วันเวลาปัจจุบัน 20 ต.ค. 2025, 10:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2025, 05:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5399


 ข้อมูลส่วนตัว


"..เพราะไม่มีที่พึ่งทางจิตใจหรือไม่รู้ที่พึ่งอันเกษมอันอุดม จึง...กลัวการตายแต่ไม่กลัวการเกิด...เมื่อเป็นเช่นนี้จึงคว้าโน้นคว้านี่เป็นที่พึ่ง บางคนกลัวตาย...คว้าเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งที่เคารพนับถือ...ด้วยความงมงาย...นอกจากนี้ยังมีการทรงเจ้าเข้าผี สะเดาะเคราะห์ สะเดาะนาม สืบชะตาราศี ตัดกรรมตัดเวร โดยวิธีการต่าง ๆ ที่พึ่งอันอุดมมั่นคงนั้นคือการ...ภาวนา น้อมรำลึกนึกเอาพระคุณอันวิเศษของพระพุทธเจ้า พร้อมพระธรรม และพระอริยสงฆ์มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ...จึงจะเป็นการถูกต้อง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓–๒๔๙๒)






"ถ้าเราสามารถทำใจให้สงบได้ เราก็สามารถจะมีความสุขได้ สติต้องคอยกำกับใจ ให้ใจอยู่กับการกระทำ เมื่อใจสงบ ระงับความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ได้ ก็จะเกิดความสุขขึ้นในใจ ทำให้จิตใจว่าง และเป็นสุขได้"

โอวาทธรรมของ “พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต” (พระราชวัชรสังวรมุนี)






"ให้ทราบว่าในโลกนี้ ไม่มีแก่นสารอันใด
เกิดมาแล้วก็ต้องตาย เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
ที่จะเอาได้ ก็เป็นเรื่องของดวงจิตเท่านั้น
ฉะนั้น จึงให้รู้จักทำจิตคลายจากความชั่ว
ความเศร้าหมอง ทำจิตใจให้เป็นบุญ
เป็นกุศล เป็นจิตที่สงบผ่องใส เป็นสมาธิ"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร







"ให้ระลึกรู้ว่าเมื่อมีเหตุ ก็ต้องมีผล
ทำเหตุลงไปแล้วไม่ได้รับผล มันไม่มีหรอกในโลกนี้
เหตุดีก็ต้องได้รับผลดี เหตุชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว
มันจะสูญหายไปไม่มี"

หลวงปู่ขาว อนาลโย







ถ้าเราเป็นเรา
เพราะเขาเป็นเขา
เราก็ไม่ใช่เราสิ
...
คนที่ไม่รู้จักตัวเองจะตีค่าตัวเองจาก
ความคิดเห็น การกระทำของคนอื่นต่อเรา
อย่างเช่น เขาให้ความเคารพ เราก็สรุปว่า
เราเป็นคนน่าเคารพ เขารักเรา เราก็สรุปว่า
เราเป็นคนน่ารัก แต่ถ้าเขาเลิกให้ความเคารพ
ก็เศร้า หมดกำลังใจ คิดว่าตัวเองไม่มีค่า
ถ้าค่าของเราขึ้นอยู่กับสายตาและความคิด
ของคนอื่น แล้วตัวเราจะอยู่ตรงไหน
ความมั่นคงในชีวิตจะมีได้อย่างไร
คนเราจึงต้องหมั่นละบาป บำเพ็ญกุศล
ขัดเกลาจิตใจตัวเอง จนกระทั่งมองเห็น
สิ่งที่มีค่าในตัวเราเอง เมื่อทำเช่นนั้น คนอื่น
จะมองเห็นหรือไม่เห็น จิตใจเราก็มั่นคง
ไม่หวั่นไหว ...
...
พระอาจารย์ชยสาโร







"ให้ทราบว่าในโลกนี้ ไม่มีแก่นสารอันใด
เกิดมาแล้วก็ต้องตาย เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
ที่จะเอาได้ ก็เป็นเรื่องของดวงจิตเท่านั้น
ฉะนั้น จึงให้รู้จักทำจิตคลายจากความชั่ว
ความเศร้าหมอง ทำจิตใจให้เป็นบุญ
เป็นกุศล เป็นจิตที่สงบผ่องใส เป็นสมาธิ"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร






"..อย่าพากันไว้ใจในชีวิตของตน.." "..ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ไม่แน่นอน

วันนี้เรามีชีวิตอยู่ อาศัยอยู่ วันหลังมาชีวิตจะเป็นจั๋งใด๋ ดีหรือไม่ ชีวิตของเรานั้นวันหลังจะเป็นอย่างไรในพรรษานี้

พวกเราทั้งหลายเชื่อหรือ ชีวิตเราจะตลอดพรรษา เพราะความตายเป็นของไม่มีกาลเวลา จิตมันจะตายเวลาไหนก็ไม่รู้ เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง สุดแท้แต่มันจะเป็นไปเมื่อเรามีชีวิตอยู่

อย่าพากันประมาท จงพากันรีบบำเพ็ญความดี ให้เกิดให้มีขึ้นในดวงจิตความคิดของเรา.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ
วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก)
อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ







ภาวนาคือพิจารณาให้รู้ตามเป็นจริง
วัตถุสิ่งของ ต้องคืนให้เจ้าของเดิม

พระศาสดาของเรา ท่านสอนอยากจะให้สัตว์
มีทาน มีศีล มีธรรม ภาวนา เพราะอะไร ...
ศีล ทาน ภาวนานี้ คือเครื่องมือออกจากโลก
เราอยู่ในโลกนี้เหมือนกันกับสุ่มมันครอบเราไว้
กักขังเอาไว้ ให้มีความทุกข์ความยาก
ความดิ้นความรนกระวนกระวายอยู่อย่างนี้
เหมือนกันกับว่า วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่หามา
สร้างมา ผลที่สุดแล้วอันนี้ก็เป็นโมฆะ ต้องคืน
เจ้าของเดิม คือโลก ... เราจะสร้างจะเก็บวัตถุ
เหล่านี้ให้ตามไปก็ไม่ได้ ไม่มีทางเอาไปได้
ต้องทิ้งอยู่ในโลกเอง ของเหล่านี้เป็นของ
กลาง ๆ ไม่ใช่ของใคร เช่น จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ เป็นปัจจัยเป็นเครื่องส่งเสริมเราไป
เท่านั้น เพื่อให้สร้างคุณงามความดี ไม่ใช่
ของเรา ... จะเอาอยู่นี่ ... หมายอยู่นี่ อันนี้
มันเป็นของโลก

ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจึงอย่าพากันประมาท
ยังหนุ่มอยู่ก็อย่าคิดว่า ให้แก่ซะก่อนเราจึงจะ
เข้าวัด ให้พยายามพากันสนใจในธรรมะจริง ๆ
ต้องมาพิจารณาธรรม ไม่ใช่ว่าการฟังธรรม
ฟัง ... สักแต่ว่าฟังก็แล้วไป คิดว่าจะได้บุญ
ทำอย่างนี้ยิ่งไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่สักแต่
ทำทาน สักแต่ว่าทำเพราะมันได้บุญ อันนี้
ก็ไม่ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ว่าสมาทานศีลก็สัก
แต่ว่าสมาทาน อันนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์
ขาดการพินิจพิจารณา ฉันใด

ชั่วชีวิตของเรามันจะอยู่ได้กี่ปีกี่เดือนกี่วัน
มันก็จะค่อย ๆ เสื่อมไปสิ้นไป คนเราทั้งหลาย
ผู้หลงอยู่ในโลกนี้ก็ยืนโด่อยู่นี้แหละ อย่างนี้
มันไม่พ้นความทุกข์ซะทีหรอก สิ่งที่เราอยู่
เราเป็นนี้ ตกอยู่ใต้กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
การทำบุญให้ทานนั้นอย่าพากันสงสัยอันใด
อันหนึ่ง “สุปฏิปนฺโน อุชุปฏิปนฺโน ญายปฏิ
ปนฺโน สามีจิปฏิปนฺโน” เป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้
ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติชอบ เป็นผู้ปฏิบัติ
ไม่ลวงโลก ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์จริง ๆ ถ้าเรา
เป็นผู้ประพฤติหรือปฏิบัติดีอย่างนี้ ก็จะเป็น
เนื้อนาบุญอันดีอันงามของญาติโยมทั้งหลาย
ญาติโยมที่มากราบ ญาติโยมที่มาไหว้
ญาติโยมที่มาทำทานด้วย จะเกิดบุญ
เกิดกุศลอิ่มอกอิ่มใจ มีบุญมีกุศล ...
...
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)









จงรีบเร่งขวนขวาย สร้างกุศล
สวดมนต์ ไหว้พระ บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้เถิด เมื่อความตายยังมาไม่ถึง

ถ้าความตายมาถึงเข้าแล้ว จะเสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้เพียงชาติเดียว

(หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญฺโญ)







จิตของเรา ถ้าถึงผู้รู้... ตรงนี้
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงข้างนอกนี้
มันไม่ใช่อุปสรรคเรา
เขาก็คือเขา เราก็คือเรา เท่านั้นเอง
หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล

Here, if one's citta has reached "the one who knows"
All else are no longer one's obstacles
They are what they are; we are what we are,
That is it.
Luang Por Yuean Khantibalo






"...การพักจิตของธรรมทั้งหลาย การค้นกาย
และจิตด้วยไตรลักษณ์เป็นกำลังของปัญญา
ทั้งหลาย การรักษาศีลไม่ให้ด่างพร้อยเป็นกำลัง
ของสมาธิทั้งหลาย รวมความว่ารักษาศีลดีแล้ว
หนุนสมาธิ การทำสมาธิดีแล้วหนุนปัญญา
ปัญญาดีแล้วหนุนวิโมกข์วิมุตติ..."

#ที่มา หนังสือ จันทสาโรนุสรณ์
หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย







"ให้ทราบว่าในโลกนี้ ไม่มีแก่นสารอันใด
เกิดมาแล้วก็ต้องตาย เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
ที่จะเอาได้ ก็เป็นเรื่องของดวงจิตเท่านั้น
ฉะนั้น จึงให้รู้จักทำจิตคลายจากความชั่ว
ความเศร้าหมอง ทำจิตใจให้เป็นบุญ
เป็นกุศล เป็นจิตที่สงบผ่องใส เป็นสมาธิ"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร






"..อย่าพากันไว้ใจในชีวิตของตน.." "..ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ไม่แน่นอน

วันนี้เรามีชีวิตอยู่ อาศัยอยู่ วันหลังมาชีวิตจะเป็นจั๋งใด๋ ดีหรือไม่ ชีวิตของเรานั้นวันหลังจะเป็นอย่างไรในพรรษานี้

พวกเราทั้งหลายเชื่อหรือ ชีวิตเราจะตลอดพรรษา เพราะความตายเป็นของไม่มีกาลเวลา จิตมันจะตายเวลาไหนก็ไม่รู้ เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง สุดแท้แต่มันจะเป็นไปเมื่อเรามีชีวิตอยู่

อย่าพากันประมาท จงพากันรีบบำเพ็ญความดี ให้เกิดให้มีขึ้นในดวงจิตความคิดของเรา.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ
วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก)
อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ







#จะอธิบายเรื่องอานิสงส์ของการทอดกฐิน

ทำไมจึงได้อานิสงส์มาก ได้บุญมากเสียเหลือเกิน คนที่ทำบุญทอดกฐินนี้

การทานผ้าผ่อนท่อนสไบ เครื่องนุ่งห่ม เปลี่ยนผ้าให้แก่พระภิกษุนั้น อานิสงส์ที่จะได้ เกิดชาติใดภพใดย่อมได้มีร่างกายสวยงามหนึ่ง และได้ผ้าผ่อนท่อนสไบเครื่องนุ่งห่มไม่อดไม่อยาก

ทีนี้ถ้าเราทานบาตร ถ้าหากเราทำใหญ่ เกิดชาติใดภพใดจะเหมือนได้หม้อข้าวทิพย์ มีอาหารการกินบริบูรณ์ ไม่อดไม่อยากเหมือนกัน

นี่พูดถึงการที่เราทำเหมือนกับการบวชพระภิกษุองค์หนึ่ง

บุคคลใดพากันบริจาคทานมีดโกนและหินลับมีดโกน บุคคลนั้นจะได้สติปัญญาแก่กล้า เฉลียวฉลาดแหลมคม ถ้ามีดโกนนั้นปลงผมให้หมดจดสะอาด สติปัญญานั้นเองจะกำจัดกิเลสให้หมดให้สิ้นจากดวงใจนั้นในทางที่สุด ได้รับอานิสงส์

บุคคลทานด้ายทานเข็ม ก็เช่นกันจะเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมแทงทะลุปรุโปร่งเข้าไปในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอานิสงส์

บัดนี้ บุคคลจะทานเตียงนอนหรือหมอนมุ้งก็ดี เป็นที่อยู่ที่นอน ก็เรียกว่าให้ได้ที่พักพาอาศัย ที่อยู่ที่นอนเสื่อสาดอาสนะนั้น สะดวกสบาย ไปอยู่ที่ไหน เกิดชาติใดภพใดก็ดีก็ย่อมได้อานิสงส์สิ่งนั้น

บุคคลพากันทานเรื่องอาหารการกิน เกิดชาติใดภพใดก็จะได้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และมีอาหารการกินสมบูรณ์ ไปเกิดอยู่ประเทศไหน แห่งหนตำบลใด ไม่อดไม่อยาก ไม่เขียม อาหารการกิน สมบูรณ์ ไม่ทุกข์ยาก

เหมือนอย่างบางประเทศที่เขาไม่ได้ทำบุญ เขาอดเขาอยากยากแค้นเหมือนอย่างที่เราพูดกันอยู่ ไม่ไปเกิดในสถานที่อย่างนั้น คนทำบุญเรื่องบริจาคทานอาหารการกินถวาย

บุคคลทานยารักษาโรคภัยไข้เจ็บมาร่วมกฐิน เกิดชาติใดภพใดจะเป็นผู้ที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนร่างกายตั้งแต่เล็ก จนถึงหนุ่มสาว จนถึงเฒ่าแก่ ไม่ได้ไปโรงพยาบาลสักที ร่างกายจะมีพลานามัยสมบูรณ์อยู่ตลอด เป็นอานิสงส์ของผลบุญ

บุคคลทานธูปทานเทียน ดอกไม้ก็ดีมาร่วมงานกฐิน เกิดชาติใดภพใดจะได้ดวงตาแจ่มใส หรือไฟฟ้าไฟฉายก็ตามแต่มาร่วมงานนั้น ก็เหมือนอย่างเดียวกัน จะทำให้ดวงตาสว่างไสว ตาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เป็นอานิสงส์ของผลบุญ

บุคคลที่ทานจอบทานเสียมก็ดี เป็นเครื่องพัฒนาสิ่งของต่าง ๆ ก็ทำให้เรามีพื้นที่ มีสวนลำไย มีสวนลิ้นจี่ สวนอะไร​ หรือทำถนนหนทางด้วยจอบด้วยเสียมให้คนเดินไปมาอย่างสะดวกสบาย บุคคลนั้นก็จะได้อานิสงส์ เดินไปไหนก็ได้ทางเดินสะดวกสบาย สะอาดสะอ้านเป็นอานิสงส์ผลบุญ

บัดนี้บุคคลจะทานพระพุทธรูป มาร่วมในงานกฐิน บริจาคพระพุทธรูปเป็นองค์แทนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาไปตั้งไว้ที่ไหนให้คนสักการะกราบไหว้บูชา จะนำมาเป็นพลานิสงส์แก่บุคคลผู้บริจาคทานนั้น เกิดชาติใดภพใดจะเป็นคนรูปสวยสดงดงาม เป็นอานิสงส์ผลบุญอย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งนั้นจะเป็นคนที่ชักชวนบุคคลอื่นให้เข้าใกล้พระพุทธศาสนา เพราะเราเอาพระพุทธรูปไปตั้งไว้บนศาลาหรือบนวิหารโบสถ์ก็ดี บุคคลทั้งหลายมาจากจาตุรทิศทั้งสี่ เมื่อมามองเห็นแล้วว่าพระพุทธรูปสวยสดงดงาม น่ากราบไหว้น่าบูชา เขาก็พากันมาดอกไม้มาบูชา พากันมากราบมาไหว้ เขาก็ย่อมได้บุญได้กุศล เพราะตนเองนั้นบริจาคทานพระพุทธรูปเอาไว้ นี่ก็ชักจูงคนอื่นให้เข้าทำคุณงามความดีเข้าใกล้พระพุทธศาสนา อานิสงส์อีกข้อหนึ่งก็ดี เกิดชาติใดภพใดจะได้พบพระพุทธศาสนา ได้พากันทำคุณงามความดีสืบต่อไป เป็นอานิสงส์ผลบุญผู้บริจาคทานพระพุทธรูป

หากบุคคลทานพัดลมเครื่องพัดวีก็ดี เกิดชาติใดภพใดไปอยู่ที่ไหนก็ย่อมได้รับความร่มเย็นเป็นสุข มีพัดมีวี อยู่สถานที่สบายไม่ร้อน​ เพราะเป็นสิ่งที่คลายร้อน

บุคคลทานน้ำบริจาคน้ำเอาไว้เป็นน้ำดื่มก็ดี น้ำอาบน้ำใช้ก็ดี เกิดชาติใดภพใด ก็จะมีน้ำใช้น้ำอาบสะดวกสบาย ไปเกิดในสถานที่มีน้ำอย่างสมบูรณ์ จะไปบ้านใดเมืองใดเราหิวน้ำ ย่อมมีคนเอาน้ำมาต้อนรับเวลาเราไป เราไม่ต้องเรียกดื่ม เขาจะเอามาต้อนรับ เพราะด้วยอานิสงส์ผู้บริจาคทานเอาไว้

บุคคลใดให้นั่งล้อนั่งเกวียนก็ดี นั่งรถนั่งเรือก็ดี เกิดชาติใดภพใดจะมีรถมีเรือนั่งไปสะดวกสบาย เป็นอานิสงส์ผลบุญ ถ้าหากไปเกิดอยู่บนสวรรค์ อยู่ในหอปราสาทราชมณเฑียรก็ดี บุคคลนั้นจะมียานทิพย์ลอยไปที่โน่นที่นี่ต้อนรับตั้งแต่เริ่มบุคคลนั่นล่วงลับดับกายไป ก็จะมียานทิพย์มาคอยลงมารับวิญญาณของบุคคลนั้นขึ้นไปสู่สุคติ อันนั้นเรียกว่าทานยานพาหนะ

ทีนี้บุคคลจะทานอะไรไว้บ้าง มีหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าอาหารการกินก็รวมหมดแล้ว พริกเขือเกลือปลาร้าอะไร กระเทียมอะไร ผักกาดอะไร เครื่องอาหารทั้งหลาย รวมหมด ก็ย่อมได้อานิสงส์ ดังที่กล่าวมาให้ ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มีอาหารการกินสมบูรณ์

องค์กฐินมีบริวารหลายสิ่งหลายอย่าง ใครจะทานผ้าผืนเล็กผืนน้อย ผ้าเช็ดหน้าก็แล้วแต่ เอาหมอนมาร่วมก็แล้วแต่ ใครจะเอาอะไร เอาสมุดดินสออะไร หนังสือธรรมะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เช่น สมุดดินสอ หนังสือธรรมะ ก็ให้อานิสงส์ เกิดชาติใดภพใด เราบริจาคเอาไว้ จะเป็นคนรู้จักเรียนรู้หนังสือและเขียนหนังสือได้

คนทานหนังสือธรรมะ บริจาคทาน เกิดชาติใดภพใด เป็นคนมีสติปัญญาว่องไว เฉลียวฉลาด เพราะคนอื่นเขาอ่านแล้วเขาก็ย่อมมีปัญญาเกิดขึ้น ก็สามารถจะทำตนเองให้พ้นจากกองทุกข์ได้ด้วยสติปัญญาของตน เหมือนกับพระสารีบุตรท่านได้ทานพระไตรปิฎกเอาไว้ตั้งแต่ชาติอดีตที่ผ่านมา เมื่อสมัยพุทธกาลจึงเป็นผู้มีปัญญา รององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อานิสงส์

บัดนี้ บางคนก็ทานปัจจัยเงินทอง เรียกว่าเงินบริจาค ร่วมกันในการทำกฐิน จะทำมากทำน้อยก็แล้วแต่ เราก็ทำได้ เราอย่าไปคิดว่าเราทำน้อยเราไม่ทำ เราจะทำ ๒๕ สตางค์ ๕๐ สตางค์ บาทนึง สองบาท ตามกำลังของตน ถ้าเราไม่มี เรามีสิ่งอื่นเราก็ทำสิ่งอื่น เราทำบุญนั้น อย่าไปรังเกียจกองบุญของตนเอง ไม่ต้องไปละอายคนอื่น เรามีน้อยเราก็ทำไปตามน้อย เราก็ย่อมได้อานิสงส์ไปตามกำลังของตนที่ทำ เรียกว่ามีความพอใจที่จะทำ นี่เรียกว่าเราสร้างความดี

โอวาท​ธรรม​
#หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

เมื่อวันศุกร์ที่​ ๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๓








"... เวลาล่วงไป ชีวิตของเราก็ล่วงไป ล่วงไปหาความตาย มนุษย์เป็นสัตว์ อันสูงสุด อันนี้เป็นเพราะเราได้สมบัติ ปันดีมา ปุพเพจะกตะปุญญตา บุญกุศล คุณงามความดีเราได้สร้างมาหลายภพ หลายชาติแล้ว

เราอย่าไปเข้าใจว่า เราเกิดมาชาติเดียวนี้
ตั้งแต่เราเทียวตายเทียวเกิดมานี่ นับกัปป์
นับกัลป์อนันตชาติไม่ได้ แล้วจะว่าเหมือนกัน
ได้อย่างไรล่ะ เมื่อเรามาเกิดก็มีแต่วิญญาณ
เท่านั้น

พอมาปฏิสนธิ ก็เอาเลือดเอาเนื้อพ่อแม่
มาแบ่งให้ ได้อัตตภาพออกมา แม้กระนั้น
ก็ไม่มีสัตว์มาเกิด ต้องอาศัยจุติวิญญาณ
เราต้องสร้างเอาคุณงามความดี

พวกฆราวาสก็คือตั้งใจรับศีลห้า ศีลแปด
ในวันเจ็ดค่ำ แปดค่ำ สิบสี่ค่ำ สิบห้าค่ำ
เดือนหนึ่งมีสี่ครั้ง อย่าให้ขาด ทำสมาธิ
ภาวนา ให้มีสติ ระวังกายของตนให้เป็น
สุจริต วาจาเป็นสุจริต ใจเป็นสุจริต

เท่านี้แหละ เอาย่อ ๆ มีสติอันเดียว
ละบาปทั้งหลาย ความชั่วทั้งหลาย
ละด้วยกาย วาจา ด้วยใจ ทำบุญกุศลให้
ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท กระทำจิต
ของตนให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

ให้มีสติรักษากาย วาจา ใจ ศีลห้า
ถ้าใครละเมิดก็เป็นบาป ครั้นละเว้นโทษห้า
อย่างนี้ นั่นแหละเป็นศีล ศีลคือใจ บาปก็
คือใจ ศีลอยู่ในใจ บาปก็อยู่ที่ใจเหมือนกัน
นั่นแหละ

เรื่องทำบุญทำกุศล ให้ทาน รักษาศีล
ภาวนาอยู่แต่ใจทั้งนั้น อะไรโม๊ดอยู่กับใจ
สงสัยก็พิจารณาดวงใจ ทำบาปห้าอย่างนี้แล้ว ศีลไม่มี เป็นคนไม่มีศีล

คนมันชอบทำแต่บาป ศีลไม่ชอบทำ
อยากทำแต่บาป ท่านเปรียบไว้ว่า
คนไปสวรรค์เท่ากับเขาวัว คนไปนรกเท่า
ขนวัว วัวมีสองเขา แต่ขนมันนับไม่ถ้วน ..."
----------------------------------
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑ - ๒๕๒๖)








การสร้างบุญ สร้างวัตถุอะไร
ให้เป็นบุญก็ดี

แต่ว่า..
ไม่เลิศเท่าเราสร้างใจให้เป็นบุญ
ให้ใจมีแต่กุศล นั่นจึงดีเลิศ
เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในการสร้างความดี

โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท







"สิ่งใดดี ๆ ที่มีความเจริญแก่ตนและปวงชน
ขอสิ่งนั้นที่ท่านต้องการจงสำเร็จทุกประการ
เปรียบเหมือนพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญเต็มดวง
มีความงามตลอดเวลา หรือเหมือนแก้วมณีโชติ
ให้ความสำเร็จทุกสิ่งทุกอย่าง
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้"

โอวาทธรรม_คำสอน
#หลวงปู่เจ้าคุณศิลา_สิริจันโท
๑๓ เมษายน ๒๕๖๔







จะรู้ไปทำไมกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
รู้แล้วได้ประโยชน์อะไร
เรื่องของตัวเอง ทำไมไม่อยากรู้
ทำไมอยากรู้เรื่องของคนอื่น

#โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต
วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน) จ.ขอนแก่น







การเจริญมรณสติมีอานิสงค์มาก
ยิ่งสำนึกในความไม่เที่ยงของชีวิต
ยิ่งสำนักในค่าของมัน ...
...
พระอาจารย์ชยสาโร






ธรรมที่ลึกลับ
ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้
ธรรมที่ลึกลับ ไม่ควรพูดให้คนอื่นรู้
เพราะคนอื่นไม่เห็นตามธรรมจะเสีย
ต้องพูดต่อผู้ปฏิบัติเหมือนกัน

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







"..พระพุทธเจ้าให้นั่งพิจารณาดู และให้เข้าวัดทุกวัน จะนั่งอยู่ก็ดี จะนอนอยู่ก็ดี กราบที่พึ่งของเราเสียก่อน คือกราบครั้งที่หนึ่ง "พุทโธ" นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา กราบครั้งที่สอง "ธัมโม" นึกถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา กราบครั้งที่สาม "สังโฆ" นึกถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา เข้าวัดพักนี้แหละ เอาใจของเรานึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้วมารวมว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ คำเดียว รักษากาย หลับตา งับปาก ลิ้นก็ไม่กระดุกกระดิก ระลึกพุทโธไว้ในใจนี่แหละ เข้าวัดกันตรงนี้ ให้เข้าวัด วัดอยู่ที่ตรงนี้ จะได้รู้จะได้เห็นความสุข มิใช่อื่นสุข นอกจากใจเราสงบแล้ว ไม่มีอื่นสุข.."
โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)








ธรรมที่ลึกลับ
ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้
ธรรมที่ลึกลับ ไม่ควรพูดให้คนอื่นรู้
เพราะคนอื่นไม่เห็นตามธรรมจะเสีย
ต้องพูดต่อผู้ปฏิบัติเหมือนกัน

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







#ไม่เอาอะไร_ไม่ยึดอะไร_ไม่ติดอะไร_ไม่ข้องอะไร

ไม่เอาอะไรเลย ไม่ยึดอะไรเลย ไม่ติดอะไรเลย ไม่ข้องอะไรเลย เฉยเลยๆๆ
นี่คือเข้าไปหาจิตน่ะ ให้จิตมันวางเฉย เป็นกลาง วางแม้กระทั่งจิตนี่น่ะ จิตน่ะวางได้ ลองวางดูก็ได้ ทำเหมือนไม่ใช่เราน่ะ มันก็รู้ไปตามธรรมชาติของมันเฉยๆ

จิตคือธรรมชาติ มันคิดนึกปรุงแต่งอารมณ์ได้

มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ "เวทนา" ก็ยึดไม่ได้ มันเจ็บขึ้นมา มันเป็นเรื่องของเวทนา ไม่ใช่เราเจ็บ มันเป็นเรื่องของธาตุ ธาตุไม่สมดุล มันเป็นเรื่องของร่างกาย
กายมันเจ็บ ไม่ใช่เราเจ็บ

เนี่ยเราก็ต้องรู้ เราก็ต้องวาง วางเฉยวางใจเป็นกลางให้ได้ ยิ่งจิตนี่มันไม่มีตัวตน เป็นนามธรรมเฉยๆ "เกิดแล้วก็ดับ"

ไม่ว่าเป็นอะไรก็ช่าง ความคิดนึกปรุงแต่งสัญญา อารมณ์ เรื่องดีใจ เสียใจ เศร้าหมอง ความขุ่นมัวในจิตน่ะ ไม่มีตัวตนหมดแหละ

แต่มันก็เกิดได้เพราะว่าจิตของเราเนี่ยมันกระทบอารมณ์ เรายังตั้งหลักไม่ทัน
เราอยากให้เป็นอย่างนึง มันเป็นอย่างนึง
เราก็เลยไปยินดียินร้าย มันก็เกิดปัญหาขึ้นในจิตเรา เราก็วางอีกเนี่ย

รู้เมื่อไหร่ วางเมื่อนั้นล่ะ ไม่เอาเลย
ตัวจิต มันไม่คิด ไม่นึก ก็วาง ตอนมันว่างก็วางความว่างไป

มันรู้ ก็วางตัวรู้ไปด้วย วางตัวรู้ไปด้วย ยึดตัวรู้ ก็ยึดไม่ได้ ก็ไม่ยึดน่ะ เอาแบบไม่ยึดเลย ลัดเลย

บางคนปฏิบัติแล้วก็เห็นนิมิตเป็นแสงสว่างบ้าง เป็นทางบ้าง เป็นต้นไม้บ้าง เป็นบ้านเป็นเรือน เป็นปราสาท วิมาน มันเป็นแค่นิมิต เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติเนี่ย เรื่องอะไรก็ช่าง มันเกิดขึ้นขณะปฏิบัติ เขาเรียกว่านิมิตทั้งนั้นล่ะ

บางคนก็ได้ยินเสียงร้องเพลง เสียงสวดมนต์ รู้แล้วก็วาง บางคนก็เห็นเป็นภาพ ก็วางเหมือนกัน

รักษาจิตไว้ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เห็นก็สักแต่ว่าเห็น บางทีก็จริงบ้าง บางทีก็ไม่จริงบ้าง จริงก็ไม่รู้จะเอาอะไรมัน
.
โอวาทธรรม พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
วัดป่าภูไม้ฮาว จ.มุกดาหาร






"การสร้างบุญสร้างกุศลสำหรับพวกเราเองก็เหมือนกัน สร้างทุกวันทุกคืน มีน้อยให้ตามน้อย มีมากให้ตามมาก ตามกำลังของเรา เราอย่าไปคิดว่าให้เป็นเศรษฐีเสียก่อนแล้วค่อยทำบุญ

นี้ตายทั้งเปล่าๆ ไม่มีใครเป็นเศรษฐีได้แหละ ตายทิ้งเปล่าๆ ทั้งนั้น

ถ้าเอาธรรมเข้าไปจับ มีเท่าไรทำบุญให้ทานสงเคราะห๋เรา การทำบุญนี้สงเคราะห์เรา สงเคราะห์เราในภพชาติต่างๆ จะหนุนไปด้วยบุญด้วยกุศล มีแต่ความสุขความเจริญ ให้อุตส่าห์พยายามนะ ไม่เช่นนั้นจะตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร"

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน






“เวลาเหลือน้อย”
พระไพศาล วิสาโล

น้อยคนตระหนักว่าขณะที่ตนมีเงินทอง
เพิ่มขึ้นนั้น เวลาของตนในโลกนี้กลับเหลือ
น้อยลงทุกที และเมื่อถึงวันที่ตนหมดอายุขัย
ไปสู่ปรโลก มีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด
ก็เอาไปด้วยไม่ได้ ร้ายกว่านั้นก็คือการพบว่า
มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ตนควรทำแต่กลับ
ไม่ได้ทำ ใครที่ตระหนักเช่นนี้ย่อมไม่ปล่อย
ให้เวลาของตนหมดไปกับการสะสมเงินทอง
หรือเพลิดเพลินในความสนุกสนาน
แต่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีความหมาย
ต่อจิตใจ อันนำมาซึ่งความสงบเย็น
และความสุขใจ รวมทั้งการเข้าถึงประโยชน์
สูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ นั่นคือ การเป็น
อิสระจากความทุกข์ และที่จะมองข้ามมิได้
ก็คือ การเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับมือกับ
ความตาย อันเป็นความจริงที่ไม่มีใครหนีพ้น
คนที่หมั่นเตือนตนว่าเวลาเหลือน้อย
ย่อมสามารถเผชิญความตายได้ด้วยใจสงบ







การสร้างบุญ สร้างวัตถุอะไร
ให้เป็นบุญก็ดี

แต่ว่า..
ไม่เลิศเท่าเราสร้างใจให้เป็นบุญ
ให้ใจมีแต่กุศล นั่นจึงดีเลิศ
เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในการสร้างความดี

โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร