วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ย. 2025, 20:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2025, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5413


 ข้อมูลส่วนตัว


” คำสอนครั้งสุดท้าย “

พระโอวาทคำสอนที่สำคัญที่สุด ก็คือพระปัจฉิมโอวาท คำสอนครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสสอนไว้ว่า สังขารทั้งหลายเป็นของไม่แน่นอน มีเกิดมีแก่มีเจ็บมีตายเป็นธรรมดา จงยังประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด เป็นการสรุปพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าความสำคัญอยู่ตรงนี้ อยู่ที่ความไม่ประมาท ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ต้องรีบขวนขวายทำภารกิจที่ต้องทำ ให้สำเร็จลุล่วงไปก่อนเวลาจะหมดไป เหมือนกับเวลาเข้าห้องสอบ จะนั่งเล่นคุยกันไม่ได้ ต้องรีบทำข้อสอบให้เสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ ถ้ามัวคุยกันเล่นกัน ก็จะไม่ได้ทำข้อสอบให้ครบบริบูรณ์ คะแนนก็จะได้ไม่ครบ ผลก็จะไม่ได้ดังที่ปรารถนา

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เจริญมรณานุสติอยู่เรื่อยๆ ว่าสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ให้คิดอยู่เสมอๆ ว่าเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย จะเจ็บจะตายเมื่อไหร่ ไม่มีใครรับประกันได้ ทางที่ดีควรคิดว่าอาจจะเจ็บจะตายในวันนี้หรือในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ถ้าคิดอย่างนี้จะได้ไม่ประมาท เพราะมีเวลาเหลือน้อย ถ้ารู้ว่าจะต้องตายในวันนี้พรุ่งนี้หรือในเวลา ๓ เดือน จะไม่มีกะจิตกะใจอยากไปทำอะไรต่างๆ อย่างที่เคยทำมา คือทำมาหากิน หาทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง หาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าไปหาหมอแล้วหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายที่จะต้องตายภายใน ๓ เดือน พวกเรายังจะมีกะจิตกะใจไปแสวงหาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายหรือไม่ จะไม่อยากได้แล้ว เพราะรู้ว่าไม่ได้เป็นที่พึ่งของใจ เป็นเพียงที่พึ่งของร่างกาย พอร่างกายจะต้องหมดสภาพไปภายใน ๓ เดือน ก็จะมุ่งเข้าหาธรรมะเพียงอย่างเดียว เพราะธรรมะเป็นที่พึ่งของใจ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะดับความทุกข์ใจได้ นอกจากธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ารู้ว่าจะต้องตายภายในเวลา ๓ เดือน ก็จะมีฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสากับการสร้างบุญสร้างกุศล เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ใจจะพึ่งได้ ทั้งในขณะที่ยังไม่ตายและหลังจากที่ตายไปแล้ว

จึงควรคิดถึงความตายอยู่เรื่อยๆ อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ให้คิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะความตายมาได้หลายรูปแบบด้วยกัน ถ้าไม่ตายด้วยความชรา ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ก็ตายด้วยอุบัติภัยต่างๆ ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะเกิดฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา ที่จะศึกษาปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างขะมักเขม้นอย่างเต็มที่ จะศึกษาปฏิบัติ จะเดินจงกรมนั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลา จะจัดการกับข้าวของเงินทองให้เรียบร้อย เก็บเอาไว้เท่าที่จำเป็น แล้วก็มุ่งสู่สถานที่ปฏิบัติ เพื่อรักษาศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗ ทุ่มเทเวลาให้กับการเดินจงกรมนั่งสมาธิ กับการเจริญสติ นั่งสมาธิทำใจให้รวมเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตารมณ์ ฝึกทำสมาธิให้ชำนาญ ให้แน่นหนามั่นคง จนสามารถเข้าสมาธิเวลาไหนก็ได้ หลังจากนั้นเวลาออกจากสมาธิก็ให้เจริญปัญญาต่อไป พิจารณาอนิจจังความไม่แน่นอน พิจารณาทุกขังความทุกข์ พิจารณาอนัตตาความไม่มีตัวตนของสภาวธรรมทั้งหลาย ตั้งแต่สภาวธรรมภายนอก คือลาภยศสรรเสริญ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ แล้วก็เข้ามาที่ร่างกายเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ แล้วก็เข้ามาที่จิตตามลำดับ ที่เป็นสนามสอบของการปฏิบัติ ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านให้ได้ คือปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติดกับสภาวธรรมเหล่านี้

เริ่มต้นที่ลาภยศสรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็มาที่ร่างกายที่ต้องแก่เจ็บตาย มาที่เวทนาความเจ็บปวดของร่างกาย มาที่เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ แล้วก็มาที่จิต คือธรรมารมณ์ต่างๆ ให้ปล่อยวางให้หมด ด้วยการพิจารณาให้เห็นว่า เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมบังคับสั่งการของเรา เพราะเขามีเหตุมีปัจจัยที่ทำให้เขาเกิดแล้วดับไป ถ้าไปยึดไปติดไปอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ความอยากคือสมุทัย ต้นเหตุของความทุกข์ อยากมีอยากเป็น อยากไม่มีอยากไม่เป็น อยากให้เป็นอย่างนั้นอยากให้เป็นอย่างนี้ อยากไม่ให้เป็นอย่างนั้นอยากไม่ให้เป็นอย่างนี้ อยากเสพอยากสัมผัสรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะชนิดต่างๆ ต้องไม่ให้มีความอยากเหล่านี้เกิดขึ้นภายในใจ ถ้าเห็นว่าเป็นอนิจจัง จะต้องเปลี่ยนไป เห็นว่าเป็นอนัตตา ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของเรา ที่จะบังคับให้เป็นไปตามความอยากของเรา เราก็จะไม่อยาก เพราะอยากไปก็จะเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ เป็นโทษเพราะทำให้จิตใจทุกข์ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดดับๆ มาแล้วไป ไม่ได้เป็นคุณเป็นประโยชน์กับจิตใจแต่อย่างใด

นี้คือการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย ต้องเกิดจากการทำทาน รักษาศีล ภาวนา สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ด้วยอิทธิบาท ๔ คือฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา ฉันทะคือความยินดีที่จะทำทานรักษาศีลภาวนา วิริยะคือความพากเพียรขยันที่จะทำทานรักษาศีลภาวนา จิตตะคือจิตใจจดจ่ออยู่กับการทำทานรักษาศีลภาวนา วิมังสาคือคิดใคร่ครวญ เรื่องทำทานรักษาศีลภาวนา นี้คืออิทธิบาท ๔ ที่จะผลักดันการปฏิบัติให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว.

จุลธรรมนำใจ ๓ กัณฑ์ที่ ๔๔๗
วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







น้ำในมหาสมุทรมีมากมายมหาศาล_ยังไม่มีวันเต็มฉันใด_ความโลภ_กิเลสตันหา
ความอยากได้ของมนุษย์ก็ไม่มีวันเต็มฉันนั้น ....

ข้อย..(หลวงปู่) จึงบ่อยากได้อะไร เป็นเพียงทางผ่านของสิ่งเหล่านั้น ไม่เคยนำมายึดติด มีเข้ามาก็มีออกไป ไม่ยึดไม่ติด..

#ธรรมเทศนาหลวงปู่ศิลา_สิริจันโท..







“ความหลุดพ้นที่มนุษย์ทุกคนพึงหานั้น
อยู่ที่ตนเอง หากตนเองมุ่งปฏิบัติตาม
คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะได้พบไม่ยาก
ขอให้มุ่งปฏิบัติเถิด การหลุดพ้นนั้น จะต้อง
ทำจิตใจของตนให้หมดกิเลส หมดสิ้นจาก
ทุกข์ทุกอย่าง หมดสิ้นจากสิ่งที่อยากได้
สิ่งที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง ตัดสิ่งนี้
ให้หมดสิ้น และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
จึงได้พบทางหลุดพ้น”
...
คำสอน หลวงพ่อเกษม เขมโก
สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง







"..ทาน คือเครื่องแสดงน้ำใจมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง ผู้มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ผู้อาภัพ ด้วยการให้การเสียสละแบ่งปันมากน้อย ตามกำลังของวัตถุเครื่องสงเคราะห์ที่มีอยู่ จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทาน หรือวิทยาทานแขนงต่าง ๆ ก็ตาม ที่ให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยมิได้หวังค่าตอบแทนใด ๆ นอกจากกุศลคือความดีที่เกิดจากทานนั้น ซึ่งจะเป็นสิ่งตอบแทนให้เจ้าของทานได้รับอยู่โดยดีเท่านั้น ตลอดอภัยทานที่ควรให้แก่กันในเวลาอีกฝ่ายหนึ่งผิดพลาดหรือล่วงเกิน คนมีทานหรือคนที่เด่นในการให้ทาน ย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผยและเด่นในปวงชนโดยไม่นิยมรูปร่างลักษณะ ผู้เช่นนี้มนุษย์และสัตว์ตลอดเทวดาที่มองไม่เห็นก็เคารพรัก จะตกทิศใดแดนใดย่อมไม่อดอยากขาดแคลน หากมีสิ่งหรือผู้อุปถัมภ์จนได้ ไม่อับจนทนทุกข์.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






คนเรามันบุญมา วาสนาส่ง ไปฟังธรรมะ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ของเรา ตายไป คนอื่นเขาก็เอาหมด แม้กระทั่งตัวเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา พอตายเขาก็เผา"

ได้สติ สำเร็จเป็นพระโสดาบัน

ธรรมะฟ้าสาง หน้า ๓๓

สมเด็จพระญาณวชิโรดม พุทธาคมวิศิษฐ์ จิตตานุภาพ พัฒนดิลก สาธกธรรมวิจิตร วิเทศศาสนกิจไพศาล วิปัสสนาญาณธุราทร ธรรมยุตติกคณิสสรบวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี​ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สถิต​ ณ วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร​ พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร

#เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม
#หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร