วันเวลาปัจจุบัน 07 พ.ย. 2025, 23:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
บอกแต่ต้นแล้วว่า ตำส้มตำให้เสร็จ 1 ครก อร่อยดีถูกปากถูกใจคนกิน พลธรรมเข้าหมดแล้ว :b12:

เพลงส้มตำ

https://www.youtube.com/watch?v=5zyuLYNhPHg


ต่อไปเอาครกเอาสากเอาจานไปล้างเสร็จเรียบร้อยสะอาดดีไม่ตกแตก เอามาเก็บให้เรียบร้อย พลธรรมเข้าหมดอีกแล้ว อิอิ

เอาอินทรีย์ ๕ ด้วยก็ได้



.. การที่บอกว่าทำงานเสร็จ พละธรรมครบหมด โดยที่ไม่อาจจะบอกได้ว่า แต่ละอย่างคืออะไร เป็นแบบไหน ยังไง มันก็ไม่สามารถที่จะตอบคำถาม หรือชี้ได้ว่า พละธรรมคือะไร ถูกมั้ยครับ

.. ซึ่งผมถามท่านตั้งแต่แรกว่า ที่ท่านบอกทำเสร็จธรรมก็ครบหมด ที่ว่าทำเสร็จธรรมครบ คือ ทำยังไง ท่านก็ไม่ตอบไม่กล่าว ยกตัวอย่างบางคนทำไปผ่านๆให้จบให้เสร็จก็มีนะครับ อิอิ :b32: :b32: :b32:
.. หรือธรรมพระพุทธเจ้ามีมากมายบอกว่าไปนิพพานได้ก็จบ แล้วจะไปยังไงล่ะ ทำยังไงจึงไปนิพพาน บอกละสังโยชน์ แล้วจะละยังไง ละได้ก็ไปนิพพาน :b32: :b32: :b32:


.. ดังนั้นจึงต้องจำแนกให้เห็น ถ้าไม้สามารถจำแนกได้ แล้วบอกแค่ว่าทำเสร็จก็จบแล้ว หรือ..ทำให้ดี ให้เสร็จ อย่างไรที่ชื่อว่าดี อย่างไรที่ชื่อว่าเสร็จถูกต้อง ใช่มั้ยท่าน อิอิ :b29: :b29:

.. ทำไมต้องจำแนก การจำแนกธรรมให้ดูเป็นข้อๆของธรรมสังขารแต่ละตัวได้ มันก็เป็นตัวอย่างให้นำสืบต่อไปใช้ในเรื่องๆอื่นๆต่อไปได้ครอบคลุม

.. ความเป็นอินทรีย์ ๕ ไม่ใช่เป็นใหญ่นำโต่งเขาไม่มีใครใหญ่กว่ากลบเขาอย่างที่สอนตามๆกันมาตามตัวหนังสือเท่านั้น ..หากเข้ารู้ธรรมจริงแล้วจะรู้ทันทีว่า..จริงๆแล้ว ความเป็นอินทรีย์นี้ แต่ละตัวเขาจะมีเอกลักษณ์หน้าที่และการทำงานซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของเขา ที่ไม่มีตัวอื่นทำหน้าที่แทนได้ ..ดังนั้นก็จึงจำแนกไว้เป็นข้อๆกล่าวถึงหน้าที่ และวิธีแนวการเจริญปฏิบัติทำในแต่ละตัวได้

ส่วนผมจำแนกเป็นข้อๆได้ ตำส้มตำด้วยพละ ๕ นั้น

๑. ศรัทธา ก็ความเชื่อ เราเชื่อมั่นในรสชาติหลักที่ตนตำขาย
(ความเชื่อเป็นกำลังตัวน้อมนำให้เกิดการกระทำต่างๆถูกมั้ย)

๒. วิริยะ ก็ความเพียร มุ่งมั่นตำโขก ปรุงรส ใส่เครื่อง ให้ได้รสชาติและหน้าตาออกมาดี
(ความเพียรเป็นกำลังใจภายในประครองทำไปให้สำเร็จดีถูกมั้ย)

๓. สติ ก็มีความรู้ว่ากำลังตำอยู่ ลำดับการใส่เครื่องปรุง การตำ รู้ว่าใส่เครื่องปรุงเครื่องเคียงอะไรไปบ้าง กำลังตำอะไร ตำแซบ ตำนัว ตำซั่ว แบบไหน ยังไง
(ความระลึกได้เป็นกำลังให้รู้ในขณะนั้นๆและจดจำได้ว่าทำอะไรไปแล้วในการดำเนินงานต่างๆถูกไหม คือว่าตนกำลังทำอะไร ถึงไหนแล้ว เป็นไปอย่างไร )

๔. สมาธิ ก็ตั้งใจตำส้มตำ ให้ดี ไม่วอกแวก เมื่อไม่ผละวอกแวกหลุดจากการตำก็จะรู้เสมอๆว่าการตำส้มตำครกนี้เป็นอย่างไรบ้างมีอะไรใส่ไปในครกแล้ว
(ความตั้งมั่นเป็นกำลังให้เกิดความตั้งใจอยู่กับงานไม่ละเลยเห็นความเป็นไปตามจริงทุกขั้นตอนในงาน ทำให้เห็นการดำเนินงานในทุกขั้นทุกตอนตามจริง)

๕. ปัญญา ก็ดู สี รส เกินไหม ขาดอะไร แก้ไขรสชาติ หรือหน้าตายังไงให้น่าทาน และอร่อยลูกค้าถูกใจ
(ความรู้ความเข้าใจเป็นกำลังให้เรา รู้เห็นตามจริงถึงความเป็นเหตุ ปัจจัย ผล ข้อดี ข้อบกพร่อง สิ่งใดขาด สิ่งใดเกิน จะแก้ไขอย่างไร เพิ่มหรือลดสิ่งใด การได้ผลอย่างนี้เพราะอะไร เป็นความแจ้งแทงตลอดโดยแยบตาย)

:b32: :b32: :b32: ครบหมดแล้ว มันก็จะเกิดแนวทางทิศทางให้นำไปใช้สืบต่อในสิ่งอื่นๆได้อีก

ต่างกันไหมครับ..กับคำว่า.."ตำเสร็จก็พละธรรมครบแล้ว" พูดเท่านั้น ไม่อาจจะอธิบายเกินคำนั้นๆได้ ดังนั้นการจะกล่าวสิ่งใดเราต้องแจ้งและเจริญธรรมนั้นแล้วก่อน รู้ชัด จำแนก แจกแจง อธิบายได้ ซึ่งผมทำครบแล้วครับท่านกรัซกาย :b16: :b16: :b16:

-----------------------


คุณว่า นี่เขามีพลธรรมไหม ดูก่อนแล้วค่อยตอบ

https://www.facebook.com/10000810930913 ... 482697007/



ที่ท่านกรัซกายบอกว่า ตำส้มตำให้เสร็จ 1 ครก อร่อยดีถูกปากถูกใจคนกิน พลธรรมเข้าหมดแล้ว มันก็ถูกต้องดีแล้วครับ **เพียงแต่นั่นมันเป็นผลลัพธ์แล้ว ไม่ใช่เหตุปัจจัย ไม่ใช่ขั้นตอนการเจริญปฏิบัติ ถามว่าการจำแนกธรรมมันสำคัญด้วยหรือในสิ่งนี้..

- การจำแนก แนวทาง หน้าที่คุณลักษณะจำเพาะ ลำดับ ขั้นตอน วิธีปฏิบัติ ..จะถูกต้องตามจริงได้นั้น ต้องเกิดจากการรู้เห็นแจ้งชัดตามจริง ไม่ใช่คิดเอา ..เป็นสัมมาทิฏฐิ
- การจดจำ นึกถึงหลักการ หรือแนวทางนั้น แล้วนึกถึงเป็นลำดับการทำออกมา ..เป็นทัศนคติ แนวทางความคิด มีวิธีคิดนำไปสู่การกระทำปฏิบัติถูกต้อง ..เป็นสัมมาสังกัปปะ
- การพูดถึงรูปลักษณ์ที่ออกมาเสร็จสรรพนั้นแล้ว เป็นผล

- การกล่าวโดยพิศดารให้น่าค้นหาเหตุและวิธีทำให้ได้อย่างนั้น จะกล่าวแบบท่านกรัซกายพูดก็ไม่ผิด นั้นคือการพูดให้นึกเห็นภาพลักษณ์ในผลที่ออกมาจากการกระทำ
- แต่เมื่อเรากล่าวสิ่งใดได้โดยย่อ โดยพิศดาร เราก็ต้องสาธยายจำแนกได้ตามจริง เพื่อให้เข้าจริงตรงตามผลลัพธ์ที่เรากล่าวนั้น

..หากจะกล่าวว่าทำอย่างไรก็ได้ให้อร่อย ตรงนี้..ถ้าคนทำไม่มีหลักในการทำ ไม่มีความรู้ในขั้นตอนกรรมวิธีต่างๆ ไม่รู้ว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างให้ผลอย่างไร ใส่เพื่ออะไร มีวิธีใส่ตามลำดับยังไง, ก็จะไม่อาจแก้ได้ถูกจุดง่ายๆ ดังนั้นคนที่เป็นเชฟจึงมีเมนูวิธีการทำอาการต่างๆตามลำดับไงครับ เวลานั้นก็สามารถแก้ไขตามต้องการ รู้สัดส่วนวิธีทำตามเมนูทำอาหารนั้นๆ ทุกอย่าง

- เหมือนสมัยพุทธกาลพระที่เห็นศีลเยอะเกินทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าให้ถืออันเดียว คือ ให้ถือใจ โดยตรัสว่า หากศีลข้อห้ามเยอะเกิน เธอจงทำใจไว้เพียงอย่างเดียว โดยประครองใจไว้ไม่ให้ผิดศีลนั้น นี่เป็นเหตุใช่ไหม ครับ หรือเป็นผล หรือเป็นการทำที่มีหลักให้จับยึดได้ คำว่าประครองใจให้ก้าวล่วงศีล ศีลนี้คือหลักทั้งหมดที่เป็นตัวให้ใจประครองไม่ให้ผิดใช่ไหมครับ

:b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 30 ม.ค. 2019, 23:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ผู้ใดศิลมีธรรมประจำใจ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
... ศึกษาเล่าเรียนแม่นยำ ทรงจำสัทธรรมขึ้นใจ
ผู้นั้นแกล้วกล้าสามารถ ปราศจากความกลัวเวรภัย
... ปัญญาคล่องแคล่วว่องไว ดำรงชีพได้อย่างดี

คุณแค่อากาศ สาธยาธรรม บทที่ว่า
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)
ให้ผมฟังเพิ่มอีกหน่อยได้มั้ยครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ


จิตรู้สมมติเป็น สมุทัย มีหลายระดับครับ

- ขั้นต้นพื้นฐานเลย คือ..ไม่รู้ปัจจุบัน เป็นกิริยาที่จิตติดหลงอยู่กับสมมติความคิดที่เกิดจากกิเลสในใจปรุงแต่งเรื่องราวความรู้สึกสร้างขึ้นมา จากความสำคัญมั่นหมายของใจไว้ต่ออารมณ์ต่างๆที่รับรู้ จากสิ่งที่ผ่านมาแล้วบ้าง จากสิ่งยังไม่เกิดขึ้นบ้าง

- ขั้นกลาง คือ..ไม่เห็นของจริงแท้ เป็นกิริยาที่จิตรับรู้เพียงความจำได้หมายรู้ เป็นตัวตน บุคคล สิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่เข้าไปเห็นของจริงในความเป็นสิ่งนั้นๆ กล่าวคือ จิตไม่เดินในสติปัฏฐาน ๔ จนรู้เห็นจริงในสิ่งนั้นๆ เช่น คนศึกษาธรรมโดยมากทุกคนรู้หมดสติปัฏฐาน ๔ รู้อภิธรรมจำได้หมด รู้รูป รู้นาม ท่องจำขึ้นใจรู้หมดมีอะไรบ้าง รู้วิธีเจริญ แต่ยังสะสมเหตุไม่พอให้จิตเดินในมหาสติปัฏฐานจนเกิดรู้เห็นของจริง เช่น กายนี้ไม่ว่าส่วนใดก็ไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่มีตัวตนบุคคลใดในนั้น แค่ธาตุที่มีทั่วไปกอปรกันขึ้นให้ใจเข้ายึดครองอาศัยชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยน เสื่อม พัง, ไม่เห็นจริงในกามคุณ ๕ ความรู้สึกของปลอมที่เนื่องด้วยอายตนะ ๕ สืบต่อสมมติมาให้ใจรู้ แล้วหลงยึดว่าเป็นสุขหรือทุกข์ทั้งๆที่แท้จริงแล้วความรู้สึกนั้นไม่ได้เนื่องด้วยใจแท้จริง, สิ่งที่ปรุงแต่งให้ใจรู้เป็นแค่ธัมมารมณ์ภายนอก, ไม่เห็นไตรลักษณ์ของแท้จริงที่ไม่ใช่การท่องจำ หรือตรึกนึกคิดตามเอา

- ขั้นสุด คือ..ความไม่รู้อริยะสัจ ๔ ข้อนี้คืออะไร อวิชชาคือความไม่รู้ของจริง คือ ไม่เห็นของแท้จริงในสังขารุเปกขา ทำให้เอาใจเข้ายึดครองทุกสิ่งทั้งหมดที่ใจได้รับรู้ ..ถึงแม้จะท่องจำอริยะสัจ ๔ ได้ขึ้นใจรู้หมดทั้งวิธีเจริญ แต่จิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ คือ ตราบที่จิตไม่เดินรอบ ๓ อาการ ๑๒ ก็ยังไม่รู้ของจริง ไม่ถึงวิชชาอยู่อย่างนั้น ได้มากสุดก็แค่สะสมเป็นบุญแก่ขันธ์ คือ สาสวะ

ทุกข์ คือ ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติตามนี้

มรรค คือ คือจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติด้วยประการดังนี้

นิโรธ คือ ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติดังนี้

ผมมีปัญญาน้อยก็กล่าวสาธยายธรรมนั้นให้กระชับสุดได้ดังนี้ครับ


คุณไปเอามาแต่ไหน :b1:



ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555
:b12: :b12: :b12:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 30 ม.ค. 2019, 23:35, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555 :b12: :b12: :b12:



ความขี้เกียจเป็นภัยอย่างยิ่งครับ ความขี้เกียจนั้นจะขัดขวาง
กุศลละธรรม และลดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ หากความขี้เกียจนั้นเพิ่ม
ขึ้น เกิดขึ้นบ่อยๆ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 22:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
:b8:

อ้างคำพูด:
ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555 :b12: :b12: :b12:



ความขี้เกียจเป็นภัยอย่างยิ่งครับ ความขี้เกียจนั้นจะขัดขวาง
กุศลละธรรม และลดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ หากความขี้เกียจนั้นเพิ่ม
ขึ้น เกิดขึ้นบ่อยๆ

:b8:



สาธุขอบคุณครับที่เตือนสติและแนะนำครับท่าน

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 06:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

อ้างคำพูด:
ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555 :b12: :b12: :b12:



ความขี้เกียจเป็นภัยอย่างยิ่งครับ ความขี้เกียจนั้นจะขัดขวาง
กุศลละธรรม และลดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ หากความขี้เกียจนั้นเพิ่ม
ขึ้น เกิดขึ้นบ่อยๆ

:b8:



สาธุขอบคุณครับที่เตือนสติและแนะนำครับท่าน

:b8:

เปรียบเหมือนเรานั่งเรือพายที่รูรั่วใหญ่พอควร แล้วพาย
ไป น้ำก็ไหลเข้ารอยรั่วนั้น มาเรื่อยๆ หาเราไม่ขยันตักน้ำออก
ทิ้งเรือก็มิสามารถไปต่อได้
น้ำที่ไหลเข้ารอยรั่วนั้นเปรียบเหมือนความขี้เกียจ ที่คอยเข้า
มาครอบงำจิตใจเราตลอดเวลานั้นเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ผู้ใดศิลมีธรรมประจำใจ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
... ศึกษาเล่าเรียนแม่นยำ ทรงจำสัทธรรมขึ้นใจ
ผู้นั้นแกล้วกล้าสามารถ ปราศจากความกลัวเวรภัย
... ปัญญาคล่องแคล่วว่องไว ดำรงชีพได้อย่างดี

คุณแค่อากาศ สาธยาธรรม บทที่ว่า
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)
ให้ผมฟังเพิ่มอีกหน่อยได้มั้ยครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ


จิตรู้สมมติเป็น สมุทัย มีหลายระดับครับ

- ขั้นต้นพื้นฐานเลย คือ..ไม่รู้ปัจจุบัน เป็นกิริยาที่จิตติดหลงอยู่กับสมมติความคิดที่เกิดจากกิเลสในใจปรุงแต่งเรื่องราวความรู้สึกสร้างขึ้นมา จากความสำคัญมั่นหมายของใจไว้ต่ออารมณ์ต่างๆที่รับรู้ จากสิ่งที่ผ่านมาแล้วบ้าง จากสิ่งยังไม่เกิดขึ้นบ้าง

- ขั้นกลาง คือ..ไม่เห็นของจริงแท้ เป็นกิริยาที่จิตรับรู้เพียงความจำได้หมายรู้ เป็นตัวตน บุคคล สิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่เข้าไปเห็นของจริงในความเป็นสิ่งนั้นๆ กล่าวคือ จิตไม่เดินในสติปัฏฐาน ๔ จนรู้เห็นจริงในสิ่งนั้นๆ เช่น คนศึกษาธรรมโดยมากทุกคนรู้หมดสติปัฏฐาน ๔ รู้อภิธรรมจำได้หมด รู้รูป รู้นาม ท่องจำขึ้นใจรู้หมดมีอะไรบ้าง รู้วิธีเจริญ แต่ยังสะสมเหตุไม่พอให้จิตเดินในมหาสติปัฏฐานจนเกิดรู้เห็นของจริง เช่น กายนี้ไม่ว่าส่วนใดก็ไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่มีตัวตนบุคคลใดในนั้น แค่ธาตุที่มีทั่วไปกอปรกันขึ้นให้ใจเข้ายึดครองอาศัยชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยน เสื่อม พัง, ไม่เห็นจริงในกามคุณ ๕ ความรู้สึกของปลอมที่เนื่องด้วยอายตนะ ๕ สืบต่อสมมติมาให้ใจรู้ แล้วหลงยึดว่าเป็นสุขหรือทุกข์ทั้งๆที่แท้จริงแล้วความรู้สึกนั้นไม่ได้เนื่องด้วยใจแท้จริง, สิ่งที่ปรุงแต่งให้ใจรู้เป็นแค่ธัมมารมณ์ภายนอก, ไม่เห็นไตรลักษณ์ของแท้จริงที่ไม่ใช่การท่องจำ หรือตรึกนึกคิดตามเอา

- ขั้นสุด คือ..ความไม่รู้อริยะสัจ ๔ ข้อนี้คืออะไร อวิชชาคือความไม่รู้ของจริง คือ ไม่เห็นของแท้จริงในสังขารุเปกขา ทำให้เอาใจเข้ายึดครองทุกสิ่งทั้งหมดที่ใจได้รับรู้ ..ถึงแม้จะท่องจำอริยะสัจ ๔ ได้ขึ้นใจรู้หมดทั้งวิธีเจริญ แต่จิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ คือ ตราบที่จิตไม่เดินรอบ ๓ อาการ ๑๒ ก็ยังไม่รู้ของจริง ไม่ถึงวิชชาอยู่อย่างนั้น ได้มากสุดก็แค่สะสมเป็นบุญแก่ขันธ์ คือ สาสวะ

ทุกข์ คือ ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติตามนี้

มรรค คือ คือจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติด้วยประการดังนี้

นิโรธ คือ ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติดังนี้

ผมมีปัญญาน้อยก็กล่าวสาธยายธรรมนั้นให้กระชับสุดได้ดังนี้ครับ


คุณไปเอามาแต่ไหน :b1:



ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555
:b12: :b12: :b12:



อ้างคำพูด:
ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย


ดีเลยขอรับ นี่เขาเป็นอะไร แล้วจะทำยังไงจึงต่อไปได้


ช่วงหลังๆนี้มีอาการผิดปกติกับตัวเองค่ะ คือมีอาการขนลุกตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนนั่งสมาธิเป็นหนักมาก ขออนุญาต เล่าเป็นข้อๆดังนี้นะคะ

อาการที่เกิด
1.บ่อยครั้งขนลุกบริเวณขาซ้าย เป็นบ่อยค่ะอาการนี้ (เป็นมานาน)

2.อาการขนหัวลุก เสียวท้ายทอยมาก เริ่มมาเป็นช่วงหลังๆมานี่เองค่ะ เกิดชัดครั้งแรก ตอนไปร่วมพิธีไหว้ครูที่นึง เป็นพิธีใหญ่พอสมควร พอเริ่มพิธี เท่านั้นเองก็ขนหัวลุกซู่ ลุกจนเสียวต้นคอ และบริเวณท้ายทอยมาก พอซักพัก นั่งร้องไห้แบบไม่ทราบสาเหตุค่ะ ร้องแบบสะอึกสะอื้น งงตัวเองนะคะว่า ร้องไห้ทำไม อายก็อายค่ะ แต่ฝืนตัวเองไม่ได้เลย อยู่ในพิธี เป็นอยู่แบบนี้ ทั้งขนหัวลุกและร้องไห้ 3 - 4 รอบสลับกันไปจนจบพิธีอาการก็หายค่ะ นี่คือครั้งแรกค่ะ

แต่ที่จะถามต่อคือ มาช่วง นี้ 3-4 วัน ก่อนที่จะโพสถามนี่ อาการกลับมาค่ะ แต่หนักและถี่แรงกว่าปกติ คือเริ่มต้นจากอยู่ๆ ก็ขนลุกน้อยๆทั้งตัวบ้าง ขนลุกบริเวณขาซ้ายบ้าง เป็นอย่างงี้ทั้งวันค่ะ (ปกตินานๆทีแต่ครั้งนี้เป็นตลอดวัน)

แต่ที่หนักสุด พอมานั่งสมาธิ (ปกตินั่งสมาธิเกือบทุกวันไม่เคยมีอาการขนหัวลุกหรือเสียวต้นคอเลย) อยู่ๆคราวนี้พอเริ่มนั่งเริ่มกำหนด ไม่ถึงนาที อาการขนหัวลุก เสียวต้นคอ -ท้ายทอย มาหนักมาก กำหนดอย่างอื่นไม่ได้เลย เลยกำหนดไปที่อาการนี้ คือ ขนลุกหนอ เสียวท้ายทอยหนอ อยู่แบบนี้
พอหายซักพัก ก็ไปกำหนดท้องพองยุบ หรือกำหนดตามจิตเราที่ไปกระทบปกติ เดี๋ยวอาการขนหัวลุกก็มาแทรกอีก เป็นอย่างนี้สลับไป
สังเกตุตัวเองว่า หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาใช้ชีวิตปกติก็ขนลุกตลอดเวลา ทั้งวัน แต่ไม่แรง พอวันที่ 2 นั่งสมาธิใหม่ก็ขนหัวลุกอีก อาการจะแรงช่วงนั่งสมาธิค่ะ กังวลมาก ไม่รู้ไปทำไรผิดเข้ารึเปล่า ใครรู้ช่วยบอก หรือแก้อาการทีค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
บอกแต่ต้นแล้วว่า ตำส้มตำให้เสร็จ 1 ครก อร่อยดีถูกปากถูกใจคนกิน พลธรรมเข้าหมดแล้ว :b12:

เพลงส้มตำ

https://www.youtube.com/watch?v=5zyuLYNhPHg


ต่อไปเอาครกเอาสากเอาจานไปล้างเสร็จเรียบร้อยสะอาดดีไม่ตกแตก เอามาเก็บให้เรียบร้อย พลธรรมเข้าหมดอีกแล้ว อิอิ

เอาอินทรีย์ ๕ ด้วยก็ได้



.. การที่บอกว่าทำงานเสร็จ พละธรรมครบหมด โดยที่ไม่อาจจะบอกได้ว่า แต่ละอย่างคืออะไร เป็นแบบไหน ยังไง มันก็ไม่สามารถที่จะตอบคำถาม หรือชี้ได้ว่า พละธรรมคือะไร ถูกมั้ยครับ

.. ซึ่งผมถามท่านตั้งแต่แรกว่า ที่ท่านบอกทำเสร็จธรรมก็ครบหมด ที่ว่าทำเสร็จธรรมครบ คือ ทำยังไง ท่านก็ไม่ตอบไม่กล่าว ยกตัวอย่างบางคนทำไปผ่านๆให้จบให้เสร็จก็มีนะครับ อิอิ :b32: :b32: :b32:
.. หรือธรรมพระพุทธเจ้ามีมากมายบอกว่าไปนิพพานได้ก็จบ แล้วจะไปยังไงล่ะ ทำยังไงจึงไปนิพพาน บอกละสังโยชน์ แล้วจะละยังไง ละได้ก็ไปนิพพาน :b32: :b32: :b32:


.. ดังนั้นจึงต้องจำแนกให้เห็น ถ้าไม้สามารถจำแนกได้ แล้วบอกแค่ว่าทำเสร็จก็จบแล้ว หรือ..ทำให้ดี ให้เสร็จ อย่างไรที่ชื่อว่าดี อย่างไรที่ชื่อว่าเสร็จถูกต้อง ใช่มั้ยท่าน อิอิ :b29: :b29:

.. ทำไมต้องจำแนก การจำแนกธรรมให้ดูเป็นข้อๆของธรรมสังขารแต่ละตัวได้ มันก็เป็นตัวอย่างให้นำสืบต่อไปใช้ในเรื่องๆอื่นๆต่อไปได้ครอบคลุม

.. ความเป็นอินทรีย์ ๕ ไม่ใช่เป็นใหญ่นำโต่งเขาไม่มีใครใหญ่กว่ากลบเขาอย่างที่สอนตามๆกันมาตามตัวหนังสือเท่านั้น ..หากเข้ารู้ธรรมจริงแล้วจะรู้ทันทีว่า..จริงๆแล้ว ความเป็นอินทรีย์นี้ แต่ละตัวเขาจะมีเอกลักษณ์หน้าที่และการทำงานซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของเขา ที่ไม่มีตัวอื่นทำหน้าที่แทนได้ ..ดังนั้นก็จึงจำแนกไว้เป็นข้อๆกล่าวถึงหน้าที่ และวิธีแนวการเจริญปฏิบัติทำในแต่ละตัวได้

ส่วนผมจำแนกเป็นข้อๆได้ ตำส้มตำด้วยพละ ๕ นั้น

๑. ศรัทธา ก็ความเชื่อ เราเชื่อมั่นในรสชาติหลักที่ตนตำขาย
(ความเชื่อเป็นกำลังตัวน้อมนำให้เกิดการกระทำต่างๆถูกมั้ย)

๒. วิริยะ ก็ความเพียร มุ่งมั่นตำโขก ปรุงรส ใส่เครื่อง ให้ได้รสชาติและหน้าตาออกมาดี
(ความเพียรเป็นกำลังใจภายในประครองทำไปให้สำเร็จดีถูกมั้ย)

๓. สติ ก็มีความรู้ว่ากำลังตำอยู่ ลำดับการใส่เครื่องปรุง การตำ รู้ว่าใส่เครื่องปรุงเครื่องเคียงอะไรไปบ้าง กำลังตำอะไร ตำแซบ ตำนัว ตำซั่ว แบบไหน ยังไง
(ความระลึกได้เป็นกำลังให้รู้ในขณะนั้นๆและจดจำได้ว่าทำอะไรไปแล้วในการดำเนินงานต่างๆถูกไหม คือว่าตนกำลังทำอะไร ถึงไหนแล้ว เป็นไปอย่างไร )

๔. สมาธิ ก็ตั้งใจตำส้มตำ ให้ดี ไม่วอกแวก เมื่อไม่ผละวอกแวกหลุดจากการตำก็จะรู้เสมอๆว่าการตำส้มตำครกนี้เป็นอย่างไรบ้างมีอะไรใส่ไปในครกแล้ว
(ความตั้งมั่นเป็นกำลังให้เกิดความตั้งใจอยู่กับงานไม่ละเลยเห็นความเป็นไปตามจริงทุกขั้นตอนในงาน ทำให้เห็นการดำเนินงานในทุกขั้นทุกตอนตามจริง)

๕. ปัญญา ก็ดู สี รส เกินไหม ขาดอะไร แก้ไขรสชาติ หรือหน้าตายังไงให้น่าทาน และอร่อยลูกค้าถูกใจ
(ความรู้ความเข้าใจเป็นกำลังให้เรา รู้เห็นตามจริงถึงความเป็นเหตุ ปัจจัย ผล ข้อดี ข้อบกพร่อง สิ่งใดขาด สิ่งใดเกิน จะแก้ไขอย่างไร เพิ่มหรือลดสิ่งใด การได้ผลอย่างนี้เพราะอะไร เป็นความแจ้งแทงตลอดโดยแยบตาย)

:b32: :b32: :b32: ครบหมดแล้ว มันก็จะเกิดแนวทางทิศทางให้นำไปใช้สืบต่อในสิ่งอื่นๆได้อีก

ต่างกันไหมครับ..กับคำว่า.."ตำเสร็จก็พละธรรมครบแล้ว" พูดเท่านั้น ไม่อาจจะอธิบายเกินคำนั้นๆได้ ดังนั้นการจะกล่าวสิ่งใดเราต้องแจ้งและเจริญธรรมนั้นแล้วก่อน รู้ชัด จำแนก แจกแจง อธิบายได้ ซึ่งผมทำครบแล้วครับท่านกรัซกาย :b16: :b16: :b16:

-----------------------


คุณว่า นี่เขามีพลธรรมไหม ดูก่อนแล้วค่อยตอบ

https://www.facebook.com/10000810930913 ... 482697007/



ที่ท่านกรัซกายบอกว่า ตำส้มตำให้เสร็จ 1 ครก อร่อยดีถูกปากถูกใจคนกิน พลธรรมเข้าหมดแล้ว มันก็ถูกต้องดีแล้วครับ **เพียงแต่นั่นมันเป็นผลลัพธ์แล้ว ไม่ใช่เหตุปัจจัย ไม่ใช่ขั้นตอนการเจริญปฏิบัติ ถามว่าการจำแนกธรรมมันสำคัญด้วยหรือในสิ่งนี้..

- การจำแนก แนวทาง หน้าที่คุณลักษณะจำเพาะ ลำดับ ขั้นตอน วิธีปฏิบัติ ..จะถูกต้องตามจริงได้นั้น ต้องเกิดจากการรู้เห็นแจ้งชัดตามจริง ไม่ใช่คิดเอา ..เป็นสัมมาทิฏฐิ
- การจดจำ นึกถึงหลักการ หรือแนวทางนั้น แล้วนึกถึงเป็นลำดับการทำออกมา ..เป็นทัศนคติ แนวทางความคิด มีวิธีคิดนำไปสู่การกระทำปฏิบัติถูกต้อง ..เป็นสัมมาสังกัปปะ
- การพูดถึงรูปลักษณ์ที่ออกมาเสร็จสรรพนั้นแล้ว เป็นผล

- การกล่าวโดยพิศดารให้น่าค้นหาเหตุและวิธีทำให้ได้อย่างนั้น จะกล่าวแบบท่านกรัซกายพูดก็ไม่ผิด นั้นคือการพูดให้นึกเห็นภาพลักษณ์ในผลที่ออกมาจากการกระทำ
- แต่เมื่อเรากล่าวสิ่งใดได้โดยย่อ โดยพิศดาร เราก็ต้องสาธยายจำแนกได้ตามจริง เพื่อให้เข้าจริงตรงตามผลลัพธ์ที่เรากล่าวนั้น

..หากจะกล่าวว่าทำอย่างไรก็ได้ให้อร่อย ตรงนี้..ถ้าคนทำไม่มีหลักในการทำ ไม่มีความรู้ในขั้นตอนกรรมวิธีต่างๆ ไม่รู้ว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างให้ผลอย่างไร ใส่เพื่ออะไร มีวิธีใส่ตามลำดับยังไง, ก็จะไม่อาจแก้ได้ถูกจุดง่ายๆ ดังนั้นคนที่เป็นเชฟจึงมีเมนูวิธีการทำอาการต่างๆตามลำดับไงครับ เวลานั้นก็สามารถแก้ไขตามต้องการ รู้สัดส่วนวิธีทำตามเมนูทำอาหารนั้นๆ ทุกอย่าง

- เหมือนสมัยพุทธกาลพระที่เห็นศีลเยอะเกินทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าให้ถืออันเดียว คือ ให้ถือใจ โดยตรัสว่า หากศีลข้อห้ามเยอะเกิน เธอจงทำใจไว้เพียงอย่างเดียว โดยประครองใจไว้ไม่ให้ผิดศีลนั้น นี่เป็นเหตุใช่ไหม ครับ หรือเป็นผล หรือเป็นการทำที่มีหลักให้จับยึดได้ คำว่าประครองใจให้ก้าวล่วงศีล ศีลนี้คือหลักทั้งหมดที่เป็นตัวให้ใจประครองไม่ให้ผิดใช่ไหมครับ



กดดูยัง กายกรรมที่ให้ดูนั่น คุณคิดว่า เขามีพลธรรมไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

อ้างคำพูด:
ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555 :b12: :b12: :b12:



ความขี้เกียจเป็นภัยอย่างยิ่งครับ ความขี้เกียจนั้นจะขัดขวาง
กุศลละธรรม และลดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ หากความขี้เกียจนั้นเพิ่ม
ขึ้น เกิดขึ้นบ่อยๆ

:b8:



สาธุขอบคุณครับที่เตือนสติและแนะนำครับท่าน

:b8:

เปรียบเหมือนเรานั่งเรือพายที่รูรั่วใหญ่พอควร แล้วพาย
ไป น้ำก็ไหลเข้ารอยรั่วนั้น มาเรื่อยๆ หาเราไม่ขยันตักน้ำออก
ทิ้งเรือก็มิสามารถไปต่อได้
น้ำที่ไหลเข้ารอยรั่วนั้นเปรียบเหมือนความขี้เกียจ ที่คอยเข้า
มาครอบงำจิตใจเราตลอดเวลานั้นเอง

:b8:


เรือรั่วไปนั่งวิดน้ำก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี

วิธีแก้เรือรั่วของชาวตังเก คือ เขาจะนำเรือขึ้นคานแล้วยาเรือยาทั้งลำตามกรรมวิธี (ไม่รู้เคยเห็นป่าว) :b13: ก็หายรั่ว

ตย.เรือขึ้นคานแล้วซ่อม ก็เหมือนรถเสียนำเข้าอู่ เหมือนคนป่วยไปหาหมอ ไป รพ. :b32:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณว่า นี่เขามีพลธรรมไหม ดูก่อน

https://www.facebook.com/10000810930913 ... 482697007/[/quote]


https://www.facebook.com/vietfunnyvideo ... 622995266/

ให้ดูหลายๆตัวอย่าง ไม่ต้องพิมพ์มาก บอกมี ไม่มีแค่นั้นพอ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

อ้างคำพูด:
ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555 :b12: :b12: :b12:



ความขี้เกียจเป็นภัยอย่างยิ่งครับ ความขี้เกียจนั้นจะขัดขวาง
กุศลละธรรม และลดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ หากความขี้เกียจนั้นเพิ่ม
ขึ้น เกิดขึ้นบ่อยๆ

:b8:



สาธุขอบคุณครับที่เตือนสติและแนะนำครับท่าน

:b8:

เปรียบเหมือนเรานั่งเรือพายที่รูรั่วใหญ่พอควร แล้วพาย
ไป น้ำก็ไหลเข้ารอยรั่วนั้น มาเรื่อยๆ หาเราไม่ขยันตักน้ำออก
ทิ้งเรือก็มิสามารถไปต่อได้
น้ำที่ไหลเข้ารอยรั่วนั้นเปรียบเหมือนความขี้เกียจ ที่คอยเข้า
มาครอบงำจิตใจเราตลอดเวลานั้นเอง

:b8:



หันกลับไปดูอีกด้านหนึ่ง

หน้าที่ของไตรสิกขา

ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงออกมาภายนอก คือ ทางกาย วาจา

สมาธิ กำจัดกิเลสอย่างกลาง มี นิวรณ์ เป็นต้น

ปัญญา กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลส

รู้แค่นี้ก็พอได้ ขั้นต่อไปก็ไปฝึกฝนสมาธิปัญญาให้เกิดขึ้น เมื่อสมาธิปัญญาเกิดมีขึ้นแล้วมันก็ทำหน้าที่ของมัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 12:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับท่านกรัซกาย สิ่งที่ท่านกรัซกายพูดมา ผมขอแจ้งก่อนว่ามันคนละเรื่อง มันคนละอย่างกับที่ผมคุยกับท่านเจน่ะครับ แต่หากท่านเห็นว่าเรื่องสังขารผมมีปัญญาน้อย ถึงน้อย รู้น้อย ก็คงตอบตามที่ตนเคยพบเจอและแก้ไขได้แล้วตามนี้ครับ

เรื่องผู้หญิงที่ท่านยกมา ไม่ว่าจะปิติอาการไรๆ มันไม่ใช่การเห็นจริงในสังขาร มันแค่สภาวะของสมาธิ ..ทางแก้คือ ทำแค่รู้ดูอาการมันไป เมื่อเข้าถึงความวิเวกได้มันจะรวมเป็นองค์เดียวในสมาธิ แล้วรวมจิตไว้ที่ฐานจิต เช่น ท้องน้อย หน้าอก ปลายจมูก
.. คนเราผ่านจุดนี้ไม่ได้เพราะกลัว ดั้งนั้นให้ตั้งจิตมั่นทิ้งกายไปเสีย ภาวนาอบรมจิตเราทำที่ฝจไม่ใช่ทำที่กาย ทิ้งกายไปเสียตั้งมะ้นรวมไว้ที่ใจอย่างเดียว รวมจิตลงเป็นจุดเดียวไม่ได้ให้เปิดกว่าออก ระลึกว่าจิตเดิมแท้มีหน้าที่ทำแค่รู้ไม่ได้มีหน้าที้สั่งยึด แล้วเปิดใจปล่อยแผ่ขยายไปแค่รู้แต่ไม่จับ เอาความรู้เป็นเครื่องยึดสติให้ตั้งมั่น ทำอุบายว่าดจริญแบบนี้นี่เข้าวิญญาณกสินได้เลยนะ
..หรือ ทำอุบายระลึกรู้ว่าสิ่งที่เกิดมันเป็นปรกติของขันธ์ คนมีขันธ์ ๕ มันก็มีเป็นธรรมดา เรื่องปกติ แล้วก็ปล่อยมันไป สิ่งนี้เกิดขึ้นเราไม่ตายนะ แต่ไม่มีลมหายใจนี่ตายเลย รู้ลมดีกว่าปล่อยขันธ์มันไป ตราบที่ยังใีความรู้ทรงสภาพอยู่นั่นคือเรายังไม่ตาย
..หรือ เมื่อรู้ก็ทำแค่รู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็ปล่อยมันไปเพราะมันเป็นแค่อาการหนึ่งๆของกายกับจิตที่เกิดมีขึ้นตามเหตุปัจจัย ซึ่งมีอยู่นับล้านแบบเท่านั้นเอง ที่รู้ความเป็นตัวตนว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ มีสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นมันสมมติความคิดทั้งนั้น นี่ใจไปรู้สมมติตัวตนให้สมมติกิเลสนิวรชักนำทางสฬายตนะ ละสมมติความคิดไปก็จะเหลือเพียงจิตที่รู้แค่อาการ เมื่อใจนิ่งขึ้นก็จะไม่มีชื่อในอาการ ไม่มีอะไร มีแต่ใจทำแค่รู้ไม่เข้าไปจับจ้องผลักไสใคร่เสพย์ ก็จะผ่านไปได้ด้วยดี
.. การที่ไปจำจดจำจ้องพอมีสิ่งไรๆเกิดขึ้นแล้วไปจำบ้าง พยายามจะได้รู้บ้าง หรือตกใจในอาการ มันทำให้จิตตื่น เช่น..อาการ น้ำลายไหลยืดก็น้ำลายไหล สักพักเลอะแล้ว ซู๊ดกินคืน ..หรือขนลุกขนพองน้ำหูน้ำตาไหล, ตัวเบาหวิวเหมือนลอยได้, คันยุยยิบๆบ้าง, ขนลุกซู่ตามรูขุมขนบ้าง เมื่อจิตจำจดจำจ้องเพ่งเล็งจนจิตตื่นซึ่งไม่ใช่สติมีมาก นี่ทำให้หลุดสมาธิแล้ว พลาดของดีไปแล้ว ..แทนที่อาการที่เหมือนมีกำลังหรือเหมือนหนักแน่นมีสมาธิห้อหุ้มจิตไว้อยู่จะเดินต่อไปได้ ก็กลับหลุดเสีย เพราะใจไม่มีกำลังทานกิเลสให้ใจทำแค่รู้แล้วปล่อยมันไปได้

..ส่วนสิ่งที่ผมคุยกันกับท่านเจ คือ เข้าไปเดินสติปัฏฐานแล้ว จิตทำกิจแล้ว มันคนละอย่างกัน ถ้ายังอยู่แค่นั้นก็เป็นแค่การสะสมบารมีแก่ขันธ์ ได้ไม่เกินอุปจาระสมาธิ ถ้าเป็นฌาณความหวั่นไหวไม่มีแล้วมะนรู้แล้วเฉยองค์ธรรมอื่นรวมเป็นหนึ่งเข้าเอกัคคตา

ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคที่ท่านกรัซกายกล่าวนี้ดีครับ เป็นแบบสาสวะที่เป็นเหตุสะสมบารมี แต่ว่ายังไม่ใช่องค์มรรคที่สามัคคีกัน มรรคยังแยกกันอยู่
แต่สิ่งที่ผมคุยกับท่านเจคือ ผลที่เกิดจากองค์มรรคแท้สามัคคีกันเกิดขั้นครับ เข้ามรรคญาณ เข้าปัญญาญาณน่ะครับ

ส่วนถามว่าใครถึงใครไม่ถึง ผมไม่มีสิทธิ์ไปพยากรณ์ใครครับ คนไหนเห็นได้แค่ไหนอยู่ที่คนนั้นทำมามากแค่แค่ไหน คนเราไม่เท่ากัน
.. บางคนให้รู้ท่องจบพระไตรแต่ไม่เคยปฏิบัติจรองจังติดคิดอยู่นึกตามอยู่ก็ไม่ไปไหน รู้ได้แต่ความคิด
.. บางคนไม่เคยอ่านอะไร รู้แค่พุทโธ กลับบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งได้ก็มี

ซึ่งใครจะได้มากเราก็เรียนรู้กับเขา ส่วนใครได้น้อยเราก็แบ่งปันเท่าที่จะทำได้ เพราะทั้งสองสิ่งไม่ใช่เราได้ เราทำเราได้ จะมากหรือน้อยเราก็เป็นคนได้ มันเป็นของเรา การเอาของเขามาพูดมันก็ไม่ใช่ของเราได้ แต่เป็นของเขา เขาได้

การคุยธรรมต้องคุยแบบทางธรรม อย่าเอาความเป็นโลกมาถมธรรม มันก็จะเปิดความรู้ที่เพิ่มขึ้นครับ อย่างบอกว่าตนรู้ธรรมแต่แสดงแต่ความเป็นโลกออกมามันขัดกันมาก ดังนี้จะว่าตนเห็นธรรมได้อย่างไร

- สิ่งที่เป็นโลกคือ ทำด้วยใจ รัก โลภ โกรธ หลง
- สิ่งที่เป็นทำธรรมคือ ทำด้วยใจผ่องใส เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน เว้นจากความเบียดเบียน

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 31 ม.ค. 2019, 15:08, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 12:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

อ้างคำพูด:
ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555 :b12: :b12: :b12:



ความขี้เกียจเป็นภัยอย่างยิ่งครับ ความขี้เกียจนั้นจะขัดขวาง
กุศลละธรรม และลดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ หากความขี้เกียจนั้นเพิ่ม
ขึ้น เกิดขึ้นบ่อยๆ

:b8:



สาธุขอบคุณครับที่เตือนสติและแนะนำครับท่าน

:b8:

เปรียบเหมือนเรานั่งเรือพายที่รูรั่วใหญ่พอควร แล้วพาย
ไป น้ำก็ไหลเข้ารอยรั่วนั้น มาเรื่อยๆ หาเราไม่ขยันตักน้ำออก
ทิ้งเรือก็มิสามารถไปต่อได้
น้ำที่ไหลเข้ารอยรั่วนั้นเปรียบเหมือนความขี้เกียจ ที่คอยเข้า
มาครอบงำจิตใจเราตลอดเวลานั้นเอง

:b8:



สาธุครับท่านทริปเปิ้ลเอส คือ ผมมีงานต้องทำอะครับ ไม่ได้มีเวลามานั่งพิมพ์ขนาดนั้นอะครับ ดังนั้นเมื่อผมมีเวลาพิมพ์จึงใักจะเขียนไว้ให้ครบพร้อใต่อหลายๆคำถามไว้อะครับ เลยยาวไปบ้างเยอะบ้าง เพราะจไม่มีเวลาว่างตลอด แต่ผมก็ไม่ว่าจากสติและลมหายใจนะครับ 555

แล้วก็บางครั้ง บางอย่างมันต้องคุยจำเพาะคนที่ปฏิบัติผ่านมาแล้วหรือได้เห็นแล้ว หรือคนที่ใฝ่รู้แสวงหาทางเข้าถึงจริงเท่านั้น จึงจะเข้าใจครับ แล้วคุยต่อไปได้ให้ต่างฝ่ายเกิดปัญญายิ่งๆขึ้นครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

อ้างคำพูด:
ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555 :b12: :b12: :b12:



ความขี้เกียจเป็นภัยอย่างยิ่งครับ ความขี้เกียจนั้นจะขัดขวาง
กุศลละธรรม และลดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ หากความขี้เกียจนั้นเพิ่ม
ขึ้น เกิดขึ้นบ่อยๆ

:b8:



สาธุขอบคุณครับที่เตือนสติและแนะนำครับท่าน

:b8:

เปรียบเหมือนเรานั่งเรือพายที่รูรั่วใหญ่พอควร แล้วพาย
ไป น้ำก็ไหลเข้ารอยรั่วนั้น มาเรื่อยๆ หาเราไม่ขยันตักน้ำออก
ทิ้งเรือก็มิสามารถไปต่อได้
น้ำที่ไหลเข้ารอยรั่วนั้นเปรียบเหมือนความขี้เกียจ ที่คอยเข้า
มาครอบงำจิตใจเราตลอดเวลานั้นเอง

:b8:



สาธุครับท่านทริปเปิ้ลเอส คือ ผมมีงานต้องทำอะครับ ไม่ได้มีเวลามานั่งพิมพ์ขนาดนั้นอะครับ ดังนั้นเมื่อผมมีเวลาพิมพ์จึงใักจะเขียนไว้ให้ครบพร้อใต่อหลายๆคำถามไว้อะครับ เลยยาวไปบ้างเยอะบ้าง เพราะจไม่มีเวลาว่างตลอด แต่ผมก็ไม่ว่าจากสติและลมหายใจนะครับ 555

แล้วก็บางครั้ง บางอย่างมันต้องคุยจำเพาะคนที่ปฏิบัติผ่านมาแล้วหรือได้เห็นแล้ว หรือคนที่ใฝ่รู้แสวงหาทางเข้าถึงจริงเท่านั้น จึงจะเข้าใจครับ แล้วคุยต่อไปได้ให้ต่างฝ่ายเกิดปัญญายิ่งๆขึ้นครับ

:b8:

สาธุครับ รีบจริงๆด้วยดูพิมพ์ผิดหลายตัวเลย

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 15:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

อ้างคำพูด:
ผลของการปฏิบัติครับท่านกรัซกาย คนปฏิบัติทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจที่ผมกล่าวตามนี้อะครับท่าน มันไม่เหมือนใคร ไม่มีในตำราใช่ไหมครับ (ถ้ามีก็ดีนะแสดงว่าผมทำถูกต้องแจ้งชัดดีแล้ว :b32: :b32: :b32: )
- ผมไม่ขยายความอีกนะครับ.. ผมขี้เกียจพิมพ์ตอบ 555 :b12: :b12: :b12:



ความขี้เกียจเป็นภัยอย่างยิ่งครับ ความขี้เกียจนั้นจะขัดขวาง
กุศลละธรรม และลดให้น้อยลงไปเรื่อยๆ หากความขี้เกียจนั้นเพิ่ม
ขึ้น เกิดขึ้นบ่อยๆ

:b8:



สาธุขอบคุณครับที่เตือนสติและแนะนำครับท่าน

:b8:

เปรียบเหมือนเรานั่งเรือพายที่รูรั่วใหญ่พอควร แล้วพาย
ไป น้ำก็ไหลเข้ารอยรั่วนั้น มาเรื่อยๆ หาเราไม่ขยันตักน้ำออก
ทิ้งเรือก็มิสามารถไปต่อได้
น้ำที่ไหลเข้ารอยรั่วนั้นเปรียบเหมือนความขี้เกียจ ที่คอยเข้า
มาครอบงำจิตใจเราตลอดเวลานั้นเอง

:b8:



สาธุครับท่านทริปเปิ้ลเอส คือ ผมมีงานต้องทำอะครับ ไม่ได้มีเวลามานั่งพิมพ์ขนาดนั้นอะครับ ดังนั้นเมื่อผมมีเวลาพิมพ์จึงใักจะเขียนไว้ให้ครบพร้อใต่อหลายๆคำถามไว้อะครับ เลยยาวไปบ้างเยอะบ้าง เพราะจไม่มีเวลาว่างตลอด แต่ผมก็ไม่ว่าจากสติและลมหายใจนะครับ 555

แล้วก็บางครั้ง บางอย่างมันต้องคุยจำเพาะคนที่ปฏิบัติผ่านมาแล้วหรือได้เห็นแล้ว หรือคนที่ใฝ่รู้แสวงหาทางเข้าถึงจริงเท่านั้น จึงจะเข้าใจครับ แล้วคุยต่อไปได้ให้ต่างฝ่ายเกิดปัญญายิ่งๆขึ้นครับ

:b8:

สาธุครับ รีบจริงๆด้วยดูพิมพ์ผิดหลายตัวเลย

:b8:


ครับ..ดังนั้นหลายๆกระทู้ผมจึงพิมพ์ตอบไปก่อน พอว่างแล้วจึงมาอ่านแก้คำผิด และเนื้อความที่ตกหล่นภายหลัง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในเนื้อหาที่ผมพิมพ์กันด้วยครับ สิ่งที่ผมไม่รู้ ไม่ถึง นั้นมีอีกมากก ..การจะรู้ได้ไม่สิ้นสุดคือใฝ่รู้ ผมเป็นคนโง่จึงมักจะกล่าวแนะนำคนอื่นใช้ปัญญา ใฝ่รู้ และผมก็ได้สอนตัวเองไปด้วย นั้นเพราะผมไม่อยากให้เป็นอย่างผมน่ะครับ ความโง่นี้มันทุกข์นะ ผิดพลาดก็เพราะโง่ หลงก็เพราะโง่ ทำชั่วเพราะอวดความโง่ตนหลงว่าเป็นความฉลาด ความฉิบหายมีมากกว่าได้สูงอย่างไม่มีประมาณ ดังนั้นสิ่งใดเป็นปัญญาแม้น้อยนิดเป็นบุญบารมีธรรมใดผมจะกล่าวสิ่งนั้นครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 16:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ผู้ใดศิลมีธรรมประจำใจ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
... ศึกษาเล่าเรียนแม่นยำ ทรงจำสัทธรรมขึ้นใจ
ผู้นั้นแกล้วกล้าสามารถ ปราศจากความกลัวเวรภัย
... ปัญญาคล่องแคล่วว่องไว ดำรงชีพได้อย่างดี

คุณแค่อากาศ สาธยาธรรม บทที่ว่า
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)
ให้ผมฟังเพิ่มอีกหน่อยได้มั้ยครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ


จิตรู้สมมติเป็น สมุทัย มีหลายระดับครับ

- ขั้นต้นพื้นฐานเลย คือ..ไม่รู้ปัจจุบัน เป็นกิริยาที่จิตติดหลงอยู่กับสมมติความคิดที่เกิดจากกิเลสในใจปรุงแต่งเรื่องราวความรู้สึกสร้างขึ้นมา จากความสำคัญมั่นหมายของใจไว้ต่ออารมณ์ต่างๆที่รับรู้ จากสิ่งที่ผ่านมาแล้วบ้าง จากสิ่งยังไม่เกิดขึ้นบ้าง

- ขั้นกลาง คือ..ไม่เห็นของจริงแท้ เป็นกิริยาที่จิตรับรู้เพียงความจำได้หมายรู้ เป็นตัวตน บุคคล สิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่เข้าไปเห็นของจริงในความเป็นสิ่งนั้นๆ กล่าวคือ จิตไม่เดินในสติปัฏฐาน ๔ จนรู้เห็นจริงในสิ่งนั้นๆ เช่น คนศึกษาธรรมโดยมากทุกคนรู้หมดสติปัฏฐาน ๔ รู้อภิธรรมจำได้หมด รู้รูป รู้นาม ท่องจำขึ้นใจรู้หมดมีอะไรบ้าง รู้วิธีเจริญ แต่ยังสะสมเหตุไม่พอให้จิตเดินในมหาสติปัฏฐานจนเกิดรู้เห็นของจริง เช่น กายนี้ไม่ว่าส่วนใดก็ไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่มีตัวตนบุคคลใดในนั้น แค่ธาตุที่มีทั่วไปกอปรกันขึ้นให้ใจเข้ายึดครองอาศัยชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยน เสื่อม พัง, ไม่เห็นจริงในกามคุณ ๕ ความรู้สึกของปลอมที่เนื่องด้วยอายตนะ ๕ สืบต่อสมมติมาให้ใจรู้ แล้วหลงยึดว่าเป็นสุขหรือทุกข์ทั้งๆที่แท้จริงแล้วความรู้สึกนั้นไม่ได้เนื่องด้วยใจแท้จริง, สิ่งที่ปรุงแต่งให้ใจรู้เป็นแค่ธัมมารมณ์ภายนอก, ไม่เห็นไตรลักษณ์ของแท้จริงที่ไม่ใช่การท่องจำ หรือตรึกนึกคิดตามเอา

- ขั้นสุด คือ..ความไม่รู้อริยะสัจ ๔ ข้อนี้คืออะไร อวิชชาคือความไม่รู้ของจริง คือ ไม่เห็นของแท้จริงในสังขารุเปกขา ทำให้เอาใจเข้ายึดครองทุกสิ่งทั้งหมดที่ใจได้รับรู้ ..ถึงแม้จะท่องจำอริยะสัจ ๔ ได้ขึ้นใจรู้หมดทั้งวิธีเจริญ แต่จิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ คือ ตราบที่จิตไม่เดินรอบ ๓ อาการ ๑๒ ก็ยังไม่รู้ของจริง ไม่ถึงวิชชาอยู่อย่างนั้น ได้มากสุดก็แค่สะสมเป็นบุญแก่ขันธ์ คือ สาสวะ

ทุกข์ คือ ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติตามนี้

มรรค คือ คือจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติด้วยประการดังนี้

นิโรธ คือ ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติดังนี้

ผมมีปัญญาน้อยก็กล่าวสาธยายธรรมนั้นให้กระชับสุดได้ดังนี้ครับ


ลองฟัง คห. ผมบ้างนะครับ
จิตรู้สมมุติ เป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัย และ ฝ่ายมรรค

ฝ่ายสมุทัย คือ จิตรู้สมมุติ อโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ยินร้าย เช่นรูปสวย รูปทราบ รสอร่อย รสไม่อร่อย

ฝ่ายมรรค คือ จิตรู้สมมุติ โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในโดยแยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติเช่น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

จิตไม่รู้ทุกข์ เป็นทุกขสัจ
จิตไม่กำหนดรู้ทุกข์ เป็นสมุทัยสัจ
จิตรู้แจ้งแทงตลอดทุกข์ เป็นนิโรธสัจ
จิตกำหนดรู้ทุกข์ เป็นมรรคสัจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร