วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 21:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2017, 20:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนเช้าเอาข้าวให้หมา ตอนบ่ายไล่เตะหมา ตอนเย็นสวดมนต์ ก่อนนอนตบยุง

แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดี หรือว่าอะไร

ตรรกะคนดีเป็นแบบใหนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2017, 21:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
ตอนเช้าเอาข้าวให้หมา ตอนบ่ายไล่เตะหมา ตอนเย็นสวดมนต์ ก่อนนอนตบยุง

แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดี หรือว่าอะไร

ตรรกะคนดีเป็นแบบใหนกัน


:b32: :b32: :b32:

พวกเรา...นี้..ตกเป็นทาสสัญญา..สังขาร...ก็จะพยายามไปจัดการ..จัดกลุ่ม...จัดประเภท..ที่ผัสสะมานั้นนะ...คืออะไร..คนคนนี้...ดีหรือไม่ดี..เป็นคุณ..หรือเป็นโทษ...จะได้..คบ..หรือตัดสินใจไม่คบ..

ก็เลยปวดหัว..ว่า..ตกลง...ไอ้คนนี้..จะจัดเป็นคนประเภทไหนดี

:b12: :b12: :b12:

ก็อย่าไปพยายามจัด...ทำดีก็ว่าดี..ตรงไหนทำไม่ดีก็ว่าไม่ดี...ก็คน...มันมีหยิ่นหยางในตัว..นิ

:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2017, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
ตอนเช้าเอาข้าวให้หมา ตอนบ่ายไล่เตะหมา ตอนเย็นสวดมนต์ ก่อนนอนตบยุง

แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดี หรือว่าอะไร

ตรรกะคนดีเป็นแบบใหนกัน

เรียกว่า ปุถุชนผู้ยังไม่สดับ ^ ^

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2017, 01:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
ตอนเช้าเอาข้าวให้หมา ตอนบ่ายไล่เตะหมา ตอนเย็นสวดมนต์ ก่อนนอนตบยุง

แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดี หรือว่าอะไร

ตรรกะคนดีเป็นแบบใหนกัน


ผมว่าก็เป็นคนดีอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็ทำความเลวได้เพราะอำนาจแห่งโทสะ
ถ้าหยุดอำนาจแห่งโทสะเสียได้ ผมว่าเขาคงจะเป็นคนดีเต็ม100

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2017, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
ตอนเช้าเอาข้าวให้หมา ตอนบ่ายไล่เตะหมา ตอนเย็นสวดมนต์ ก่อนนอนตบยุง

แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดี หรือว่าอะไร

ตรรกะคนดีเป็นแบบใหนกัน


คนประเภทอย่างนี้เขาไม่ได้รู้ดีรู้ชั่วหรอก
เขาอาศัยอำนาจของกิเลสที่เขามีอยู่คอยบงการ
ให้เป็นไปเท่านั้นนั้นเอง อยากทำก็ทำอยากกินก็กิน
ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ไม่อยากกินก็ไม่กิน

คือทำอย่างที่กิเลสตัณหาคอยบงการ
บางครั้งเขาอาจจะรู้เีรู้ชั่วบ้าง แต่ไม่สามารถฝืนกิเลสได้
เพราะความไม่รู้ปิดบังอยู่ อาจจะต้องเรียกว่าตกเป็นทาส
ของกิเลสตัณหา คนพวกนี้มีให้เห็นทั่วไปในโลกทั่วไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2017, 10:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทำอันใดแลย่อมเกิดแต่เหตุ จะพูด จะทำ จะคิดหนอๆ ก็ดีแล้ว ยึดถือบ้าเดือดร้อนตามชอบ ชัง เฉย ก็ชั่วแล้ว เพราะจิตคนละดวง อันเก่าดับ อันใหม่เกิด จึงไม่มีบุคคล เรา เขา รู้ทันจะคิดหนอๆ ก็ฉลาดได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องถามใคร รู้ได้เฉพาะปัจจุบันที่ขยันสังเกต ใส่ใจ เข้าใจได้ทุกเรื่อง

จากสายสืบนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2017, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
ตอนเช้าเอาข้าวให้หมา ตอนบ่ายไล่เตะหมา ตอนเย็นสวดมนต์ ก่อนนอนตบยุง

แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดี หรือว่าอะไร

ตรรกะคนดีเป็นแบบใหนกัน



ตรรกะคนดี ดูที่นี่

https://prachatai.com/journal/2012/04/39954

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2017, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังเกตคำว่า "ดี" "คนดี" ระหว่างภาษาไทย กับ ภาษาทางธรรม นำเสนอ ดี คนดี ในความหมายของ ธรรม ก่อน

คนดี มีปัญญา ที่เรียกว่าบัณฑิตหรือสัตบุรุษ

“คนที่เรียกว่าเป็นปราชญ์ เป็นบัณฑิต ก็เพราะบรรลุประโยชน์ที่มุ่งหมาย (ทั้ง ๒ ประการคือ ทิฏฐิธัมมิกัตถะ และสัมปรายิกัตถะ) (สํ.ส. 15/380/ 126 ฯลฯ)

“ผู้ใดเจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ผู้เช่นนั้นเป็นสัตบุรุษ มีวิจารณญาณ ย่อมถือเอาสาระในโลกนี้ไว้แก่ตนได้”* (องฺ.ปญฺจก.22/63/91)

สัตบุรุษทั้งหลายไปไม่ติดทุกสถาน, สัตบุรุษไม่ปราศรัยเพราะอยากได้กาม, บัณฑิตถูกสุขหรือทุกข์ตามกระทบเข้า ย่อมไม่แสดงอาการขึ้นๆลงๆ

“ผู้ใด เขาสักการะก็ตาม ไม่สักการะก็ตาม ย่อมมีสมาธิไม่หวั่นไหว เป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาท ผู้นั้นซึ่งมีปกติเพ่งพินิจ ทำความเพียรตลอดเวลา เห็นแจ้งด้วยความเข้าใจอันสุขุม ยินดีในความสิ้นอุปาทาน ท่านเรียกว่าสัตบุรุษ” * (สํ.นิ.16/559/273)

สัตบุรุษไม่มีในชุมนุมใด ชุมนุมนั้น ไม่ชื่อว่าสภา, ผู้ใดไม่พูดเป็นธรรม ผู้นั้นไม่ใช่สัตบุรุษ, ละราคะ โทสะ โมหะแล้ว พูดเป็นธรรม จึงจะเป็นสัตบุรุษ” * (สํ.ส.15/725/270)

“ผู้ใดเป็นธีรชน เป็นคนกตัญญูกตเวที คบหากัลยาณมิตร มีความภักดีมั่น กระทำกิจเพื่อผู้ตกทุกข์ด้วยตั้งใจจริง คนอย่างนั้น ท่านเรียกว่าสัตบุรุษ”* (ขุ.ชา.27/2466/541)

“ภิกษุทั้งหลาย อาศัยสัตบุรุษแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๔ ประการได้ กล่าวคือ จะเจริญด้วยศีลอย่างอริยะ จะเจริญด้วยสมาธิอย่างอริยะ จะเจริญด้วยปัญญาอย่างอริยะ จะเจริญด้วยวิมุตติอย่างอริยะ” * (องฺ.จตุกฺก.21/242/324)

<=(ศีลเพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุตติ)

สภา “ที่เป็นที่พูดร่วมกัน” ที่ประชุม, สถาบันหรือองค์การอันประกอบด้วยคณะบุคคลซึ่งทำหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยหรืออำนวยกิจการ ด้วยการประชุมปรึกษาหารือออกความคิดเห็นร่วมกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2017, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนถึงตัวอย่าง "ดี" "คนดี" ในความหมายภาษาไทย สังเกตหลัก กรรม คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมติ๊ดหนึ่ง ตัดๆมาพอเห็นเค้า


มโนกรรมสำคัญที่สุด และมีผลกว้างรุนแรง ก็เพราะเป็นจุดเริ่มต้น คนคิดก่อนแล้วจึงพูด จึงกระทำ คือแสดงออกทางกายและวาจา

ดังนั้น วจีกรรม และกายกรรม จึงขยายออกมาจากมโนกรรมนั่นเอง และที่ว่ามีผลกว้างรุนแรงที่สุด ก็เพราะว่ามโนกรรมรวมถึง ความเชื่อถือ ความเห็น แนวคิด และค่านิยมต่างๆ ที่เรียกว่าทิฏฐิ


ทิฏฐินี้เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมทั่วๆไปของบุคคล ความเป็นไปในชีวิตของบุคคล และคติของสังคมทั้งหมด เมื่อเชื่อ เมื่อเห็น หรือนิยมอย่างไร ก็คิดการ พูดจา สั่งสอน ชักชวนกัน และทำการต่างๆไปตามที่เชื่อที่เห็นที่นิยมอย่างนั้น

ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ การดำริ การพูดจา และทำการ ก็ดำเนินไปในทางผิด เป็นมิจฉาไปด้วย

ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ การดำริ การพูดจา และทำการต่างๆ ก็ดำเนินไปในทางถูกต้อง เป็นสัมมาไปด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2017, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าเรื่อง

(กรรม เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความดี ความชั่วโดยตรง)

เรื่องความดีและความชั่ว มักมีปัญหาเกี่ยวกับความหมาย และหลักเกณฑ์ที่จะวินิจฉัย เช่นว่า อะไรและอย่างไร จึงจะเรียกว่าดี อะไรและอย่างไรจึงจะเรียกว่าชั่ว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเช่นนี้มีมากเฉพาะในภาษาไทยเท่านั้น
ส่วนในทางธรรม ที่ใช้คำบัญญัติจากภาษาบาลี ความหมายและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้นับได้ว่าชัดเจน ดังจะได้กล่าวต่อไป

คำว่า "ดี" ว่า "ชั่ว" ในภาษาไทย มีความหมายกว้างขวางมาก โดยเฉพาะคำว่าดี มีความหมายกว้างยิ่งกว่าคำว่าชั่ว

คนประพฤติดีมีศีลธรรม ก็เรียกว่าคนดี

อาหารอร่อยถูกใจ ผู้ที่กินก็อาจพูดว่า อาหารมื้อนี้ดี หรืออาหารร้านนี้ดี

เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ หรือทำงานเรียบร้อย คนก็เรียกว่าเครื่องยนต์ดี

ไม้ค้อนที่ใช้ได้สำเร็จประโยชน์สมประสงค์ คนก็ว่าค้อนนี้ดี

ภาพยนตร์ที่สนุกสนาน ถูกใจคนที่ชอบก็ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ดี

ภาพเขียนสวยงามคนก็ว่า ภาพนี้ดี หรือถ้าภาพนั้นอาจขายได้ราคาสูงคนก็ว่าภาพนั้นดี

เช่นเดียวกัน โรงเรียนที่บริหารงาน และมีการสอนได้ผล นักเรียนเก่ง ก็เรียกกันว่า โรงเรียนดี

โต๊ะตัวเดียวกัน คน ๓ คนบอกว่าดี แต่ความหมายที่ว่าดีนั้น อาจไม่เหมือนกันเลย

คนหนึ่งว่าดี เพราะสวยงามถูกใจเขา

อีกคนหนึ่งว่าดี เพราะเหมาะแก่การใช้งานของเขา

อีกคนหนึ่งว่าดี เพราะเขาจะขายได้กำไรมาก

ในทำนองเดียวกัน ของที่คนหนึ่งว่าดี อีกหลายคนอาจบอกว่าไม่ดี
ของบางอย่างมองในแง่หนึ่งว่าดี มองในแง่อื่นอาจว่าไม่ดี
ความประพฤติหรือการแสดงออกบางอย่างในถิ่นหนึ่ง หรือสังคมหนึ่งว่าดี
อีกถิ่นหนึ่งหรืออีกสังคมหนึ่งว่า ไม่ดี ดังนี้ เป็นต้น หาที่ยุติไม่ได้
หรืออย่างน้อยไม่ชัดเจน อาจต้องจำแนกเป็นดีในทางจริยธรรม
ดีในแง่สุนทรียภาพ ดีในแง่เศรษฐกิจ เป็นต้น

เหตุที่มีความยุ่งยากสับสนเช่นนี้ ก็เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณค่าและคำว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” ในภาษาไทย ใช้กับเรื่องที่เกี่ยวกับคุณค่าได้ทั่วไปหมด ความหมายจึงกว้างขวางและผันแปรได้มากเกินไป

(นำไปเทียบกับลิงค์คนดีตามความหมายในภาษาไทยข้างบนโน่นด้วย :b1: )

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2017, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดี อย่างน้อยที่สุด คือ ต้องมี หิริ และโอตตัปปะ
เพราะ เมื่อตั้งอยู่ในหิริ และโอตตัปปะแล้ว สุกธรรมต่างๆ หรือกุศลธรรมต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

เมื่อขาดหิริ และโอตตัปปะ หรือ เมื่อขณะใดจิตพรากจากหิริ และโอตตัปปะ เมื่อนั้นคนดีย่อมพรากจากความดี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2017, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัตบุรุษ คือคนดี หรือคนที่แท้ มีธรรมของสัตบุรุษ เรียกว่า สัปปุริสธรรม ๗ ประการ
ดังนี้
๑. ธัมมัญญุตา รู้หลักและรู้จักเหตุ คือ รู้หลักความจริงของธรรมชาติ รู้หลักการ กฎเกณฑ์แบบแผนหน้าที่ ซึ่งจะเป็นเหตุให้กระทำการได้สำเร็จผลตามความมุ่งหมาย เช่น ภิกษุรู้ว่าหลักธรรมที่ตนจะต้องศึกษาและปฏิบัติ คืออะไร มีอะไรบ้าง ผู้ปกครองรู้ธรรมของผู้ปกครอง คือรู้หลักการปกครอง

๒. อัตถัญญุตา รู้ความมุ่งหมาย และรู้จักผล คือ รู้ความและความมุ่งหมายของหลักธรรม หรือหลักการ กฎเกณฑ์ หน้าที่ รู้ผลที่ประสงค์ของกิจที่จะกระทำ เช่น ภิกษุรู้ว่าธรรมที่ตนศึกษาและปฏิบัตินั้นๆ มีความหมายและความมุ่งหมายอย่างไร ตลอดจนรู้จักประโยชน์ที่เป็นจุดหมายหรือสาระของชีวิต

๓. อัตตัญญุตา รู้จักตน คือ รู้ฐานะ ภาวะ เพศ กำลัง ความรู้ ความถนัด ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น ของตน ตามเป็นจริง เพื่อประพฤติปฏิบัติได้เหมาะสม และให้เกิดผลดี เช่น ภิกษุรู้ว่าตนมีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณแค่ไหน

๔. มัตตัญญุตา รู้จัก ประมาณ คือ รู้ความพอเหมาะพอดี เช่น รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร ในการใช้จ่ายทรัพย์ ภิกษุรู้จักประมาณในการรับปัจจัย ๔ เป็นต้น

๕. กาลัญญุตา รู้จักกาล เช่น รู้ว่าเวลาไหน ควรทำอะไร รู้จักเวลาเรียน เวลาทำงาน เวลาพักผ่อน เป็นต้น

๖. ปริสัญญุตา รู้จักชุมชน คือ รู้จักถิ่น รู้จักที่ชุมนุม และชุมชน รู้จักมารยาท ระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียมประเพณี และข้อความรู้ควรปฏิบัติ ต่อชุมชนนั้น

๗. ปุคคลัญญุตา รู้จักบุคคล คือ รู้ความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น เพื่อปฏิบัติต่อผู้นั้นโดยถูกต้อง เช่นว่า ควรจะคบหรือไม่ จะเกี่ยวข้อง จะใช้ จะยกย่อง จะตำหนิ หรือจะแนะนำสั่งสอนอย่างไร จึงจะได้ผลดี เป็นต้น

เทียบกัน

https://prachatai.com/journal/2012/04/39954

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2017, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
คนดี อย่างน้อยที่สุด คือ ต้องมี หิริ และโอตตัปปะ
เพราะ เมื่อตั้งอยู่ในหิริ และโอตตัปปะแล้ว สุกธรรมต่างๆ หรือกุศลธรรมต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

เมื่อขาดหิริ และโอตตัปปะ หรือ เมื่อขณะใดจิตพรากจากหิริ และโอตตัปปะ เมื่อนั้นคนดีย่อมพรากจากความดี


บางคนพูดแต่ธรรมอย่างเดียว อะไรๆก็ธรรมๆๆ มองวินัยไม่ออก

(บางส่วน จากหนังสือจาริกบุญ จารึกธรรม หน้า ๔๐๖)


วินัย จัดสรรทั้งวัตถุปัจจัย จัดสรรสภาพแวดล้อม และจัดระบบความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วม และทำกิจการร่วมกัน จัดทำไม ก็เพื่อให้มันเกื้อหนุนต่อการที่คนจะพัฒนาตัวให้เข้าถึงธรรม มีชีวิตที่ดีงาม ในสังคมที่มีสันติสุข ในโลกที่รื่นรมย์น่าอยู่อาศัย

จะเห็นว่า วินัยของสงฆ์ ให้ความสำคัญแก่ปัจจัย ๔ เรื่องวัตถุ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องระบบการบริหาร การปกครอง เรื่องของระเบียบสังคมทุกอย่าง ในฐานะเป็นฐานที่จะเกื้อหนุนให้คนเป็นอยู่อย่างสอดคล้องกับธรรม และได้ประโยชน์จากธรรม

บางคน มองแต่ธรรมอย่างเดียว เห็นว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องจิตใจ ไม่เกี่ยวกับสังคม เป็นเรื่องเฉพาะตัว

บางคนพูดว่า ถ้าคนแต่ละคนดีแล้ว สังคมก็ดีเอง นี่เป็นการตอบแบบธรรม ถูกต้อง ถ้าทุกคนดีแล้ว สังคมก็ดีเอง อันนี้ไม่ผิด แต่เป็นการตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็ใช่สิ ถ้าทุกคนดี สังคมมันก็ดี แต่ปัญหาต่อไปว่า ทำอย่างไร จะให้แต่ละคนดี นี่คือปัญหาของวินัย

ถ้าแต่ละคนดี สังคมก็จะดี นี่เป็นเงื่อนไขของธรรม เป็นความจริงตามกฎธรรมชาติ

ทำอย่างไร จะให้แต่ละคนดี นี่เป็นเงื่อนไขของวินัย ที่เป็นปฏิบัติการทางสังคมของมนุษย์

ปฏิบัติการทางสังคมของมนุษย์ด้วยวินัยนั้น จะต้องให้เป็นไปตามธรรม เริ่มตั้งแต่รู้ถูกต้องว่า คนดีเป็นอย่างไร สังคมดีเป็นอย่างไร

ปัญหาของวินัยมา จับจุดตรงที่ว่า แล้วทำอย่างไรจะให้แต่ละคนดี ต่อด้วย => ได้รับประโยชน์ มีความสุข ฯลฯ

คำตอบก็คือ ต้องจัดวางระเบียบ ระบบ แบบแผน ระบบความสัมพันธ์ และสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลขึ้น เพื่อจะได้ตะล่อมช่วยป้องกันคนจากการทำชั่ว หรือทำในทางที่ผิดเสียหาย และสร้างสภาพที่เอื้อเกื้อหนุนต่อการทำความดี และเอื้อต่อการพัฒนาตนเองของมนุษย์ที่จะเข้าถึงชีวิตและสังคมที่มีสันติสุข เป็นอิสระ

พูดอย่างง่ายว่า เพื่อปิดกั้นจำกัดโอกาสแห่งความชั่ว และส่งเสริมโอกาสแห่งความดี อย่างนี้ คือ วินัย

ฉะนั้น วินัยจึงมาช่วยในการที่ว่า ทำอย่างไรจะให้แต่ละคนกลายเป็นคนดีขึ้นมา โดยมีเครื่องชักนำให้เขาเข้าสู่ธรรม

ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2017, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วินัย ระเบียบแบบแผนสำหรับฝึกฝนควบคุมความประพฤติของบุคคลให้มีชีวิตที่ดีงามเจริญก้าวหน้าและควบคุมหมู่ชนให้อยู่ร่วมกันด้วยความสงบเรียบร้อยดีงาม, ประมวลบทบัญญัติข้อกำหนดสำหรับควบคุมความประพฤติ ไม่ให้เสื่อมเสีย และฝึกฝนให้ประพฤติดีงามเป็นคุณเกื้อกูลยิ่งขึ้น
วินัย มี ๒ อย่าง
คือ
๑. อนาคาริยวินัย วินัยของผู้ไม่ครองเรือน คือ วินัยของบรรพชิต หรือ วินัยของพระสงฆ์

๒. อาคาริยวินัย วินัยของผู้ครองเรือน คือ วินัยของชาวบ้าน

ทั้งหลักคำสอนในสิงคาลกสูตร (ที.ปา.11/172-206/194-207) ทั้งหมด พระอรรถกถาจารย์ว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ให้เป็น คิหิวินัย (ที.อ.3/167) คือวินัยของคฤหัสถ์ หรือศีลสำหรับชาวบ้าน หรือศีลสำหรับประชาชน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2017, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวข้อเต็มๆจากหนังสือจาริกบุญ จารึกธรรม ซึ่งอ้างอิงก่อนหน้านั้น

ธรรมเป็นบรรทัดฐานแห่งความถูกต้องของวินัย, วินัยเป็นบรรทัดฐานแห่งพฤติกรรมที่ถูกต้องตามธรรม

วินัยนั้น จัดสรรทั้งวัตถุปัจจัย จัดสรรสภาพแวดล้อม และจัดระบบความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วม และทำกิจการร่วมกัน จัดทำไม ก็เพื่อให้มันเกื้อหนุนต่อการที่คนจะพัฒนาตัวให้เข้าถึงธรรม มีชีวิตที่ดีงาม ในสังคมที่มีสันติสุข ในโลกที่รื่นรมย์น่าอยู่อาศัย

การดำเนินสังฆกรรม การจัดกิจกรรมของหมู่คณะ วิธีดำเนินคดีและลงโทษผู้กระทำผิด ระเบียบการบริหารของคณะสงฆ์ เป็นเพียงส่วนปลีกย่อยของวินัย

จะเห็นว่า วินัยของสงฆ์ ให้ความสำคัญแก่ปัจจัย ๔ เรื่องวัตถุ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องระบบการบริหาร การปกครอง เรื่องของระเบียบสังคมทุกอย่าง ในฐานะเป็นฐานที่จะเกื้อหนุนให้คนเป็นอยู่อย่างสอดคล้องกับธรรม และได้ประโยชน์จากธรรม

บางคน มองแต่ธรรมอย่างเดียว เห็นว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องจิตใจ ไม่เกี่ยวกับสังคม เป็นเรื่องเฉพาะตัว

บางคนพูดว่า ถ้าคนแต่ละคนดีแล้ว สังคมก็ดีเอง นี่เป็นการตอบแบบธรรม ถูกต้อง ถ้าทุกคนดีแล้ว สังคมก็ดีเอง อันนี้ไม่ผิด แต่เป็นการตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็ใช่สิ ถ้าทุกคนดี สังคมมันก็ดี แต่ปัญหาต่อไปว่า ทำอย่างไร จะให้แต่ละคนดี นี่คือปัญหาของวินัย

ถ้าแต่ละคนดี สังคมก็จะดี นี่เป็นเงื่อนไขของธรรม เป็นความจริงตามกฎธรรมชาติ

ทำอย่างไร จะให้แต่ละคนดี นี่เป็นเงื่อนไขของวินัย ที่เป็นปฏิบัติการทางสังคมของมนุษย์

ปฏิบัติการทางสังคมของมนุษย์ด้วยวินัยนั้น จะต้องให้เป็นไปตามธรรม เริ่มตั้งแต่รู้ถูกต้องว่า คนดีเป็นอย่างไร สังคมดีเป็นอย่างไร

ปัญหาของวินัยมา จับจุดตรงที่ว่า แล้วทำอย่างไรจะให้แต่ละคนดี ต่อด้วย => ได้รับประโยชน์ มีความสุข ฯลฯ

คำตอบก็คือ ต้องจัดวางระเบียบ ระบบ แบบแผน ระบบความสัมพันธ์ และสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลขึ้น เพื่อจะได้ตะล่อมช่วยป้องกันคนจากการทำชั่ว หรือทำในทางที่ผิดเสียหาย และสร้างสภาพที่เอื้อเกื้อหนุนต่อการทำความดี และเอื้อต่อการพัฒนาตนเองของมนุษย์ที่จะเข้าถึงชีวิตและสังคมที่มีสันติสุข เป็นอิสระ

พูดอย่างง่ายว่า เพื่อปิดกั้นจำกัดโอกาสแห่งความชั่ว และส่งเสริมโอกาสแห่งความดี อย่างนี้ คือ วินัย

ฉะนั้น วินัยจึงมาช่วยในการที่ว่า ทำอย่างไรจะให้แต่ละคนกลายเป็นคนดีขึ้นมา โดยมีเครื่องชักนำให้เขาเข้าสู่ธรรม

ธรรมนั้น เป็นเรื่องของความจริงตามธรรมชาติ ที่ชีวิตของคนแต่ละคนจะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน เช่น เป็นเรื่องของชีวิตแต่ละชีวิต เป็นเรื่องของการที่ทุกคนรับผิดชอบต่อกรรมของตัวเอง เป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อกฎธรรมชาติ การที่ชีวิตของแต่ละคนต้องขึ้นต่อการทำงานของระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจ ระบบหมุนเวียนของโลหิต ระบบความรู้สึกนึกคิด ฯลฯ ซึ่งรวมลงในคติธรรมดาของสังขาร คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย



ธรรมเป็นเรื่องของแต่ละคน ที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองตามกฎธรรมชาติ แต่วินัยกำหนดให้บุคคลแต่ละคนนั้นรับผิดชอบต่อสังคม เพราะฉะนั้น เมื่อมีพระภิกษุทำความผิด

๑. ในแง่ของธรรม ภิกษุนั้นรับผิดชอบต่อกรรมที่ตัวทำ ตามความเป็นไปของกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยของธรรมชาติ เมื่อทำกรรมชั่วก็มีผลชั่ว อันนั้นกรรมทางธรรม (ของธรรมชาติไป) ว่าไป แต่
๒.ในแง่ของวินัย ภิกษุนั้นต้องรับผิดชอบต่อชุมชนสงฆ์ สงฆ์จะเอาตัวมาชำระคดี มาตัดสินความผิด มาลงโทษ ในการนี้สงฆ์มีเครื่องมือ คือธรรมทางวินัย ที่จะใช้จัดการกับภิกษุนั้น โดยไม่ต้องรอกรรมของธรรมชาติ

ถึงแม้วินัยจะเป็นเรื่องสมมติ แต่วินัยกำกับการกระทำของคน เมื่อคนทำอะไรก็ตาม การกระทำของเขาก็เป็นเหตุปัจจัยตามกฎธรรมชาติ วินัยจึงเป็นการเอาปัจจัยฝ่ายมนุษย์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีคุณสมบัติพิเศษ (เฉพาะอย่างยิ่งปัญญา และเจตนาซึ่งมุ่งสู่จุดหมายที่ปัญญาชี้บอก) เข้าไปร่วมในกระบวนการของธรรม ที่จะผลักดันกระบวนเหตุปัจจัยให้ดำเนินไปในทางที่จะให้เกิดผลที่มนุษย์ต้องการ


เป็นอันว่ามี ๒ ส่วนซึ่งสัมพันธ์กันเชิงเหตุผลว่าเพื่ออะไร วินัยจัดตั้งเพื่ออะไร ก็เพื่อจะให้ธรรมบังเกิดผลในทางสังคมมนุษย์ วินัยเปิดช่องให้ธรรมแสดงผล แต่วินัยนั้นจะมีผลจริง ก็ต้องตั้งอยู่บนฐานของธรรม
ถ้าวินัยไม่ตั้งอยู่บนฐานของธรรม ไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งเหตุปัจจัย วินัยนั้นก็ไม่ถูกต้อง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นจริง ไม่มีผล ไร้ความหมาย

ดังนั้น วินัยต้องตั้งอยู่บนฐานของธรรม คือ ตั้งอยู่บนฐานของความจริงแห่งเหตุปัจจัย โดยสร้างฐานที่สอดคล้องขึ้นจากความรู้ในกฎธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น บุคคลที่จะจัดตั้งวินัยได้ถูกต้องเกิดผลดี จึงต้องมีคุณสมบัติพื้นฐาน ๒ ประการ
คือ
๑. มีปัญญารู้แจ้งจริง เข้าถึงสัจธรรม โดยรู้ธรรม รู้ตัวความจริง เข้าถึงความจริงแห่งธรรมดาของกฎธรรมชาติได้เท่าไร การวางวินัย ก็ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น

๒. มีเจตนาดีงามบริสุทธิ์ คือต้องมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีโลภะ โทสะ เคลือบแฝง มุ่งเพื่อประโยชน์สุขแก่หมู่มนุษย์ทั่วไป

พระพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้
คือ
๑.ทรงมีปัญญา เข้าถึงความจริงแห่งธรรมดาของธรรมชาติ ความรู้นี้ทำให้จัดโครงสร้าง ตั้งระบบ วางกฎระเบียบแบบแผนที่สอดคล้องกับธรรม คือตัวความจริงของระบบความสัมพันธ์ในกฎธรรมชาติ ทำให้วินัยสอดคล้องกับธรรม

๒. ทรงมีมหากรุณา คือมีใจที่ประกอบด้วยเมตตา กรุณา ไม่มีอกุศลธรรม ไม่มีเจตนาร้ายต่อผู้อื่น ไม่ได้หวังผลประโยชน์ส่วนตน แต่กระทำเพื่อประโยชน์สุขแก่มวลมนุษย์บนฐานแห่งวิสุทธิคุณ

ด้วยปัญญารู้แจ้งธรรม และด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ประกอบด้วยมหากรุณา ก็ทำให้พระพุทธองค์วางวินัยที่ได้ผล ซึ่งทำให้เกิดระบบคณะสงฆ์ขึ้นมา อันเป็นสถาบันที่ยั่งยืนที่สุดในโลก

ฝรั่งยอมรับว่า ปัจจุบันสถาบันที่ยั่งยืนที่สุดในโลก คือ “สังฆะ” หรือสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ยังไม่มีสถาบันใด องค์กรใด ที่ยั่งยืนเท่าสงฆ์ สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ยังอยู่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร