วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 05:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2017, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5364


 ข้อมูลส่วนตัว


...ถ้าเราอยากจะ "มีแต่วันสุข ไม่มีวันทุกข์"
เราก็ต้องสอนใจให้ "รู้เฉยๆ"
ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าดี หรือไม่ดี
.
...เขาจะดีก็เป็นเรื่องของเขา
เขาจะไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา
เขาไม่มีวันที่จะทำร้ายเราได้
เขาไม่มีวันที่จะทำให้เราดีขึ้นมาได้
เขาไม่มีวันที่จะทำให้เราเลวลงไปได้
.
...สิ่งที่จะทำให้เราเลวหรือดีขึ้นไป
ก็คือ "อยู่ที่ตัวเราเอง" อยู่ที่ว่าเรา
หยุด"ความวิพากษ์วิจารณ์" ได้หรือเปล่า
หยุด "ความอยาก" ได้หรือเปล่า
.
...ถ้าเราหยุดได้ "เราก็จะดี เราก็จะสบาย"
ถ้าเราหยุดไม่ได้ "เราก็จะทุกข์ เราก็จะวุ่นวาย".
..................................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 20/7/2556
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






"...วันนี้คนที่ไม่เคยมารู้จักหลวงพ่อ ก็มารู้จักก่อนเนอะ
สำคัญของชีวิตของเราคือ การปฏิบัติธรรม ทำงานให้มีความสุข ปรับปรุงตัวเองให้มีความสุข
ให้ครอบครัว ให้ประเทศมีความสุข
เราทำงานมีความสุข คนอื่นก็ให้เค้ามีความสุขด้วย
คนเรา เราอย่าไปมีความสุขคนเดียวเนอะ
ภรรยาเราต้องมีความสุข ลูกเรา หลานเรา ประชาชนต้องมีความสุขไปพร้อมๆกัน
เราพยายามพัฒนาการงานเราด้วย พัฒนาจิตใจเราไปด้วยพร้อมๆกัน
เราทำไปเรื่อยๆให้มันเป็นนิสัย เป็นปฏิปทา
เดี๋ยวมันก็ค่อยๆดีขึ้น
หลวงพ่อมองดูแล้ว คนเกาหลีเค้าฝึกมาดีน่ะ
เรามาพัฒนาให้มันดีขึ้นอีก
ให้ทุกๆท่านก็เดินทางไปให้ปลอดภัย
หลวงพ่อให้พระไปน่ะ ดีมากนะ
เราเอาเป็นพระประจำตัวเรา
เราเอาไปเลี่ยม แล้วก็ห้อยคอก็ได้
ไหว้พระพร้อมกันนะ..."

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
วันพุธที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๐





ศีลทั้งหลาย มีศีล ๕ เป็นเค้า ศีล ๕ เปรียบเหมือนแผ่นดิน
ศีล ๘ เหมือนต้นกล้วย ต้นอ้อย ศีล ๒๒๗ เหมือนต้นข้าว
เปรียบเหมือนนายเศรษฐี จะทำนาก็ดี จะปลูกต้นกล้วยก็ดี
ต้นอ้อย ต้นข้าวทั้งหลายนี้ปลูกลงในแผ่นดิน
ไม่มีดิน กล้วย อ้อย ทั้งหลายก็ตาย
นี่แหละศีลทั้งหลายมีศีล ๕ เป็นเค้า (ต้น)
เมื่อได้ศีล ๕ แล้ว ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็ได้เค้า
ศีล ๕ ก็เค้าขาของเราทุกคน เค้าแขนของเราทุกคน
ศีล ๕ ก็หัวใจ ของเรานี้แหละ หัวใจนั้นคืออะไร?
การที่เราเกิดมานี้เรียกว่าผู้หญิงผู้ชายนี้ ก็เป็นเพียงแต่ขันธ์เท่านั้น
ส่วนใจนั้นทำให้เป็นพระอรหันต์ได้
เหตุนั้น ธรรมอรหันต์ ก็คือ ใจ นั่นแหละ
.
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม






"คนเราเมื่อเกิดความอยากขึ้น แสวงหาทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อเวลาความตายมาถึงแล้ว สิ่งที่หามาได้ อาศัยไม่ได้"

หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล






พอมีประโยชน์เขาก็คบ
พอหมดประโยชน์เขาก็เลิกคบ

หลวงพ่อปฐม ธมฺมธีโร
วัดป่าศรีวิลัย อำเภอส่องดาว
จังหวัดสกลนคร





“เรื่องของกรรม”
..ให้ถือเรื่องของกรรมนี้เป็นหลักใหญ่ไว้ เรื่องดีเรื่องไม่ดี เราได้รับความทุกข์ทรมาน หรือได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจ ด้วยวิธีการอย่างไรก็ตาม ถ้าถือเรื่อกรรมกันง่าย ๆ ก็หมายความว่า เราเคยได้กระทำมาแต่ก่อน นี้ถือว่าเป็นผลซึ่งเราได้รับในปัจจุบัน หรือเขาทำให้เราก็ตาม หรือเราทำให้เขาก็ตาม ให้ถือหลักของกรรมนี้ไว้ เพื่อเป็นการแก้ไข แก้จริตนิสัย ไม่ให้เดือดร้อนวุ่นวายมาก ถ้าหากไม่มีเชื้อบ้างมันก็เกิดขึ้นได้ยาก ต้องมีเชื้ออยู่ไม่น้อยก็มาก ให้เข้าใจว่าอย่างนั้น แม้จะดิ้นรนวุ่นวายสักเท่าไหร่ก็ตาม ก็ต้องเป็นไปตามวาสนา ในเรื่องของกรรม ซึ่งเราได้กระทำมาก่อนทั้งนั้น..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง บุญเป็นชื่อแห่งความสุข






...พระพุทธเจ้าไม่สามารถ
"แก้กิเลสของเราได้ "
ครูบาอาจารย์ก็..แก้กิเลสเราไม่ได้
ท่านมีแต่"คอยแนะนำวิธีแก้ให้กับเรา"
.
...แต่ถ้าเรา
"ไม่เอามาแก้ ก็แก้ไม่ได้อยู่ดี"
จงมองว่า..ร่างกายเป็นเครื่องมือ
ไว้สำหรับ "แก้ปัญหาของใจ"
.
...ต้องมีร่างกายเพื่อจะ
"ได้ยินได้ฟังธรรมะ"
เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วจะได้เอา
ร่างกายมาทำงาน มาแก้กิเลส
เดินจงกรม นั่งสมาธิ ต่อสู้กับกิเลส
.
...ต่อไปกิเลสตัณหาก็จะหมดไปๆ...
........................................
.
คัดลอก กัณฑ์ที่ ๒๒๖
๑๒ / ๖ / ๒๕๔๘ (จุลธรรมนำใจ ๑)
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







"ชีวิตขรุขระเพราะกรรมเก่า"

" .. พื้นแผ่นดิน แม่น้ำ ภูเขา ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ คนเรามีปัญญาถมให้เป็นถนน ขุดให้เป็นแม่น้ำ ลำคลอง ทำสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่ สร้างทำนบกั้นน้ำ ฉันใด "ความขรุขระของชีวิตเพราะกรรมเก่า ก็ฉันนั้น"

เหมือนความขรุขระของแผ่นดินตามธรรมชาติ "คนเราสามารถประกอบกรรมปัจจุบัน ปรับปรุงสกัดกั้นกรรมเก่า" เหมือนอย่างสร้างทำนบกั้นน้ำเป็นต้น เพราะคนเรามีปัญญา

"อันที่จริงทั้งความสุขทั้งความทุกข์เป็นอุทกภัยเหมือนกัน" ถ้ามีสิ่งที่เป็นเกาะเป็นที่พึ่งของใจดีแล้ว ก็ไม่เดือดร้อน "การทำใจก็คือ คนมีเกาะของใจดีที่ได้สร้างสมมาแล้วและกำลังสร้างสมอยู่"

"ผู้ที่ทำกรรมดีอยู่มากเสมอ ๆ จึงไม่ต้องกลัวกรรมชั่วในอดีต" หากจะมีกุศลของตนก็จะชูช่วยให้มีความสุขความเจริญสืบไป "ถ้าได้แผ่เมตตาจิตอยู่เนื่อง ๆ ก็จะระงับคู่เวรอดีตได้อีกด้วย" ระงับได้ตลอดถึงปัจจุบัน .. "

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙







“รู้จักตัวเอง”
..พระพุทธเจ้าท่านสอนตามหลักความจริงนะ ถ้าเราเชื่อหลักนี้แล้ว ให้เป็นผู้ยินดี ตามมีตามได้ ทำไปตามเรื่องของตัวเองนี้หละ วาสนาบารมีตัวเราก็แค่เราเห็นนี้หละ ปัญญาความเฉลียวฉลาดแค่ไหน ก็ใช้ไปตามนั้นหละ กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญาเท่าไหน ก็ทำไปตามแบบของเรานี้หละ ถ้าไม่เกินตัว ไม่เกินส่วน ให้รู้จักพอดิบพอดี มันก็ไปง่าย จะไปคิดใหญ่ ๆ จนเกินตัว มันไปยาก อันนี้ต้องคำนึง ต้องรู้จักตัวเองนะ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง บุญเป็นชื่อแห่งความสุข







"ความสุขที่คนไม่ค่อยได้สัมผัส"

ภายหลังสวดมนต์ทำวัตรเย็น หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ได้ปรารภธรรมให้ฟังว่า

"น่าสงสารชาวโลกที่ไม่รู้จักความสุขจากการที่ใจสงบ จึงได้แต่แสวงหาความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางสัมผัส เหมือนคนเสียสติ ไม่ว่าจะหกล้ม หัวแตก ขาหัก ก็ยังพอใจ"

หลวงปู่ยังพูดตบท้ายให้ลูกศิษย์ ณ ที่นั้นต้องพากันนั่งก้มหน้าอีกว่า "ทีมานั่งสมาธิ เวทนาเกิดขึ้นหน่อย ทำเป็นจะตาย"
________________
บันทึกโดย "พอ"
๓ มีนาคม ๒๕๓๙
วัดเมตตาฯ เมืองซานดิเอโก







อารมณ์แห่งธรรม คือ ความคิดความปรุงในคำบริกรรมนี้ แม้จะเป็นความปรุงเหมือนกันกับความคิดปรุงต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพราะกิเลสผลักดันให้คิดให้ปรุง แต่ความคิดปรุงประเภทนี้เป็นความคิดปรุงในแง่ธรรมเพื่อความสงบ ผิดกับความคิดปรุงธรรมดาของกิเลสพาให้ปรุงอยู่มาก กิเลสพาให้คิดปรุงนั้น เหมือนเราเอามือหรือเอาไม้ลงกวนน้ำที่มีตะกอนอยู่แล้ว แทนที่มันจะใสแต่กลับขุ่นมากขึ้นฉะนั้น แต่ถ้าเอาสารส้มลงกวนนั้นผิดกัน น้ำกลับใสขึ้นมา

นี่การนำอารมณ์เข้ามากวนใจ แทนที่ใจจะสงบ แต่กลับไม่สงบและกลับแสดงผลขึ้นมาให้เป็นความทุกข์ร้อนเสียอีก ถ้าเอาพุทโธเป็นต้น เข้าไปบริกรรมหรือแกว่งลงในจิต โดยบริกรรมพุทโธๆ แม้จะเป็นความคิดปรุงเหมือนกันก็ตาม แต่คำว่าบริกรรมนี้ซึ่งเปรียบเหมือนสารส้ม จึงทำให้ใจสงบเย็นลงไป

ท่านผู้สั่งสอนท่านมีเหตุมีผล เพราะท่านได้ดำเนินมาก่อนพวกเรา และรู้มาก่อนแล้วจึงได้นำมาสอนพวกเรา จึงไม่ใช่เป็นทางที่ผิด ความคิดปรุงเช่นนี้เรียกว่าเป็นฝ่ายมรรค เป็นฝ่ายระงับดับทุกข์ทั้งหลาย ความคิดปรุงตามธรรมดาของสามัญชนเราซึ่งไม่มีข้ออรรถข้อธรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง ด้วยนั้น เป็นความคิดปรุงที่เป็นสมุทัยอันเป็นแดนผลิตทุกข์ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นผลเดือดร้อน

ในขั้นแรกก็ให้ได้ทรงสมาธิสมบัติภายในใจ อย่าให้ใจว่างเปล่าจากสมบัติอันมีค่าตามลำดับ ต่อไปพิจารณาด้านปัญญา ฝึกหัดคิดอ่านไตร่ตรอง อะไรเข้ามาสัมผัสก็เทียบเคียงหาเหตุหาผล หาต้นหาปลายของมัน ไม่ปล่อยให้อารมณ์นั้นๆ มาคว้าเอาของดีไปกินเปล่าดังที่เคยเป็นอยู่เสมอ อารมณ์นั้นมีอยู่เกิดอยู่เสมอ เดี๋ยวก็มีเรื่องหนึ่งขึ้นมาสะดุดใจให้ได้คิดเป็นเงื่อนต่อไปอีก และเข้าใจในเงื่อนนั้นเข้าใจในเงื่อนนี้ แล้วปล่อยไปๆ นี่เป็นวาระที่จะตัดกิเลส ส่วนสมาธิเป็นเพียงควบคุมกิเลสเข้ามาสู่จุดรวมคือใจ ปัญญาเป็นผู้คลี่คลายขุดค้นหากิเลส และตัดฟันหรือทำลายทีละชิ้นละอันโดยลำดับลำดา

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๑







"บุคคลใด เป็นคนเลี้ยงง่าย
มีกิจวัตรประจำวัน ที่เรียบง่าย
ใจจะสบาย การปฏิบัติก็รวมใจ
เป็นหนึ่งได้ง่าย ความวุ่นวายก็น้อยลง
ความกังวลยึดติดจะไม่มี"

-:-หลวงปู่ท่อน ญาณธโร-:-







"การอยู่ในโลกนี้
เหมือนอยู่ในกองไฟ
และเหมือนอยู่ในคุกตะราง
ให้รีบเร่ง แสวงหาทางออกเสมอ
อย่าได้นิ่งนอนใจ
และหลงยินดีเพลิดเพลินอยู่"

-:-ครูบาเจ้าพรหมา พรหมจกฺโก-:-





คนจริง ย่อมไม่ยุ่งเกี่ยวกับของเล่น
คนชอบเล่น ย่อมไม่รู้จักความจริง.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2017, 07:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


... สาธุ สาธุ สาธุ ...

วัฏฏะะสงสารช่างเคว้งคว้าง ประดุจท้องทะเล ที่มองหาที่สิ้นสุดไม่ได้ หากแต่ยังมีแสงแห่งดวงอาทิตย์ คอยส่องทางอยู่ให้ผู้มีตาดีจักเร่งทำกิจอันควรแก่ตนๆ ความทุกข์มีได้อย่างใด ความหมดทุกข์ก็จักมีได้อย่างนั้น วิริยะนี้หรือ คืออาวุธ ที่ย่อมนำพาผู้ศรัทธาในวิริยะ พาตน และคนรักเข้าสู่แดนเกษม คือพระนิพพาน ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2017, 08:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
โยม........

พอ....ละ....เป็นพระเลย

หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต
แสดงธรรมะสั้นๆที่อ.ดอยสะเก็ดเมื่อเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2017, 10:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
โยม........

พอ....ละ....เป็นพระเลย

หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต
แสดงธรรมะสั้นๆที่อ.ดอยสะเก็ดเมื่อเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา
:b36:


ละ แล้วเป็นพระเลย

แล้วที่บวชกันอยู่เนี่ยเรียกว่าพระหรือเปล่า

ละกันหมดแล้วเหรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2017, 05:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
asoka เขียน:
onion
โยม........

พอ....ละ....เป็นพระเลย

หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต
แสดงธรรมะสั้นๆที่อ.ดอยสะเก็ดเมื่อเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา
:b36:


ละ แล้วเป็นพระเลย

แล้วที่บวชกันอยู่เนี่ยเรียกว่าพระหรือเปล่า

ละกันหมดแล้วเหรอ

:b12:
คำว่า "พระ" นั้นอาจสามารถแปลความหมายได้หลายนัย
ไม่ใช่แค่คนนุ่งเหลืองห่มเหลืองเท่านั้น

คนที่ พอ ในทุกสิ่ง ใจก็เริ่มเป็นพระ

คนที่ ละ คือละชั่ว ละความเห็นผิดยึดผิด ละกิเลส ตัณหา อัตตา
มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสังโยชน์ 10 ได้เป็นลำดับๆ ก็จะได้ความเป็นพระ คือพระสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงรับรองตามในบทสังฆคุณ

พระ ในความหมายนี้คือ พระสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงรับรองไว้
มี คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ 8
คุณธรรมารู้จักหรือยังครับ

ไม่ใช่สมมุติสงฆ์นะครับ
:b38:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร