วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 15:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2020, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"..ไหนๆ เราก็หายใจอยู่แล้ว
ให้เอาสติกำกับจิตให้จดจ่อกับลมหายใจ.."

หลวงปู่เจม จิรธมฺโม
สำนักสงฆ์ห้วยลึก จังหวัดบุรีรัมย์







...”หนังสือทางปฏิบัติจริงๆหาอ่านยาก”
หนังสือของนักปฏิบัติกับหนังสือ
ของนักศึกษาไม่เหมือนกัน

..อ่านหนังสือของนักศึกษาแล้วปวดหัว
เพราะเขียนให้จำ.. ไม่เขียนให้เข้าใจ

...ถ้าเขียนโดยนักปฏิบัติ
“เวลาอ่านจะเหมือนกับฟังธรรม”

...อ่านไปแล้วจิตจะสงบไปด้วย
ถ้าพิจารณาตาม ก็จะ
“เกิดความเข้าใจ เกิดปัญญา”

...ไม่ต้องจำ ..พอเข้าใจแล้ว
ก็จะอยู่ในใจไปตลอด.
...................................
.
จุลธรรมนำใจ10 กัณฑ์369
ธรรมะบนเขา 30/7/2550
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










"..อยู่กับโลกไม่ติดโลก
อยู่กับขันธ์ไม่ติดขันธ์
ก็คืออยู่กับร่างกาย
ไม่ติดร่างกายนั้นเอง.."

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป









#ชำระศีลห้าของตนให้บริสุทธิ์

"ทางตานี่ก็เป็นศีลประเภทหนึ่ง ทางหูก็เป็นศีลประเภทหนึ่ง นำความผิดออกจากตา ออกจากหู ออกจากจมูก ออกจากลิ้น ออกจากกาย ทั้งสี่ ทั้งห้านี้แหละ

ศีลทั้งห้าก็อันนี้แหละ นำความผิด ความยินดียินร้ายออกจากจิตใจของตนให้บริสุทธิ์หมดจด ทำให้เป็นไป จะเอาพุทโธเป็นบริกรรมก็เอา หรือจะเอาธัมโมเป็นบริกรรม เป็นมรรคภาวนาก็ได้ เคยทำกันมาแล้วกระมัง

ครั้นได้พุทโธ พุทโธ นี้เป็นอารมณ์ของจิตใจอยู่เป็นนิจ เวลาเอาเข้าหนักเข้า หนักเข้า ลมมันก็สงบได้เหมือนกัน แต่รักษาไว้อย่าให้เป็นธรรมเมา พุทโธ พุทโธ นี่นะ พุทโธ พุทโธ กลายเป็นธรรมเมา ธัมโม ธัมโม มันไม่เป็นธัมโม มันกลายเป็นธรรมเมาไปเสีย สังโฆ สังโฆ พวกนี้เป็นอารมณ์ของใจ ให้ดิ่งอยู่เป็นอันหนึ่ง นาน ๆ เข้าจิตใจก็สงบลงเป็นสมาธิได้เหมือนกันนั่นละ

รักษาธรรมเมานี้ไม่ให้เกิด อดีตธรรมเมา อนาคตธรรมเมา อดีตที่ล่วงแล้วมันนำมาหเป็นธรรมเมา อนาคตยังไม่มาถึงก็เป็นธรรมเมา ถ้าจิตดิ่งอยู่ปัจจุบันมันจึงเป็นธัมโม อดีต อนาคตเป็นธรรมเมาแล้วจงรักษาดี ๆ มีสองอย่างเท่านั้นแหละ มันเป็นธรรมเมา นอกจากจิตดิ่งอยู่ปัจจุบันนี่เป็นธัมโม มันไม่หมุนตามสังขาร มาหมุนตามสมมติ แล้วมันก็ใช้ได้

นี่ก็พิจารณา จะเอาพุทโธเป็นมรรคก็ได้ มรรคภาวนาหรือจะเอากายเป็นมรรค พิจารณากาย สังขาร นาม รูป อันนี้ใช้ชำนิชำนาญบุราณท่าน หรือสมัยนี้ก็เหมือนกัน กุลบุตรทั้งหลายที่มาบวชบรรพชาเพศ อุปัชฌาย์ท่านสอน

กายนี่แหละเป็นมรรค เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา อนุโลม ปฏิโลม ทั้งเบื้องบนพิจารณาแต่เล็บเท้าขึ้นมาถึงปลายผม เบื้องต่ำพิจารณาตั้งแต่ปลายผมถึงเล็บเท้า นี่แหละเป็นมรรค เอากายเป็นมรรค

ต่อเมื่อใดวางหมดแล้ว ไม่ยึดรูปธรรม นามธรรมเป็นตนเป็นตัว สัญญาก็สงบลง สังขาร ความปรุงแต่ง ความเกิด ความดับ โทษ ทุกข์ ภัย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดับลง วิญญาณ ความรู้ รู้ดี รู้ชั่ว รู้บุญ รู้บาป รู้ผิด รู้ถูก ก็ดับลงหมด แล้วมันก็จิตสงบลงได้.. "

#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ











วิจิกิจฉา

เรื่องสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คลายความสงสัยแล้วหรือยัง ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์

นี่หมายความว่าถ้าเราเกิดมาแล้วเรายึดถือว่าร่างกายมันเป็นเรา เป็นของเรา หรือเมื่อถึงเวลาความแก่มันเข้ามาถึงเราก็หนักใจ เพราะนี่มันแก่เสียแล้วหรือเนี่ย แย่สิ เราทำอะไรมันก็ไม่ไหว นี่เรียกว่าเรามี อุปาทานขันธ์ ยึดมั่นในร่างกายเกินไป นี่พอเราป่วยขึ้นมาก็ เกรงไปว่า

นี่ถ้าเราตายเสียแล้ว ลูกก็ดี หลานก็ดี เหลนก็ดี นี่มันจะทำยังไงกัน ทรัพย์สินทั้งหลายก็มีไม่พอใช้ไม่พอกิน อารมณ์นอกคอกอย่างนี้ยังมีสำหรับท่านหรือไม่ ถ้ากฎของกรรมอันใดมันเกิดขึ้นกับท่าน คือทำให้เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ อย่างนี้จิตใจของท่านยอมรับนับถือกฎของกรรมหรือเปล่า จะไปนั่งบนเจ้าบนเทวดา บนผีสางนางไม้ที่ไหนก็ตาม ขออย่าให้แก่ ขออย่าให้ป่วย ขออย่าให้มีอาการขัดข้อง ขออย่าให้จน ขอให้อยู่เป็นปกติ จิตอย่างนี้ของท่านมีหรือเปล่า ถ้ายังมีอยู่มันก็ยังใช้ไม่ได้

เป็นอันว่าตั้งหน้าตั้งตาจับอารมณ์พระโสดาบันเสียให้ได้จะได้พ้นทุกข์ เพราะการเป็นพระโสดาบันนี่เราบรรเทาการเกิด เรายังไม่ได้งดเกิด เพราะว่าถ้าเราไม่บรรเทาเสียแล้ว เราก็ต้องเกิดนับชาติไม่ถ้วน คือ ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย การเกิดแต่ละชาติมันเป็นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น นี่มาคุยกันตอนเช้า ๆ เพราะอารมณ์ของท่านยังดี แต่ว่าเสียงคนพูดสิมันไม่ดี มันเป็นไข้หวัด ช่างมันนะ ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา พอพูดกันเสียงไม่เพราะไม่เป็นไร เอารู้เรื่องก็แล้วกัน

หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระวัดท่าซุง
ตัดตอนบางส่วนจากธรรมบทเรื่องสักกายทิฏฐิ










#กว่าจะรู้ตัว

ถ้ามาเกิดอีก กว่าจะรู้ตัว กว่าจะรู้เดียงสา มันกินเวลาไปกี่เดือน กี่ปี มาเสียเวลาอยู่ในครรภ์มารดาอีก ๙ เดือน ๑๐ เดือน กว่าจะคลอดออกมา พอคลอดออกมาแล้ว กว่าจะนึกจะคิดได้ก็ ๑๕ – ๑๖ ปี และกว่าจะมีผู้มาชี้มาแนะบอกทางให้ กว่าจะมีผู้มาสอน และสอนแล้วกว่าตัวเองจะรับได้ และกว่าจะมาตั้งใจเจริญเมตตาภาวนาอีก มันเสียเวลาไปเท่าไร
เพราะฉะนั้น เมื่อเวลารู้เนื้อรู้ตัวแล้ว ก็รีบกระทำบำเพ็ญ ถ้ามันเป็นไปได้ ก็ให้มันเป็นในชาติปัจจุบันนี้ล่ะ มันดีที่สุดแล้ว ให้มันผ่านให้มันพ้นไปจากความทุกข์ ความเจ็บ ความปวด ความเกิด ความตายนี่ล่ะ ให้มันผ่านมันพ้นพวกนี้ไป

โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่บุญมา คัมภีรธมฺโม
วัดป่าสีห์พนมประชาคม ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร












ขอให้พากันบำรุงรักษาวาสนาของตน
ด้วยการประพฤติคุณงามความดีเข้าสู่ตัวเสมอ

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร