจริงๆ


บางเรื่องบางอย่างพูดได้เพราะต้องพูดให้เขาได้ยินไ้ด้ฟัง แต่บางเรืองบางอย่างต้องลงมือทำ พอเข้าใจไหม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร