วันเวลาปัจจุบัน 15 ธ.ค. 2025, 05:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2025, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5432


 ข้อมูลส่วนตัว


“ศีล ธรรม นี่แหละคือของดี
ศีล คือการนำความผิดความชั่วออกจากกาย ออกจากวาจา ธรรม ก็คือความดีที่ป้องกันไม่ให้ความผิดหวังความชั่วเกิดขึ้นใน กาย วาจา ใจ ทั้งศีล ทั้งธรรม ก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่เราไปแยกสมมติ เรียกไปต่างหาก กาย วาจา ใจ ของเรานี้เป็นที่ตั้งของธรรม เป็นที่เกิดของธรรม เป็นที่ดับของธรรม ความดีก็เกิดจากที่นี่ ความชั่วก็เกิดจากที่นี่ สวรรค์ก็เกิดจากที่นี่ นรกก็เกิดจากที่นี่ เราจะรักษาศีล ภาวนา ให้ทาน ก็ต้องอาศัย กาย วาจา ใจ นี้เป็นเหตุ เราจะทำความผิด ความชั่ว ไปนรกอเวจีก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจ นี้เป็นเหตุ เราจะรักษาศีล ทำสมาธิ ภาวนา ให้เกิดปัญญา ทำมรรค ผล นิพพาน ให้แจ้ง ให้เกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจ นี้แหละ...””

ธรรมโอวาทโดย
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
(พ.ศ. ๒๔๓๐ – ๒๕๒๘)






ถ้าคิดได้ ให้ช่วยคิด
ถ้าคิดไม่ได้ ให้ช่วยทำ
ถ้าทำไม่ได้ ให้ความร่วมมือ
ถ้าร่วมมือไม่ได้ ให้กำลังใจ
แม้ให้กำลังใจไม่ได้...ให้สงบนิ่ง

#พระราชมงคลวชิรปัญญา
#หลวงปู่อิ่มอายุ๑๐๙ปี





"..บุคคลผู้ประสงค์จะแก้บาปนั้น นอกจากการนั่งสมาธิภาวนาแล้วไม่มีวิธีอย่างอื่นที่จะแก้ได้ เพราะมีอานิสงส์มาก เป็นวิธีแก้จิตที่เป็นบาปให้กลับมาเป็นบุญได้ แก้จิตที่เป็นโลกีย์ ให้เป็นโลกุตตระ ได้ เมื่อแก้จิตให้บริสุทธิ์ดีแล้ว บาปอกุศลก็หลุดหายไปเอง พึงเห็นองคุลิมาลเป็นตัวอย่าง.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม) วัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
(พ.ศ.๒๔๓๒-๒๕๐๔ )







"..พอเวลาตายแล้ว จะนิมนต์พระไปสักร้อยวัดให้สวดกุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อพยากตาธัมมา หมดวันหมดคืน นั่น อยากจะไปสวรรค์ ด้วยคำสวดของพระไม่ได้หรอก
ให้เราละเท่านั้นแหละ ตายปุ๊บก็ไปทุคติปั๊บ ไอ้คนชั่วมันไม่ไปคอยฟัง สวดกุสลาอยู่นั่นดอก
อันคนใจบุญก็เหมือนกัน ตายปุ๊บก็ไปสู่สุคติทันที ไม่คอยมาฟัง กุศลาธัมมากับพระหรอก มันเป็นยังงั้น
เมื่ออาตมาตาย ไม่ต้องนิมนต์พระสวดให้เมื่อยหรอก มีเครื่องไทยทาน ก็ถวายท่านเลย ไม่ต้องสวดกุศลาธัมมาอะไรหรอก ไม่ต้องให้สวด พระอภิธรรม อารามณาปัจจโย อะไรก็ไม่ต้องว่า อาตมาสวดใส่ไว้แล้ว กุศลาธัมมาก็สวดใส่ทุกวัน อกุศลาธัมมา ก็สละ ออกทุกวัน อพยากตาธัมมาก็ไม่ให้มันติด บุญก็ไม่ให้มันติด บาปก็ไม่ให้ มันเกิด ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นยังงั้น มันคงไม่เป็นพระโง่เท่าใดดอก.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
วัดอรัญญวิเวก ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๑๗)






"คนเรามีภูมิจิตภูมิธรรมต่างกัน
ฝึกปฏิบัติมาไม่เท่ากัน
จะให้ทุกคนรู้เหมือนเรา
เข้าใจเราทุกอย่างไม่ได้
เมื่อเขาทำพลาดไปเราควรให้อภัย
วันหนึ่งเขาจะรู้เอง ทำได้ถูกต้องเอง"

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป






"สนิมเกิดจากเหล็ก ย่อมตัดเหล็กฉันใด
ความชั่วเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมทำลายตนเองฉันนั้น"

หลวงปู่ขาว อนาลโย







"..โลกุตตรศีล เป็นขั้นแรกของพระนิพพาน ถึงแม้จะเวียนว่ายตายเกิด ก็ยังเป็นคนพิเศษอยู่ ผิดจากมนุษย์ธรรมดา ใครปฏิบัติได้เช่นนั้นนับว่าเป็นผู้มีโชคลาภ มีทรัพย์อันแน่นอน เปรียบเหมือนแท่งทอง ย่อมใช้ประโยชน์ได้ทั่วไปในโลก ไม่เหมือนธนบัตรหรือเงินตรา ซึ่งมีขอบเขตจำกัดที่จะต้องใช้กันภายในประเทศนั้นๆ ส่วนทองใช้ได้ทั่วทุกสถาน เพราะเป็นทรัพย์พิเศษก้อนหนึ่งของมนุษย์ นี้ฉันใด ใจที่เป็นศีลเป็นธรรม ย่อมใช้ได้ในโลกนี้ และโลกอื่น จึงจัดว่าเป็นผู้ได้อริยทรัพย์อันประเสริฐของนักปฏิบัติในทางศาสนา.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙–๒๕๐๔)







เคล็ดลับสำคัญที่ควรระลึกไว้ คือ
ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง
ของการปฏิบัติเท่านั้น เราต้องหาความสุข
ระหว่างการเดินทางไปด้วย ความสุขนั้น
อาจไม่ใช่ความรู้สึกชื่นฉ่ำ แต่เป็นความสุข
ที่เกิดขึ้น เมื่อเราสำนึกว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่
มีคุณค่า มีความหมาย มีแก่นสาร
เมื่อมีความสุขในการทำสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับชีวิต ความพอใจในธรรม ความอดทน
ความมุ่งมั่นย่อมตามมา
...
พระอาจารย์ชยสาโร






"..พระพุทธเจ้าต้องการให้จิตมันเห็นจิต มันไม่เห็นให้บริกรรมให้เห็น ต้องการให้มันเบื่อหน่าย ให้มันเห็นว่าไม่ใช่ตน สิ่งเหล่านี้ ธาตุทั้ง ๔ ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งนั้น อายตนะก็ดีตกอยู่ในไตรลักษณ์หมดทั้งนั้น เรามาสำคัญว่าหู ว่าจมูก ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย ว่าใจเป็นของเรา เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น นั่งก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขาอะไรนั้น สมาธิก็ต้องออก ท่านจึงให้สู้มัน ไม่ต้องหลบมัน เราจะสู้ข้าศึกก็ต้องอย่างนั้นแหละ ต้องมีขันติความอดทน ทนสู้กับความเจ็บปวดทุกขเวทนา ดูมัน จิตมันถูกอันใดอันหนึ่ง จะหาความสุขใส่ตนก็มีแต่ฝึกฝนทรมานตนนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านว่า สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ ให้ทรมานจิตฟอกฝนจิตของเรา ฝนจิตให้มันว่าง ให้มันรู้เท่าความเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตนั่นแหละจะทำประโยชน์มาให้ในชาตินี้ คือนำความสุข คือนิพพานมาให้ หรือจิตเรายังไม่พ้น ก็จะนำสวรรค์มาให้ นำเอาความสุขมาให้ตราบเท่าตลอดเวลา ตราบเท่าชีวิต แล้วมีสติคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป..''

อนาลโยวาท
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)





"...ถ้ายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง อย่าพึ่งละทิ้งซึ่งความเพียรของตน เพ่งพิจารณาจนกำลังปัญญานั้นแก่กล้าก็จะได้รู้ว่าธรรมทั้งหลายเหล่านั้น จะเป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม ธรรมในธรรมก็ตาม ก็จะมีแต่ความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ความดับไป หาเป็นสาระแก่นสารมิได้ เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสังขตธรรมทั้งสิ้น..."

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร








“ใจไม่อยู่ คิดโน้นคิดนี้ นั่นแหละ
เรียกว่ามันไปต่อภพต่อชาติ ที่ว่าเกิด
ถ้าตาย ก็ไปเกิดตามบุญตามบาปที่ทำไว้”
...
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร






ความยึดถือในสังขารทั้งหลาย
เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
เพราะสังขารเป็นของไม่เที่ยง
ดังนั้นทำความปล่อยวางเสียได้
ไม่ยึดถือในสังขารทั้งหลาย จึงเป็นความสุข เรียกว่า ความสุขในทางธรรม
คือ เป็นความสุขที่สงบเย็น มั่นคง
ไม่เปลี่ยนแปลง

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร