วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 05:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2016, 04:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากผ่านหูผ่านตามาหลายรอบแล้วกับคำว่า ปรมัตถธรรม ๔
ผมอ่านแล้วก็ให้รู้สึกขัดใจ นั้นก็เพราะในความเป็นจริงแล้ว ปรมัตถธรรมไม่ได้มี ๔ ตามที่เขาว่า
ยิ่งที่บอกว่า ปรมัตถธรรมคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน.....นี่ยิ่งไม่ใช่และไปกันใหญ่

แนะนำให้พิจารณาอรรถของธรรม ก็คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ....พยัญชนะที่เห็นท่านเรียกว่า บัญญัติ
บัญญัติมี๒อย่าง ก็คือ สมมติบัญญัติและปรมัตถบัญญัติ

การศึกษาธรรมตามหลักของการวิปัสสนานั้นจะต้องเข้าใจความเป็นสมมติและปรมัตถ์
ก็เพราะสมมติและปรมัตถ์มันเกิดพร้อมกัน ต้องรู้สมมติและปรมัตถ์ก็เพื่อแยกแยะธรรมได้ถูก

จิต เจตสิก รูปและนิพพาน......เป็นสมมติบัญญัติหรือธรรมที่เป็นสมมติหาใช่ปรมัตถธรรมไม่
บัญญัติทั้ง๔นี้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้นมาก็เพื่อเป็นแนวทางชี้นำให้ศึกษาเพื่อการรู้แจ้งในปรมัตถธรรมแท้

ฉะนั้นเมื่อเห็นคำว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน จะต้องศึกษา(วิปัสสนา)ให้รู้แจ้งในความเป็นปรมัตถธรรมของมันเสียก่อน
แล้วจึงค่อยกล่าวว่า ความเป็นปรมัตถธรรมที่แท้จริงนั้นคืออะไร

ซึ่งผู้รู้และเข้าใจหลักวิปัสสนาแล้ว ย่อมรู้ว่าอะไรคือปรมัตถ์ธรรมของสมมติบัญญัติทั้ง๔นั้น
และสามารถเอาบัญญัติที่กล่าวถึงปรมัตถธรรมที่แท้จริงมากล่าวได้ ....นั้นก็คือสามารถแยกแยะได้ว่า
สมมติบัญญัติใดในทางปรมัตถ์ต้องใช้ปรมัตถบัญญัติตัวใด......
ไม่ใช่เอาสมมติบัญญัติมาบอกว่าเป็นปรมัตถธรรม
แบบนี้มันผิดลู่ผิดธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2016, 06:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สมมุติ.....เจื่อยแจ๋ว...เจื่อยแจ๋ว...บัญญัติ...ปรมัตถ์....บัญญัติ...ปรมัตถ์

:b13: :b13:

ปรมัตถ์..... :b21: :b21: :b21:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2016, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเป็นปรมัตถ์ธรรมที่พระพุทธองค์ได้บัญญัติไว้ หรือเรียกอีกอย่างว่า....ปรมัตถบัญญัติไม่ใช่มีแค่๔
ถ้ายึดเอาตามพระอภิธรรมแล้ว ปรมัตถบัญญัติที่กล่าวถึงปรมัตถ์ธรรมไว้มัทั้งสิ้น...๕๗ องค์ธรรม
แยกแยะได้ดังนี้คือ.......
ขันธ์...... ๕
อายตนะ.. ๑๒
ธาตุ....... ๑๘
อินทรีย์.... ๒๒


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2016, 14:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็มีส่วนในการทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจผิด

เช่น รูป อาจจะเข้าใจนอกเหนือไปจากสภาวะของเหตุปัจจัยอย่าง ร้อนหนาว แข็งอ่อน และธาตุอื่นๆ เป็น ร่างกายไป

ประมาณนี้หรือปล่าวครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2016, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ก็มีส่วนในการทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจผิด

เช่น รูป อาจจะเข้าใจนอกเหนือไปจากสภาวะของเหตุปัจจัยอย่าง ร้อนหนาว แข็งอ่อน และธาตุอื่นๆ เป็น ร่างกายไป

ประมาณนี้หรือปล่าวครับ


ถ้าเรายึดเอาคำว่ารูปเป็นปรมัตถธรรม.....ย่อมทำให้สับสนและเข้าใจผิดแบบคุณว่าครับ
เพราะคำว่ารูป มันเป็นเพียงสมมติ.....มันไม่ใช่สภาพธรรมที่แท้จริง

แล้วอะไรเป็นสภาพธรรมที่แท้จริงของ รูป นั้นก็คือความเป็นปรมัตถ์ของคำว่ารูป
ปรมัตถ์ของคำว่ารูปก็คือ.........ธาตุ๑๘

ฉะนั้นธาตุทั้งหลายใน๑๘องค์ธรรม คือสภาพธรรมที่แท้จริง
ธาตุทั้ง๑๘ มีดังนี้..........

. .พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒
. .วิภังคปกรณ์
. .อภิธรรมภาชนีย์

๑. จักขุธาตุ
๒. รูปธาตุ
๓. จักขุวิญญาณธาตุ
๔. โสตธาตุ
๕. สัททธาตุ
๖. โสตวิญญาณธาตุ
๗. ฆานธาตุ
๘. คันธธาตุ
๙. ฆานวิญญาณธาตุ
๑๐. ชิวหาธาตุ
๑๑. รสธาตุ
๑๒. ชิวหาวิญญาณธาตุ
๑๓. กายธาตุ
๑๔. โผฏฐัพพธาตุ
๑๕. กายวิญญาณธาตุ
๑๖. มโนธาตุ
๑๗. ธรรมธาตุ
๑๘. มโนวิญญาณธาตุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2016, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ก็มีส่วนในการทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจผิด

เช่น รูป อาจจะเข้าใจนอกเหนือไปจากสภาวะของเหตุปัจจัยอย่าง ร้อนหนาว แข็งอ่อน และธาตุอื่นๆ เป็น ร่างกายไป

ประมาณนี้หรือปล่าวครับ


ความรู้สึกร้อนหนาว แข็งอ่อน เป็นสมมติบัญญัติที่เป็นโวหารทางโลก
แต่โดยนัยของสมมติบัญญัติที่เป็นพุทธพจนแล้วมันเรียกว่า....อารมณ์

อารมณ์ด้วยความเป็น ปรมัตถ์ธรรมแล้วเราใช้บัญญัติเรียกองค์ธรรมที่เป็นปรมัตถ์เหล่านี้ว่า...อายตนะ
องค์ปรมัตถธรรมในอายตนะมีทั้งสิ้น ๑๒ องค์ธรรม

จักขายตนะ กับ รูปายตนะ
โสตายตนะ กับ สัททายตนะ
ฆานายตนะ กับ คันธายตนะ
ชิวหายตนะ กับ รสายตนะ
กายายตนะ กับ โผฏฐัพพายตนะ
มนายตนะ กับ ธัมมายตนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2016, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ก็มีส่วนในการทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจผิด

เช่น รูป อาจจะเข้าใจนอกเหนือไปจากสภาวะของเหตุปัจจัยอย่าง ร้อนหนาว แข็งอ่อน และธาตุอื่นๆ เป็น ร่างกายไป

ประมาณนี้หรือปล่าวครับ



เมื่อก่อนนี้ เกือบยี่สิบปีมาแล้ว อันนี้พ่อของดิฉันเล่าให้ฟังมาว่า
ก็มีคุณน้าผู้ชายท่านหนึ่ง เข้าไปเรียนพระอภิธรรมที่วัด เป็นรุ่นน้องของพ่อ
คุณน้าแกเรียนเก่งมาก เรียกว่าพระอาจารย์ยังชม
แต่เรียนไปเรียนมา เกือบจะวางมวยใส่พระอาจารย์ที่สอน พระอาจารย์ต้องหยุดสอนและรีบออกจากห้อง
คุณน้าแกไปจัดระบบใหม่ เรียบเรียงใหม่หมด ตรงโน้นก็ไม่ถูกตรงนี้ก็ไม่ถูก ต้องเรียงใหม่
ต่อมา คุณน้าแกก็เลิกเรียน เพราะไม่ถูกใจแกค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2016, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักในการศึกษาพระอภิธรรมท่านมีกำหนำกฎเกณท์เอาไว้....ไม่ใช่ด้วยการเอาสิ่งที่ตัวศึกษามาเป็นใหญ่
หรือเอาตัวอาจารย์ตนมาอยู่เหนือธรรมของใครเขา


สิ่งที่เราต้องเคารพและยึดถือตามหลักเกณท์ของความน่าเชื่อถือก็คือ...ท่านให้ยึดเอาพระธรรมวินัยของพระโคดม และโดยส่วนใหญ่แล้ว พระธรรมวินัยของพระโคดมนั้นก็บัญญัติอยู่ในพระไตรปิฎก

ซึ่งพระไตรปิฎกหมายถึง ธรรมอันประกอบด้วยด้วย พระวินัยปิฎก๑ พระสุตตันตปิฎก๑ พระอภิธรรมปิฎก๑
ขอเน้นว่า พระอภิธรรมปิฎก

เด็กนักเรียนที่เรียนอภิธรรมตามวัดต่างๆ อาจจะยังไม่เข้าใจว่า สิ่งที่ตัวเรียนนั้นหาใช่อรรถในพระไตรปิฎกไม่ แต่เป็นเพียงตำราที่แต่งขึ้นภายหลัง เขาเรียนตำรานั้นว่า อภิธัมมัตถสังคหะ

อภิธรรมปิฎกเป็นอรรถในพระไตรปิฎก ส่วนอภิธัมมัตถสังคหะเป็นเพียงตำราที่แต่งขึ้นจากทิฐิของผู้แต่ง
ด้วยเหตุนี้ศักดิ์ศรีมันเอามาเปรียบกันไม่ได้

ฉะนั้นใครมักชอบที่จะพูดจาในทำนองกระแน่ะกระแหนธรรมของผู้อื่น
ผมว่าเปลี่ยนความคิดและวิธีการนั้นเสียจะดีกว่า
ควรจะมาถามไถ่หรือแสดงในสิ่งที่ตนเห็นแย้งในอรรถในธรรม......น่าจะเกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวมนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
student เขียน:
ก็มีส่วนในการทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจผิด

เช่น รูป อาจจะเข้าใจนอกเหนือไปจากสภาวะของเหตุปัจจัยอย่าง ร้อนหนาว แข็งอ่อน และธาตุอื่นๆ เป็น ร่างกายไป

ประมาณนี้หรือปล่าวครับ


ความรู้สึกร้อนหนาว แข็งอ่อน เป็นสมมติบัญญัติที่เป็นโวหารทางโลก
แต่โดยนัยของสมมติบัญญัติที่เป็นพุทธพจนแล้วมันเรียกว่า....อารมณ์

อารมณ์ด้วยความเป็น ปรมัตถ์ธรรมแล้วเราใช้บัญญัติเรียกองค์ธรรมที่เป็นปรมัตถ์เหล่านี้ว่า...อายตนะ
องค์ปรมัตถธรรมในอายตนะมีทั้งสิ้น ๑๒ องค์ธรรม

จักขายตนะ กับ รูปายตนะ
โสตายตนะ กับ สัททายตนะ
ฆานายตนะ กับ คันธายตนะ
ชิวหายตนะ กับ รสายตนะ
กายายตนะ กับ โผฏฐัพพายตนะ
มนายตนะ กับ ธัมมายตนะ


รออยู่ครับว่า คุณโฮฮับจะจับได้หรือปล่าว เพราะผมมาอ่านทบทวนหลังจากนั้น เป็นการขยายกายธาตุอีกที

คือ มหาภูติ4 ดิน น้ำ ลม ไฟ

เป็นการเข้าไปรู้ลักษณะของธาตุเหล่านี้

เช่น ธาตุลม คือ อาการวิงเวียนศรีษะ หน้ามืด หรือ ปกติ นั่นคือผัสสะอย่างที่กล่าวข้างบนเพราะมีวิญญาณมาประจบ

อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 05:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เนื่องจากผ่านหูผ่านตามาหลายรอบแล้วกับคำว่า ปรมัตถธรรม ๔
ผมอ่านแล้วก็ให้รู้สึกขัดใจ นั้นก็เพราะในความเป็นจริงแล้ว ปรมัตถธรรมไม่ได้มี ๔ ตามที่เขาว่า
ยิ่งที่บอกว่า ปรมัตถธรรมคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน.....นี่ยิ่งไม่ใช่และไปกันใหญ่

แนะนำให้พิจารณาอรรถของธรรม ก็คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ....พยัญชนะที่เห็นท่านเรียกว่า บัญญัติ
บัญญัติมี๒อย่าง ก็คือ สมมติบัญญัติและปรมัตถบัญญัติ

การศึกษาธรรมตามหลักของการวิปัสสนานั้นจะต้องเข้าใจความเป็นสมมติและปรมัตถ์
ก็เพราะสมมติและปรมัตถ์มันเกิดพร้อมกัน ต้องรู้สมมติและปรมัตถ์ก็เพื่อแยกแยะธรรมได้ถูก

จิต เจตสิก รูปและนิพพาน......เป็นสมมติบัญญัติหรือธรรมที่เป็นสมมติหาใช่ปรมัตถธรรมไม่
บัญญัติทั้ง๔นี้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้นมาก็เพื่อเป็นแนวทางชี้นำให้ศึกษาเพื่อการรู้แจ้งในปรมัตถธรรมแท้

ฉะนั้นเมื่อเห็นคำว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน จะต้องศึกษา(วิปัสสนา)ให้รู้แจ้งในความเป็นปรมัตถธรรมของมันเสียก่อน
แล้วจึงค่อยกล่าวว่า ความเป็นปรมัตถธรรมที่แท้จริงนั้นคืออะไร

ซึ่งผู้รู้และเข้าใจหลักวิปัสสนาแล้ว ย่อมรู้ว่าอะไรคือปรมัตถ์ธรรมของสมมติบัญญัติทั้ง๔นั้น
และสามารถเอาบัญญัติที่กล่าวถึงปรมัตถธรรมที่แท้จริงมากล่าวได้ ....นั้นก็คือสามารถแยกแยะได้ว่า
สมมติบัญญัติใดในทางปรมัตถ์ต้องใช้ปรมัตถบัญญัติตัวใด......
ไม่ใช่เอาสมมติบัญญัติมาบอกว่าเป็นปรมัตถธรรม
แบบนี้มันผิดลู่ผิดธรรมครับ

s004 :b13:
คุณโฮฮับนี้เป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อสวนทางธรรมกับผู้คนทั้งหลายจริงๆ ทำให้เกิดเรื่องราวและเหตุปัจจัยที่จะทำให้เราได้สนทนาธรรม วิตกวิจารณ์ธรรมกันไปได้อีกเยอะและอีกนาน น่าอนุโมทนา
:b27:
แต่พอเริ่มจั่วหัวผมก็รู้สึกว่าคุณโฮจะผิดพลาดตั้งแต่จุดเริ่มต้นแล้วนะครับ

จิต เจตสิก รูปและนิพพาน......เป็นสมมติบัญญัติ
Onion_L
แค่ประโยคนี้ก็ไม่ใช่แล้วนะครับ

สมมุติบัญญัติ = การตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เช่น คน หมู หมา เทวดา พรหม

โฮฮับ กบ student asoka เป็นต้น

ปรมัตถบัญญัติ = การตั้งชื่อให้กับสิ่งที่มีอยู่จริง เช่น จิต เจตสิก รูป นิพพาน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น
onion
เริ่มต้นก็ไม่ใช่แล้วปลายมันจะถูกหรือครับ
จับประเด็นมาไม่ตรงหรือเปล่า?
เอาใหม่ก็ได้นะครับ ก่อนที่มันจะบานปลายไปมาก
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 05:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:

ขำตัวเอง..คับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 06:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32: :b32:

ขำตัวเอง..คับ

:b17:
อ้าว!.....
เห็นตัวเองเป็นตัวตลกไปแล้วหรือกบ
555555555
วันนี้ขึ้น 15 ค่ำนะระวังหน่อย พระจันทร์ส่งแรงดึงดูดต่อเลือดในสมองมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ระวังอาจเพี้ยนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวเช่นนี้นะครับ
:b13: :b13:
ไปวัดแล้วนะครับ บ้ายบาย
ผมจะไปเดินบาตรกับพระครับ
พระป่า กลางเมือง
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 06:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุ..กับบุญ..ด้วยครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 06:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004 :b13:
คุณโฮฮับนี้เป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อสวนทางธรรมกับผู้คนทั้งหลายจริงๆ ทำให้เกิดเรื่องราวและเหตุปัจจัยที่จะทำให้เราได้สนทนาธรรม วิตกวิจารณ์ธรรมกันไปได้อีกเยอะและอีกนาน น่าอนุโมทนา


ขอเนื้อๆน้ำไม่ต้องครับ!!!!

asoka เขียน:
แต่พอเริ่มจั่วหัวผมก็รู้สึกว่าคุณโฮจะผิดพลาดตั้งแต่จุดเริ่มต้นแล้วนะครับ

จิต เจตสิก รูปและนิพพาน......เป็นสมมติบัญญัติ

แค่ประโยคนี้ก็ไม่ใช่แล้วนะครับ


ย้อนถามง่ายๆว่ารู้จักคำว่า..."สัจจะ"มั้ย
ถ้าไม่รู้หรือรู้ไม่จริง...พูดไปก็เปล่าประโยชน์ครับ

asoka เขียน:
แต่พอเริ่มจั่วหัวผมก็รู้สึกว่าคุณโฮจะผิดพลาดตั้งแต่จุดเริ่มต้นแล้วนะครับ

สมมุติบัญญัติ = การตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เช่น คน หมู หมา เทวดา พรหม
โฮฮับ กบ student asoka เป็นต้น


ไอ้ชื่อที่คุณเอามาแย้งนั้นนะเขาเรียกว่า....โวหาร
ในความเป็น(สมมติบัญญัติ) ท่านให้เราต้องวิปัสสนาก่อนที่จะพิจารณาสิ่งเหล่านั้น

อย่างเช่นคุณอโสกะกำลังมองนายโฮฮับ
คำว่านายโฮฮับนี้เป็นโวหาร ส่วนตัวตนหรือร่างกายของนายโฮฮับที่นายอโสกะมองเห็น
ย่อมเป็นสมมติของนายอโสกะ แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในกายใจของนายอโสกะหลังการมองเห็นโฮฮับ
ท่านเรียกว่าสภาวธรรมหรือปรมัตถธรรม

asoka เขียน:
เริ่มต้นก็ไม่ใช่แล้วปลายมันจะถูกหรือครับ
จับประเด็นมาไม่ตรงหรือเปล่า?
เอาใหม่ก็ได้นะครับ ก่อนที่มันจะบานปลายไปมาก


เริ่มต้นที่คุณว่าคือรู้จักคำว่า ....สัจจะมั้ย และวิปัสสนาด้วย
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 06:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

วันนี้ขึ้น 15 ค่ำนะระวังหน่อย พระจันทร์ส่งแรงดึงดูดต่อเลือดในสมองมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ระวังอาจเพี้ยนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวเช่นนี้นะครับ
:b13: :b13:
ไปวัดแล้วนะครับ บ้ายบาย
ผมจะไปเดินบาตรกับพระครับ
พระป่า กลางเมือง


สงสัยจะรอข้าวก้นบาตรของพระ ยังไงก็อย่าไปเร่งพระตอนที่พระท่านฉันนะครับมันจะบาป
ไม่แน่อาจโดนพระท่านเอากระโถนขว้างใส่ก็เป็นได้

:b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร