วันเวลาปัจจุบัน 15 ธ.ค. 2025, 05:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 12 ธ.ค. 2025, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5432


 ข้อมูลส่วนตัว


"ของอาตมาไม่ต้องตัด
ไม่ต้องตัดสังขาร
ไปหาจิตซะ......
หาจิตให้เจอ
สังขารก็จะไม่มา"

#หลวงพ่อเยื้อน ขนติพโล
วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร




"ทำให้ทุกข์สิ้นไปได้"

" .. เราทุกคนที่เกิดมา "ถูกความเกิดแก่ เจ็บ ตาย ความโศก ความเศร้า ความ ทุกข์กาย ทุกข์ใจครอบงำ" ให้ทราบว่า "เราทุกคนตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์ปรากฏ" อยู่ในเบื้องหน้าเป็นฉาก ๆ เหมือนกำลังเดินฝ่าดงหนาม ให้พากันพิจารณาขึ้นมาในใจว่า "ทำอย่างไร เราจึงจะกำจัดดงหนาม คือทุกข์เหล่านี้ให้สูญสิ้นไปได้"

เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว "จงพากันบริกรรมภาวนา พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ ให้เร็ว ๆ ๆ จนจิตนี้ มีหลักคือความสงบเป็นพื้นฐาน" แล้วมาพิจารณาขันธ์ห้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เพราะถ้า "ผู้ภาวนามัวเข้าแต่สมาธิอย่างเดียว จิตจะติดอยู่ในสมาธิ" จะเห็นแต่ความหัศจรรย์ทาง ด้านสมาธิอย่างเดียว ส่วนความมหัศจรรย์ทางด้านปัญญาจะไม่เห็น

"ความมหัศจรรย์ ทางด้านปัญญา เป็นความมหัศจรรย์อย่างแท้จริง" ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องคิดค้น "มีโยนิโสมนสิการเสมอ ๆ ต้องคิดค้นคลี่คลาย จนกระทั่งจิตนี้บื่อหน่ายในขันธ์และในจิต" การภาวนาอย่างนี้ก็จะเห็นผลประจักษ์ใจเอง .. "

"พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง"
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท







ทุกข์มีคุณค่า ถ้ารู้จักใช้
-
คนเราถ้าเจอทุกข์แล้วยอมรับได้
มันก็สามารถไปต่อได้
แต่ถ้าเจอความทุกข์แล้วยอมรับไม่ได้
มันก็มีแต่ฉุดให้ถอยหลัง
จมอยู่กับอดีต หรือไม่ก็อาลัยอาวรณ์
กับความสำเร็จที่เคยผ่านพ้น
แต่พอยอมรับได้ มันก็ไปต่อได้ ...
-
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต






#อุปนิสัยและกรณียกิจของหลวงปู่มั่น

สิ่งที่หลวงปู่ยึดเป็นอนุสติ พึงจดจำรำลึก
ถึงหลวงปู่มั่น นั่นก็คืออุปนิสัยความมักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่ระคนด้วยหมู่คณะ แสวงหาวิเวก ปรารภความเพียรและการถือกรณียกิจของท่านอันประกอบด้วย

๑.ไม่มีเพศคู่ มีจิตห่างจากาม เป็นเนกขัมมะ มีจิตสงบลงสู่ธรรม ครองพรหมจรรย์ตลอดชีวิต
๒.มีจิตเปี่ยมล้นอยู่ด้วยเมตตาธรรม คำว่า ฆ่า เจตนามุ่งให้ผู้อื่นตาย ไม่มีในจิต
๓.มีจิตรู้สำนึก สำรวมในการเลี้ยงชีพ เป็นอาชีวปาริสุทธิ คือไม่แตะต้องของที่ผู้อื่นไม่ประเคนให้ด้วยใจบริสุทธิ์ และไม่ประเคนให้ด้วยความเคารพ
๔.ไม่อวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมอันยิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่มี การอวดนั้นไม่ว่าจะอวดอะไร ย่อมไม่มีในนิสัยของหลวงปู่มั่น คือ ผู้เห็นธรรม เพราะธรรมเป็นของสงบเรียบเย็น ไม่มีกระแสมุ่งดึงผู้อื่นมาดูของที่ตัวมี แต่มีกระแสมุ่งสอนดึงผู้อื่น ให้ดูธรรมอันยิ่งของตัวเอง และเมื่อเห็นจริงๆ ต่างคนต่างก็สงบราบเรียบเสมอกัน

“สิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่อาตมาประทับใจคุณธรรมของท่าน ท่านคุณธรรมอันดีงามอยู่ในใจจริงๆ เมื่อครั้งที่คณะสงฆ์ส่งเจ้าคุณอุบาลีฯ จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านก็ได้ชวนท่านพระอาจารย์มั่นขึ้นไปอยู่ด้วยกัน ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นศิษย์อาวุโสของท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ และเป็นคนอุบลราชธานีเหมือนกัน"

ต่อมาในหลวงรัชการที่ ๗ ทรงรับสั่งให้อาราธนานิมนต์เจ้าคุณอุบาลีฯ กลับลงมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสตามเดิม

เมื่อท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ อายุได้ ๗๗ ปี เกิดอาพาธหนักและมรณภาพลง ท่านพระอาจารย์มั่นทราบว่า ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มรณภาพก็เลยแต่งบริขารหนีจากวัดเจดีย์หลวง เดินธุดงค์ขึ้นไปอยู่กับพวกชาวเขาชาวดอย ใจท่านเด็ดเดี่ยวไปแต่เพียงลำพัง

"ต่อมาท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี ได้เดินทางมาตามหาท่านไปพบท่านจำพรรษากับชาวเขาอยู่บนดอยมูเซอ จึงไปขอจำพรรษาอยู่กับท่าน และก็มีลูกศิษย์รูปอื่นๆ ที่ได้ติดตามไปที่เชียงใหม่
มีพระอาจารย์ฟั่น อาจาโร, พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ, พระอาจารย์พรหม จิรปุญโญ, พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม, พระอาจารย์ขาว อนาลโย และมีอีกหลายรูปจำชื่อท่านไม่ได้”
---------------------------------------------
#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
"ที่มา พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) จัดพิมพ์บรรณาการ เนื่องในงานเสด็จพระราชทานเพลิงศพ"







"..ร่างกาย.." ของเรานี้เป็น "เรือนมูตร เรือนคูถ" เป็น "อสุภะ" ร่างกายอันนี้ให้ชำนิชำนาญ เจริญให้มาก ทำให้มาก

ให้มี “สติ” หรือ พิจารณาในที่ทุกสถาน ในกาล ทุกเมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ให้ “มีสติ” รอบคอบในกายอยู่เสมอ จึงจะชื่อว่า ทำให้มาก

แบ่งส่วนแยกส่วน ออกเป็น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม พิจารณาให้เห็นไปตามนั้น แต่อย่าละทิ้ง “หลักเดิม” ที่ตน “ได้รู้ครั้งแรก”

ให้พิจารณาก้าวเข้าไป ถอยออกมาเป็น อนุโลม ปฏิโลม
เข้าไปสงบในจิต แล้ว ถอยออกมาพิจารณากาย อย่าพิจารณากายอย่างเดียว หรือสงบที่จิตแต่อย่างเดียว

พิจารณาอย่างนี้ชำนาญแล้ว ทุกสิ่งรวมลงเป็นอันเดียว ญาณสัมปยุตต์ คือ “รู้” เกิด จึงชื่อว่า “ยถาภูตญาณทัสสนวิปัสสนา” คือ ทั้งเห็นทั้งรู้ตามความเป็นจริง

ขั้นนี้เป็นเบื้องต้น ในอันที่จะดำเนินต่อไป ไม่ใช่ที่สุด

"สังขาร" ความปรุงแต่ง อันเป็นความสมมติว่าโน่นเป็นของของเรา โน่นเป็นเรา เป็น "ความไม่เที่ยง" อาศัย "อุปาทาน" ความยึดถือ จึงเป็น "ทุกข์"

"อาการของจิต" ของขันธ์ ๕ ได้แก่ "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ไปปรุงแต่งสำคัญมั่นหมาย ทุกภพ ทุกชาติ นับเป็น อเนกชาติเหลือประมาณ มาจนถึงปัจจุบันชาติ จึงทำให้ "จิตหลง" อยู่ตาม "สมมติ"

"ธรรมชาติทั้งหลาย มีวิญญาณหรือไม่ก็ตาม เขาหากมี หากเป็น เกิดขึ้นเสื่อมไป มีอยู่อย่างนั้นทีเดียว"

ความข้อนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า “เราไม่ได้ฟังมาแต่ใคร มิได้เรียนมาแต่ใคร" เพราะ "ของเหล่านี้ มีอยู่ มีมาแต่ก่อนพระองค์” ดังนี้

“สังขาร” เป็น “อาการของจิต” เปรียบเหมือน “พยับแดด” ส่วนสัตว์เขาก็อยู่ประจำโลกแต่ไหนแต่ไรมา “ฐีติภูตํ จิตตั้งอยู่เดิมไม่มีอาการ” เป็น “ผู้หลุดพ้น”

“สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” “ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน”

พิจารณาให้เห็นแจ้งประจักษ์ตามนี้จนทำให้ “จิตรวมพึ่บลงไป” เห็นจริงแจ้งชัดตามนั้น "จิตรวมทวนกระแส” แก้ “อนุสัยสมมติเป็นวิมุตติ” หรือ “รวมลงฐีติจิต” อันเป็นอยู่ มีอยู่อย่างนั้น จนแจ้งประจักษ์ในที่นั้นด้วย “ญาณสัมปยุตต์” ว่า “ขีณา ชาติ ญาณํ โหติ” ดังนี้

ในที่นี้ ไม่ใช่สมมติ ไม่ใช่ของแต่งเอาเดาเอา ไม่ใช่ของอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได้ เป็นของที่เกิดเอง เป็นเองรู้เอง โดยส่วนเดียวเท่านั้น

“วิมฺตติธรรม” มิใช่สิ่งอันบุคคลจะ “พึงปรารถนา” เอาได้ คนผู้ “ปรารถนาวิมุตติธรรม” แต่ “ปฏิบัติไม่ถูกต้อง” หรือ “ไม่ปฏิบัติ” มัวเกียจคร้านจนวันตายจะ “ประสบวิมุตติธรรมไม่ได้เลย” ด้วยประการฉะนี้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







"..ร่างกาย.." ของเรานี้เป็น "เรือนมูตร เรือนคูถ" เป็น "อสุภะ" ร่างกายอันนี้ให้ชำนิชำนาญ เจริญให้มาก ทำให้มาก

ให้มี “สติ” หรือ พิจารณาในที่ทุกสถาน ในกาล ทุกเมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ให้ “มีสติ” รอบคอบในกายอยู่เสมอ จึงจะชื่อว่า ทำให้มาก

แบ่งส่วนแยกส่วน ออกเป็น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม พิจารณาให้เห็นไปตามนั้น แต่อย่าละทิ้ง “หลักเดิม” ที่ตน “ได้รู้ครั้งแรก”

ให้พิจารณาก้าวเข้าไป ถอยออกมาเป็น อนุโลม ปฏิโลม
เข้าไปสงบในจิต แล้ว ถอยออกมาพิจารณากาย อย่าพิจารณากายอย่างเดียว หรือสงบที่จิตแต่อย่างเดียว

พิจารณาอย่างนี้ชำนาญแล้ว ทุกสิ่งรวมลงเป็นอันเดียว ญาณสัมปยุตต์ คือ “รู้” เกิด จึงชื่อว่า “ยถาภูตญาณทัสสนวิปัสสนา” คือ ทั้งเห็นทั้งรู้ตามความเป็นจริง

ขั้นนี้เป็นเบื้องต้น ในอันที่จะดำเนินต่อไป ไม่ใช่ที่สุด

"สังขาร" ความปรุงแต่ง อันเป็นความสมมติว่าโน่นเป็นของของเรา โน่นเป็นเรา เป็น "ความไม่เที่ยง" อาศัย "อุปาทาน" ความยึดถือ จึงเป็น "ทุกข์"

"อาการของจิต" ของขันธ์ ๕ ได้แก่ "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ไปปรุงแต่งสำคัญมั่นหมาย ทุกภพ ทุกชาติ นับเป็น อเนกชาติเหลือประมาณ มาจนถึงปัจจุบันชาติ จึงทำให้ "จิตหลง" อยู่ตาม "สมมติ"

"ธรรมชาติทั้งหลาย มีวิญญาณหรือไม่ก็ตาม เขาหากมี หากเป็น เกิดขึ้นเสื่อมไป มีอยู่อย่างนั้นทีเดียว"

ความข้อนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า “เราไม่ได้ฟังมาแต่ใคร มิได้เรียนมาแต่ใคร" เพราะ "ของเหล่านี้ มีอยู่ มีมาแต่ก่อนพระองค์” ดังนี้

“สังขาร” เป็น “อาการของจิต” เปรียบเหมือน “พยับแดด” ส่วนสัตว์เขาก็อยู่ประจำโลกแต่ไหนแต่ไรมา “ฐีติภูตํ จิตตั้งอยู่เดิมไม่มีอาการ” เป็น “ผู้หลุดพ้น”

“สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” “ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน”

พิจารณาให้เห็นแจ้งประจักษ์ตามนี้จนทำให้ “จิตรวมพึ่บลงไป” เห็นจริงแจ้งชัดตามนั้น "จิตรวมทวนกระแส” แก้ “อนุสัยสมมติเป็นวิมุตติ” หรือ “รวมลงฐีติจิต” อันเป็นอยู่ มีอยู่อย่างนั้น จนแจ้งประจักษ์ในที่นั้นด้วย “ญาณสัมปยุตต์” ว่า “ขีณา ชาติ ญาณํ โหติ” ดังนี้

ในที่นี้ ไม่ใช่สมมติ ไม่ใช่ของแต่งเอาเดาเอา ไม่ใช่ของอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได้ เป็นของที่เกิดเอง เป็นเองรู้เอง โดยส่วนเดียวเท่านั้น

“วิมฺตติธรรม” มิใช่สิ่งอันบุคคลจะ “พึงปรารถนา” เอาได้ คนผู้ “ปรารถนาวิมุตติธรรม” แต่ “ปฏิบัติไม่ถูกต้อง” หรือ “ไม่ปฏิบัติ” มัวเกียจคร้านจนวันตายจะ “ประสบวิมุตติธรรมไม่ได้เลย” ด้วยประการฉะนี้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร