วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ค. 2025, 23:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2015, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะไม่รู้เท่า
เมื่อรู้เท่าทันความเป็นจริงแล้ว...
ทุกข์ก็หายไปเอง
เราคิดว่าจิตเป็นสุข...จิตเป็นทุกข์
แต่ความจริง จิตไม่ได้สร้างสุข สร้างทุกข์...
อารมณ์มาหลอกลวงมันจึงหลงอารมณ์

หลวงปู่ชา สุภัทโท


ลูกศิษย์ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม
"การที่จะกำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็มีสติหายใจออกก็มีสติ อันนี้ก็สามารถที่จะทำให้ใจเข้าถึงความสงบระงับเป็นสมาธิมีความแน่วแน่อยู่ที่ใจได้
....คำว่าจิตสงบเป็น...สมาธิมีความแน่วแน่อยู่ที่ใจก็คือมีการปล่อยวาง ลมหายใจเข้าลมหายใจออกนั่นเอง ไม่ใช่เวลาจิตสงบแล้ว จะไปยึดลม ไม่ยอมปล่อยวางลม อย่างนั้นไม่ถูก ลม ในเมื่อจิตพอเริ่มสงบลมก็ปรากฏว่ามีความละเอียด มีความเย็นมีความเบาในการหายใจเข้า หายใจออกนั้น ในที่สุดมีความอะเอียดเข้าละเอียดเข้า ลมนี่ปรากฏเหมือนกับไม่มีเข้าไม่มีออก ในเมื่อลมไม่ปรากฏว่าลมเข้าลมออก แต่มีความรู้ว่าลมไม่มีเข้าไม่มีออกตรงนั้นก็ยังปรากฏอยู่
....ในเมื่อเป็นอย่างนี้ไม่ต้องไปกังวล ให้ปล่อยวางลมหายใจเข้าปล่อยวางลมหายใจออก มากำหนดอยู่ที่จิต ให้มีความแน่วแน่ตั้งมั่นอยู่ที่จิตคือผู้รู้นี้ เรียกว่าการกำหนดลมก็มุ่งที่จะให้จิตเข้าถึงความสงบระงับอยู่ที่จิตนี้ ไม่ใช่พอใจอยู่กับว่าให้จิตสงบอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออกเท่านั้น ให้สงบแน่วแน่อยู่ที่จิต การที่จะสงบแน่วแน่อยู่ที่จิต จิตก็ต้องปล่อยวางลม เพราะลมนั้นก็เป็นอารมณ์เครื่องยึดถือนี่ ต้องปล่อยวาง การบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ ก็เหมือนกัน".....หลวงปู่แบน ธนากโร


ลูกศิษย์ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน....."พื้นฐานขั้นต้นคือกายที่เราเรียกกันว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐานที่ให้พิจารณากาย สักแต่ว่าเป็นกาย ไม่ ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน... ไม่ใช่เราใช่เขา นี่ตำรา ทีนี้ในวิธีปฏิบัติขอให้ท่านพุทธบริษัท จงเพ่งใจลงไปที่กายของท่าน อย่าไปหมายคำว่ากายเรา กายเขา อย่าไปหมายคำว่ากายสัตว์ กายคน กายตน กายเรา กายเขา แม้คำว่ากายก็อย่าไปหมาย เพราะว่าถ้าให้สัตว์เดรัจฉานมันมาเรียกมันจะเรียกกาย ทำความรู้ในใจเข้าไปที่วัตถุชิ้นหนึ่ง สัก แต่ว่าเป็นวัตถุก้อนหนึ่ง ไม่ได้มีชื่อเรียกตัวของมันเองก็ไม่ได้ประกาศว่ามันชื่ออะไร เราไปใส่ชื่อมันเองว่าเป็นกายยิ่งแยกแยะออกไป เราไปใส่ชื่อมันว่า ผม ว่าขน ว่าเล็บ ว่าฟัน ว่าหนัง ว่าเนื้อ ว่าเอ็น ว่ากระดูกอะไร เป็นอาการ ๓๒ ความเป็นจริงตัวมันไม่รู้อะไรเลยว่ามัน ชื่อว่าผม มันชื่อว่าขน ชื่อว่าเล็บ ชื่อว่าฟัน ชื่อว่า หนัง มันก็ไม่รู้ว่าใจตัวนี้สมมติมัน มันเป็นสิ่งรอง รับสมมติ ตัวรองรับสมมติไม่ได้รู้ว่าตัวของตัวเป็นอะไร เพราะฉะนั้น เมื่อเราจะเพ่งกายจงเลิกสมมติคำว่ากา ยเพ่งเข้าไปในส่วนในกายนี้จุดใดจุดหนึ่งแต่ไม่ให้มันพ้นไปจากก้อนกายอันมียาววาหนาคืบอันนี้ เมื่อเรา เพ่งเข้าไปนั้น วิธีเพ่งนี้เป็นวิธีที่จะทำให้จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คือ ทำให้จิตเป็นอารมณ์เดียว เรียกว่า อารัมณูปณิชฌาน ฌานที่เข้าไปทำให้จิตรวมอารมณ์
....เมื่อเพ่งเข้าไปแล้วเอาสติระลึกอยู่จุดที่เพ่งนั้น ระลึกไปแล้วก็เอาตัวผู้รู้คือใจไปรู้อยู่ที่สตินั้น เมื่อสติระลึกอยู่ตรงไหนจงเอาใจ คือตัวผู้รู้ให้อยู่ ตรงสตินั้น ระลึกไปสติแปลว่า ระลึกได้ ระลึกไปแล้ว ก็รู้ตามไป ระลึกอยู่ในสิ่งๆหนึ่ง ในวัตถุก้อนหนึ่ง โดยไม่หมายว่ามันเป็นอะไรเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง คล้ายกับเราหาของเล่นให้เด็ก เด็กมันไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเขา เรียกว่าอะไรหรอก แต่มันก็พลิกไปพลิกมา ดูมันเพลิด เพลิน เล่นไปเพลิดเพลินไปได้ การเพ่งสติถ้าเอาสติเข้า ไปเพ่งที่กายนี้ พยายามเพ่งแล้วก็ระลึกไป รู้ไปที่เป้านั้น ถ้าบังเอิญเมื่อเราน้อมจิตเพ่งเข้าไปรู้เช่นเอา กระดูกเป็นอารมณ์ แต่ก็ไม่ต้องหมายว่ากระดูกอีก เมื่อ เราระลึกอยู่ตรงที่วัตถุสิ่งหนึ่งนั้น ระลึกไปรู้ไป ถ้าสติมันย้ายไประลึกไปจุดอื่นแต่อยู่ในกาย สติมันย้ายไประลึกจุดอื่นเอาใจตัวรู้นี้ตามสติไป เอารู้ที่ไป อยู่ที่สติที่ระลึกนั้นให้ตัวรู้กับตัวระลึกอยู่ด้วยกัน ถ้าบังเอิญตัวรู้ตัวนี้มันย้ายที่ เราเพ่งส่วนบนมันไปรู้ส่วนล่างก็ย้ายสติเข้าไปตามตัวรู้ แปลว่าตั ผู้รู้ตัวนั้นมันย้ายที่ก่อนก็เอาสติตามผู้รู้ไป ไปร ลึกอยู่ตรงที่มันชอบรู้ตัวนั้น ถ้าหากว่าตัวสติมัน แลบไปก่อน ก็เอาตัวรู้นี่ย้ายตามสติ ถ้าหากตัวผู้รู้ มันแลบไปรู้ก่อนก็เอาสติตามตัวรู้ไปให้ไปรู้อยู่ตรง ที่จุดที่ใจมันชอบรู้ ชอบนึก ชอบคิดอยู่ตรงนั้น
....ถ้าเพ่งใหม่ๆ การเพ่งยังไม่เพียงพอ เป้าที่เพ่งนั้น หายก่อนสติหายไปก่อน ใจส่งไปรู้เรื่องอื่นนั้นยังอ่อน ยังไม่พอเพ่งยังไม่พอ ถ้าเพ่งอย่างนั้นต้องน้อมเอามาเพ่งใหม่ เพ่งจนเป้านิ่งที่เพ่งนั้นเด่นชัด ชัดเด่นที่สุดไม่มีอะไรเลยมีแต่เป้ากับสติกับตัวรู้ที่มันรู้ กันกับเป้านิ่งนั้นเด่นชัดเด่นอย่างเดียวหมดทั้งโลก ไม่มีอะไรนอกจากเป้านิ่งกับตัวสติกับตัวผู้รู แล้ว ได้สัดได้ส่วน ถ้าสติมันถี่เกินแล้ว เวลาเพ่งพอเรา ปล่อยปั๊ป เป้านิ่งหายปั๊ปสติหายปั๊ปจิตรวมปั๊ปสติ ที่ถี่เกินต้องวัดด้วยวิธีลองผ่อนดูถ้าหากลองผ่อนแล้ว มันไปอื่นนั่นยังเพ่งยังไม่พอ ต้องเพ่งให้พอ จนกว่าเป้านิ่งมันจะเด่นอยู่กับตัวสติกับตัวผู้รู้ เท่านั้น เด่นชัดยิ่งขึ้นๆ ไม่มีอารมณ์อะไรอื่นเลยมีอารมณ์เดียว มีเป้านิ่งกับสติตัวผู้รู้เท่านั้น รวมกลมกลืนกันเป็น อารมณ์เดียว ได้เวลาพอสมควรมันจะรวมปั๊ปเมื่อรวมปั๊ป เข้าไปรวมใหม่ๆ ไม่นาน แล้วมันจะถอนออกมาถ้าพอถอน ออกมามันติดอยู่กับอะไร ใจรีบคล้ายหลับแล้วตื่น ตื่น ขึ้นมาคือจิตมันรวมแล้ว มันตื่นขึ้นมาจับอะไรเป็นอารมณ์เพ่งอารมณ์นั้นที่ถอนปั๊บขึ้นมานั่นมาติด ยึดอารมณ์อะไรก่อน เอาสติจับอารมณ์นั้นเป็นเป้าระ ลึก เอาผู้รู้เข้าไปรู้เป้านั้นเป็นเป้าเพ่งกันต่อไป"....พระอ.มหาปิ่น ชลิโต

" ตราบใดที่ยังอยาก จะไม่เกิดมรรคผล "

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระพุทธเจ้าสอนอริยสัจนะ ง่ายๆเลย ทุกข์ให้รู้ ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือกายกับใจ หน้าที่ของเราก็คือรู้กายรู้ใจใ...ช่มั้ย ง่ายๆ รู้ไปเรื่อยแล้ววันนึงละสมุทัยเอง ละความอยาก พอหมดความยึดในกายในใจ มันก็หมดความอยากที่จะให้กายให้ใจเป็นสุข หมดความอยากให้กายให้ใจพ้นทุกข์ เมื่อไรจิตหมดความอยากนะ จิตก็เห็นนิพพาน นิพพานคือสภาวะที่พ้นจากความอยาก ยังอยากอยู่นะไม่เห็นนิพพาน ยังอยากปฏิบัติยังไม่มีวันเห็นนิพพานหรอก อยากได้ผลนะ ยิ่งไม่มีทางเห็นใหญ่ งั้นตราบใดที่ความอยากยังครองหัวใจอยู่ ตราบนั้นยังไม่เกิดมรรคผลหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร