วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 05:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2017, 06:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


"ตัดกรรม นี่มันตัดไม่ได้หรอก
กรรมที่เป็นกุศล ก็ตัดไม่ได้
กรรมที่เป็นอกุศล ก็ตัดไม่ได้
นี่พูดตามพระพุทธเจ้านะ

แต่ว่าเราทำดี นี่คือ สร้างกรรมดี
ที่เป็นกุศลมากขึ้น หนีกรรมที่เป็นอกุศล
กรรมที่เป็นอกุศล ก็ตามช้าลง

เราฝึกวิ่งหนีให้มันเร็วเข้า
การจะทำให้หมดบาปน่ะ ไม่มีทางหรอก
ในทางพระพุทธศาสนา มีอยู่ทางเดียวคือ
ทำบุญหนีบาป ทำกำลังให้สูง"

-:- พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ )-:-






"ความโกรธ ไม่ทำให้ใครเป็นสุข
มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์
ยิ่งโกรธง่าย โกรธแรง
ก็ยิ่งเป็นทุกข์บ่อย เป็นทุกข์มาก"

-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-






"ความโกรธ
ไม่ทำให้ใครเป็นสุข
มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์

ยิ่งโกรธง่าย โกรธแรง
ก็ยิ่งเป็นทุกข์บ่อย
เป็นทุกข์มาก"

-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-





"มีเรื่องนี้หลายคนบอกว่า สะใจ บางคนก็ว่าแรงไป"

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้รับนิมนต์ขึ้นเทศน์ในการจัดอบรมกรรมฐานให้แก่พระและญาติโยม มีผู้สนใจใคร่ธรรมมาเข้าร่วมอย่างเนืองแน่น
ในวันนั้น หลวงปู่ท่านแสดงธรรมได้อย่างจับใจได้อรรถรส ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และปริโยสาน อะไรเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นตัว ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ตลอดจนวิธีดับทุกข์ อะไรที่ควรมั่น อะไรที่ควรปลง ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกู

ว่ากันว่า หลวงปู่ตื้อ ได้แสดงธรรมให้สาธุชนที่อยู่ ณ ที่นั้น ตรองตามแล้วเห็นจริงได้ เสมือนหงายสิ่งที่คว่ำ เสมือนจุดประทีปโคมไฟในที่มืด เสมือนชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง...

อุบาสกอุบาสิกาที่ได้สดับเทศนาของหลวงปู่ตื้อในครั้งนั้นแล้ว ต่างก็รู้สึกปีติ อิ่มเอิบในบุญ รู้สึกปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ ต่างก็รู้สึกว่าภายในจิตได้ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว

พอหลวงปู่เทศน์จบลง ท่านว่า “เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้” แล้ว ญาติโยม “สาธุ” เสียงดังสนั่นน่าอนุโมทนายิ่ง

สุดจะเก็บความปิติไว้ได้ มีอุบาสิกาท่านหนึ่งแหวกผู้คนเข้ามาข้างหน้าสุด ใกล้กับหลวงปู่ที่สุด แล้วรายงานผลว่า

“หลวงปู่เจ้าคะ ดิฉันได้ฟังหลวงปู่เทศน์แล้วรู้สึกเบากายเบาใจ ดิฉันปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าคะ”

หลวงปู่กล่าวด้วยเมตตา “อนุโมทนาด้วยคุณโยมที่ได้ดวงตาเห็น ธรรม ”

“จริงๆ นะคะหลวงปู่...เดี๋ยวนี้ดิฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้ว ปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าค่ะ...”

หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า

“...อีตอแหล...” ไม่ใครคาดคิดว่าหลวงปู่จะอนุโมทนาด้วยการหักมุมเช่นนั้น

สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่า

“ว้าย! ตายแล้ว ทำไมหลวงปู่จึงมาด่าอีฉัน !” ท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ รีบผลุนผลัน ลุกหนีด้วยความโกรธอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ บ่งบอกลักษณะของคน “ปล่อยวาง” ได้อย่างประจักษ์ชัด

หลวงปู่ ได้แต่หัวเราะหึ..หึ ในลำคอ ไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะเดียวกัน บนศาลาการเปรียญก็เงียบกริบ ตามด้วยเสียงซุบซิบ และบางส่วนก็หัวเราะสะใจ !

เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน

อ้อ ! คนปล่อยวางมีลักษณะเช่นนี้เองหนอ ! !

...หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม...





“เกิด-ดับ เป็นของธรรมดา”
..เห็นแต่เพียงความตาย กับความเกิด สองอันเท่านี้นะ ผู้ท่านได้ ผู้ท่านรู้ ถ้าหากจิตใจหลบเข้าข้างใน ถ้าเห็นเกิดกับตายแล้ว เอ้อ..ถูกทางแล้ว เห็นไหม อย่างอัญญาโกณฑัญญะ ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรว่า “ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมัง” ของทุกสิ่งทุกอย่าง มีความเกิดเป็นธรรมดา แล้วก็มีความดับไปเป็นธรรมดา เห็นเกิดกับดับสองอันเท่านั้น จิตใจมันลงเลย มีดวงตาเห็นธรรม ถ้าเทียบตามชั้นตามภาษาสมมุติ ท่านก็ว่าโสดาแล้ว (โสดาบัน) เปลี่ยนความคิดความเห็นไปแค่นี้นะ ผู้ที่ได้เป็นโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ก็มีมรรคกับผล ๒ พวก ก็เลยเป็น ๘ มี ๔ คู่ แปดบุคคล เหมือนอย่างเราว่าใน อัฏฐปุริสปุคลา ในสุปฏิปันโน นี้ท่านจัดว่าเป็น สุปฎิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติดีนะ ปฏิบัติตามร่องรอยคำสั่งคำสอนของพระพุทธองค์ เดินตามร่องรอยของท่าน..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง แนวทางการปฏิบัติธรรม






ตั้งใจภาวนาเด้ออีปู่ (หลวงปู่เตือนพระผู้เฒ่า) แก่แล้วนะ หัวหงอกหมดแล้วจะคิดอะไรอีก คิดถึงเขาทำไมลูกหลาน เราภาวนาของเราดีกว่า คิดถึงเขาทำไม สร้างบารมีตัวเองนั่นล่ะ

บวชเข้ามาแล้ว สร้างคุณงามความดีให้กับตัวเรา ไม่มีการมีงานอะไร หายากนะวัดที่ไม่มีการมีงานทุกวันนี้ เห็นแต่เขาทำโน่นทำนี่ โอ่ย สร้างโบสถ์สร้างศาลา กุฏิ วิหารใหญ่โตหรูหรา มันสู้สร้างใจของเราไม่ได้หรอก

เห็นมาวันนี้ ศาลาของท่านใหญ่กว่าของเราหลายเท่า แต่ไม่มีความเพียร ไม่เอาล่ะ มันทุกข์มาก คิดก่อคิดสร้าง สร้างบารมีของเราดีกว่า ทำความเพียร..

เพียรละความชั่ว สะสมความดี ไม่ใช่เพียรละความดีสะสมความชั่วนะ แก้ตัวเราดีกว่า ก็ไม่ต้องแก้ที่ไหน แก้ที่จิตที่ใจตัวเองนั่นล่ะ บวชเข้ามาแล้วมีโอกาสดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องแก่งแย่งกับใคร ไม่ต้องทำการทำงาน สร้างตัวเองนั่นล่ะ ไม่ต้องหาอยู่หากินกับเขามันทุกข์มาก

สมัยก่อนไม่มีกุฏิดีๆมีแต่กุฏิกำมะลอ ปูพื้นแล้วก็ใช้ใบไม้ใบหญ้าทำฝา มุงหญ้าพอได้บังฝนบังแดดเท่านั้นล่ะ ไม่เหมือนสมัยทุกวันนี้ กุฏิศาลาดีหมด บวชเข้ามาแล้วตั้งใจทำความเพียร เดินจงกรม นั่งภาวนา ไม่ต้องคิดอะไร คิดแต่เรื่องของเรานั่นล่ะ

คิดถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิด ความดับ ไม่มีล่ะเกิดแล้วไม่ดับ ดับหมดนั่นล่ะในโลกนี้

ตั้งใจให้มันดี เพียรให้มันได้ ถ้ามันไม่ได้ก็ให้มีนิสัยติดตัวเราไป ไม่ขาดทุนหรอกถ้าทำจริงๆ ตั้งใจภาวนาดูธาตุดูขันธ์ ดูความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์นะไม่ใช่เป็นสุข ดูให้มันเห็น พิจารณามันความทุกข์ว่า เราเกิดมาตาย

วันคืนล่วงไปๆ แก่ไปด้วย เฒ่าไปด้วย แก่ไปกับสังขาร ดูให้มากๆตัวของเรา ความเจ็บความปวด พิจารณามันเวลาทำความเพียร ว่ามันปวดอะไร แขน ขา มันปวดอะไรถามมันดู เวลาปวดกายเขาไม่ได้ปวด มีแต่ใจเท่านั้นล่ะปวด ไปยึดไปมั่นไปหมายว่าเป็นเราเป็นเขา

ดูให้มันเห็นสังขารตัวเอง พากันตั้งใจภาวนา ฝนตกก็นั่ง ฝนไม่ตกก็เดิน เอามันอย่างนั้นไม่หยุดไม่ถอย ทำความเพียร..งานการก็ไม่มีเหมือนเขา ทำได้ทั้งวัน เอาล่ะ !

หลวงปู่เพียร วิริโย






ทุกวันนี้มันมีแต่พูดสูงๆกัน โยมมีแต่ว่า ไปวิปัสสนา ไปวิปัสสนา
ทำไมมันไม่คิดกันบ้าง ไปพูดเอาแต่ทางปลาย ทานโคนไม่พูด
พูดแต่จะมานั่งอยู่ในบ้านสุขสบาย ทำไมไม่พูดตอนสร้างบ้าน
ตอนลำบากตากแดดตากฝน สร้างกว่าจะเป็นบ้านมาให้นั่งนี่
กว่าจะมานั่งสบายอยู่นี่ ทำไมมันไม่พูดกัน
..
มันไม่ใช่ อะไรๆก็วิปัสสนา วิปัสสนา ครูบาอาจารย์ไม่ได้พาทำมาแบบนี้
มันต้องไปตามขั้นตามตอน เริ่มใหม่ก็ ทาน ศีล ภาวนา
ถ้าจะพูด ก็ ไปทำสมาธิภาวนา ค่อยเข้าท่าหน่อย
ไม่ใช่จะวิปัสสนา วิปัสสนาอย่างเดียว ตัววิปัสสนาเป็นยังไง
มันรู้จักหรือยัง
...
หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล





ทำบุญวันพระ

เหตุเกิดที่ศาลาหลวงพ่อบันดาลฤทธิผล
ขณะหลวงปู่กำลังจะลงมือฉัน
ก็มีโยมท่านหนึ่งถือภัตตาหารเดินมา
ทำทีจะถวายท่าน

หลวงปู่ มาจากไหนหล่ะ คุณ

โยม มาจากเมืองกาฬสินธุ์เจ้าค่ะ วันนี้วันพระโยมขับรถออกมาจากตัวเมืองพึ่งมาถึงเจ้าค่ะ

หลวงปู่ อือ อนุโมทนานะ

โยม เจ้าค่ะหลวงปู่ เออหลวงปู่เจ้าขา ทำบุญวันพระได้บุญมากกว่าทำบุญวันธรรมดาใช่ไหมเจ้าค่ะ เห็นเขาว่าอย่างนั้น

หลวงปู่ หือ คุณกินข้าววันปกติ อิ่มเท่าวันเสาร์-อาทิตย์ไหมหล่ะ

โยม ก็อิ่มเท่ากันเจ้าค่ะ

หลวงปู่ เออ จะวันธรรมดาหรือวันเสาร์-อาทิตย์ กินข้าวมันก็อิ่มเท่ากัน จะวันพระหรือวันเณร ทำบุญก็ได้เท่ากัน

เคยได้ยินไหม"พระผีหลอก แม่ออกวันศีล" (คนจะคิดถึงพระก็เพราะความหวาดกลัวต่อภัย เช่น มีเคราะห์ ดวงไม่ดี หมอดู โดนผีหลอก ท่านอุปมาเหมือนโยมที่ชอบทำความดี ในวันพระหรือวันสำคัญ)

ทำความดีอย่าเลือกวัน อย่าเลือกเวลา
โอกาส สถานที่ ทำความดีทำได้ทุกวัน
ทำได้ทุกโอกาสเวลา อย่าไปคิดว่า
ค่อยทำวันพระ ถ้าคุณตายก่อนวันพระ
คุณจะได้ทำหรือเปล่า ถ้าคุณมัวแต่รอ
โอกาสเวลา คุณจะรู้ได้อย่างไร
ว่าเวลานั้นจะมีแก่เรา กินข้าวคุณยังกินทุกวัน ความดีทำไมไม่ทำทุกวัน

มัวแต่รอวันนั้นวันนี้ วันพระค่อยทำ
วันนี้คุณทำอะไร อาทิตย์หน้าค่อยทำ
อาทิตย์นี้คุณทำอะไร เดือนหน้าค่อยทำ
เดือนนี้คุณทำอะไร ปีหน้าค่อยทำ
ปีนี้คุณทำอะไร ชาติหน้าค่อยทำ
ชาตินี้คุณทำอะไร

อย่ามัวรอโอกาสเวลา เราไม่รู้เราจะ
ตายวันตายพรุ่ง เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้
จะมีแก่เราหรือไม่ แต่ทีสำคัญเรามีวันนี้
มีเดี๋ยวนี้ อย่าปล่อยลมหายใจทิ้งเสียเปล่านะ ทำความดี คิดสิ่งดี พูดคำดี ทำได้ทุกที่ทุกเวลา อย่ามัวรอโอกาสเวลา เข้าใจนะ!.

โอวาทธรรมคำสอน..
พระญาณวิสาลเถร หลวงปู่หา สุภโร






มหาอำมาตย์ คนหนึ่งมีเรื่องทุกข์ร้อนมาก วิ่งไปวัดเพื่อขอให้พระพุทธองค์ช่วย เมื่อเขาไปถึงวัด อันเป็นที่ประชุมชน พร้อมทั้งพุทธบริษัท มีพระพุทธองค์เป็นองค์ประธาน และพระพุทธองค์ก็ได้ประกาศล่วงหน้าแต่เช้าวันนั้นว่า เขาจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น

ก่อนที่เขาจะเปิดปากพูด พระพุทธองค์ทรงตรัสเสียก่อนว่า มหาอำมาตย์ กังวลอะไรของเธอในอดีต วาง... กังวลอะไรของเธอในอนาคต วาง กังวล อะไรของเธอในปัจจุบัน วาง เขาได้สำเร็จอรหันต์ทันที

ทราบในทันทีว่า พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศทายไว้แล้ว พุทธบริษัทประชาชนทั้งหลาย ยกเว้นพระอรหันต์ ยังไม่เชื่อเป็นผลร้ายต่อพวกเขา โดยเมตตาธรรม ท่านผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้พ้นโลก ไม่ใช่ปุถุชนมหาอำมาตย์ต่อไปล้ว จึงเหาะขึ้นสู่อากาศ สูงหลายชั่วลำตาล ๓ ครั้ง

ชนทั้งหลายจึงเชื่อว่า พุทธทำนายในตอนเช้าวันนั้น เป็นจริง พระพุทธองค์ทรงแนะให้ท่านแสดงอดีตชาติว่าได้ทำบุญอะไรมา ท่านได้แสดงว่าได้ทำบุญไว้มากมาย โดยเฉพาะ นำชนมาสู่พุทธธรรมและได้มีอภิญญารู้ว่า อายุขัย ของท่านหมดแล้ว

จึงไม่กลับมาสู่พื้นดิน นิพพานในอากาศ โดยเตโชธาตุลุกขึ้นเอง เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว ธรรมทั้งหลาย กายใจก็บริสุทธิ์ แม้มหาภูตรูป (matter) ดินน้ำลมไฟที่ประกอบ รูปกาย ก็กลายเป็นพระธาตุล่วงลงมาดังดอกมะลิ พระพุทธองค์ให้ชนทั้งหลายเอาผ้าปูรับไว้แล้วพระเจดีย์บรรจุไว้ที่ทางสี่แพร่ง

ลองทดลองทำดูซิ ในราว ๒๐ - ๓๐ ปี คงได้ผล ไม่มากก็น้อย โดยปริยัตติ ก็คือว่า วางกังวล ก็คือ วางกังวล (เลิกเกี่ยวข้องเลิกยึดมั่น) ขันธ์ห้า (ภาระหนัก) นั่นเอง ลองเจริญสติอันนี้ดูเถอะ นี่คือสติปัฏฐานด้านปฏิบัติ วางได้ ก็เรียบร้อยเท่านั้น

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร