วันเวลาปัจจุบัน 17 ต.ค. 2025, 00:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2015, 11:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s006 s006 s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2015, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ผัสสะ

หากกำลังทำความเพียรอยู่
จิตมีวิตก วิจารณ์ ถึงสิ่งใดก็ตาม

หากความนึกคิดที่เกิดขึ้น ไปหาอดีตบ้าง หาอนาคตบ้าง
เพลิดเพลินกับความคิด ไม่มีความรู้สึกรำคาญแต่อย่างใด
สภาพธรรมนี้ คือ ถูกโมหะครอบงำ ตัณหาเกิด จึงเพลิดเพลินกับความนึกคิด ที่ไปหาอดีตบ้าง อนาคตบ้าง



หากความนึกคิดที่เกิดขึ้น ไปหาอดีตบ้าง หาอนาคตบ้าง
ความนึกคิดที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญ ประมาณว่า จะคิดอะไรนักหนา
อาการที่เกิดขึ้น ที่มีลักษณะแบบนี้ เรียกว่า ฟุ้งซ่าน
เพราะซ่านไปในอารมณ์ จึงทำให้เกิดความรำคาญ




หากความนึกคิดที่เกิดขึ้น ไปหาอดีตบ้าง หาอนาคตบ้าง
ถ้ากำหนดรู้ว่ามีความนึกคิดไปอดีตบ้าง อนาคตบ้าง
พิจรณาว่า เป็นธรรมดาของเหตุและปัจจัยที่ยังมีอยู่ ไม่เอามาเป็นอารมณ์ แค่รู้ว่ามีเกิดขึ้น

ความนึกคิดที่เกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง
เกิดก็เพราะเหตุ
ดับหายไปเอง ตามเหตุปัจจัยของสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้น

จิตย่อมตั้งมั่นเอง ตามเหตุปัจจัย
โดยไม่ต้องพยายามกระทำเพื่อให้จิตเกิดความตั้งมั่น แต่อย่างใด


[๕๓๗] ภิกษุนั้นย่อมเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
วิปัสสนา ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดใน
วิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์

เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ
ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง

เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ฯ




จริงๆแล้ว ตัวที่เป็นปัญหา คือ ตัวตัณหา ความอยากให้ใจสงบ
พอกำหหนดว่า คิดหนอ รู้หนอ มันก็ดับหายไปด้วยกำลังของการบริกรรม

พอคำบริกรรมหาย ความนึกคิดก็กลับมาอีกแล้ว
เมื่อไปจดจ่ออยู่กับความนึกคิดตรงนี้ จึงทำให้เกิดความรำคาญ
ความอยากให้หาย จึงทำให้เกิดเป็นทุกข์


การคิดในสิ่งที่น้อมเองว่า คิดไม่ดี

เช่น คิดปรามาสพระพุทธเจ้า นี่ก็ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านได้ เพราะถือมั่นกับคำว่า ไม่ดี อกุศล
แท้จริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น ที่เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
ล้วนเป็นเหตุและปัจจัยที่มีอยู่ของผู้นั้น กับผัสสะที่เกิดขึ้น เป็นปัจจัยให้เกิดผลกระทบทางใจ

เพียงตั้งใจทำความเพียรต่อเนื่อง
ความนึกคิดที่ติดข้องสิ่งใดอยู่ จะค่อยๆหายไป
เมื่อยังมีเหตุปัจจัยอยู่ ก็มีความนึกคิดใหม่ เกิดขึ้นแทน

ที่คิดว่า หายไปแล้ว มันแค่หายไปชั่วระยะหนึ่ง
วันเวลาผ่านไป จนลืมไปว่า ไม่เคยมีความนึกคิดนี้ๆ เกิดขึ้น
สิ่งที่เคยมีเกิดขึ้น คิดว่า ไม่มีแล้ว หายไปหมดแล้ว วันดีคืนดี กลับมาโชว์ตัวหราอีกครั้ง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2015, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาพธรรมที่ละเอียดขึ้นไปอีก

อนุรุทธสูตรที่ ๒

[๕๗๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่
อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไป
แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกล่าวว่า

ขอโอกาสเถิดท่านสารีบุตร ผมตรวจดูตลอดพันโลกด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
ก็ผมปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่น
เป็นเอกัคคตา เออก็ไฉนเล่า จิตของผมจึงยังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านอนุรุทธะ การที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า เราตรวจ
ดูตลอดพันโลก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ดังนี้ เป็นเพราะมานะของท่าน

การที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า ก็เราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน
ตั้งสติมั่นไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตาดังนี้
เป็นเพราะอุทธัจจะของท่าน

ถึงการที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า เออก็ไฉนเล่า จิตของเรายังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้
ก็เป็นเพราะกุกกุจจะของท่าน เป็นความดีหนอ

ท่านพระอนุรุทธะจงละธรรม ๓ อย่างนี้ ไม่ใส่ใจธรรม ๓ อย่างนี้ แล้วน้อมจิตไปในอมตธาตุ
ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะต่อมาได้ละธรรม ๓ อย่างนี้ ไม่ใส่ใจถึงธรรม ๓ อย่างนี้
น้อมจิตไปในอมตธาตุ ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะ หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว
เป็นผู้ไม่ประมาท มีตนอันส่งไปอยู่ ไม่นานนัก ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม
ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องกันนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แหละ ท่านพระอนุรุทธะ
ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ



http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... 420&Z=7441

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2015, 14:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2015, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8606


 ข้อมูลส่วนตัว


โมหมูลจิตเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา ประกอบกับความฟุ้งซ่าน (อุทธัจจเจตสิก)
อุทธัจจะคืออะไร ? คือ ความฟุ้ง ความไม่สงบแห่งจิต ความซัดส่ายแห่งจิต ความหมุนเวียนแห่งจิต.
นี่คือคำอธิบายในพระไตรปิฎก

สำหรับ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน เกิดกับอกุศลจิตทุกๆประเภท ดังนั้น ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด
ขณะนั้นฟุ้งซ่านแล้ว แม้เพียงเล็กน้อย ซึ่ง ในพระไตรปิฎกก็อธิบาย

อุทธัจจะว่า คือ ความไม่สงบแห่งจิต อกุศลเพียงเล็กน้อย แม้เป้นโมหะมุลจิตที่ประกอบอด้วยอุทธัจจะ
ขณะนั้น จิตไม่สงบด้วยอำนาจอกุศล เพราะฉะนั้น คำว่า

อุทธัจจะ จึงมีความหมายหลากหลายนัย ทั้ง ความฟุ้งซ่าน และ ความไม่สงบแห่งจิต ความซัดซ่ายแห่งจิต
ในขณะนั้น แม้เพียงเล้กน้อย ที่เป็นอกุศล ก็ชือ่ว่าไม่สงบ เพราะ

อกุศล ไม่ทำให้สงบจากนิวรณ์ กิเลส และฟุ้งไปด้วยอำนาจกิเลสที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงไม่ได้หมายความว่า
ความฟุ้งซ่านที่เป็นอุทธัจจะ จะต้องเป็นการคิดเป็นเรื่องราว

หลายๆเรื่อง จะเป็นความฟุ้งซ่านที่หมายถึงอุทธัจจะ แต่แม้อกุศลจิตที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย
ยังไม่ได้คิดเป็นเรื่องราวมากมาย หลายๆเรือ่งก็เป็นอุทธัจจะด้วยความหมาย

ความไม่สงบแห่งจิตนั่นเองครับ ซึ่งพระอรหันต์เท่านั้นที่
จะละอุทธัจจะเจตสิก ได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2015, 21:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b44:
ฟุ้งซ่านในธรรม. เป็นอาการของผู้ที่กำลังพบธรรมใหม่ๆ กำลังแตกฉานในธรรม ประสบภพสภาวธรรมอันใดก็เอามาวิเคราะห์วิจัย วิตก วิจารณ์ไปหมด จะจัดว่าอยู่ในช่วงแห่งธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็ได้ เป็นอุทธัจจะในกลุ่มของสังโยชน์ 5 ที่เหลือให้ต้องชำระก็ได้ครับ
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 06:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8606


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b44:
ฟุ้งซ่านในธรรม. เป็นอาการของผู้ที่กำลังพบธรรมใหม่ๆ กำลังแตกฉานในธรรม ประสบภพสภาวธรรมอันใดก็เอามาวิเคราะห์วิจัย วิตก วิจารณ์ไปหมด จะจัดว่าอยู่ในช่วงแห่งธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็ได้ เป็นอุทธัจจะในกลุ่มของสังโยชน์ 5 ที่เหลือให้ต้องชำระก็ได้ครับ
:b27:


ดังที่อโสกะอธิบายมานี้ ก็คือเมื่อความฟุ้งซ่านเกิด ก็ให้รู้ว่าความฟุ้งซ่านเกิด
เป็นการเจริญวิปัสสนาในหมวดจิตตานุปัสสนากรรมฐาน หรือจิตดูจิต สาธุ !

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 06:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_20150611_1600.jpg
IMG_20150611_1600.jpg [ 29.29 KiB | เปิดดู 2911 ครั้ง ]
ลุงหมาน เขียน:
asoka เขียน:
:b44:
ฟุ้งซ่านในธรรม. เป็นอาการของผู้ที่กำลังพบธรรมใหม่ๆ กำลังแตกฉานในธรรม ประสบภพสภาวธรรมอันใดก็เอามาวิเคราะห์วิจัย วิตก วิจารณ์ไปหมด จะจัดว่าอยู่ในช่วงแห่งธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็ได้ เป็นอุทธัจจะในกลุ่มของสังโยชน์ 5 ที่เหลือให้ต้องชำระก็ได้ครับ
:b27:


ดังที่อโสกะอธิบายมานี้ ก็คือเมื่อความฟุ้งซ่านเกิด ก็ให้รู้ว่าความฟุ้งซ่านเกิด
เป็นการเจริญวิปัสสนาในหมวดจิตตานุปัสสนากรรมฐาน หรือจิตดูจิต สาธุ !

smiley
สาธุครับลุงหมาน ที่กรุณาบอกทางแก้ไขความฟุ้งซ่านในธรรม
:b4:
ความฟุ้งซ่านในธรรมในลักษณะของธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์นี้ยังไงๆก็จำเป็นต้องเกิดกับทุกคนเพื่อให้เกิดความฉลาดแยกแยะแจกแจงธรรม เมื่อเกิดจนอิ่มเอมเพียงพอแล้วจึงจะเผยช่องให้วิปัสนาปัญญาเข้าขุดถอนทำลายเกิดเบื่อหน่ายในความรู้อันมากมายลึกซึ้งนี้ได้ อุธัจจะในธรรมตัวนี้พระอริยบุคคล 3 ชั้นต้นจึงทำลายไม่ขาดต้องใช้อรหัตมรรคตัดจึงขาด
:b47:
อนึ่งความฟุ้งซ่านธรรมดานั้นเป็นธรรมารมณ์แต่ความฟุ้งซ่านในธรรมนั้นอาจพิจารณาในแง่จิตตานุปัสสนาหรือธัมมานุปัสนาภาวนาก็ได้ครับ

ฟุ้งซ่านเป็นธรรมา จิตยินดีรื่นเริงบันเทิงเพลินกับความฟุ้งในธรรมเป็นจิตตานุปัสสนา
s004
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2015, 11:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1236

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูอย่างนี้แล้วห่วงอย่างนั้น เรียกว่า อาการฟุ้งซ่านในธรรม เช่น ดูความสุข แล้วห่วงความทุกข์
เพราะไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง จิตดวงเก่าดับไปแล้วจิตดวงใหม่เกิดขึ้น ดูตามความเป็นจริง เกิดตรงไหนเขาก็ดับตรงนั้น นั่นแหละเรียกว่าได้ดวงตาเห็นธรรม
สายสืบนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2015, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อาการ ฟุ้งซ่านในธรรม เป็นยังไงครับ

ธัมมุจธัจจ์ หรือที่เรียกกันภายหลังว่า วิปัสสนูปกิเลส 10 ประการ
ซึ่งเกิดขึ้นในขณะเจริญจิตตภาวนา
ธัมมุจธัจจ์ เมื่อเกิดขึ้น ย่อมไม่ใช่ธัมมวิจยะ ไม่เป็นองค์แห่งสัมโพชฌงค์
ธัมมุจธัจจ์ เป็นความอาลัยอาวรณ์ ความพึงพอใจ ต่อคุณวิเศษที่เกิดขึ้นซึ่งจะขวางกั้นนิพพาน

ดังปรากฏการบันทึกในปฏิสัมภิทามรรค
เป็นความอาลัยอาวรณ์ ความพึงพอใจในต่อกุศลธรรมอันได้แล้วจากการบำเพ็ญในขณะจิตตภาวนา

ซึ่งไม่ใช่ลักษณะเดียวกับ อุจธัจจะกุกกุจะอันเป็นนิวรณ์ เป็นกิเลสทำให้จิตห่างจากปัญญา

Quote Tipitaka:
ใจที่นึกถึงความพอใจอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้อย่างนี้ ฯ
จิตย่อมกวัดแกว่งหวั่นไหวเพราะโอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ
สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐานะ ความวางเฉยจาก
ความนึกถึงอุเบกขา และนิกันติ ภิกษุนั้นกำหนดฐานะ
๑๐ ประการนี้ ด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความ
นึกถึงโอภาสเป็นต้นอันเป็นธรรมฟุ้งซ่าน และย่อมไม่ถึง
ความหลงใหล จิตกวัดแกว่ง เศร้าหมอง และเคลื่อนจาก
จิตภาวนา จิตกวัดแกว่ง เศร้าหมอง ภาวนาย่อมเสื่อมไป
จิตบริสุทธิ์ ไม่เศร้าหมอง ภาวนาย่อมไม่เสื่อม จิตไม่
ฟุ้งซ่าน ไม่เศร้าหมอง และไม่เคลื่อนจากจิตภาวนาด้วย
ฐานะ ๔ ประการนี้ ภิกษุย่อมทราบชัดซึ่งความที่จิตกวัด
แกว่งฟุ้งซ่าน ถูกโอภาสเป็นต้นกั้นไว้ ด้วยฐานะ ๑๐ ประการ
ฉะนี้แล ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร