วันเวลาปัจจุบัน 14 ส.ค. 2025, 09:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 07:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มาดู..ความคิดเห็นของคนอื่นดูบ้าง..นะครับ

อ้างคำพูด:
มงคล ที่ ๒๓ มีความถ่อมตน

มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า




มหาสมุทรซึ่งเป็นที่ไหลมารวมกันของน้ำจากทุกสารทิศ

จะต้องมีระดับพื้นที่

ต่ำกว่าพื้นที่ตรงต้นน้ำทั้งหลายฉันใด

ผู้ที่ต้องการจะรับการถ่ายทอดคุณความดีจากบุคคลทั้งหลาย

ก็จะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนก่อนฉันนั้น

ความถ่อมตน คือ อะไร ?

ความถ่อมตน มาจากภาษาบาลีว่า นิวาโต

วาโต แปลว่า ลม พองลม

นิ แปลว่า ไม่มี ออก

นิวาโต แปลว่า ไม่พองลม เอาลมออกแล้ว คือเอามานะทิฏฐิออก มีความสงบเสงี่ยม เจียมตน ไม่เบ่ง ไม่ทะนงตน ไม่มีความมานะถือตัว ไม่อวดดื้อถือดี ไม่ยโสโอหัง ไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร ไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่งจองหอง


ความแตกต่างระหว่าง ความเคารพกับความถ่อมตน

ความเคารพ เป็นการปรารภผู้อื่น คือตระหนักในคุณความดีของผู้อื่น พบใครก็คอยจ้องหาข้อดีของเขา ไม่จับผิด สามารถประเมินคุณค่าของ ผู้อื่นได้ตามความเป็นจริง แล้วแสดงอาการเคารพนับถือด้วยกาย วาจา ใจ

ความถ่อมตน เป็นการปรารภตนเอง คือคอยตามพิจารณาข้อบกพร่องขอตนเอง จับผิดตัวเอง สามารถประเมินค่าของตนเองได้ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่อวดดื้อถือดี สามารถน้อมตัวลงเพื่อถ่ายทอดคุณความดีของผู้อื่นเข้าสู่ตนเองได้อย่างเต็มที่

คนที่มีความเคารพอาจขาดความถ่อมตนก็ได้ เช่น บางคนเมื่อพบคนดีก็ตระหนักในความดีความสามารถของเขา คือมีความเคารพแต่ขณะเดียวกัน ถ้าจะให้อ่อนเข้าไปหาเขาทำไม่ได้ ชอบเอาตัวเข้าไปเทียบด้วย แล้วใจของตัวก็พองรับทันทีว่า “ถึงเอ็งจะแน่ แต่ข้าก็หนึ่งเหมือนกัน” ใจของเขาจะพองเหมือน อึ่งอ่างพองลม คอยแต่คิดว่า “ข้าวิเศษกว่า” ทุกที


สิ่งที่คนทั่วไปหลงถือเอาทำให้ถือตัว

๑. ชาติตระกูล เช่น คิดว่า “ตระกูลฉันนี้เป็นตระกูลใหญ่ เชื้อสาย ผู้ดีเก่า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย กี่รุ่นกี่รุ่นมีชื่อเสียงโด่งดังมาตลอด คนอื่นจะมาเทียบฉันได้อย่างไร” เมื่อหลงถือว่าตนมีชาติตระกูลสูงกว่าผู้อื่น ความถือตัวก็เกิดขึ้น

๒. ทรัพย์สมบัติ เช่น คิดว่า “เฮอะ!ทรัพย์สินเงินทองของฉันมีมากมาย จะซื้อจะหาอะไรก็ได้อย่างใจ ไม่เห็นจะต้องไปง้อ ไปเกรงใจใคร” เมื่อหลงถือว่าตนมีทรัพย์สมบัติมากกว่าผู้อื่น ความถือตัวก็เกิดขึ้น

๓. รูปร่างหน้าตา เช่น คิดว่า “ฮึ!ฉันนี้สวยน้อยหน้าใครเสียเมื่อไหร่ดูซี ผิวก็ละเอียด จมูกก็โด่ง ตาก็กลม นางงามจักรวาลที่ว่าสวยๆ ลองมาเทียบกันดูซักทีเถอะน่า ไม่แน่หรอกว่าใครส่วยกว่ากัน” เมื่อหลงถือว่าตนมีรูปร่างหน้าตาดีกว่าผู้อื่น ความถือตัวก็เกิดขึ้น

๔. ความรู้ความสามารถ เช่น คิดว่า “ฉันนี้ความรู้ระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ปริญญาที่ไหนที่ว่ายากๆ กวาดมาหมดแล้ว ฝีมือก็แน่กว่าใคร ใครๆ ก็สู้ฉันไม่ได้” เมื่อหลงถือว่าตนมีความรู้ความสามารถสูงกว่าผู้อื่น ความถือตัว ก็เกิดขึ้น

๕. ยศตำแหน่ง เช่น คิดว่า “ฮึ!ฉันนี้มันชั้นผู้อำนวยการกอง อธิบดี ปลัดกระทรวง ซี ๘ ซี ๙ ซี ๑๐ ซี ๑๑ แล้ว ใครจะมาแน่เท่าฉัน” เมื่อหลงถือว่าตนมียศตำแหน่งสูงกว่าผู้อื่น ความถือตัวก็เกิดขึ้น

๖. บริวาร เช่น คิดว่า “เฮอะ!สมัครพรรคพวก ลูกน้องฉันมีเยอะแยะใครจะกล้ามาหือ ใครจะกล้ามากำเริบเสิบสาน” เมื่อหลงถือว่าตนมีบริวารมากกว่าผู้อื่น ความถือตัวก็เกิดขึ้น

คนทั่วไปมักหลงยึดเอาสิ่งต่างๆ ๖ ประการนี้ เป็นข้อถือดีของตัว ไม่เคยคิดว่าสิ่งต่างๆ ที่ว่านั้น มันจะเป็นของเราตลอดไปหรือไม่ จีรังยั่งยืนหรือเปล่า ที่ว่าหล่อๆ สวยๆ พออายุสักหกสิบเจ็ดสิบจะมีใครอยากมอง เศรษฐี มหาเศรษฐี ทำการค้าผิดพลาดเข้า ล่มจมกลายเป็นยาจกภายในวันเดียวก็มีตัวอย่างมามากแล้ว และถึงจะเป็นเศรษฐีไปจนตายก็ใช่ว่าจะขนเงินขนทองไปปรโลกด้วยได้เมื่อไหร่ ถ้าไม่รู้จักสร้างคุณงามความดี ถึงมีเงินทองมากเท่าไหร่ก็ไม่พ้นทุกข์ไปได้ ยิ่งรวยมากก็ยิ่งทุกข์มาก ทั้งหา ห่วง หวง ยศตำแหน่ง บริวารนั้นก็มิใช่ว่าจะคงอยู่กับเราอย่างนั้นตลอดไป ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน ไม่ใช่เป็นของเราจริงๆ เป็นเพียงสิ่งสมมุติกันขึ้นเพื่อให้คนในสังคมทำงานตามหน้าที่ของตนเท่านั้น สิ่งที่จะคงอยู่กับตัวเราอย่างแน่นอน และช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้จริงๆ คือความดีในตัวของเราต่างหาก

และการที่เราถือตัวเย่อหยิ่งทะนงตนนั้น มันทำให้อะไรในตัวเราดีขึ้นบ้าง จะทำให้คนอื่นนับถือว่าตัวเรายิ่งใหญ่ก็หามิได้ รังแต่จะทำให้เขาเกลียดชังเหม็นหน้า เหมือนคนอยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์ จึงอมลมเข้าเต็มปากทำให้แก้มตุ่ย ใครเห็นเข้าแทนที่จะชม เขาก็มีแต่จะหัวเราะเยาะ และขืนอมลมอยู่อย่างนั้น ข้าวก็กินไม่ได้น้ำก็กินไม่ได้ ตัวก็มีแต่จะผอมซูบซีดลงทุกที

แท้จริง ผู้ที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ได้รับการยกย่องนับถือจากคนอื่นทั้งกายและใจนั้น จะต้องเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างเต็มที่เท่านั้น ผู้ที่ฉลาด จึงไม่ควรหลงยึดเอาสิ่งเหล่านี้มาทำให้ตนเกิดความถือตัว

โทษของการอวดดื้อถือดี

๑. ทำให้เสียตน เพราะเป็นคนรับความดีจากคนอื่นไม่ได้ กลัวเสีย เกียรติ ประเมินค่าตนสูงกว่าความเป็นจริง คิดแต่ว่าเราดีอยู่แล้ว ใครๆ ก็สู้เราไม่ได้ โบราณท่านจึงมีคำสอนเตือนใจไว้ว่า”ลูกท่านหลานเธอ ลูกเจ้าบ้านหลานเจ้าวัด มักจะเอาดีไม่ค่อยได้” เพราะมักจะติดนิสัยอวดดีถือตัว ยโสโอหัง จึงไม่มีใครอยากแนะนำสั่งสอนให้ ทำผิดก็ไม่มีใครอยากเตือน สุดท้ายก็คบอยู่แต่กับพวกประจบสอพลอ ทำผิดถลำลึกไปทุกทีจนสุดทางแก้

๒. ทำให้เสียมิตร เพราะเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง ที่ไม่ควรถือก็ถือ ไม่ควรโกรธก็โกรธ จึงไม่มีใครอยากคบด้วย คนพวกนี้ถึงแม้ในเบื้องต้นอยากจะทำความดี แต่ทำไปได้ไม่กี่น้ำก็จอดเพราะไม่มีคนสนับสนุน เป็นเหมือนเจดีย์ฐานแคบ ไม่สามารถสร้างให้สูงขึ้นไปได้

๓. ทำให้เสียหมู่คณะ เพราะเป็นคนอวดเบ่ง จะเอาแต่อภิสิทธิ์ ทำให้เสียระเบียบวินัย หมู่คณะแตกแยก

หมู่คณะใดที่สมาชิกมีความอ่อนน้อมถ่อมตน แม้บางครั้งจะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่ไม่นานก็สามารถสมานสามัคคี ป้องกันอันตรายทั้งหลายได้โดยง่าย เหมือนดินเหนียวในท้องนายามหน้าแล้งก็แตกระแหงเป็นร่องลึก ดูเหมือนไม่มีทางที่จะประสานรวมกันได้อีกแล้ว แต่พอฝนตกลงมาซู่เดียวก็สามารถประสานคืนเป็นผืนเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

ส่วนหมู่คณะใดที่สมาชิกมีความถือตัวจัด จึงไม่มีทางที่หมู่คณะนั้นจะเกิดความสมานสามัคคีกันได้ เหมือนดินทรายที่แม้ฝนจะตกจนน้ำท่วมฟ้าก็ไม่มีทางประสานรวมกันได้สนิท เช่นประเทศอินเดียในอดีตซึ่งพลเมืองมีความถือตัวจัด แบ่งชั้นวรรณะกันอย่างหนัก แม้เพียงคนวรรณะสูงไปเห็นคนวรรณะต่ำ เห็นคนจัณฑาลเข้าก็ต้องรีบไปเอาน้ำล้างตา เพราะกลัวเสนียดจัญไรจะติด เพราะถือตัวกันอย่างนี้ พอถึงคราวมีข้าศึกรุกราน เลยไม่มีใครช่วยใครกำจัดศัตรู ปล่อยให้ศัตรูเข้ายึดครองประเทศโดยง่าย พวกคนวรรณะต่ำก็คิดว่าดีแล้ว คนวรรณะสูงๆ จะได้รู้สึกเสียบ้าง คนวรรณะสูงด้วยกันเองก็ยังถือตัวทะเลาะรบกันเอง เพราะถือตัวกันอย่างนี้ แม้มีพลเมืองมากหลายร้อยล้านคนก็ยังตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ซึ่งส่งทหารมาเพียงแค่หยิบมือเดียว


“นระใดกระด้างโดยชาติ

กระด้างโดยทรัพย์ และกระด้างโดยโคตร

ย่อมดูหมิ่นแม้ญาติของตน

กรรม ๔ อย่างของนระนั้น เป็นทางแห่งความเสื่อม”

(ปราภวสูตร) ขุ. สุ. ๒๕/๓๐๔/๓๔๗




วิธีแก้ความอวดดื้อถือดี

๑. ต้องคบกัลยาณมิตร คือคบคนดี จะได้คอยแนะนำเตือนสติเราให้ประเมินค่าของตนเองถูกต้องตามความเป็นจริง คอยแนะนำปลูกสร้างนิสัยดีๆ ให้กับเรา ไม่คบคนประจบสอพลอซึ่งจะพาเราไปในทางเสีย นอกจากนี้จะต้องแสดงความเคารพบูชาบุคคลที่ควรบูชาเสมอๆ เราจะได้ตระหนักเสมอว่า ผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่าเรายังมีอยู่

๒. ต้องมีโยนิโสมนสิการ คือรู้จักคิดไตร่ตรองเอง เช่น พิจารณาว่า คนเราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า ถึงจะเก่งอย่างไรในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกัน ตัวเราเองก็ไม่ได้วิเศษกว่าคนอื่นเลย ขณะเดียวกัน สิ่งใดที่เป็นข้อถือตัวของเรา เช่น ชาติตระกูล ฐานะ รูปร่างหน้าตา ตำแหน่งหน้าที่การงาน บริวาร ให้หมั่นนำสิ่งนั้นมาพิจารณาเนืองๆ ว่า สิ่งเหล่านั้นก็ไม่เที่ยงแท้ ไม่จีรังยั่งยืน ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปเช่นเดียวกัน



ลักษณะของผู้มีความถ่อมตน

ผู้มีความถ่อมตน จะเป็นผู้ที่รู้คุณค่าของตนตามความเป็นจริง เจียม เนื้อเจียมตัว ทำให้มีลักษณะอาการแสดงออกที่ดีเด่นกว่าคนทั้งหลาย ๓ ประการ ดังนี้

๑. มีกิริยาอ่อนน้อม คือไม่ลดตัวลงจนเกินควร และไม่ถือตัวจนเกินงาม มีกิริยาอันเป็นที่รัก อ่อนโยนละมุนละไมต่อคนทั่วไป ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยและผู้เสมอกัน รู้ที่ต่ำที่สูง ไม่ตีตนเสมอท่าน มีคุณสมบัติผู้ดี สำหรับแสดงแก่คนทั้งหลายโดยเสมอหน้ากัน ไม่เลือกว่าเขาจะมีฐานะสูงกว่าหรือต่ำกว่าตน สงบเสงี่ยม แต่ก็มีความองอาจ ผึ่งผายในตัว

๒. มีวาจาอ่อนหวาน คือมีคำพูดที่ไพเราะน่าฟัง ออกมาจากใจที่ใสสะอาดนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง ไม่พูดโอ้อวดยกตัว และไม่พูดกล่าวโทษลบหลู่ทับถมคนอื่น เมื่อตนทำพลาดพลั้งสิ่งใดต่อใคร ย่อมออกวาจาขอโทษเสมอ เมื่อผู้ใดแสดงคุณต่อตนอย่างไรก็ออกวาจาขอบคุณเขาเสมอ ไม่พูดเยาะเย้ยถากถางผู้ทำผิดพลาด ไม่ใช้วาจาข่มขู่ผู้อื่น เห็นใครทำดีก็ชมเชยสรรเสริญจากใจจริง

๓. มีใจอ่อนโยน คือมีใจนอบน้อม ละมุนละม่อม ถ่อมตัว มีใจอ่อนละไมแต่มิใช่อ่อนแอ มีใจเข้มแข็งแต่มิใช่แข็งกระด้าง ไม่นิยมอวดกำลังความสามารถ แต่พยายามฝึกตนเองให้มีความสามารถ ถือคติว่า “จงมีแรงเหมือนยักษ์ แต่อย่าใช้แรงอย่างยักษ์” ไม่ถือความคิดของตัวเป็นใหญ่ มีใจเปิดกว้าง ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น รู้จักลดหย่อนผ่อนผันแก่กัน ถือคติว่า “ไม้ลำเดียวยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ สิบคนสิบความรู้ สิบคนสิบความคิด แม้สิบคนก็สิบความเห็น” เมื่อใครเขาไม่เห็นพ้องกับตนก็ไม่ด่วนโกรธ แล้วค่อยๆ ปรับความคิดเห็นเข้าหากัน โดยยึดเอาคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแกนกลาง



ตัวอย่างผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน

ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรถูกพระภิกษุรูปหนึ่งใส่ความว่า ทะนงตนว่าเป็นอัครสาวกแล้วแกล้งมาเดินกระทบตน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสถามพระ-สารีบุตรในที่ประชุมสงฆ์ว่าเป็นจริงหรือไม่

พระสารีบุตรทูลตอบว่า ภิกษุที่มิได้มีสติประคองจิตไว้ในกาย ก็จะพึงกระทบเพื่อนสพรหมจารีแล้วจากไปโดยไม่ขอโทษเป็นแน่ แต่ตัวท่านเองนั้น ทำใจเสมือนแผ่นดิน น้ำ ไฟ ลม และผ้าขี้ริ้วที่จะต้องพบกับของสะอาดบ้าง ไม่สะดวกบ้างอยู่เสมอ และเสมือนเด็กจัณฑาลที่พลัดเข้าไปในหมู่บ้าน หรือเหมือนโคที่เขาหักเสียแล้ว ย่อมไม่มีอำนาจที่จะแกล้วกล้าอาจหาญได้แต่อย่างใด ท่านมีแต่ความเบื่อระอาร่างกายอันเปื่อยเน่าน่ารังเกียจนี้ ที่ยังต้องดูแลประคับประคองอยู่ ประดุจต้องประคองถาดมันข้นที่มีช่องทะลุถึง ๙ ช่อง และมีน้ำมันรั่วไหลออกอยู่เสมอ ย่อมไม่มีใจที่จะไปกระด้างถือตัวกับใครได้

ลองพิจารณาดูเถิดว่า ขนาดพระสารีบุตร ซึ่งก็บวชก็ร่ำเรียนเจนจบในวิชา ๑๘ ประการมาแล้ว เปรียบสมัยนี้ก็เท่ากับปริญญา ๑๘ สาขา บวชแล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์ เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนถึงเพียงนี้ มีความเจียมตัวตลอดเวลา เปรียบตัวเองเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่าๆ เหมือนโคที่เขาขาดแล้วเหมือนเด็กจัณฑาล ซึ่งเป็นคนชั้นต่ำสุดในอินเดียสมัยนั้น ไม่มีความถือตัวทะนงตนแม้แต่น้อย แล้วพวกเราซึ่งยังเป็นปุถุชนธรรมดาๆ อยู่นี่ล่ะ มีดีอะไรมากนักหนาจึงจะมาถือตัวกัน

เมื่อพระสารีบุตรกล่าวอยู่เช่นนี้ พระภิกษุรูปนั้นก็เกิดความเร่าร้อนในสรีระเหมือนมีไฟมาเผาตัว อดรนทนอยู่ไม่ได้ ต้องลุกขึ้นขอโทษพระสารีบุตร และยอมรับสารภาพต่อหมู่สงฆ์ว่ากล่าวตู่ใส่ความพระสารีบุตร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญพระสารีบุตรว่า “มีใจมั่นคงเหมือนแผ่นดิน เหมือนเสาเขื่อน เป็นผู้คงที่และมีวัตรดี เป็นผู้ใสสะอาด เหมือนน้ำที่ไม่มีฝุ่นหรือโคลนตม สังสารวัฏย่อมไม่มีแก่บุคคลเช่นนี้”



อานิสงส์การมีความถ่อมตน

๑. ทำให้อยู่เป็นสุข ไม่มีศัตรู

๒. ทำให้น่ารัก น่านับถือ น่าเคารพกราบไหว้

๓. ทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ

๔. ทำให้ได้กัลยาณมิตร

๕. ทำให้สามารถถ่ายทอดคุณความดีจากผู้อื่นได้

๖. ทำให้ได้ที่พึ่งทั้งภพนี้ภพหน้า

๗. ทำให้ไม่ประมาท ตั้งอยู่ในธรรม

๘. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย
ฯลฯ

“บุคคลผู้เป็นบัณฑิตถึงพร้อมด้วยศีล ละเอียด มีปฏิภาณไหวพริบ ประพฤติถ่อมตน และไม่กระด้างเช่นนั้น ย่อมได้ยศ”

ที. ปา. ๑๑/๒๐๕/๒๐๖

หนังสือมงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า

โดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ



http://www.kalyanamitra.org/th/mngkhlch ... p?page=112


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 07:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มาดูศาสนิกอื่น..เขามีความเห็นอย่างไรบ้าง?

อ้างคำพูด:
หน้าแถวและแนวทาง 13 การถ่อมตน

Written by ศิริลักษณ์ เบญจภุมริน | | | Hits: 7952

การถ่อมตน
ความหมาย แสดงฐานะต่ำกว่าจริง แสดงความรู้ ความสามารถน้อยกว่าจริง


ข้อคิด / คำคม “ยอมแพ้เสียบ้าง ทำลายกำแพงแห่งความถือดีบ้าง จะพบสิ่งดี และได้ดี”
“ทุกคนที่เราพบ ล้วนรู้อะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ เพราะฉะนั้น จงเรียนรู้จากเขา”
“จงยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น” “อย่าอยู่เฉย ๆ เพราะคิดว่าตัวเองทำได้เล็กน้อย แต่จงทำเท่าที่ทำได้”
“จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น เพราะคุณไม่อาจมีชีวิตยาวนานเพียงพอที่จะทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ด้วยตัวคุณเอง”


ประโยชน์ของการมีความถ่อมตน
1.ชีวิตและหน้าที่การงานประสบความสำเร็จ มีความก้าวหน้า
2.ทำให้เราเป็นคนที่รู้จักพอ ไม่ทะเยอทะยาน
3.ฝึกให้เรามองคนอื่น และมองโลกในแง่ดี
4.รู้จักเอาชนะใจตนเอง มีความสุขุมรอบคอบ
5.เป็นที่รักและเอ็นดูของผู้ใหญ่
6.เป็นที่รักของคนรอบข้าง


โทษของการไม่มีความถ่อมตน
1.กลายเป็นคนทะเยอทะยาน
2.ชีวิตและหน้าที่การงานประสบความล้มเหลว
3.ชอบดูถูกผู้อื่น ไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่น
4.มองคนอื่น และมองโลกในแง่ร้าย
5.กลายเป็นก้าวร้าว
6.เป็นที่รังเกียจของสังคม

เนื้อหาในพระคัมภีร์
“ผู้ใดที่เป็นนายใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นย่อมต้องรับใช้ท่านทั้งหลาย ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะต้องถูกเหยียดลง ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น”( มธ 23 : 11 – 12 )

“จงรักกันและกันฉันพี่น้อง ส่วนการให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว” ( รม 12 : 10 )

“จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าใฝ่สูง แต่จงถ่อมใจลงยอมทำการต่ำ อย่าถือว่า ตัวฉลาด” ( รม 12 : 16 )

“จงมีใจถ่อมลงทุกอย่างและใจอ่อนสุภาพ อดทนนานและอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” ( อฟ 4 : 2 )

“เหตุฉะนั้น ในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน” ( คส 3 : 12 )

“ในทำนองเดียวกัน ท่านที่อ่อนอาวุโส ก็จงเชื่อฟังคำของพวกผู้ใหญ่ อันที่จริงให้ท่านทุกคนมีความถ่อมใจในการปฏิบัติต่อกันและกัน ด้วยว่าพระเจ้าทรงเป็นปฏิปักษ์กับคนเหล่านั้นที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน” ( 1 ปต 5 : 5 )

บทความ อย่าแข็งกระด้าง

โบราณท่านเปรียบเทียบไว้ว่า ธรรมดารวงข้างที่เมลเนื้อสมบูรณ์ ย่อมโค้งรวงลงมาอย่างงดงามน่าดู ส่วนรวงข้าวที่ปราศจากเมล็ด ไม่สมบูรณ์หรือปราศจากเนื้อ ย่อมชูชันปลายรวงชี้ขึ้นฟ้าฉันใด คนที่มีคุณสมบัติผู้ดีกับคนที่ปราศจากสมบัติผู้ดีก็ฉันนั้น คือคนที่มีคุณสมบัติ หรือมีสมบัติผู้ดี
บริบูรณ์อยู่ในตัวนั้น ย่อมโค้งศรีษะ พนมมือไหว้หรือแสดงอาการอ่อนน้อมให้แก่คนทุกชั้น ส่วนคนที่ขาดสมบัติผู้ดีนั้น ย่อมทำตนเป็นคนแข็งกระด้าง ไม่ยอมค้อมหัวให้แก่ผู้ใด

พึงรู้เถิดว่า การแสดงความเคารพหรือโค้งศรีษะ พนมมือไหว้ ให้แก่ชนทั่วไปนั้น มิใช่แสดงถึงความอ่อนแอหรือเกรงกลัวคน แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงสมบัติผู้ดีที่มีอยู่ในตน

ส่วนการแสดงอาการแข็งกระด้าง ไม่เคารพใคร มิใช่เครื่องหมายที่แสดงถึงความเข้มแข็ง
ความยิ่งใหญ่ของตน แต่เป็นการแสดงออกถึงความว่างเปล่า ปราศจากผู้ดีของบุคคลผู้นั้นต่างหาก
อ่อนน้อมไว้เถิดประเสริฐกว่าแข็งกระด้าง

พฤติกรรมที่ปรารถนาให้ผู้เรียนปฏิบัติ
+ ให้ผู้เรียนรู้จักเอาชนะใจตัวเอง เมื่ออยากจะดูถูกหรือเหยียดหยามคนอื่น
+ ให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนอย่างที่ปรารถนาให้เขาปฏิบัติกับเรา
+ ให้เรามีความนอบน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่
+ ฝึกให้เรามีความอดทน



http://www.kamsondeedee.com/main/2009-0 ... -02/454-13


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 07:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
บทสวด มงคลสูตร(มงคลปริตร)

เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ อุปะสังกะมิตวา ภะคะวันตัง อะภิวาเทตวา เอกะมันตัง อัฏฐาสิ ฯ เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิฯ

ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ครั้งนั้นแล ครั้นปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

พะหู เทวา มะนุสสา จะมังคะลานิ อะจินตะยุง อากังขะมานา โสตถานังพรูหิ มังคะละมุตตะมังฯ

หมู่เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้คิดถึงเรื่องมงคลแล้ว ขอพระองค์ทรงตรัสบอกทางมงคลอันสูงสุดเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า


อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา
ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

การไม่คบคนพาล การคบแต่บัณฑิต
การบูชาบุคคลผู้ควรบูชา ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นมงคลอันสูงสุด

ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา
อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

การอยู่ในสถานที่อันสมควร ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำไว้แต่กาลก่อน
การตั้งตนไว้โดยชอบตามทำนองคลองธรรม ทั้ง ๓ ประการนี้ ก็เป็นมงคลอันสูงสุด

พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต
สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ


ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังธรรมและปฎิบัติธรรมมาก ความเป็นผู้มีศิลปวิทยา ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนและปฎิบัติในระเบียบวินัยเป็นอันดี การกล่าววาจาที่เป็นธรรมและไพเราะ แม้ทั้ง ๔ ประการนี้ก็เป็นมงคลอันสูงสุด

มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห
อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ


การอุปัฎฐากบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข การสงเคราะห์บุตรและภรรยาให้มีความสุข
การทำการงานให้เสร็จเรียบร้อยไม่คั่งค้าง ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นมงคลอันสูงสุด

ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห
อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ


การให้ทาน การประพฤติธรรม การสงเคราะห์ญาติและคนใกล้ชิดทั้งหลาย
การทำงานที่ไม่ประกอบด้วยโทษทั้งทางโลกและทางธรรม แม้ทั้ง ๔ ประการนี้ก็เป็นมงคลอันสูงสุด

อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ



การงดเว้นจากการทำบาปทั้งหลาย การงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา
ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นมงคลอันสูงสุด


คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา
กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ


การเคารพต่อบุคคลและสิ่งที่ควรเคารพ ความไม่เย่อหยิ่งจองหอง ความสันโดษยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่และสิ่งที่ตนพึงหาได้โดยชอบธรรม ความเป็นผู้มีกตัญญญูรู้คุณที่ท่านได้ทำไว้แล้วแก่ตน การได้ฟังธรรมคำสอนของสัตบุรุษตามกาลเวลาอันสมควร แม้ทั้ง ๕ ประการนี้ก็เป็นมงคลอันสูงสุด

ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง
กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

ความเป็นผู้มีขันติความอดทน ความเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย การได้เห็นสมณพราหมณ์ผู้ทรงศีลทั้งหลาย การได้เจรจาสนทนาธรรมตามกาลเวลาอันสมควร แม้ทั้ง ๔ ประการนี้ก็เป็นมงคลอันสูงสุด

ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง
นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

การมีความเพียรเพื่อเผากิเลส การประพฤติพรหมจรรย์คือปฎิบัติตนให้เป็นผู้ประเสริฐ การมีปัญญาเห็นอริยสัจทั้งหลาย การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน แม้ทั้ง ๔ ประการนี้ก็เป็นมงคลอันสูงสุด

ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ
อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

การทำจิตไม่ให้หวั่นไหวในโลกธรรมที่มากระทบ การไม่ทำใจให้เศร้าโศก การทำจิตให้ปราศจากธุลีคือกิเลสทั้งหลาย การทำจิตให้ถึงพระนิพพาน แม้ทั้ง ๔ ประการนี้ก็เป็นมงคลอันสูงสุด

เอตาทิสานิ กัตวานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา
สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ ฯ


อนึ่ง เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อได้กระทำมงคลทั้งหลายเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง และย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง ทั้งหมดนั้นเป็นมงคลอันสูงสุด ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นแล ฯ


http://writer.dek-d.com/anuchon13/story ... &chapter=7


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 07:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


...............................
มงคล คืออะไร ใน 3 วัยที่สำคัญ

มงคล คือ เหตุแห่งความเจริญ หรือเครื่องหมายแห่งความเจริญ

มงคลในศาสนาพุทธ
มงคลในศาสนาพุทธ คือ การนิมนต์ขอให้พระภิกษุสวดมงคลสูตร เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความเจริญ หรือเพื่อให้เกิดความสิริมงคล ในงานพิธีที่เป็นมงคลต่าง ๆ พระสงฆ์จะต้องสวดมนต์บทนี้เสมอ เรียกกันว่า เป็นบทบังคับก็ว่าได้ เมื่อพระสงฆ์เริ่มต้นสวดมงคลสูตร (อะเสวะนา...) จะเป็นช่วงที่เจ้าภาพจะต้องเดินไปจุดเทียนที่ บาตรน้ำมนต์ จากนั้นประเคนบาตรน้ำมนต์แก่ประธานในพิธีสงฆ์ เมื่อสวดมงคลสูตรจบแล้ว พระภิกษุก็จะ รดน้ำมนต์ ให้แก่ผู้มาร่วมพิธีกรรม เพื่อมอบความเป็นมงคลให้ หรือมอบความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ผู้มาร่วมงานมงคล

ความจริง มงคลสูตร 38 ประการนั้น มีประโยชน์มากถ้านำไปปฏิบัติ (มิใช่การรับแต่น้ำมนต์ที่ประพรม การรับน้ำมนต์โดยไม่ปฏิบัติจะไม่เกิดประโยชน์) จะเป็นมงคลแก่ผู้ปฏิบัติตามอย่างแท้จริง พระพุทธองค์ทรงเทศนาเรียงลำดับข้อไว้อย่างมีระเบียบดียิ่ง เพื่อให้เป็นหลักปฏิบัติตามลำดับอายุของมนุษย์ เริ่มแต่ ปฐมวัย, มัชฌิมวัย และ ปัจฉิมวัย โดยขอยกตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านเห็นดังต่อไปนี้

ปฐมวัย

ในที่นี้ขอกำหนดว่ามนุษย์ที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี เรียกว่าปฐมวัย ปกติเป็นวัยที่ยังไม่สมควรจะออกครองเรือนตามลำพังตน ควรเป็นวัยแห่งการศึกษาเล่าเรียน เป็นระยะเวลาของการเตรียมตัวที่จะออกไปครองเรือนในอนาคต มักจะอยู่ในความปกครองของบิดามารดา พวกปฐมวัยควรปฏิบัติตามมงคลสูตรตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 10 อย่างเคร่งครัด คือ
1. ไม่ให้คบคนพาล (เพื่อจะได้ไม่ตกต่ำในทางที่ชั่ว)
2. ให้คบบัณฑิต (เพื่อให้พบแต่ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต)
3. ให้บูชาบุคคลที่ควรบูชา (เพื่อให้เกิดแบบอย่างที่ดี)
4. ให้อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม (เพื่อสะดวกในการศึกษาเล่าเรียน)
5. ให้สะสมบุญเรื่อยไป (เพื่อเป็นทุนไปสู่ความสุขสำเร็จ)
6. ให้ตั้งตนไว้ชอบ (เพื่อให้มีเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง)
7. ให้เป็นผู้ฟังมาก (เพื่อจะได้มีความรอบรู้)
8. ให้ศึกษา ศิลปวิทยา (เพื่อให้มีพื้นฐานการประกอบอาชีพการงานที่ดี)
9. ให้มีระเบียบวินัยดี (เพื่อให้มีหลักการที่ดีในการดำรงชีวิต)
10. ให้มี วาจาสุภาษิต (เพื่อให้เกิดความมีเสน่ห์ในตัวเอง)

ถ้าผู้ที่มีอายุภายใน 25 ปีแรกของชีวิต ได้ลงมือปฏิบัติตามมงคลสูตรเพียง 10 ข้อ ดังกล่าวนี้ บุคคลเหล่านี้จะเป็นคนดี เข้าไหนเข้าได้ เพราะสังคมต้อนรับ ปราศจากผู้รังเกียจ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเพื่อประโยชน์แก่ปวงชน ถ้าเราเคารพพระพุทธองค์อย่างแท้จริงแล้ว เราก็สมควรนำมงคลสูตรของพระพุทธองค์มาเป็นข้อปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตน ซึ่งนับว่าเป็นมงคลแก่ตนเองเป็นอย่างยิ่ง

มัชฌิมวัย

ในที่นี้ ขอกำหนดว่ามนุษย์ที่มีอายุตั้งแต่ 26 ปี ถึงอายุ 50 ปี เรียกว่าอยู่ในช่วง “มัชฌิมวัย” เป็นวัยที่ต้องดำเนินชีวิตไปตามลำพัง ไม่ควรจะต้องพึ่งบิดามารดาอีกต่อไป ต้องออกไปเผชิญกับเหตุการณ์ของสังคมโลก เป็นวัยที่จะต้องตั้งตัวตั้งหลักฐาน รับผิดชอบในการดำรงชีวิต ในมัชฌิมวัยควรปฏิบัติตามมงคลสูตรเพิ่มขึ้นอีก 20 ข้อ ตั้งแต่ข้อ 11 ถึงข้อ 30 คือ
11. ให้ บำรุงบิดามารดา (เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณคน)
12. ให้ สงเคราะห์บุตรธิดา (เป็นแบบอย่างที่ดี)
13. ให้ สงเคราะห์ภรรยา (เป็นการแสดงความรับผิดชอบ)
14. ไม่ให้การงานอากูล (กิจการงานใดไม่คั่งค้าง)
15. ให้ บำเพ็ญทาน (จิตใจจะมีเมตตาสูง)
16. ให้ ประพฤติธรรม (เพื่อความสงบของชีวิต)
17. ให้ สงเคราะห์ญาติ (เกิดเคราะห์ร้ายก็มีญาติช่วย)
18. ให้ ประกอบการงานดี ไม่มีโทษ (อาชีพสุจริตชีวิตปลอดภัย)
19. ให้ เว้นจากการทำบาป (เพื่อไม่ต้องชดใช้หนี้กรรม)
20. ให้ เว้นจากการเสพของเมา (ให้เป็นคนมีสติอยู่เสมอ)
21. ไม่ให้ประมาทในธรรมทั้งหลาย (ให้มีความคิดรอบคอบ)
22. ให้ เคารพบุคคลที่ควรเคารพ (เราจะได้รับความเคารพตอบ)
23. ไม่ให้เย่อหยิ่ง (จะมีคนให้ความนับถือ)

24. ให้ มีสันโดษ (จิตใจจะไม่วุ่นวาย)
25. ให้ มีความกตัญญู (เพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดี)
26. ให้ ฟังธรรมตามกาล (เพื่อให้มีดวงตาเห็นธรรม)
27. ให้ มีขันติ (จิตใจจะมีความสุขสงบ)
28. ให้ เป็นผู้ว่าง่าย (ทำให้ได้รับความรักจากผู้อื่น)
29. ให้ เข้าหาสมณะผู้สงบ (ทำให้เข้าใจธรรมะที่แท้จริง)
30. ให้ สนทนาธรรมตามกาล (ทำให้มีปัญญาเพิ่มพูล)

ถ้ามนุษย์อายุระหว่าง 26 ปี ถึง 50 ปี ได้ลงมือปฏิบัติตามมงคลสูตรของพระพุทธองค์เพิ่มขึ้นอีก 20 ข้อ ตั้งแต่ข้อ 11 ถึงข้อ 30 ดังกล่าวนี้ บุคคลเหล่านั้นจะประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองในการดำรงชีวิต จะไม่ประสบความทุกข์ แม้ในขณะที่ถึงอายุขัยที่จะตาย วิญญาณก็จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถ้าจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีฐานะสูง ถ้าเราเคารพพระพุทธองค์อย่างแท้จริงแล้ว เราก็สมควรนำมงคลสูตรของพระพุทธองค์มาเป็นข้อปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตน ความเป็นมงคลก็จะเกิดแก่ตนเองและครอบครัว

ปัจฉิมวัย

ในที่นี้ ขอกำหนดว่ามนุษย์มีอายุตั้งแต่ 51 ปี ถึงสิ้นอายุขัย เป็นระยะชีวิตที่จะต้องช่วยตัวเองแสวงหา อริยทรัพย์ อริยสมบัติ เพราะเป็นช่วงเลยกึ่งกลางของชีวิต เดินทางเข้าสู่บั้นปลายของชีวิตเหมือนต้นไม้ใกล้ฝั่ง จะล้มลงเมื่อใดก็ได้ ควรจะช่วยตนเองในการสร้างอริยสมบัติก่อนตาย ซึ่งไม่มีใครจะช่วยเราได้ โดยช่วยให้วิญญาณของเรามีคุณสมบัติสูงกว่าเดิม วิธีช่วยตัวเองนับว่าดีที่สุดนั้น คือการหาโอกาสฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ ด้วยการวิปัสสนากรรมฐาน อาจจะศึกษาเรื่องความตายเพื่อจะได้ตายนอกสมมติ คือการหลุดพ้นจาก สังสารวัฏ ไม่ควรให้ตายในสมมติคือการหมุนเวียนอยู่ในวัฏสงสารเท่านั้น การตายในสมมตินั้น จะต้องกลับมาเกิดเพื่อรับความทุกข์ต่อ ๆ ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด วิธีปฏิบัติเพื่อให้ตายนอกสมมตินั้น คือการปฏิบัติตามมงคลสูตรของพระพุทธองค์ โดยปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีก 8 ข้อ ตั้งแต่ข้อ 31 ถึงข้อ 38 คือ
31. ให้บำเพ็ญเพียรเผากิเลสให้หมดไป (ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน)
32. ให้ ประพฤติพรหมจรรย์ (ออกบวช หรือ บวชใจด้วยเนกขัมมบารมี)
33. ให้เห็นแจ้งในอริยสัจ (ให้ตระหนักรู้ในทุกข์ และเหตุที่เกิดทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีดับทุกข์)
34. ให้ทำนิพพานให้แจ้ง (วิปัสสนาภาวนาจนได้นิโรธสมาบัติ)
35. ไม่ให้จิตหวั่นไหวในโลกธรรม (ทำจิตไม่ให้ติดยึดในลาภ/ยศ/สรรเสริญ/สุข)
36. ไม่ให้จิตเศร้าหมอง (ทำจิตให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน)
37. ไม่ให้จิตมีมลทิน (ทำจิตให้เป็นอุเบกขาตลอดเวลา)
38. ให้มีจิตเกษม (ไม่ให้มีเครื่องดึงรั้งไว้ในภพคือถึงซึ่งพระนิพพาน)

มงคลสูตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งแต่ข้อ 31 ถึงข้อ 38 นี้ มีพุทธประสงค์จะให้ช่วยตัวเองไปทาง โลกุตตรธรม ช่วยให้ตายนอกสมมติ คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นการหลบหนีการเกิด เพราะว่า พระตถาคต สั่งสอนให้ตระหนักว่า “การเกิดเป็นทุกข์” ชาวพุทธที่มีอายุตั้งแต่ 51 ปีขึ้นไป เมื่อบุตรธิดามีอาชีพการงาน หรือสามารถดำรงชีวิตได้ตามลำพังแล้ว หรือ ทรงตัวได้ดีบนขาของเขาได้แล้ว ชาวพุทธผู้มีอายุสูงก็สมควรช่วยตนเองไปในทาง โลกุตตรวิสัย ควรฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ ด้วยการวิปัสสนากรรมฐานให้มาก และให้บ่อย หากปฏิบัติตามมงคลสูตรของพระพุทธองค์เช่นนี้ ความเป็นมงคลก็จะเกิดแก่วิญญาณของตน เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป วิญญาณของตนก็จะไปสู่ สุคติภูมิ หรือพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

ถ้าเราสมมติว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแม่ครัว พระพุทธองค์ทรงปรุงอาหารไว้ เพื่อคน 3 วัย วัยแรกเพื่อให้มนุษย์ในปฐมวัยได้บริโภค วัยที่ 2 เพื่อให้มนุษย์ในมัชฌิมวัยได้บริโภค และวัยที่ 3 ปรุงไว้ให้มนุษย์ในปัจฉิมวัยได้บริโภค แต่มนุษย์จะบริโภค หรือไม่บริโภคนั้น เป็นเรื่องของมนุษย์ที่สามารถเลือกเส้นทางของตนเองได้ พระตถาคต ได้แต่ทรงปรุงอาหารไว้ให้เท่านั้น และทรงชี้ทางให้โดยมีพระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่เท่านั้น
จึงขออนุญาตเชิญชวนเพื่อนพนักงานทุกระดับ และทุกท่าน หันมาบริโภคอริยทรัพย์ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คิดดี พูดดี และทำดี ให้ตลอดอายุขัยของเรา นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด



****
...............................

http://www.dhammajak.net/dhamma/38-3.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
...............................
มงคล คืออะไร ใน 3 วัยที่สำคัญ

มงคล คือ เหตุแห่งความเจริญ หรือเครื่องหมายแห่งความเจริญ

มงคลในศาสนาพุทธ
มงคลในศาสนาพุทธ คือ การนิมนต์ขอให้พระภิกษุสวดมงคลสูตร เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความเจริญ หรือเพื่อให้เกิดความสิริมงคล ในงานพิธีที่เป็นมงคลต่าง ๆ พระสงฆ์จะต้องสวดมนต์บทนี้เสมอ เรียกกันว่า เป็นบทบังคับก็ว่าได้ เมื่อพระสงฆ์เริ่มต้นสวดมงคลสูตร (อะเสวะนา...) จะเป็นช่วงที่เจ้าภาพจะต้องเดินไปจุดเทียนที่ บาตรน้ำมนต์ จากนั้นประเคนบาตรน้ำมนต์แก่ประธานในพิธีสงฆ์ เมื่อสวดมงคลสูตรจบแล้ว พระภิกษุก็จะ รดน้ำมนต์ ให้แก่ผู้มาร่วมพิธีกรรม เพื่อมอบความเป็นมงคลให้ หรือมอบความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ผู้มาร่วมงานมงคล

ความจริง มงคลสูตร 38 ประการนั้น มีประโยชน์มากถ้านำไปปฏิบัติ (มิใช่การรับแต่น้ำมนต์ที่ประพรม การรับน้ำมนต์โดยไม่ปฏิบัติจะไม่เกิดประโยชน์) จะเป็นมงคลแก่ผู้ปฏิบัติตามอย่างแท้จริง พระพุทธองค์ทรงเทศนาเรียงลำดับข้อไว้อย่างมีระเบียบดียิ่ง เพื่อให้เป็นหลักปฏิบัติตามลำดับอายุของมนุษย์ เริ่มแต่ ปฐมวัย, มัชฌิมวัย และ ปัจฉิมวัย โดยขอยกตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านเห็นดังต่อไปนี้

ปฐมวัย

ในที่นี้ขอกำหนดว่ามนุษย์ที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี เรียกว่าปฐมวัย ปกติเป็นวัยที่ยังไม่สมควรจะออกครองเรือนตามลำพังตน ควรเป็นวัยแห่งการศึกษาเล่าเรียน เป็นระยะเวลาของการเตรียมตัวที่จะออกไปครองเรือนในอนาคต มักจะอยู่ในความปกครองของบิดามารดา พวกปฐมวัยควรปฏิบัติตามมงคลสูตรตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 10 อย่างเคร่งครัด คือ
1. ไม่ให้คบคนพาล (เพื่อจะได้ไม่ตกต่ำในทางที่ชั่ว)
2. ให้คบบัณฑิต (เพื่อให้พบแต่ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต)
3. ให้บูชาบุคคลที่ควรบูชา (เพื่อให้เกิดแบบอย่างที่ดี)
4. ให้อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม (เพื่อสะดวกในการศึกษาเล่าเรียน)
5. ให้สะสมบุญเรื่อยไป (เพื่อเป็นทุนไปสู่ความสุขสำเร็จ)
6. ให้ตั้งตนไว้ชอบ (เพื่อให้มีเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง)
7. ให้เป็นผู้ฟังมาก (เพื่อจะได้มีความรอบรู้)
8. ให้ศึกษา ศิลปวิทยา (เพื่อให้มีพื้นฐานการประกอบอาชีพการงานที่ดี)
9. ให้มีระเบียบวินัยดี (เพื่อให้มีหลักการที่ดีในการดำรงชีวิต)
10. ให้มี วาจาสุภาษิต (เพื่อให้เกิดความมีเสน่ห์ในตัวเอง)

ถ้าผู้ที่มีอายุภายใน 25 ปีแรกของชีวิต ได้ลงมือปฏิบัติตามมงคลสูตรเพียง 10 ข้อ ดังกล่าวนี้ บุคคลเหล่านี้จะเป็นคนดี เข้าไหนเข้าได้ เพราะสังคมต้อนรับ ปราศจากผู้รังเกียจ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเพื่อประโยชน์แก่ปวงชน ถ้าเราเคารพพระพุทธองค์อย่างแท้จริงแล้ว เราก็สมควรนำมงคลสูตรของพระพุทธองค์มาเป็นข้อปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตน ซึ่งนับว่าเป็นมงคลแก่ตนเองเป็นอย่างยิ่ง

มัชฌิมวัย

ในที่นี้ ขอกำหนดว่ามนุษย์ที่มีอายุตั้งแต่ 26 ปี ถึงอายุ 50 ปี เรียกว่าอยู่ในช่วง “มัชฌิมวัย” เป็นวัยที่ต้องดำเนินชีวิตไปตามลำพัง ไม่ควรจะต้องพึ่งบิดามารดาอีกต่อไป ต้องออกไปเผชิญกับเหตุการณ์ของสังคมโลก เป็นวัยที่จะต้องตั้งตัวตั้งหลักฐาน รับผิดชอบในการดำรงชีวิต ในมัชฌิมวัยควรปฏิบัติตามมงคลสูตรเพิ่มขึ้นอีก 20 ข้อ ตั้งแต่ข้อ 11 ถึงข้อ 30 คือ
11. ให้ บำรุงบิดามารดา (เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณคน)
12. ให้ สงเคราะห์บุตรธิดา (เป็นแบบอย่างที่ดี)
13. ให้ สงเคราะห์ภรรยา (เป็นการแสดงความรับผิดชอบ)
14. ไม่ให้การงานอากูล (กิจการงานใดไม่คั่งค้าง)
15. ให้ บำเพ็ญทาน (จิตใจจะมีเมตตาสูง)
16. ให้ ประพฤติธรรม (เพื่อความสงบของชีวิต)
17. ให้ สงเคราะห์ญาติ (เกิดเคราะห์ร้ายก็มีญาติช่วย)
18. ให้ ประกอบการงานดี ไม่มีโทษ (อาชีพสุจริตชีวิตปลอดภัย)
19. ให้ เว้นจากการทำบาป (เพื่อไม่ต้องชดใช้หนี้กรรม)
20. ให้ เว้นจากการเสพของเมา (ให้เป็นคนมีสติอยู่เสมอ)
21. ไม่ให้ประมาทในธรรมทั้งหลาย (ให้มีความคิดรอบคอบ)
22. ให้ เคารพบุคคลที่ควรเคารพ (เราจะได้รับความเคารพตอบ)
23. ไม่ให้เย่อหยิ่ง (จะมีคนให้ความนับถือ)

24. ให้ มีสันโดษ (จิตใจจะไม่วุ่นวาย)
25. ให้ มีความกตัญญู (เพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดี)
26. ให้ ฟังธรรมตามกาล (เพื่อให้มีดวงตาเห็นธรรม)
27. ให้ มีขันติ (จิตใจจะมีความสุขสงบ)
28. ให้ เป็นผู้ว่าง่าย (ทำให้ได้รับความรักจากผู้อื่น)
29. ให้ เข้าหาสมณะผู้สงบ (ทำให้เข้าใจธรรมะที่แท้จริง)
30. ให้ สนทนาธรรมตามกาล (ทำให้มีปัญญาเพิ่มพูล)

ถ้ามนุษย์อายุระหว่าง 26 ปี ถึง 50 ปี ได้ลงมือปฏิบัติตามมงคลสูตรของพระพุทธองค์เพิ่มขึ้นอีก 20 ข้อ ตั้งแต่ข้อ 11 ถึงข้อ 30 ดังกล่าวนี้ บุคคลเหล่านั้นจะประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองในการดำรงชีวิต จะไม่ประสบความทุกข์ แม้ในขณะที่ถึงอายุขัยที่จะตาย วิญญาณก็จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถ้าจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีฐานะสูง ถ้าเราเคารพพระพุทธองค์อย่างแท้จริงแล้ว เราก็สมควรนำมงคลสูตรของพระพุทธองค์มาเป็นข้อปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตน ความเป็นมงคลก็จะเกิดแก่ตนเองและครอบครัว

ปัจฉิมวัย

ในที่นี้ ขอกำหนดว่ามนุษย์มีอายุตั้งแต่ 51 ปี ถึงสิ้นอายุขัย เป็นระยะชีวิตที่จะต้องช่วยตัวเองแสวงหา อริยทรัพย์ อริยสมบัติ เพราะเป็นช่วงเลยกึ่งกลางของชีวิต เดินทางเข้าสู่บั้นปลายของชีวิตเหมือนต้นไม้ใกล้ฝั่ง จะล้มลงเมื่อใดก็ได้ ควรจะช่วยตนเองในการสร้างอริยสมบัติก่อนตาย ซึ่งไม่มีใครจะช่วยเราได้ โดยช่วยให้วิญญาณของเรามีคุณสมบัติสูงกว่าเดิม วิธีช่วยตัวเองนับว่าดีที่สุดนั้น คือการหาโอกาสฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ ด้วยการวิปัสสนากรรมฐาน อาจจะศึกษาเรื่องความตายเพื่อจะได้ตายนอกสมมติ คือการหลุดพ้นจาก สังสารวัฏ ไม่ควรให้ตายในสมมติคือการหมุนเวียนอยู่ในวัฏสงสารเท่านั้น การตายในสมมตินั้น จะต้องกลับมาเกิดเพื่อรับความทุกข์ต่อ ๆ ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด วิธีปฏิบัติเพื่อให้ตายนอกสมมตินั้น คือการปฏิบัติตามมงคลสูตรของพระพุทธองค์ โดยปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีก 8 ข้อ ตั้งแต่ข้อ 31 ถึงข้อ 38 คือ
31. ให้บำเพ็ญเพียรเผากิเลสให้หมดไป (ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน)
32. ให้ ประพฤติพรหมจรรย์ (ออกบวช หรือ บวชใจด้วยเนกขัมมบารมี)
33. ให้เห็นแจ้งในอริยสัจ (ให้ตระหนักรู้ในทุกข์ และเหตุที่เกิดทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีดับทุกข์)
34. ให้ทำนิพพานให้แจ้ง (วิปัสสนาภาวนาจนได้นิโรธสมาบัติ)
35. ไม่ให้จิตหวั่นไหวในโลกธรรม (ทำจิตไม่ให้ติดยึดในลาภ/ยศ/สรรเสริญ/สุข)
36. ไม่ให้จิตเศร้าหมอง (ทำจิตให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน)
37. ไม่ให้จิตมีมลทิน (ทำจิตให้เป็นอุเบกขาตลอดเวลา)
38. ให้มีจิตเกษม (ไม่ให้มีเครื่องดึงรั้งไว้ในภพคือถึงซึ่งพระนิพพาน)

มงคลสูตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งแต่ข้อ 31 ถึงข้อ 38 นี้ มีพุทธประสงค์จะให้ช่วยตัวเองไปทาง โลกุตตรธรม ช่วยให้ตายนอกสมมติ คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นการหลบหนีการเกิด เพราะว่า พระตถาคต สั่งสอนให้ตระหนักว่า “การเกิดเป็นทุกข์” ชาวพุทธที่มีอายุตั้งแต่ 51 ปีขึ้นไป เมื่อบุตรธิดามีอาชีพการงาน หรือสามารถดำรงชีวิตได้ตามลำพังแล้ว หรือ ทรงตัวได้ดีบนขาของเขาได้แล้ว ชาวพุทธผู้มีอายุสูงก็สมควรช่วยตนเองไปในทาง โลกุตตรวิสัย ควรฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ ด้วยการวิปัสสนากรรมฐานให้มาก และให้บ่อย หากปฏิบัติตามมงคลสูตรของพระพุทธองค์เช่นนี้ ความเป็นมงคลก็จะเกิดแก่วิญญาณของตน เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป วิญญาณของตนก็จะไปสู่ สุคติภูมิ หรือพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

ถ้าเราสมมติว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแม่ครัว พระพุทธองค์ทรงปรุงอาหารไว้ เพื่อคน 3 วัย วัยแรกเพื่อให้มนุษย์ในปฐมวัยได้บริโภค วัยที่ 2 เพื่อให้มนุษย์ในมัชฌิมวัยได้บริโภค และวัยที่ 3 ปรุงไว้ให้มนุษย์ในปัจฉิมวัยได้บริโภค แต่มนุษย์จะบริโภค หรือไม่บริโภคนั้น เป็นเรื่องของมนุษย์ที่สามารถเลือกเส้นทางของตนเองได้ พระตถาคต ได้แต่ทรงปรุงอาหารไว้ให้เท่านั้น และทรงชี้ทางให้โดยมีพระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่เท่านั้น
จึงขออนุญาตเชิญชวนเพื่อนพนักงานทุกระดับ และทุกท่าน หันมาบริโภคอริยทรัพย์ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คิดดี พูดดี และทำดี ให้ตลอดอายุขัยของเรา นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด



****
...............................

http://www.dhammajak.net/dhamma/38-3.html
กบยกมงคลสูตราก็ดีแล้ว. กบลองนึกย้อนไปดูนะว่าอะไรๆที่กบทำอยู่. มีในมงคลสูตรมั้ย. ถ้าไม่มีเลิกทำไปเลย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ฟังธรรมคั่นเวลาพอเป็นกำลังของปัญญาให้เปิดหูเปิดตาบ้างจะได้รู้ว่าความอ่อนน้อมกันอย่างไร
:b12:
https://www.youtube.com/watch?v=SUC2kC7vCfQ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2015, 05:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ฟังธรรมคั่นเวลาพอเป็นกำลังของปัญญาให้เปิดหูเปิดตาบ้างจะได้รู้ว่าความอ่อนน้อมกันอย่างไร
:b12:
https://www.youtube.com/watch?v=SUC2kC7vCfQ
onion onion onion
คุณทำไม่ตรงพระพุทธเจ้าตั้งหลายอย่างเรียกนอบน้อมหรือเปล่าฮะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 07 ก.ย. 2015, 06:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2015, 22:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ความอ่อนน้อม...เป็นเรื่องธรรมดาของผู้เห็นธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2015, 06:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คนที่จะมีจิตใจที่อ่อนน้อม...ได้นี้....ผมว่าเขาต้องเห็นความจริงอะไรบ้างแหละถึง..อ่อนน้อมต่อสิ่งต่าง ๆ ได้...แม้แต่กับคนที่ไม่ชอบตน..รึ..แม้แต่คนที่ตนก็ไม่ชอบ...หรือแม้แต่กับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ....

คนอ่อนน้อม..เพราะเห็นธรรม

และผมก็คิดว่า..คนจะเห็นธรรมได้..ก็ต้องมีความอ่อนน้อมด้วยเช่นกัน

...เพราะไม่งั้นก็จะไม่ฟังธรรมด้วยดี..ไม่พิจารณาธรรมด้วยดี....

ก็มาที่คำถาม..ตามชื่อกระทู้..ละคับว่า..

เพื่อน ๆ คิดอย่างไร..ว่า..ความอ่อนน้อม..มีความสำคัญกับการปฏิบัติธรรม..หรือไม่?..อย่างไร?

:b16: :b16: :b16:

:b12: :b12: :b12:
ตั้งกระทู้ดีนะกบ
:b8:
ตอบตรงๆตามที่ถามก่อนว่า

ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติธรรม

ขยายความ

ป้าหมายสูงสุดอันแรกของการปฏิบัติธรรมคือ

"ทำลายสักกายทิฏฐิ"

ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นบุญกิริยาวัตถุข้อที่ 5 อยู่ในหมวดศีล เป็นมิเตอร์ที่ใช้ช่วยชี้วัดระดับของสักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิที่ยังคงเหลืออยู่ในบุคคลนั้นๆ

โปรดสังเกตและวิเคราะห์กันให้ดีๆและถี่ถ้วนจะเห็นว่า บุญกิริยาวัตถุทั้ง 10ข้อนั้นล้วนเป็นกลอุบายอันลึกซึ่งที่มุ่งไปลดทอนความเห็นผิดยึดผิด ว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกู

เริ่มตั้งแต่ ทาน การให้ปันสิ่งของของ ซึ่งถ้าไม่ลดความเป็นของกูลงก็จะสละให้ทานแก่ใครไม่ได้ แต่ต้องระวัง ทานอาจเพิ่มความเป็นตัวกู ของกูให้พอกหนาลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นถ้าเป็นทานเพื่อให้ได้มาไม่ใช่ทานเพื่อสละออกไป

ข้อที่ 5 อัปจายนะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญตั้งแต่เริ่มแรก คือ ถ้าไม่อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าหากัลยาณมิตรเพื่อรับคำสอนคำชี้แนะจากท่านเพียงแค่นี้ก็หมดโอกาสแล้วที่จะได้รู้เรื่องการปฏิบัติธรรม
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2015, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คนที่จะมีจิตใจที่อ่อนน้อม...ได้นี้....ผมว่าเขาต้องเห็นความจริงอะไรบ้างแหละถึง..อ่อนน้อมต่อสิ่งต่าง ๆ ได้...แม้แต่กับคนที่ไม่ชอบตน..รึ..แม้แต่คนที่ตนก็ไม่ชอบ...หรือแม้แต่กับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ....

คนอ่อนน้อม..เพราะเห็นธรรม

และผมก็คิดว่า..คนจะเห็นธรรมได้..ก็ต้องมีความอ่อนน้อมด้วยเช่นกัน

...เพราะไม่งั้นก็จะไม่ฟังธรรมด้วยดี..ไม่พิจารณาธรรมด้วยดี....

ก็มาที่คำถาม..ตามชื่อกระทู้..ละคับว่า..

เพื่อน ๆ คิดอย่างไร..ว่า..ความอ่อนน้อม..มีความสำคัญกับการปฏิบัติธรรม..หรือไม่?..อย่างไร?

:b16: :b16: :b16:

:b12: :b12: :b12:
ตั้งกระทู้ดีนะกบ
:b8:
ตอบตรงๆตามที่ถามก่อนว่า

ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติธรรม

ขยายความ

ป้าหมายสูงสุดอันแรกของการปฏิบัติธรรมคือ

"ทำลายสักกายทิฏฐิ"

ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นบุญกิริยาวัตถุข้อที่ 5 อยู่ในหมวดศีล เป็นมิเตอร์ที่ใช้ช่วยชี้วัดระดับของสักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิที่ยังคงเหลืออยู่ในบุคคลนั้นๆ

โปรดสังเกตและวิเคราะห์กันให้ดีๆและถี่ถ้วนจะเห็นว่า บุญกิริยาวัตถุทั้ง 10ข้อนั้นล้วนเป็นกลอุบายอันลึกซึ่งที่มุ่งไปลดทอนความเห็นผิดยึดผิด ว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกู

เริ่มตั้งแต่ ทาน การให้ปันสิ่งของของ ซึ่งถ้าไม่ลดความเป็นของกูลงก็จะสละให้ทานแก่ใครไม่ได้ แต่ต้องระวัง ทานอาจเพิ่มความเป็นตัวกู ของกูให้พอกหนาลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นถ้าเป็นทานเพื่อให้ได้มาไม่ใช่ทานเพื่อสละออกไป

ข้อที่ 5 อัปจายนะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญตั้งแต่เริ่มแรก คือ ถ้าไม่อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าหากัลยาณมิตรเพื่อรับคำสอนคำชี้แนะจากท่านเพียงแค่นี้ก็หมดโอกาสแล้วที่จะได้รู้เรื่องการปฏิบัติธรรม
:b38:

บุญกิริยามีแค่3นะ. หลักฐานมีนั้นเพิ่มเติมแต่งใหม่เพราะคิดดี. แต่คิดดีนั้นก็ความเห็นตนเองไม่ใช่ความคิดของพระองค์. แบบนี้มีเยอะเพราะไม่เข้าใจในธรรมะเลยจึงเพิ่มเติม

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2015, 11:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คนที่จะมีจิตใจที่อ่อนน้อม...ได้นี้....ผมว่าเขาต้องเห็นความจริงอะไรบ้างแหละถึง..อ่อนน้อมต่อสิ่งต่าง ๆ ได้...แม้แต่กับคนที่ไม่ชอบตน..รึ..แม้แต่คนที่ตนก็ไม่ชอบ...หรือแม้แต่กับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ....

คนอ่อนน้อม..เพราะเห็นธรรม

และผมก็คิดว่า..คนจะเห็นธรรมได้..ก็ต้องมีความอ่อนน้อมด้วยเช่นกัน

...เพราะไม่งั้นก็จะไม่ฟังธรรมด้วยดี..ไม่พิจารณาธรรมด้วยดี....

ก็มาที่คำถาม..ตามชื่อกระทู้..ละคับว่า..

เพื่อน ๆ คิดอย่างไร..ว่า..ความอ่อนน้อม..มีความสำคัญกับการปฏิบัติธรรม..หรือไม่?..อย่างไร?

:b16: :b16: :b16:

:b12: :b12: :b12:
ตั้งกระทู้ดีนะกบ
:b8:
ตอบตรงๆตามที่ถามก่อนว่า

ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติธรรม

ขยายความ

ป้าหมายสูงสุดอันแรกของการปฏิบัติธรรมคือ

"ทำลายสักกายทิฏฐิ"

ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นบุญกิริยาวัตถุข้อที่ 5 อยู่ในหมวดศีล เป็นมิเตอร์ที่ใช้ช่วยชี้วัดระดับของสักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิที่ยังคงเหลืออยู่ในบุคคลนั้นๆ

โปรดสังเกตและวิเคราะห์กันให้ดีๆและถี่ถ้วนจะเห็นว่า บุญกิริยาวัตถุทั้ง 10ข้อนั้นล้วนเป็นกลอุบายอันลึกซึ่งที่มุ่งไปลดทอนความเห็นผิดยึดผิด ว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกู

เริ่มตั้งแต่ ทาน การให้ปันสิ่งของของ ซึ่งถ้าไม่ลดความเป็นของกูลงก็จะสละให้ทานแก่ใครไม่ได้ แต่ต้องระวัง ทานอาจเพิ่มความเป็นตัวกู ของกูให้พอกหนาลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นถ้าเป็นทานเพื่อให้ได้มาไม่ใช่ทานเพื่อสละออกไป

ข้อที่ 5 อัปจายนะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญตั้งแต่เริ่มแรก คือ ถ้าไม่อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าหากัลยาณมิตรเพื่อรับคำสอนคำชี้แนะจากท่านเพียงแค่นี้ก็หมดโอกาสแล้วที่จะได้รู้เรื่องการปฏิบัติธรรม
:b38:

บุญกิริยามีแค่3นะ. หลักฐานมีนั้นเพิ่มเติมแต่งใหม่เพราะคิดดี. แต่คิดดีนั้นก็ความเห็นตนเองไม่ใช่ความคิดของพระองค์. แบบนี้มีเยอะเพราะไม่เข้าใจในธรรมะเลยจึงเพิ่มเติม

:b13:
เพราะยึดตำราแน่นเกินไปเลยไม่เข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้ง จึงเห็นบุญกิริยาวัตถุเพียงแค่ 3 ข้อ
:b16:
คงเป็นอย่างนี้เสียมากกว่าละมั้งคุณbigtoo

ปัตติทาน ปัตตานุโมทนา ไม่เป็นบุญหรือ

อัปปจายนะ เวยยาวัจจะ ไม่เป็นบุญหรือ

ธรรมสวนะ ธรรมะเทศนา ทิฏฐุชุกรรม ไม่เป็นบุญหรือ

ยิ่งนานวันยิ่งเห็นผิดมากขึ้นเรื่อยๆนะ bigtoo ไม่สบายหรือเปล่า
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2015, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คนที่จะมีจิตใจที่อ่อนน้อม...ได้นี้....ผมว่าเขาต้องเห็นความจริงอะไรบ้างแหละถึง..อ่อนน้อมต่อสิ่งต่าง ๆ ได้...แม้แต่กับคนที่ไม่ชอบตน..รึ..แม้แต่คนที่ตนก็ไม่ชอบ...หรือแม้แต่กับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ....

คนอ่อนน้อม..เพราะเห็นธรรม

และผมก็คิดว่า..คนจะเห็นธรรมได้..ก็ต้องมีความอ่อนน้อมด้วยเช่นกัน

...เพราะไม่งั้นก็จะไม่ฟังธรรมด้วยดี..ไม่พิจารณาธรรมด้วยดี....

ก็มาที่คำถาม..ตามชื่อกระทู้..ละคับว่า..

เพื่อน ๆ คิดอย่างไร..ว่า..ความอ่อนน้อม..มีความสำคัญกับการปฏิบัติธรรม..หรือไม่?..อย่างไร?

:b16: :b16: :b16:

:b12: :b12: :b12:
ตั้งกระทู้ดีนะกบ
:b8:
ตอบตรงๆตามที่ถามก่อนว่า

ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติธรรม

ขยายความ

ป้าหมายสูงสุดอันแรกของการปฏิบัติธรรมคือ

"ทำลายสักกายทิฏฐิ"

ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นบุญกิริยาวัตถุข้อที่ 5 อยู่ในหมวดศีล เป็นมิเตอร์ที่ใช้ช่วยชี้วัดระดับของสักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิที่ยังคงเหลืออยู่ในบุคคลนั้นๆ

โปรดสังเกตและวิเคราะห์กันให้ดีๆและถี่ถ้วนจะเห็นว่า บุญกิริยาวัตถุทั้ง 10ข้อนั้นล้วนเป็นกลอุบายอันลึกซึ่งที่มุ่งไปลดทอนความเห็นผิดยึดผิด ว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกู

เริ่มตั้งแต่ ทาน การให้ปันสิ่งของของ ซึ่งถ้าไม่ลดความเป็นของกูลงก็จะสละให้ทานแก่ใครไม่ได้ แต่ต้องระวัง ทานอาจเพิ่มความเป็นตัวกู ของกูให้พอกหนาลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นถ้าเป็นทานเพื่อให้ได้มาไม่ใช่ทานเพื่อสละออกไป

ข้อที่ 5 อัปจายนะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญตั้งแต่เริ่มแรก คือ ถ้าไม่อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าหากัลยาณมิตรเพื่อรับคำสอนคำชี้แนะจากท่านเพียงแค่นี้ก็หมดโอกาสแล้วที่จะได้รู้เรื่องการปฏิบัติธรรม
:b38:

บุญกิริยามีแค่3นะ. หลักฐานมีนั้นเพิ่มเติมแต่งใหม่เพราะคิดดี. แต่คิดดีนั้นก็ความเห็นตนเองไม่ใช่ความคิดของพระองค์. แบบนี้มีเยอะเพราะไม่เข้าใจในธรรมะเลยจึงเพิ่มเติม

:b13:
เพราะยึดตำราแน่นเกินไปเลยไม่เข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้ง จึงเห็นบุญกิริยาวัตถุเพียงแค่ 3 ข้อ
:b16:
คงเป็นอย่างนี้เสียมากกว่าละมั้งคุณbigtoo

ปัตติทาน ปัตตานุโมทนา ไม่เป็นบุญหรือ

อัปปจายนะ เวยยาวัจจะ ไม่เป็นบุญหรือ

ธรรมสวนะ ธรรมะเทศนา ทิฏฐุชุกรรม ไม่เป็นบุญหรือ

ยิ่งนานวันยิ่งเห็นผิดมากขึ้นเรื่อยๆนะ bigtoo ไม่สบายหรือเปล่า
s004
อโสกะจะเถียงพระพุทธเจ้าหรอลองพิจารณาดีๆพระองค์เก่งที่สุด. แล้วอโสกะมาเถียงว่าท่านมีสิบน๊าครับผมคิดว่าอย่างนั้น

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2015, 16:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
[quot
:b12: :b12: :b12:
ตั้งกระทู้ดีนะกบ
:b8:
ตอบตรงๆตามที่ถามก่อนว่า

ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติธรรม

ขยายความ

ป้าหมายสูงสุดอันแรกของการปฏิบัติธรรมคือ

"ทำลายสักกายทิฏฐิ"

ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นบุญกิริยาวัตถุข้อที่ 5 อยู่ในหมวดศีล เป็นมิเตอร์ที่ใช้ช่วยชี้วัดระดับของสักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิที่ยังคงเหลืออยู่ในบุคคลนั้นๆ


โปรดสังเกตและวิเคราะ
:b38:

:b22: :b22: :b22:

ดีใจนะนิ...อโสกะชม.. :b22: :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2015, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
[quot
:b12: :b12: :b12:
ตั้งกระทู้ดีนะกบ
:b8:
ตอบตรงๆตามที่ถามก่อนว่า

ความอ่อนน้อมถ่อมตน สำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติธรรม

ขยายความ

ป้าหมายสูงสุดอันแรกของการปฏิบัติธรรมคือ

"ทำลายสักกายทิฏฐิ"

ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นบุญกิริยาวัตถุข้อที่ 5 อยู่ในหมวดศีล เป็นมิเตอร์ที่ใช้ช่วยชี้วัดระดับของสักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิที่ยังคงเหลืออยู่ในบุคคลนั้นๆ


โปรดสังเกตและวิเคราะ
:b38:

:b22: :b22: :b22:

ดีใจนะนิ...อโสกะชม.. :b22: :b22:

คว้ามาอีกแล้ว

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2015, 16:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมดา...ธรรมดา....

ไม่ต้องแอ้ฟ...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร