วันเวลาปัจจุบัน 11 พ.ย. 2024, 02:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2020, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5168


 ข้อมูลส่วนตัว


... การเกิดเป็นมนุษย์
ได้มาเจอพระพุทธศาสนาในชาตินี้
“ต้องถือว่าเป็นโชควาสนา”
เป็นโอกาสที่ดีมาก จะไม่มีอีกอย่างง่ายๆ

.
เพราะการเกิดเป็นมนุษย์แต่ละครั้ง
ก็ไม่ใช่ของง่าย ตายไปแล้ว
ยากที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ถ้าไม่ได้บำเพ็ญบุญบารมีไว้

.
ถึงแม้จะได้บำเพ็ญบุญบารมี
บางทีก็ไปเกิดเป็นเทวดาเสียก่อน
ก็อาจจะหมดเวลาไปอีกหลายพันปี
กว่าจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
“พระพุทธศาสนาก็หายไปจากโลกแล้ว”.
.......................................

กำลังใจ 30 กัณฑ์ที่ 300
ธรรมะบนเขา 6/4/2550
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








ให้พิจารณาเรื่องกามกิเลส
ชนะอันนี้ได้.. ชนะหมด
ไม่ชนะอันนี้.. อย่ามาคุย
คุยได้ก็ไม่รู้เรื่อง
นี่แหละสุดยอดแห่งกรรมฐาน
มนุษย์สร้างภพสร้างชาติก็ตัวนี้แหละ
ไม่พิจารณาตัวนี้.. จะไปพิจารณาอะไร

หลวงปู่เจี๊ยะ​ จุนโท








"อารมณ์ภายนอกต่างๆ ที่เราเก็บมายึดถือไว้
ก็เปรียบเหมือนเรา เอาหาบของหนักๆ มาวางไว้บนบ่า
ถ้าเราปลดปล่อยเสียได้ ก็เท่ากับเราวางหาบนั้นลง"

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร








"ธรรมดามันก็โง่ทุกคนนั่นล่ะ
ถ้ารู้จักตัวเองว่าโง่นั่นล่ะ ถึงจะฉลาด"

หลวงปู่ลี กุสลธโร







"ความรู้สึกชอบ กับความรู้สึกชังนี้
ตามความหมายอันแท้จริงของทางธรรมแล้ว
ท่านถือว่าเป็นความทุกข์เท่ากัน"

ท่านพุทธทาสภิกขุ








"คนเรานี่ เวลามีภัยคุกคามมีทุกข์บีบคั้น
ก็ลุกขึ้น ดิ้นรนขวนขวาย พอสุขสบายก็นอนต่อไป

พระพุทธศาสนา ก็จึงต้องย้ำด้วยความไม่ประมาท
เพราะว่าเมื่อสบายแล้ว คนโน้มเอียงจะประมาท

ใครทั้งๆ ที่สุขสบาย ก็ไม่ประมาทได้
ก็คนนั้นแหละ เป็นคนที่ปฏิบัติธรรมได้ผล"

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ประยุตโต)









#ไปที่ไหนทุกวันนี้_มักจะเทศน์ทางภาวนา

เพราะความสงสาร อยากให้ตั้งหลักตั้งเกณฑ์ไว้ในจุดภาวนา ถึงจะไม่ได้ความแปลกประหลาดอัศจรรย์

#การภาวนานี้_มีอานิสงส์มากยิ่งกว่าการสร้างบุญทั้งหลายนะ

จะได้สร้างสมบุญตลอด จะรู้เห็นอะไร ไม่เห็นอะไรก็ตาม ส่วนบุญกุศลเกิดขึ้นจากการภาวนา เป็นฐานรากสำคัญ และมีอานิสงส์มากด้วย

#จึงขอให้พากัน_ตั้งอกตั้งใจ_ทำภาวนา

บำรุงลำต้นให้ดี กิ่งก้านสาขา ดอกใบ จะแตกกระจายออกไป

#ท่านอาจารย์พระมหาบัว #ญาณสัมปันโน คัดจากหนังสือ จิตตภาวนา ๒๕๕๒ : หน้า ๕๐










#ท่านพ่อลี_สอนว่า

บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนเม็ดน้ำฝนที่ตกลงมา ใครจะด่าว่า หรือทำร้าย ก็ไม่โกรธทั้งสิ้น เรียกว่า เจริญภาวนาให้ใจบริสุทธิ์สมบูรณ์

#บำเพ็ญทาน
เปรียญเหมือนกินข้าว

#บำเพ็ญศีล
เหมือนกับกินของหวาน

#บำเพ็ญภาวนา
เหมือนกับกินน้ำ

อาหารของเรา จึงจะซึบซาบร่างกายทุกส่วน สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ บ้าง ฟังธรรมบ้าง เราทำนาทำสวนนั้น ต่างกันกับกินข้าว

#การเจริญภาวนา_เรียกว่า_เก็บบุญมากิน

ถ้าเราไม่เก็บ มันก็จะเน่าเสียหมด กินทันก็สำเร็จประโยชน์แก่ร่างกาย กินไม่ทันก็ต้องเสียไป ถ้าไม่กลืนเข้าในหัวอกหัวใจมันก็ไม่อิ่ม

#ตา
ได้เห็นครูอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์

#หู
ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม

#จมูก
ได้กลิ่นธูปเทียนดอกไม้

#ปาก
ได้สวดมนต์

#ใจ
ได้เจริญเมตตาภาวนา

#ทำอย่างนี้
บุญก็จะไหล_เข้าถึงดวงจิตดวงใจ

#ท่านพ่อลี #ธัมมธโร












#บุญกุศลนี้แหละ_จะเป็นสมบัติ_ที่เราจะใช้หนี้เวรกรรม_ทั้งหลายได้

คนเราที่เกิดมานี้_ทุกคนย่อมมีหนี้เวรกรรม_อยู่ในโลกมากมายนัก คือ _

๑.-
#เป็นหนี้_บิดามารดา
ที่เอาเลือดเนื้อของท่านมาใช้

๒.-
#เป็นหนี้สัตว์
สิ่งที่บริโภคเลือดเนื้อของเขาเข้าไปตั้งแต่เล็กจนโตมานี้

เรากินกุ้ง หมู ปู ปลา เป็ด ไก่ ควาย วัว เข้าไปเท่าไร ถ้าคิดถึงพวกกุ้งพวกปลาแล้วก็นับกันเป็นเข่งๆ ทีเดียว ถ้าคิดถึงเป็ดไก่แล้ว ก็นับกันเป็นเล้าๆ หมูก็นับเป็นสิบๆ ตัวขึ้นไป

ทั้งนี้ก็โดยซื้อหา จากการกระทำอันเป็นบาปของผู้อื่นบ้าง บางทีก็เป็นด้วยการกระทำของตนเอง โดยจงใจหาเขามากิน

ซึ่งทั้งนี้ ก็ล้วนเป็นหนี้เวรกรรมเขาอยู่ทั้งนั้น เพราะสัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่มีตัวใดยินดีที่จะให้ชีวิตของตนแก่ใคร ด้วยความเต็มใจเลย ล้วนแต่ถูกบังคับข่มเหงใจให้มาเป็นอาหารทั้งนั้น

แล้วเมื่อเรากินเลือดเนื้อของเขาเข้าไปแล้ว ก็ยังมาตู่ว่าเป็นเลือดเนื้อของเราเสียอีก แท้จริงก็ล้วนแต่เป็นเลือดเนื้อของผู้อื่นทั้งสิ้น

#ดังนี้_จึงเรียกว่า_เราเป็นหนี้เขาอยู่

และถ้าเราไม่สร้างความดีไว้ใช้หนี้เหล่านี้แล้ว พอคับขันสิ้นท่านอนหายใจครอกๆ ตาหลับไม่ลืม ลืมไม่หลับเมื่อไหร่ นั่นแหละเขาจะพากันมาทวงหนี้ของเขาละ

คนเราเวลาที่มีสมบัติตึกรามบ้านเรือนดีๆ อยู่ เจ้าหนี้เขาก็ไม่ค่อยจะสนใจ แต่เขาก็มาคอยเก็บดอกเบี้ยอยู่เรื่อยๆ ได้แก่ การเจ็บป่วยเป็นนั่นเป็นนี่ อะไรต่ออะไรต่างๆ ซึ่งเขาก็ยังพอผ่อนผันให้เราบ้าง ยังไม่เรียกต้นคืนทั้งหมดทีเดียว

แต่ถ้าเขาเห็นเราย่อยยับอับจน จะหมดเนื้อหมดตัวไปเมื่อไร นั่นแหละเขาจะรุมกันมาฟ้องร้องเรียกทรัพย์สินของเขาคืนทันที

คราวนี้ ถ้าเรามีโคตรเพชรเม็ดใหญ่ คือบุญกุศลแล้ว เราจะต้องกลัวอะไร ก็จับก้อนเพชร โยนทุ่มหัวมันลงไปเลย เจ้าหนี้ต่างๆ ก็จะต้องหายเงียบไม่มีเสียง

#การที่เราสะสมบุญกุศลไว้ให้มากๆ

เมื่อถึงเวลาเจ็บไข้ เราก็จะได้ต่อสู้กับความทุกขเวทนาได้ หรือเวลาจะตายเราก็จะไม่ต้องทุรนทุราย นอนหลับตาตายอย่างสบายเป็นสุข และเมื่อตายแล้วเราก็จะต้องได้ชาติภพที่ดีเป็นที่ไป ไม่ต้องไปเสวยทุกข์ยากอยู่ในอบาย

#เหตุนั้น_บุญกุศลนี้แหละ_จึงเป็นสมบัติ_ที่เราจะใช้หนี้เวรกรรม_ทั้งหลายได้

#ท่านพ่อลี #ธมฺมธโร #วัดอโศการาม











#สมมติบัญญัติทั้งหลาย_เกิดจากจิตจากใจ_ของเราทั้งนั้น

ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดจากจิตจากใจของเรา คำว่า ต้นไม้ ก็เกิดจากจิตจากใจของเรา ถ้าหากว่าจิตใจของเรา ไม่ไปว่า ต้นไม้ เขาก็เป็นธรรมชาติสิ่งหนึ่งต่างหาก เขาไม่เคยบอก เขาไม่เคยว่าๆ เขาเป็นต้นไม้

แม้แต่ผม_ขน_เล็บ_ฟัน_หนัง_ก็เหมือนกัน_เกิดจากจิตจากใจ_ของเราทั้งนั้น

#ถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่ไปว่า

ผม ขน เล็บ ฟัน หนังของใครพูดบ้างว่า ข้าพเจ้าเป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนังนะ ข้าพเจ้าเป็นคนนะ มีตรงไหนว่ามีไหม

#มีแต่ตรงใจของเรานี้_เป็นผู้ที่ว่า

คำสอนของพระพุทธเจ้า จึงสอนให้แก้ใจ เดี๋ยวนี้มีแต่ใจของเรา ไปว่าไปสมมุติอย่างนั้น ไปสมมุติอย่างนี้ แล้วก็ไปหลงสิ่งที่เจ้าของสมมุตินั้น

#ทีนี้ไปหลง_ที่เราไปสมมุติ

ใจเป็นผู้สมมุติเอง แล้วใจก็ไปหลงที่เจ้าของสมมุตินั้น

พิจารณาดู ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากใจอันเดียว มันจริงอย่างที่ท่านทรงเทศนาไว้จริงๆ

อันอื่นเป็นธรรมชาติไปหมด อันอื่นเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น เขาหากเกิดมาตาย เกิดมาตายทับถมแผ่นดิน เกิดในแผ่นดินอันนี้ ตายในแผ่นดินอันนี้

#เขาไม่เคยว่า_เขาเป็นอะไรสักอย่าง_ใจของเรา_ไปว่าหมด

ของที่มีอยู่ในโลก มีเท่าไร ใจของเราไปสมมุติหมด แล้วใจก็ไปหลง ที่เจ้าของสมมุตินั้นเสียอีกนี่นา

#ถ้าใจไม่ไปหลงแล้ว_มันก็ไม่เป็นไร

หลงผมว่าเป็นผม หลงขนว่าเป็นขน สมมุติว่าเล็บ ก็หลงว่าเป็นเล็บ สมมุติว่าฟัน ก็หลงว่าเป็นฟัน สมมุติว่าร่างกายนี้เป็นร่างกาย เป็นตัวเป็นตน ก็ไปยึดถือเขาเสียอีก หลงไปหมด

#ศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้า_สอนให้แก้ความหลง

จิตของเรา กลับไปหลง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เขาเป็นจริงของเขาอย่างนั้น เราจะหลงหรือเราจะรู้ เขาหากเป็นจริงของเขาอยู่อย่างนั้น เราจะยินดีหรือเราจะยินร้าย หรือเราจะไม่ยินดีไม่ยินร้าย เขาก็เป็นของเขาอยู่อย่างนั้น

#แล้วเราจะไปหลงเขาทำไม

แล้วเราจะไปยินดียินร้ายเขาทำไม เพราะยินดีหรือไม่ยินดี หลงหรือไม่หลงเขาก็เป็นเหมือนเดินของเขา เขาไม่ดีอย่างที่เราว่าดี เขาไม่ได้ชั่ว อย่างที่เราว่าชั่ว

เราจะว่าดีสักเท่าไหร่ ของนั้นมันก็แก่เป็น ของนั้นมันก็ตายเป็น เราจะว่าชั่วสักเท่าไร ของอันนั้นมันก็เกิดมาเพื่อตายเหมือนกัน เหมือนกัน ไม่มีอะไร

#จึงว่าทุกสิ่งทุกอย่าง_เกิดจากจิตจากใจทั้งสิ้น

ให้พิจารณาเป็นการแก้จิตแก้ใจของเรานี่ ให้ถอนออกเสียที่จะไปยึดอันนั้นๆ ว่าอันนั้นๆ ยึดเราว่าเป็นผู้เป็นคน ยึดเราว่าเป็นตัวเป็นตน ยึดเราว่าเป็นอะไรต่อมิอะไรนี้

#พิจารณาเห็นชัด_แล้วมันหากถอนหมด

เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่เป็นอย่างที่เรายึด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรายึดนั้น คือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดมาเพื่อตายเท่านั้นนี่
แล้วเขาก็จะตายจริงด้วย เขาจะเป็นอย่างที่เรายึดเมื่อไร

#ในเมื่อเป็นอย่างนี้_เราจะไปยึดเขาทำไม

นี่มันต้องแก้ เพราะจิตใจอันนี้ เป็นจิตใจที่ไปสมมุติอะไรต่อมิอะไร แล้วจิตใจอันนี้ ก็ยังไปหลงสมมุติเสียอีก

เมื่อผู้ที่ไปสมมุติ ก็คือจิตใจแล้ว ผู้ที่รู้สมมุติ จะต้องเป็นจิตใจของเรานี้ มันจึงถูกต้องตามหลักการ

#สิ่งที่เจ้าของไปสมมุติ_มันต้องรู้_รู้แล้ว_จะไม่หลง_รู้แล้วจะไม่ติด
.
ติดอะไร ติดของตาย ติดของที่เกิดมาแตก เกิดมาตาย เกิดมาสลายเท่านั้น

#จึงให้พากันพิจารณาให้เข้าใจ

สิ่งที่ตาเราเห็น หูเราได้ยิน จมูกเราได้กลิ่น สิ่งที่ลิ้นเราได้รส ร่างกายเราได้สัมผัส ใจเราได้ธรรมารมณ์เท่านี้ล่ะ

#สิ่งเหล่านี้ล่ะเราหลง

สิ่งที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเราไม่ได้สัมผัส สิ่งนั้นเราไม่หลง ที่เราหลงเราติด เอาใจไปเกาะ เอาใจไปยึดนี้ ก็สิ่งที่ตาเราเห็น หูเราได้ยินนี้เอง

การศึกษาการพิจารณาก็ต้องศึกษาพิจารณา สิ่งที่ตาเราเห็น หูเราได้ยินนี้ เพราะเราติดตรงนี้

#เราหลงตรงที่ติดนี้_เราก็ต้องแก้_ที่เราติด_แก้ที่เราหลงนี้

#หลวงปู่แบน #ธนากโร
#วัดดอยธรรมเจดีย์









#การที่ใช้การค้นคว้า_เรียกว่า_ปัญญา

การนึกคิดปรุงแต่งของร่างกายของเรา นึกคิดถึงอันใดก็แล้วแต่ สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบใจ ก็เอามาพิจารณา เป็นแก้วแหวนเงินทองข้าวของที่รักที่ชอบใจอันใดอันหนึ่ง ก็เอามาพิจารณา

#ว่าอันนั้น_เมื่อเราตายแล้ว_เป็นของเราหรือเปล่า

แล้วสิ่งนั้น เขาว่าเป็นของของเราหรือ หรือเราไปยึดเขา ก็ดูหัวใจเรา ที่เอื้อมไปพิจารณาอย่างนั้นด้วย อันนั้นเขาว่าอะไร

#ใจเรานี้ต่างหาก_เป็นคนไปว่า_เป็นของของเรา

ของสวยของงามใครมาลักมาเอาไปไม่ได้ นี่…มันก็ต้องดูตัวนี้อีกทีหนึ่ง มองดูหัวใจที่มันคิดไปอย่างนั้น นี่…ต้องพิจารณาอย่างนี้

#พิจารณาลงไปอย่างนั้นแล้ว_เมื่อพิจารณาแล้ว_เราก็มาหยุดใจ_ให้เป็นปกติ

ไอ้ใจที่เป็นปกตินี้ มันไม่มีว่าอะไรนี่ มันมีแต่หน้าที่แต่ “รู้” อยู่อย่างเดียวเท่านั้น อยู่กับความปกติของใจ

นี่…เพราะฉะนั้น จึงต้องค้นคิด พิจารณา การพิจารณาเป็นบาทสำคัญ แต่ว่า การพิจารณาอย่างนี้ คนไม่ค่อยชอบ เพราะมันต้องคิด ต้องนึก ต้องปรุง

#ยิ่งปรุงในร่างกายเท่าไร_พิจารณาร่างกายเท่าไร_ใจนั้นยิ่งสงบ_เยือกเย็นลงเป็นลำดับ

เมื่อใจได้พิจารณาถึงกาย พิจารณาตั้งแต่หัว มีตา มีหู มีจมูก มีปาก มีลิ้น มีแก้ม มีผม เบื้องบนลงไปมีคาง มีขากรรไกร มีฟัน กราม ฟันหน้า ฟันหลัง ฟันล่าง ฟันบน อย่างนี้ พิจารณาอย่างนี้ได้แค่นั้น ใจก็สงบแล้ว

#แต่โดยมาก_ผู้ที่ไม่เคยค้นคว้าพินิจพิจารณา

ก็กลับเถียงขึ้นมาอีกแล้วว่า การค้นคว้าพินิจพิจารณาอย่างนั้น ใจมันไม่สงบนี่ นี่เถียงขึ้นมานะ

#เถียง_ทำไมว่าเถียง

เพราะไม่เคยเป็น ไม่เคยเข้าใจ จึงเถียง ทะลึ่งเถียงขึ้นมาว่า ไม่ใช่ทาง ไม่ใช่หนทางอันแท้จริง นี่…อย่างนี้ก็มี

นั่นก็ต้องให้อภัย เพราะว่า เหมือนบุคคลที่ทำแกงแต่ไม่ได้กินแกง ก็มันเปรี้ยว มันเค็ม มันมีหวานมีมันอย่างไร ท่านเปรียบเหมือนทัพพีที่คนอยู่ในแกงไม่รู้รส

#เหมือนกันกับเรา_นักปฏิบัติก็เหมือนกัน

ถ้ายังไม่ตกในสภาวะ ที่ค้นคว้าพินิจพิจารณาแล้วยังมืดแปดด้าน ยังไม่เข้าใจส่วนละเอียดส่วนนี้

เพราะฉะนั้น การค้นคว้าพินิจพิจารณา นี้เป็นสิ่งสำคัญ เราไม่ต้องไปเอาอื่นไกลมาก เพียงแต่นึกถึงอวัยวะของร่างกายเราเท่านี้ก็พอแล้ว

#เพราะฉะนั้น_ให้เดินอยู่เฉพาะกาย_อย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่เบื้องบนไปถึงปลายตีน ถึงมือซ้ายมือขวา ถึงปลายตีนเบื้องขวา ปลายตีนเบื้องล่าง เดินจากปลายตีนเบื้องขวาเดินมาหาเบื้องซ้าย จากปลายตีนเบื้องซ้ายขึ้นมาหาเบื้องบน อย่างนี้ตลอดๆ

#ลองดูเถอะ

แต่อย่างนี้ไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่ของสบายเหมือนกัน จะทำให้ใจอยู่หนึ่งกับกายอันเดียวเนี่ยลองดูเถอะ นักสมาธิดีๆก็ลองดูได้ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู ว่าจะจริงแค่ไหน เออ ลองดู ลองดู

#ที่เราว่าเรามีความรู้ความฉลาด_รู้จักในข้อปฏิบัติจริงแล้ว_ก็ลองดูให้ชัด_ว่าจะพิจารณาได้นานขนาดไหน

ตั้งนาฬิกาลืมตาดูก่อนที่จะนั่ง เอาให้จริงๆ อย่างนี้ นี่ “รู้หรือไม่รู้” รู้กันตรงนี้

#ถ้าพิจารณากายไม่ได้_แสดงว่ายังอยากอยู่_อย่าเข้าใจตัวเป็นผู้ประเสริฐไม่ได้

ต้องเข้าใจอย่างนั้น กำหนดลองดูเถอะ ใจที่มันเข้มแข็ง พร้อมด้วยทั้งสติ ทั้งสมาธิแล้ว มันก็จะกดดิ่งลงไปได้ตลอดเวลาอย่างนั้น

เดินขึ้นเดินลง เดินไปซ้าย เดินไปขวา เดินไปหน้า เดินไปหลัง นึกได้ตลอดเวลาอย่างนั้น

#นี่_นี่แหล่ะ_มรรค_มรรคตัวสำคัญ

อันนี้เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว มันจะเป็นเหตุ ก้าวไปสู่ความสิ้นทุกข์ ความหมดทุกข์ เพราะคลายตัวนี้

#เราหลงติดกาย_หลงตัวนี้เอง

หลงหญิง หลงชาย หลงสวยหลงงาม ก็หลงตัวนี้ ไม่นอกไปจากตัวนี้ เพราะฉะนั้นต้อง ค้นกายของเรา ลงไปให้หนัก …

#หลวงปู่เจี๊ยะ #จุนฺโท
ที่มา การพิจารณากาย แสดงไว้เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔










" อุเบกขา
ต่างจากความเฉยเมย
ตรงที่มีความตื่นรู้อยู่ตรงนั้น

ความเฉยเมย
แบบไม่ยินดีไม่ยินร้าย
จะเป็นการไม่ยอมรับ
ไม่ยอมคิด ไม่อยากยุ่ง
ซึ่งเป็นอาการของโมหะ

ส่วนอาการอุเบกขา
ของจิตที่เจริญในธรรม
คือ รู้ เห็น เห็นชัด
แต่จิตใจไม่หวั่นไหว "

โอวาทธรรม
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ








"..ปล่อย​วาง​
ไม่​ใช่​ปล่อย​ปละละเลย​

ปล่อย​วาง​แบบนั้นใช้ไม่ได้​

ให้ปล่อย​วาง​ในใจ​
รู้​ที่​ใจ​ ปล่อย​วาง​ที่​ใจ​

แต่​ข้างนอก​
ต้อง​ทำเต็ม​ที่.."

โอวาทธรรม
หลวง​พ่อ​อินทร์​ถวาย​
สน​ฺ​ต​ุสฺสโก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร