วันเวลาปัจจุบัน 15 ต.ค. 2025, 19:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2015, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๙. อสังขตสังยุต

วรรคที่ ๑๑

ว่าด้วยอสังขตะและทางให้ถึงอสังขตะ


[๖๗๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงอสังขตะและทางที่จะให้ถึงอสังขตะแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ
นี้เรียกว่าอสังขตะ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
กายคตาสติ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตะเราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย
ทางที่จะให้ถึงอสังชตะเราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์พึงกระทำแก่สาวกทั้งหลาย
กิจนั้นอันเราอาศัยความอนุเคราะห์ กระทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั้นเรือนว่าง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเพ่ง
อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลังเลย
นี้เป็นอนุศาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลาย.


[๖๗๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงอสังขตะและทางที่จะให้ถึงอสังขตะแก่เธอทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงฟัง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็อสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ นี้เรียกว่าอสังขตะ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน
สมถะและวิปัสสนานี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ ฯลฯ

[๖๗๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
สมาธิที่มีทั้งวิตกวิจาร สมาธิที่ไม่มีวิตก มีแต่วิจาร สมาธิที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน
สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ
นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๗๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
สติปัฏฐาน ๔ นี้ เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๗๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
สัมมัปปธาน ๔ นี้ เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๘๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
อิทธิบาท ๔ นี้ เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๘๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
อินทรีย์ ๕ นี้ เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๘๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
พละ ๕ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๘๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
โพชฌงค์ ๗ นี้ เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๘๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตะเราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย
ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายกิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์พึงกระทำแก่สาวกทั้งหลาย
กิจนั้นเราอาศัยความอนุเคราะห์ กระทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั้นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเพ่ง
อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลังเลย
นี้เป็นอนุศาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลาย.
จบ วรรคที่ ๑

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2015, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อสังขตสังยุต

วรรคที่ ๒

ว่าด้วยอสังขตะและทางให้ถึงอสังขตะ

[๖๘๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอสังขตะ และทางที่จะให้ถึงอสังขตะแก่เธอทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงฟัง.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็อสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ
ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่าอสังขตะ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
คือสมถะ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตะและทางที่จะให้ถึงอสังขตะ
เราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจใดอันศาสดาพึงแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์ พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย
กิจนั้นอันเราอาศัยความอนุเคราะห์ทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้นั่นเรือนว่าง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเพ่ง อย่าประมาท
อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลังเลย
นี้เป็นอนุศาสนีของเรา เพื่อเธอทั้งหลาย.


[๖๘๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอสังขตะและทางที่จะ
ให้ถึงอสังขตะแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็อสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ
ความสิ้นโมหะ นี้เรียกอสังขตะ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
คือ วิปัสสนานี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตะและทางที่จะให้ถึงอสังขตะ
เราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้แล ฯลฯ
นี้เป็นอนุศาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลาย


[๖๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
คือ สมาธิมีทั้งวิตกวิจาร นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ . . .

[๖๘๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
คือ สมาธิไม่มีวิตก มีแต่วิจาร นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ. . .

[๖๘๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
คือ สมาธิไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ. . .

[๖๙๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
คือ สุญญตสมาธิ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ . . .

[๖๙๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
คือ อนิมิตตสมาธิ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ . . .

[๖๙๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
คือ อัปปณิหิตสมาธิ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ . . .

[๖๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความเพียรเครื่องเผา
กิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พึงกำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียได้ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ . . .

[๖๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความเพียรเครื่องเผา
กิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พึงกำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียได้ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๖๙๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.


[๖๙๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังความพอใจให้เกิดขึ้น
พยายามปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อยังธรรมอันเป็น
บาปอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.


[๖๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังความพอใจให้เกิดขึ้น
พยายามปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อละธรรมอันเป็นบาป
อกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ. . .

[๖๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังความพอใจให้เกิดขึ้น
พยายามปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้เพื่อยังธรรมอันเป็นกุศล
ที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ. . .


[๗๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังความพอใจให้เกิดขึ้น
พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งอยู่ ความ
ไม่เลอะเลือน ความเพิ่มพูน ความไพบูลย์ ความเจริญ ความบริบูรณ์
แห่งธรรมอันเป็นกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ. . .

[๗๐๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบ
ด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ. . .

[๗๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบ
ด้วยวิริยสมาธิและปธานสังขาร นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๗๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบ
ด้วยจิตตสมาธิและปธานสังขาร นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.
[๗๐๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบ
ด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๗๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญสัทธินทรีย์ อันอาศัยวิเวก
อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ

[๗๐๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญวิริยินทรีย์อันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.


[๗๐๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสตินทรีย์อันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงสังขตะ.

[๗๐๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสมาธินทรีย์อันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๗๐๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญปัญญินทรีย์อันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่
จะให้ถึงอสังขตะ.


[๗๑๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัทธาพละอันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.


[๗๑๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางทั้งจะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญวิริยพละอันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.
[๗๑๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติพละอันอาศัยวิเวก
อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๗๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสมาธิพละอันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ

[๗๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญปัญญาพละ อันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๗๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อัน
อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๗๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญ
ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์. . . วิริยะสัมโพชฌงค์. . . ปิติสัมโพชฌงค์. . .ปัสสัทธิ.
สัมโพชฌงค์. . . สมาธิสัมโพชฌงค์. . . อุเบกขาสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก
อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.


[๗๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิอันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ.

[๗๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาสังกัปปะ. . .
สัมมาวาจา . . .สัมมากัมมันตะ. . . สัมมาอาชีวะ. . . สัมมาวายามะ. . .
สัมมาสติอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ
นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ .


[๗๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงอสังขตะเป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิอันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตะ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตะและทางที่จะให้ถึงอสังขตะ
เราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลผู้อนุเคราะห์
พึงกระทำแล้วแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นอันเราอาศัยความอนุเคราะห์ กระทำแล้วแต่เธอทั้งหลาย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเพ่ง
อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย
นี้เป็นอนุศาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลาย.


[๗๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงที่สุดและทางที่จะให้ถึงที่สุดแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ที่สุดเป็นไฉน ฯลฯ.


[๗๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันหาอาสวะมิได้
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันหาอาสวะมิได้แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันหาอาสวะมิได้เป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมที่จริงแท้ และ
ทางที่จะถึงธรรมที่จริงแท้แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่จริงแท้เป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๒๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันเป็นฝั่ง
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันเป็นฝั่งแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันเป็นฝั่งเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๒๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันละเอียด
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันละเอียดแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันละเอียดเป็นไฉน ฯลฯ


[๗๒๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันเห็นได้แสนยาก
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันเห็นได้แสนยากแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันเห็นได้แสนยากเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันไม่คร่ำคร่า
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันไม่คร่ำคร่าแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันไม่คร่ำคร่าเป็นไฉน ฯลฯ

[๗๒๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันยั่งยืน
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันยั่งยืนแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันยั่งยืนเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๒๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันไม่ทรุดโทรม
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันไม่ทรุดโทรมแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันไม่ทรุดโทรมเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๒๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันใคร ๆ ไม่พึงเห็นด้วยจักษุวิญญาณ
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันใคร ๆ ไม่พึงเห็นด้วยจักษุวิญญาณแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรมอันใคร ๆ ไม่พึงเห็นด้วยจักษุวิญญาณเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๓๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันไม่มีกิเลสเครื่องให้เนิ่นช้า
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันไม่มีกิเลสเครื่องให้เนิ่นช้าแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันไม่มีกิเลสเครื่องให้เนิ่นช้าเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๓๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันสงบ
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันสงบแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันสงบเป็นไฉน ฯลฯ.


[๗๓๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันไม่ตาย
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันไม่ตายแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันไม่ตายเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๓๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันประณีต และ
ทางที่จะให้ถึงธรรมอันประณีตแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันประณีตเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๓๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันเยือกเย็น และ
ทางที่จะให้ถึงธรรมอันเยือกเย็นแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันเยือกเย็นเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๓๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันปลอดภัย และ
ทางที่จะให้ถึงธรรมอันปลอดภัยแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันปลอดภัยเป็นไฉน ฯลฯ.


[๗๓๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
และทางที่จะให้ถึงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๓๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันอัศจรรย์ และ
ทางที่จะให้ถึงธรรมอันอัศจรรย์แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันอัศจรรย์เป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๓๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันไม่เคยมี
เคยเป็น และทางที่จะให้ถึงธรรมอันไม่เคยมีเคยเป็นแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันไม่เคยมีเคยเป็นเป็นไฉนฯลฯ.

[๗๓๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความไม่มีทุกข์ และ
ทางที่จะให้ถึงความไม่มีทุกข์แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ก็ความไม่มีทุกข์เป็นไฉน ฯลฯ.
[๗๔๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันหาทุกข์มิได้
สละทางที่จะให้ถึงธรรมอันหาทุกข์มิได้แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันหาทุกข์มิได้เป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงนิพพาน และทางที่จะ
ให้ถึงนิพพานแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็นิพพานเป็นไฉน ฯลฯ.


[๗๔๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันหาความเบียดเบียนมิได้
และทางที่จะไห้ถึงธรรมอันหาความเบียดเบียนมิได้แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันหาความเบียดเบียนมิได้เป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๔๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันปราศจากความกำหนัด
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันปราศจากความกำหนัดแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันปราศจากความกำหนัดเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๔๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความบริสุทธิ์ และ
ทางที่จะให้ถึงความบริสุทธิ์แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความบริสุทธิ์เป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๔๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความพ้น และทางที่
จะให้ถึงความพ้นแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความพ้นเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๔๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันหาความอาลัยมิได้
และทางที่จะให้ถึงธรรมอันหาความอาลัยมิได้แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันหาความอาลัยมิได้เป็นไฉนฯลฯ.

[๗๔๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงที่พึ่ง และทางที่จะให้
ทางที่พึ่งแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ที่พึ่งเป็นไฉน ฯลฯ.


[๗๔๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงที่เร้น และทางที่จะ
ให้ถึงที่เร้นแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ที่
เร้นเป็นไฉน ฯลฯ.
[๗๔๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงที่ต้านทาน และทาง
ที่จะให้ถึงที่ต้านทานแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ต้านทานเป็นไฉน ฯลฯ.

[๗๕๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสรณะ และทางที่จะ
ให้ถึงสรณะแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สรณะเป็นไฉน ฯลฯ.

[๘๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
และทางที่จะให้ถึงธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้าแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เป็นไฉน.
ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางที่จะให้ถึงธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเป็นไฉน.
ทางที่จะให้ถึงธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้าคือ กายคตาสติ
นี้เรียกว่า ทางที่จะให้ถึงธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้า และทางที่จะให้ถึงธรรม
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อแลผู้อนุเคราะห์
พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นอันเราอาศัยความอนุเคราะห์ ทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเพ่ง
อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย
นี้เป็นอนุศาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลาย ( พึงขยายความให้พิสดารเหมือนอย่างอสังขตะ)

จบ วรรคที่ ๒

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2015, 02:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2015, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภัยในอนาคต ๕ ประการ

การทำความเพียร
แข่งกับอนาคตภัย


ภิกษุทั้งหลาย !
ภัยในอนาคตเหล่านี้ มีอยู่ ๕ ประการ
ซึ่งภิกษุผู้มองเห็นอยู่
ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียรเผากิเลส
มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้น
อยู่ตลอดไป

เพื่อถึง สิ่งที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ภัยในอนาคต ๕ ประการนั้น
คืออะไรบ้างเล่า ?



ห้าประการ คือ

( ๑ ) ภิกษุในกรณีนี้
พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า
บัดนี้เรายังหนุ่ม ยังเยาว์วัย
ยังรุ่นคะนอง มีผมยังดำสนิท
ตั้งอยู่ในวัยกำลังเจริญ คือ ปฐมวัย

แต่จะมีสักคราวหนึ่ง
ที่ความแก่จะมาถึงร่างกายนี้
ก็คนแก่ถูกความชราครอบงำแล้ว
จะมนสิการถึงคำสอน
ของท่านผู้รู้ทั้งหลายนั้น
ไม่ทำได้สะดวกเลย

และจะเสพเสนาสนะอันเงียบสงัด
ซึ่งเป็นป่าชัฏ ก็ไม่ทำได้ง่าย ๆ เลย

ก่อนแต่สิ่ง
อันไม่เป็นที่ต้องการ
ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ
( คือความแก่ )
นั้นจะมาถึงเรา

เราจะรีบทำความเพียร
เพื่อถึง สิ่งที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ทำให้ผู้ถึงแล้ว
แม้จะแก่เฒ่าก็จักอยู่เป็นผาสุก ดังนี้




( ๒ ) ภิกษุทั้งหลาย !
ข้ออื่นยังมีอีก
ภิกษุพิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า
บัดนี้เรามีอาพาธน้อย มีโรคน้อย
มีไฟธาตุให้ความอบอุ่นสม่ำเสมอ
ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก พอปานกลาง
ควรแก่การทำความเพียร

แต่จะมีสักคราวหนึ่ง
ที่ความเจ็บไข้จะมาถึงร่างกายนี้
ก็คนที่เจ็บไข้ถูกพยาธิครอบงำแล้ว
จะมนสิการถึงคำสอน
ของท่านผู้รู้ทั้งหลายนั้น
ไม่ทำได้สะดวกเลย

และจะเสพเสนาสนะอันเงียบสงัด
ซึ่งเป็นป่าชัฏ ก็ไม่ทำได้ง่าย ๆ เลย

ก่อนแต่สิ่ง
อันไม่เป็นที่ต้องการ
ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ
( คือความเจ็บไข้ )
นั้นจะมาถึงเรา

เราจะรีบทำความเพียร
เพื่อถึง สิ่งที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ทำให้ผู้ถึงแล้ว
แม้จะเจ็บไข้ก็จักอยู่เป็นผาสุก ดังนี้



( ๓ ) ภิกษุทั้งหลาย !
ข้ออื่นยังมีอีก
ภิกษุพิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า
บัดนี้ข้าวกล้างามดี
บิณฑะ หาได้ง่าย
เป็นการสะดวกที่จะยังชีวิตให้เป็นไป
ด้วยความพยายามแสวงหาบิณฑบาต

แต่จะมีสักคราวหนึ่งที่
ภิกษาหายาก ข้าวกล้าเสียหาย
บิณฑะหาได้ยาก
ไม่เป็นการสะดวกที่จะยังชีวิตให้เป็นไป
ด้วยความพยายามแสวงหาบิณฑบาต

เมื่อภิกษาหายาก
ที่ใดภิกษาหาง่าย
คนทั้งหลายก็อพยพกันไป ที่นั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น
ความอยู่คลุกคลีปะปนกันในหมู่คนก็จะมีขึ้น
เมื่อมีการคลุกคลีปะปนกันในหมู่คน
จะมนสิการถึงคำสอน
ของท่านผู้รู้ทั้งหลายนั้น
ไม่ทำได้สะดวกเลย

และจะเสพเสนาสนะอันเงียบสงัด
ซึ่งเป็นป่าชัฏ ก็ไม่ทำได้ง่าย ๆ เลย

ก่อนแต่สิ่ง
อันไม่เป็นที่ต้องการ
ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ
( คือภิกษาหายาก )
นั้นจะมาถึงเรา

เราจะรีบทำความเพียร
เพื่อถึง สิ่งที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ทำให้ผู้ถึงแล้ว
จักอยู่เป็นผาสุก
แม้ในคราวที่เกิดทุพภิกขภัย ดังนี้




( ๔ ) ภิกษุทั้งหลาย !
ข้ออื่นยังมีอีก
ภิกษุพิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า
บัดนี้ คนทั้งหลายสมัครสมาน
ชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน
เข้ากันได้ดุจดั่งนมผสมกับน้ำ
มองแลกันด้วยสายตาแห่งคนที่รักใคร่กัน
เป็นอยู่

แต่จะมีสักคราวหนึ่งที่
ภัย คือ โจรป่ากำเริบ
ชาวชนบทผู้ขึ้นอยู่ในอาณาจักร
แตกกระจัดกระจายแยกย้ายกันไป

เมื่อมีภัยเช่นนี้
ที่ใดปลอดภัย
คนทั้งหลายก็อพยพกันไป ที่นั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น
ความอยู่คลุกคลีปะปนกันในหมู่คนก็จะมีขึ้น
เมื่อมีการอยู่คลุกคลีปะปนกันในหมู่คน
จะมนสิการถึงคำสอน
ของท่านผู้รู้ทั้งหลายนั้น
ไม่ทำได้สะดวกเลย

และจะเสพเสนาสนะอันเงียบสงัด
ซึ่งเป็นป่าชัฏ ก็ไม่ทำได้ง่าย ๆ เลย

ก่อนแต่สิ่ง
อันไม่เป็นที่ต้องการ
ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ
( คือโจรภัย )
นั้นจะมาถึงเรา

เราจะรีบทำความเพียร
เพื่อถึง สิ่งที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ทำให้ผู้ถึงแล้ว
จักอยู่เป็นผาสุก
แม้ในคราวที่เกิดโจรภัย ดังนี้




( ๕ ) ภิกษุทั้งหลาย !
ข้ออื่นยังมีอีก
ภิกษุพิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า
บัดนี้สงฆ์สามัคคีปรองดองกัน
ไม่วิวาทกัน มีอุเทสเดียวกัน
อยู่เป็นผาสุก

แต่จะมีสักคราวหนึ่งที่
สงฆ์แตกกัน

เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว
จะมนสิการถึงคำสอน
ของท่านผู้รู้ทั้งหลายนั้น
ไม่ทำได้สะดวกเลย

และจะเสพเสนาสนะอันเงียบสงัด
ซึ่งเป็นป่าชัฏ ก็ไม่ทำได้ง่าย ๆ เลย

ก่อนแต่สิ่ง
อันไม่เป็นที่ต้องการ
ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ
( คือสงฆ์แตกกัน )
นั้นจะมาถึงเรา

เราจะรีบทำความเพียร
เพื่อถึง สิ่งที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว

ซึ่งเป็น สิ่งที่ทำให้ผู้ถึงแล้ว
จักอยู่เป็นผาสุก
แม้ในคราวเมื่อสงฆ์แตกกัน ดังนี้



ภิกษุทั้งหลาย !
ภัยในอนาคต ๕ ประการเหล่านี้แล
ซึ่งภิกษุผู้มองเห็นอยู่
ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียรเผากิเลส
มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้น
อยู่ตลอดไป

เพื่อถึง สิ่งที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
เสียโดยเร็ว


อริยสัจจากพระโอษฐ์ ( ภาคปลาย )
การทำความเพียรแข่งกับอนาคตภัย
( หน้า ๑๑๕๘ – ๑๑๖๑ )

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมที่มีตัณหาเป็นมูลเหตุ

ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ
อยู่อย่างมีสัมปชัญญะ

เพราะอาศัยตัณหา
จึงมีการแสวงหา

เพราะอาศัยการแสวงหา
จึงมีการได้

เพราะอาศัยการได้
จึงมีความปลงใจรัก

เพราะอาศัยความปลงใจรัก
จึงมีความกำหนัดด้วยความพอใจ

เพราะอาศัยความกำหนัดด้วยความพอใจ
จึงมีความสยบมัวเมา

เพราะอาศัยความสยบมัวเมา
จึงมีความจับอกจับใจ

เพราะอาศัยความจับอกจับใจ
จึงมีความตระหนี่

เพราะอาศัยความตระหนี่
จึงมีการหวงกั้น

เพราะอาศัยการหวงกั้น
จึงมีเรื่องราวอันเกิดจากการหวงกั้น
กล่าวคือ
การใช้อาวุธไม่มีคม
การใช้อาวุธมีคม
การทะเลาะ
การแก่งแย่ง
การวิวาท

การกล่าวคำหยาบว่า มึง ! มึง !
การพูดคำส่อเสียด
และการพูดเท็จทั้งหลาย

ธรรมอันเป็นบาปอกุศลเป็นอเนก
ย่อมเกิดขึ้นพร้อมด้วยอาการอย่างนี้









ตัณหา เป็นเหตุแห่งทุกข์

ตัณหาเป็นกรรม ปัจจุบันเป็นเหตุ

ทำไมตัณหา จึงเป็นกรรม
กรรม หมายถึง การกระทำทางมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม

เวทนาเป็นวิบาก ปัจจุบันเป็นผล
สุข-ทุกข์ (เวทนา) ที่มีเกิดขึ้นในชีวิต
ล้วนเกิดจากการกระทำของตัวเอง/ผล/วิบาก
ของ มโนกรรม กายกรรม วจีกรรม

เมื่อผัสสะเกิด
สิ่งที่เกิดขึ้น มีผลกระทบทางใจ(เวทนา)
ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด(ตัณหา อุปทาน ภพ)

เพราะไม่รู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้นว่า เกิดจากอะไรเป็นเหตุปัจจัย
และทำไมมีผลกระทบทางใจ ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด

เพราะไม่รู้ จึงปล่อยให้ก้าวล่วงออกไปให้เกิดเป็น วจีกรรม กายกรรม(ชาติ)

ผัสสะเกิด มีผลทางใจ
เวทนาเป็นวิบาก ปัจจุบันเป็นผล เพราะเหตุนี้


ตัณหาจึงเป็นกรรม เพราะเป็นแรงผลักดันกิเลสให้มีกำลัง
ก่อให้เกิดการกระทำ ตัณหาจึงเป็นกรรม เพราะเหตุนี้

ปัจจุบันเป็นเหตุ หมายถึง กระทำให้เกิดขึ้นใหม่
ตัณหา จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์(ทุกข์-สุข) เพราะเหตุนี้
---------------------------------------------------------------------

ถ้ากล่าวถึงต้นตอ ที่ทำให้เกิดเหตุแห่งทุกข์ (การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ) ได้แก่ อวิชชา

หากวิชชาเกิดขึ้นแล้ว เป็นปัจจัยให้รู้ชัด สภาพธรรมตามเป็นจริง ที่มีเกิดขึ้นของ ผัสสะ
ย่อมสามารถตัดห่วงโซ่(ปฏิจจสมุปบาท) ของเหตุแห่งทุกข์(ทุกข์-สุข ที่มีเกิดขึ้นในชีวิต)
และดับเหตุปัจจัยของการเกิดเวียนว่าย ในสังสารวัฏได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 12:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


[๒๘๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถีสมัยนั้นแล ท่านพระ
สารีบุตรอยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมารดาในบุพพาราม ใกล้พระนคร
สาวัตถี ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราจักแสดงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มี
สังโยชน์ในภายนอก ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น
ตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
ก็บุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล
สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยใน
โทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เมื่อแตกกายตายไป
ภิกษุนั้นย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เป็นอนาคามี
กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายใน เป็นอนาคามี
กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอกเป็นไฉน ภิกษุใน
พระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในพระปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วย
อาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ใน
สิกขาบททั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อแตก
กายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เป็น
อนาคามีไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่า บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอก
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ


ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วใน
ปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียง
เล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมปฏิบัติเพื่อความ
หน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับกามทั้งหลาย ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อ
คลาย เพื่อความดับภพทั้งหลาย ย่อมปฏิบัติเพื่อสิ้นตัณหา เพื่อสิ้นความโลภ
ภิกษุนั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพ
นั้นแล้ว เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
นี้เรียกว่า บุคคลมีสังโยชน์ในภายนอก เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้
เช่นนี้ ฯ




ครั้งนั้นแล เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรนั่น
กำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก
แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรง
พระกรุณา เสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับคำ
อาราธนาด้วยดุษณีภาพ

ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงหายจากพระเชตวันวิหาร
ไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านพระสารีบุตร ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาใน
บุพพาราม เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น พระผู้มี-
พระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ แม้ท่านพระสารีบุตรก็ได้ถวายบังคมพระ
ผู้มีพระภาค แล้วนั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัส
กะท่านพระสารีบุตรว่า

ดูกรสารีบุตร เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปหาเรา
จนถึงที่อยู่ ไหว้เราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วบอกว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน
และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนาง
วิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทาน
พระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงพระกรุณาเสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึง
ที่อยู่เถิด

ดูกรสารีบุตร ก็เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็กแหลม
จดลง ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง ๓๐ องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๖๐
องค์บ้าง แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน

ดูกรสารีบุตร ก็เธอพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ... ๖๐ องค์บ้าง เป็นจิตอันเทวดาเหล่านั้นอบรมแล้ว
ในภพนั้นแน่นอน

ดูกรสารีบุตร ก็ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นเช่นนี้
ดูกรสารีบุตร ก็จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ฯลฯ แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน เทวดาเหล่านั้นได้อบรมแล้วในศาสนานี้เอง



เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่

เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ

เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้นเข้าไป
ในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ

ดูกรสารีบุตรพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้
ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ




http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... agebreak=0




...................................................................................................





พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงกล่าวสนันสนุน
เกี่ยวกับเรื่องเหตุปัจจัยของการการเกิด ที่ยังมีอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความทุกข์


อานนท์ !
ความทุกข์นั้น เรากล่าวว่า
เป็นสิ่งที่อาศัย
ปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเกิดขึ้น

ความทุกข์นั้น
อาศัยปัจจัยอะไรเล่า ?

ความทุกข์นั้น
อาศัยปัจจัย คือ ผัสสะ

ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่า
กล่าวตรงตามที่เรากล่าว
ไม่เป็นการกล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง
แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง

และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม
ก็จะไม่พลอยกลายเป็น
ผู้ควรถูกติไปด้วย




อานนท์ !
ในบรรดาสมณพราหมณ์ที่กล่าวสอน
เรื่องกรรมทั้ง ๔ พวกนั้น

( ๑ ) สมณพราหมณ์
ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า
เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเอง

แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย
จึงเกิดได้



( ๒ ) สมณพราหมณ์
ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า
เป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้

แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีได้



( ๓ ) สมณพราหมณ์
ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า
เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเองด้วย
ผู้อื่นทำให้ด้วย

แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีได้



( ๔ ) ถึงแม้สมณพราหมณ์
ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า
เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทำเอง
หรือใครทำให้ก็เกิดขึ้นได้ก็ตาม

แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีได้อยู่นั่นเอง



อานนท์ !
ในบรรดาสมณพราหมณ์ที่กล่าวสอน
เรื่องกรรมทั้ง ๔ พวกนั้น

สมณพราหมณ์พวกนั้นหนา
หากเว้นผัสสะเสียแล้ว
จะรู้สึกต่อสุขและทุกข์นั้นได้
ดังนั้นหรือ

นั่นไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2015, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุทั้งหลาย! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย ที่ บุคคลบางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้นย่อมนำเขาไปนรกได้ บาปกรรมประมาณน้อย อย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (ให้ผลในภพปัจจุบัน) ไม่ปรากฏผลมากต่อไปเลย.




กรรมเหมือนกัน แต่วิบากแตกต่าง


ทำไมคนที่ทำบาปกรรมอย่างเดียวกัน
แต่รับวิบากกรรมต่างกัน

บาปกรรมแม้ประมาณน้อย ที่ บุคคลบางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้นย่อมนำเขาไปนรกได้
บาปกรรมประมาณน้อย อย่างเดียวกันนั้น

บางคนทำแล้ว กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (ให้ผลในภพปัจจุบัน)
ไม่ปรากฏผลมากต่อไปเลย.

เหตุปัจจัย เกิดจาก ตรงนี้ บุคคลสองจำพวก

พวกหนึ่ง

บาปกรรมแม้ประมาณน้อย บุคคลชนิดไร ทำแล้ว บาปกรรมนั้น จึงนำเขาไปนรกได้?

บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้มีกายมิได้อบรม มีศีลมิได้อบรม มีจิตมิได้อบรม มีปัญญามิได้อบรม มีคุณความดีน้อย
เป็นอัปปาตุมะ (ผู้มีใจคับแคบ ใจหยาบ ใจต่ำทราม)
เป็นอัปปทุกขวิหารี (มีปกติอยู่เป็นทุกข์ด้วยเหตุ เล็กน้อย คือเป็นคนเจ้าทุกข์)
บาปกรรมแม้ประมาณน้อย บุคคลชนิดน้ทำแล้ว บาปกรรมนั้นย่อมนำเขาไปนรกได้.

กับอีกพวกหนึ่ง

บาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกัน บุคคลชนิดไร ทำแล้ว กรรมนั้นจึงเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏ ผลมากต่อไปเลย?

บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้มีกายได้อบรมแล้ว มีศีลได้อบรมแล้ว มีจิตได้อบรมแล้ว มีปัญญาได้อบรม แล้ว มีคุณความดีมาก
เป็นมหาตมะ (ผู้มีใจกว้างขวาง ใจบุญ ใจสูง)
เป็นอัปปมาณวิหารี (มีปกติอยู่ด้วยธรรม อันหา ประมาณมิได้คือเป็นคนไม่มีหรือไม่แสดงกิเลส ซึ่งจะเป็นเหตุให้ เขาประมาณได้ว่าเป็นคนดีแค่ไหน)

บาปกรรมประมาณน้อย อย่างเดียวกันนั้น
บุคคลชนิดนี้ทำแล้ว กรรมนั้นเป็น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย.

ทำไมถึงต่างกัน

เหตุจาก อวิชชาที่มีอยู่

ทำไม บาปกรรมแม้ประมาณน้อย บุคคลชนิดนั้นทำแล้ว บาปกรรมนั้นย่อมนำเขาไปนรกได้

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการกล่าวโทษต่อกัน โดยที่ต่างฝ่าย ต่างคิดว่า ตนไม่ผิด

พวกแรก เป็นผู้หนาแน่น ด้วยอวิชชา
เป็นผู้มีกายมิได้อบรม
มีศีลมิได้อบรม
มีจิตมิได้อบรม
มีปัญญามิได้อบรม
เป็นอัปปาตุมะ (ผู้มีใจคับแคบ ใจหยาบ ใจต่ำทราม)
เป็นอัปปทุกขวิหารี (มีปกติอยู่เป็นทุกข์ด้วยเหตุ เล็กน้อย คือเป็นคนเจ้าทุกข์)

เมื่อถูกกล่าวโทษ แล้วตนคิดว่า ตนไม่ผิด
ย่อมมีการตอบโต้ออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
และอาจมีเหตุอื่นๆ ให้เกิดขึ้นมากกว่านี้
เนื่องจาก ไม่ยอมหยุด การกระทำของตนเอง
(เหตุของอวิชชาที่มีอยู่ ความไม่รู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น)

หลังจากนั้น มีการผูกใจเจ็บ กลายเป็นความพยาบาท อาฆาต จองเวร
ขณะจิตจุติ จิตไปนึกคิดถึงความพยาบาทตรงนี้ ย่อมมี ทุคติ เป็นที่หมาย

เพราะเหตุนี้ บาปกรรมแม้ประมาณน้อย บุคคลชนิดนี้ทำแล้ว บาปกรรมนั้นย่อมนำเขาไปนรกได้

กับอีกพวก เป็นเป็นผู้มีกายได้อบรมแล้ว
มีศีลได้อบรมแล้ว
มีจิตได้อบรมแล้ว
มีปัญญาได้อบรม แล้ว
มีคุณความดีมาก

เป็นมหาตมะ (ผู้มีใจกว้างขวาง ใจบุญ ใจสูง)
เป็นอัปปมาณวิหารี (มีปกติอยู่ด้วยธรรม อันหา ประมาณมิได้
คือเป็นคนไม่มีหรือไม่แสดงกิเลส ซึ่งจะเป็นเหตุให้ เขาประมาณได้ว่าเป็นคนดีแค่ไหน)

เมื่อรู้ชัดด้วยตนเองว่า ผัสสะที่เกิดขึ้น ทำไมสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
แม้อาจจะมีพลั้งเผลอ หลงสร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

เหตุมี ผลย่อมมี

เมื่อมีเหตุ(ผัสสะ)แบบนั้น เกิดขึ้นอีก
ย่อมรู้ว่า เพราะ อะไร เป็นเหตุปัจจัย จึงไม่คิดสานต่อ หรือ สร้างเหตุกับอีกฝ่าย
เพราะเหตุนี้ บุคคลชนิดนี้ทำแล้ว กรรมนั้นเป็น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย.

เหตุนี้ บาปกรรมแม้ประมาณน้อย บุคคลบางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้นย่อมนำไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น
บางคน ทำแล้ว กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏ ผลมากต่อไปเลย.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2015, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.
ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๔/๓๓๔.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
นิทานสัมภวะแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
เวมัตตตาแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
วิบากแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
กัมมนิโรธ เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ ….

คำที่เรากล่าวแล้วดังนี้นั้น
เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าบุคคล เจตนาแล้ว
ย่อมกระทำซึ่งกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นิทานสัมภวะ (เหตุเป็นแดนเกิดพร้อม) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! นิทานสัมภวะแห่งกรรมทั้งหลายคือ ผัสสะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เวมัตตตา (ความมีประมาณต่างๆ) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนา
ในนรก มีอยู่, กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนา ในกำเนิดเดรัจฉาน มีอยู่,
กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนา ในเปรตวิสัย มีอยู่,
กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนา ในมนุษย์โลก มีอยู่,
กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนาในเทวโลก มีอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า เวมัตตตาแห่งกรรมทั้งหลาย.

ภิกษุทั้งหลาย ! วิบาก (ผลแห่งการกระทำ) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าววิบากแห่งกรรมทั้งหลายว่า มีอยู่ ๓ อย่าง คือ
วิบากในทิฏฐธรรม (คือทันควัน)
หรือว่า วิบากในอุปปัชชะ (คือในเวลาต่อมา)
หรือว่า วิบาก ในอปรปริยายะ (คือในเวลาต่อมาอีก).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า วิบากแห่งกรรมทั้งหลาย.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรมทั้งหลาย ย่อมมีเพราะความดับ แห่งผัสสะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ ร ธ ค า มินีป ฏิปทา(ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง คือ กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา;
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ :-
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)
สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)
สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ)
สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ)
สัมมาสติ (ความระลึกชอบ)
สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อใดอริยสาวก ย่อมรู้ชัดซึ่ง กรรม อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง นิทานสัมภวะแห่งกรรม อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง เวมัตตตาแห่งกรรม อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง วิบากแห่งกรรม อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง กัมมนิโรธ อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา อย่างนี้;
อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดซึ่งพรหมจรรย์นี้ว่า เป็นเครื่องเจาะแทงกิเลส เป็นที่ดับไม่เหลือแห่งกรรม.

ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
“กรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
นิทานสัมภวะแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
เวมัตตตาแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
วิบากแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
กัมมนิโรธ เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ”
ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘,๔๖๓-๔๖๔/๓๓๔.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2015, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


[๖๓] บุคคลผู้ว่ายาก เป็นไฉน
ความเป็นผู้ว่ายาก ในข้อนั้นเป็นไฉน ความเป็นผู้ว่ายาก กิริยาที่
เป็นผู้ว่ายาก ภาวะที่เป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้ถือเอาโดยปฏิกูล ความเป็นผู้ยินดี
โดยความเป็นข้าศึก ความไม่เอื้อเฟื้อ ภาวะที่ไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่เคารพ
ความไม่เชื่อฟัง ในเมื่อสหธรรมิกว่ากล่าวอยู่ นี้เรียกว่า ความเป็นผู้ว่ายาก บุคคล
ประกอบแล้วด้วยความเป็นผู้ว่ายากนี้ ชื่อว่าผู้ว่ายาก
บุคคลผู้มีมิตรชั่ว เป็นไฉน
ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ในข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลเหล่านั้นใด เป็นผู้
ไม่มีศรัทธา เป็นผู้ทุศีล มีสุตะน้อย เป็นผู้ตระหนี่ มีปัญญาทราม การเสวนะ
การเข้าไปเสวนะ การซ่องเสพ การคบ การคบหา การภักดี การภักดีด้วย
ความเป็นผู้คบหาสมาคมกับบุคคลเหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่า ความเป็นผู้มี
มิตรชั่ว บุคคลประกอบด้วยความเป็นผู้มีมิตรชั่วนี้ เรียกว่าผู้มีมิตรชั่ว



http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... &preline=0


..................................................................................


ทั้งหมด เกิดจากความไม่รู้(อวิชชา) ที่มีอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2015, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


“ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความทุกข์เป็นความจริงประการหนึ่ง
ที่ชีวิตทุกชีวิตจะต้องประสบบ้างไม่มากก็น้อย

ความทุกข์ที่กล่าวนี้มีอะไรบ้าง ?

ท่านทั้งหลายความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็เป็นทุกข์
ความแห้งใจ หรือความโศกความร่ำไรรำพันจนน้ำตานองหน้า
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ
ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งของอันเป็นที่รัก
ความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งของอันไม่เป็นที่พอใจ
ปรารถนาอะไรไม่ได้ดังใจ ทั้งหมดนี้
ล้วนเป็นความทุกข์ที่บุคคลต้องประสบทั้งสิ้น
เมื่อกล่าวโดยสรุป การยึดมั่นในขันธ์ 5
ด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเอง เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่”

“ท่านทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวว่า

ความทุกข์ทั้งมวลย่อมสืบเนื่องมาจากเหตุ
ก็อะไรเล่าเป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น
เรากล่าวว่าตัณหานั้นเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์

ตัณหาคือความทะยานอยากดิ้นรน ซึ่งมีลักษณะเป็นสาม
คือดิ้นรนอยากได้อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนา เรียกกามตัณหาอย่างหนึ่ง

ดิ้นรนอยากเป็นนั่นเป็นนี่ เรียกว่าตัณหาอย่างหนึ่ง

ดิ้นรนอยากผลักสิ่งที่มีแล้วเป็นแล้ว เรียกว่าวิภวตัณหาอย่างหนึ่ง
นี่แลคือสาเหตุแห่งทุกข์ขั้นมูลฐาน ”

“ท่านทั้งหลาย การสละคืนโดยไม่เหลือซึ่งตัณหาประเภทต่าง ๆ
ดับตัณหาคลายตัณหาโดยสิ้นเชิงนั่นแลเราเรียกว่านิโรธ คือความดับทุกข์ได้”

“ทางที่จะดับทุกข์ดับตัณหานั้นเราตถาคตแสดงไว้แล้ว คืออริยมรรคมีองค์ 8″

“ท่านทั้งหลายจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด
อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย

เราตถาคตเองเป็นที่พึ่งแก่ท่านทั้งหลายไม่ได้
ตถาคตเป็นแค่เพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น

ส่วนความเพียรพยายามเพื่อเผาบาปอกุศล
ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ทางมีอยู่
เราชี้แล้วบอกแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเดินเอง”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2015, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าด้วยผัสสะ

ภิกษุ ท. ! อาศัยตากับรูป เกิด จักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางตา) ขึ้น,
อาศัยหูกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางหู) ขึ้น,
อาศัยจมูกกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางจมูก) ขึ้น,
อาศัยลิ้นกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางลิ้น) ขึ้น,
อาศัยกายกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางกาย) ขึ้น,
และอาศัยใจกับธรรมารมณ์ เกิด มโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางใจ) ขึ้น ;

ความประจวบกันแห่งสิ่งทั้งสาม (เช่น ตา รูป จักขุวิญญาณ เป็นต้น แต่ละหมวด) นั้น
ชื่อว่า ผัสสะ.

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา อันเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง.

บุคคลนั้น เมื่อ สุขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่,
อนุสัยคือราคะ ย่อมนอนเนื่อง อยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ ทุกขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ย่อมระทมใจ คร่ำครวญ
ตีอกร่ำไห้ ถึงความหลงใหลอยู่,

อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ เวทนาอันไม่ทุกข์ไม่สุข ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่รู้ตามเป็นจริง
ซึ่งเหตุให้เกิดเวทนานั้นด้วย ซึ่งความดับแห่งเวทนานั้นด้วย

ซึ่งอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนานั้นด้วย ซึ่งอาทีนพ (โทษ) ของเวทนานั้นด้วย
ซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพ้น) ของเวทนานั้นด้วย,

อนุสัยคืออวิชชา ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

ภิกษุ ท. ! บุคคลนั้นหนอ ยังละอนุสัย คือ ราคะในเพราะสุขเวทนาไม่ได้,
ยังบรรเทาอนุสัย คือ ปฏิฆะในเพราะทุกขเวทนาไม่ได้,
ยังถอนอนุสัย คือ อวิชชาในเพราะอทุกขมสุขเวทนาไม่ได้,
ยังละอวิชชาไม่ได้ และยังทำวิชชาให้เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว

จักทำที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐธรรมนี้ ดังนี้ :
ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.

– อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2015, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าด้วยเหตุเกิดของกรรม ๓ อย่าง

ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุทั้งหลาย ๓ ประการเหล่านี้ มีอยู่
เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย.
๓ ประการเหล่าไหนเล่า ?
๓ ประการ คือ :-

โลภะ (ความโลภ) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย,
โทสะ (ความคิดประทุษร้าย) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย,
โมหะ (ความหลง) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย.

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนเมล็ดพืชทั้งหลาย
ที่ไม่แตกหัก ที่ไม่เน่า ที่ไม่ถูกทำลายด้วยลมและแดด

เลือกเอาแต่เม็ดดี เก็บงำไว้ดี อันบุคคลหว่านไปแล้ว
ในพื้นที่ซึ่งมีปริกรรมอันกระทำดีแล้วในเนื้อนาดี.

อนึ่ง สายฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล.

ภิกษุทั้งหลาย ! เมล็ดพืชทั้งหลายเหล่านั้น
จะพึงถึงซึ่งความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์โดยแน่นอน, ฉันใด;
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือ

กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโลภะ เกิดจากโลภะ
มีโลภะเป็นเหตุ มีโลภะเป็นสมุทัย อันใด;
กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย
อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพ ของบุคคลนั้น.

กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด
เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง
ไม่ว่าจะ เป็นไปอย่าง ในทิฏฐธรรม (คือทันควัน)
หรือว่า เป็นไปอย่าง ในอุปปัชชะ (คือในเวลาต่อมา)
หรือว่า เป็นไปอย่าง ในอปรปริยายะ (คือ ในเวลาต่อมาอีก) ก็ตาม.

กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโทสะ เกิดจากโทสะ
มีโทสะเป็นเหตุ มีโทสะเป็นสมุทัย อันใด;

กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย
อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพ ของบุคคลนั้น.

กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด
เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง
ไม่ว่าจะ เป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม
หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ
หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม.

กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโมหะ เกิดจากโมหะ
มีโมหะเป็นเหตุ มีโมหะเป็นสมุทัย อันใด;

กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย
อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพ ของบุคคลนั้น.

กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด
เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง
ไม่ว่าจะ เป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม
หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ
หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม.

ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุทั้งหลาย ๓ ประการ เหล่านี้แล
เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย.

ติก. อํ. ๒๐/๑๗๑/๔๗๓.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2015, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่


ภิกษุทั้งหลาย !
ถ้าบุคคลย่อมคิดถึงสิ่งใดอยู่
ย่อมดำริถึงสิ่งใดอยู่ และ
ย่อมมีจิตฝังลงไปในสิ่งใดอยู่

สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์
เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ

เมื่ออารมณ์มีอยู่
ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี

เมื่อวิญญาณนั้นตั้งขึ้นเฉพาะ
เจริญงอกงามแล้ว
ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป ย่อมมี

เมื่อความเกิดขึ้น
แห่งภพใหม่ต่อไป มีอยู่
ชาติ ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาส
ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน

ความเกิดขึ้นพร้อม
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้




ภิกษุทั้งหลาย !
ถ้าบุคคลย่อมไม่คิดถึงสิ่งใด
ย่อมไม่ดำริถึงสิ่งใด แต่
เขายังมีจิตฝังลงไปในสิ่งใดอยู่

สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์
เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ

เมื่ออารมณ์มีอยู่
ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี

เมื่อวิญญาณนั้นตั้งขึ้นเฉพาะ
เจริญงอกงามแล้ว
ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป ย่อมมี

เมี่อความเกิดขึ้น
แห่งภพใหม่ต่อไป มีอยู่
ชาติ ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาส
ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นครบถ้วน

ความเกิดขึ้นพร้อม
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้




ภิกษุทั้งหลาย !
ก็ถ้าว่าบุคคล
ย่อมไม่คิดถึงสิ่งใดด้วย
ย่อมไม่ดำริถึงสิ่งใดด้วย และ
ย่อมไม่มีจิตฝังลงไปในสิ่งใดด้วย
ในกาลใด

ในกาลนั้น
สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารมณ์
เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณได้เลย

เมื่ออารมณ์ไม่มี
ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ
ย่อมไม่มี

เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งขึ้นเฉพาะ
ไม่เจริญงอกงามแล้ว
ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป
ย่อมไม่มี

เมื่อความเกิดขึ้น
แห่งภพใหม่ต่อไป ไม่มี
ชาติ ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาส
ทั้งหลายจึงดับสิ้น

ความดับลง
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

ดังนี้ แล

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2015, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร