วันเวลาปัจจุบัน 15 ธ.ค. 2025, 05:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 13 ธ.ค. 2025, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5432


 ข้อมูลส่วนตัว


"พระพุทธศาสนาคือศาสนาที่แท้จริง พระพุทธเจ้าสั่งสอนมา มีแต่ของจริงทั้งหมด แต่บุคคลผู้บ่ปฏิบัตินำกะบ่รู้ว่าจริง นึกว่าศาสนาหมดแล้ว บ่..บ่หมด ศาสนาบ่หมด มีแต่บุคคลที่บ่ประพฤติปฏิบัติ บ่มีศีลมีธรรมนั่น ว่าศาสนาหมดแล้ว เฉพาะบุคคลหนึ่งๆ ผู้เพิ่นบริสุทธิ์ ผู้เพิ่นเป็นอรหัตอรหันต์มีอยู่ คันผู้บ่รู้ บ่เข้าใจกะนึกว่าบ่มี ศาสนาหมดแล้ว มันบ่หมด หมดเฉพาะบุคคล ผู้บ่ประพฤติปฏิบัติเป็นพระเป็นเณรกะซ่าง คันบ่รู้ธรรม กะนึกว่าศาสนาหมด ผู้ดีมีอยู่ มีศีลมีธรรมเชื่อแน่ในศาสนาว่ามีจริงอยู่ เหตุนั่นพวกเราทั้งหลายจงพิจารณาให้เข้าใจ วิ่งไปนั่น วิ่งไปนี้ องค์นั่นดี องค์นั่นไม่ดี องค์นั่นประพฤติชอบ องค์นี้ไม่ประพฤติชอบ หาพูดไป หาว่าไป แต่เจ้าของตัวเองนั่นวิ่งหาอยู่บ่เห็นจั๊กเถื่อศาสนานั่น จั๊กอยู่ไหน ว่าแต่อยู่นำพระนำเณร อยู่นำบุคคลนรชนทั่วไป บ่อยู่แต่นำพระนำเณรดอก อยู่นำผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ฆราวาสญาติโยมกะซ่าง คันผู้มีศีล พุทธธรรมกะอยู่ในคนนั่นละ ให้เข้าใจอย่างนั่น..."

หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร







ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความว่างได้
ถ้าเช่นนั้น...
จิตว่าง จิตตรงนี้คือจิตที่พันทุกข์ คือจิตปลอดภัยที่สุด
คือโลกุตตระจิต

#หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล





"..นิโรธะ....การปฏิบัติอานาปานสติ ถ้าไม่ถูกกับจริต มีความอึดอัดใจ หายใจไม่สะดวก ไม่สบาย ถ้าถูก มันจึงสบาย หายใจเบาลง แต่คนก็ชอบแต่ความสบาย ถ้าไม่สบายไม่ค่อยชอบ ถ้ามันสบาย มันก็หลงไปเสียกับความสบายล่ะ ถ้าเปลี่ยนบ้างมันจึงจะดี เปลี่ยนคือความเจ็บป่วยนั้น มันเปลี่ยนบ้าง มันจึงรู้ มันจึงตื่น หมายความว่าเปลี่ยน มันไม่เพลิน เวทนามันทรมาน ให้เขาปราบเอาบ้าง มันจึงดี เหมือนกันกับเด็กมันดื้อ มันคะนอง พ่อแม่ต้องเฆี่ยนเอาบ้าง มันจึงหายความคะนอง จิตของเรามันเป็นอย่างนั้น ถ้าอยู่ดีสบายแล้ว มันลืม ให้นั่งภาวนาเป็นสมาธิ ให้มันเป็นปัญญา คอยเตือนอย่าดื้อ อย่าคะนอง ให้กำหนดให้มันรู้ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนว่าให้มารู้จักทุกข์ ถ้ามันสบายแล้วมันไม่รู้จักทุกข์ มันมัวแต่เพลินไป ถ้ามันสบายแล้ว ให้มันไม่สบาย แล้วมันจึงกำหนดรู้จักทุกข์

พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าให้มันรู้จักทุกข์ ให้มันรู้จักพิจารณาแต่ทุกข์ พิจารณาให้มันเห็นชัด มันอยู่ที่ใจแล้ว มันจึงจะค้นหาเหตุ ทุกข์เป็นผล แล้วความทะเยอทะยานนั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ ค้นไปให้เห็นเหตุเกิดทุกข์ จะปล่อยวางความทะเยอทะยานความหลง อันสมุทัยนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สมุทัยสมมุติ สมมุติว่าผู้หญิง ผู้ชาย ว่าคน ว่าสัตว์ นั่นไปหลงสมมุติ พอใจเพราะความหลง สมุทัยก็มาจากความหลง พอมันขี้หลงเข้า หลงอยากเป็นอยากมี หลงสิ่งที่ไม่ชอบ รู้เหตุอันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุให้ท่องเที่ยวในสังสารจักรไม่มีที่สิ้นสุด ให้ปล่อยวางอันนี้

ปล่อยวาง คือไม่ยึดไม่ถือ รู้เท่ามัน เมื่อปล่อยวางแล้วนั่นแหละ จิตมันจึงจะสงบ จิตมันจึงจะมีความสุขความสบาย จิตไม่ดิ้นรน จิตสงบนั่นแหละ ให้รู้ว่าจิตเราสงบ จิตเราไม่เพลิดเพลินกับอารมณ์ ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม ไม่เพลิดเพลิน เฉย เป็นกลาง เรียกว่า “นิโรธะ” ปล่อยวางอันนี้ ความทะเยอทะยานหรือสมุทัย วางอันนี้แหละ ได้ชื่อว่าปล่อยเหตุ วางเหตุแล้วจิตสงบ จิตเป็นกลาง การค้นการพิจารณาเรื่องจิตนี้เรียกว่า มรรคปฏิปทา เรียกว่าข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

เราภาวนาบริกรรมอันใด มันสบายใจ บริกรรมแล้วก็ต้องพิจารณา “สมถะ” การบริกรรม “วิปัสสนา” เรียกว่า กำหนดพิจารณา เรื่องพิจารณาสังขารร่างกาย อันนี้เรียกว่าวิปัสสนา ทำไปพร้อมเมื่อบริกรรมไป บริกรรมไป พอจิตสงบสักหน่อย มันไม่ลงถึงที่ มันก็ต้องค้นคว้า ก็ค้นคว้าร่างกายของเรา ต้องพิจารณาสกนธ์กายของเรานี่แหละ กรรมฐานทุกคนนั่นแหละ พวกพระ พวกเณร พวกญาติโยมนั่นก็เป็นกรรมฐาน กรรมฐานหมด มีอยู่หมดทุกรูปทุกนาม

พระพุทธเจ้าว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เรียกว่า “ปัญจกรรมฐาน” กรรมฐานแท้ ให้พิจารณาอันนี้ ผมมันก็ตั้งอยู่บนศีรษะ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ผมไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก ขนก็ไม่ใช่คน เรามาสำคัญว่าขนเรา เล็บเรา ผมเรา ฟันก็ไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก หนังก็ไม่ใช่คน หนังสำหรับห่อกระดูกไว้เท่านั้นแหละ

อาการ ๓๒ นี่ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาแยกออกเป็นสัดเป็นส่วน อะไรเป็นคนเป็นสัตว์ ไม่สำคัญว่าผู้หญิงผู้ชาย ว่าเขาว่าเรา สำคัญที่คนเห็นผิด อาการ ๓๒ นี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า เยื่อในสมองศีรษะ เป็นต้น หมู่นี้เป็นคนละอย่างๆ มันไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่ามันไม่ใช่คนนะ

อีกอย่างพระพุทธเจ้าว่า ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมกัน เรียกว่า รูป รูปใหญ่ มหาภูตรูป สิ่งที่อาศัยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ

เวทนา คือความเสวยอารมณ์ สุขทุกข์ก็ดี สัญญา ความจำหมายโน่นหมายนี่ จำโน่นจำนี่ จิตเจตสิก คือ ความคิดความอ่าน ความปรุงขึ้นที่จิตคือวิญญาณสังขาร ความรู้ทางอายตนะทั้ง ๖ อันนี้เราว่ารูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เรียกว่า “ขันธ์” ไม่มีคนไม่มีสัตว์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ วิญญาณเป็นความรู้เท่านั้น รู้กันอยู่นี่แหละ ค้นไปค้นมาอยู่นั่น มองดู คนอยู่ไหน

สมถะ คือการบริกรรม วิปัสสนา การค้นคว้าอาการ ๓๒ นี่แหละ ค้นไป ไม่ส่งจิตไปที่อื่น เวลาเราทำสมาธิ เราต้องตั้งใจว่าเวลานี้เราจะทำหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือจะกำหนดให้มีสติประจำใจ ไม่ให้มันออกไปสู่อารมณ์ภายนอก ให้มีสติประจำใจอยู่ ไม่ให้ไปภายนอก เดี๋ยวนี้หน้าที่ของเราจะภาวนา จะทำหน้าที่ของเรา ไม่ต้องคิดการงานข้างนอก เมื่อออกแล้วจะทำอะไรก็ทำไป เวลาเราจะทำสมาธิทำความเพียรของเรา ต้องตั้งสัจจะลง ตั้งใจกำหนดอยู่ในสกนธ์กายนี้ กำหนดสติให้รู้กับใจ เอาใจรู้กับใจ ให้จิตอยู่กับจิต กำหนดจิตขึ้น ให้ทำให้มันพอ อาศัยศรัทธา วิริยะ เหตุทำให้มากๆ อันนี้แหละก้อนธรรม

พระพุทธเจ้าว่าก้อนธรรมอันนี้แหละ ก้อนธรรมหมดทั้งก้อน ธรรมไม่มีที่อื่น ไม่มีที่อยู่อื่น จำเพาะรูปใคร รูปเราเท่านั้น เป็นธรรมหมดทั้งก้อน ก้อนธรรมอันนี้ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน

พระพุทธเจ้าว่า ปัญจุปาทานักขันธา อนิจจา ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มีความเกิดขึ้นตั้งขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีความแตกสลายไปในเบื้องปลาย ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ขันธ์อันนี้เป็นทุกข์ มีทุกข์บีบคั้นอยู่ มีแต่ทุกขเวทนานั่นแหละ ความสุขมีนิดเดียว ผู้ที่พิจารณาเห็นตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสักหน่อยความสุขในโลกนี้ โลกคือสกนธ์โลกอันนี้ สกนธ์กายนี้ ปัญจุปาทานักขันธา อนัตตา ธรรมทั้งหลายสกนธ์กายอันนี้ ขันธ์ ๕ อันนี้ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายจะเป็นสังขตธรรมหรืออสังขตธรรมก็ตาม ไม่มีความประเสริฐ ไม่มีความดี พิจารณาเห็นสกนธ์กายว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแล้ว อันนี้เรียกว่าผู้ถึงวิราคะ วิราโค เสฏโฐ เป็นธรรมอันประเสริฐ

วิราคะคือความคลายกำหนัดจากอารมณ์ทั้งหลาย นี่เป็นธรรมอันประเสริฐ นั่นแหละเมื่อถึงวิราคะ เรียกว่า นิโรโธ ทุกข์ดับ มีความเบื่อหน่าย เหนื่อยหน่ายในความเป็นอยู่ของอัตภาพ นี่แหละเรียกว่าปล่อยวาง เห็นตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางตัณหา ความทะเยอทะยาน ความอยาก ความใคร่ในทางกิเลสกาม ความอยากเป็นอยากมี ถึงขั้นนี้ก็กิจสำเร็จแล้ว..“

จากหนังสือ อนาลโยวาท หลวงปู่ขาว อนาลโย
ประวัติ ปฏิปทา และคำเทศนา
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู
กัณฑ์ที่ ๔ นิโรธะ






"กำหนดจุดรู้...
ไว้จุดเดียว รวมความรู้สึกทั้งหมด
ทำความรู้ตัวเต็มที่ และรู้อยู่...กับที่ไว้ที่จุดเดียว โดยไม่ต้องรู้อะไร คือรู้ตัว อย่างเดียว
มีสติ...รักษาจิตเช่นนี้ ไว้เรื่อยๆ
อย่า บังคับจิต
อย่า ปล่อยจิตให้ล่องลอย ไปตามยถากรรม
อย่า ปรุงแต่ง
อย่า ตามความคิดของตนเอง ให้มีสติรู้... อยู่...ที่จุดเดียว

จากนั้น...ค่อยๆรักษาจิต ให้อยู่ในสภาวะรู้... อยู่...กับที่ ต่อไป
ครั้น พลั้งเผลอ สติอ่อน รักษาไม่ดีพอ
จิต ก็จะแล่นไป เสวยอารมณ์ข้างนอกอีก
จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณา และรักษาจิตต่อไป

ด้วยอุบาย อย่างนี้...
ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้
และบรรลุสมาธิ ใน...ที่สุด

ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่
อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้ บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มี...กำลังใจ
ในการเจริญจิตครั้งต่อๆไป พึงสังเกตว่า
ฐานนี้...ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล
บางวัน อยู่ที่หนึ่ง
บางวัน อยู่อีกที่หนึ่ง

เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิต ก็จะแล่นไป
สู่...อารมณ์ทันที
ความไม่ขาดสายของพุทโธ จะต้องเป็นไป
ด้วยความไม่ลดละ

ข้อควรจำในการกำหนดจิต นั้น...
ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในจิต จึงจะยังสมาธิ
ให้บังเกิดได้ เจตจำนงนี้...คือตัวศีล หรือสติ”

-----------------------------------------‐------------------------
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม







“เป็นธรรมชาติของร่างกาย”

ถาม: ชีวิตมนุษย์เราเกิดแก่เจ็บตาย เกิดจากตัวเรากำหนดเองหรือบุญกรรมเก่าลิขิตมาไว้แล้วคะ

พระอาจารย์: คือเกิดแก่เจ็บตายมันเป็นธรรมชาติของร่างกาย ไม่มีใครกำหนด ถ้ามาเกิดพอได้ร่างกายแล้ว ต่อไปมันก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายด้วยกันทุกคน จะทำบุญมามากน้อยเพียงไร จะทำบาปมามากน้อยเพียงไร พอมาเกิดก็แก่เจ็บตายเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็แก่เจ็บตายเหมือนกัน องคุลิมาลก็แก่เจ็บตายเหมือนกันสำหรับร่างกาย
ถ้าอยากไม่แก่เจ็บตายก็อย่ามาเกิดเท่านั้น ส่วนมาเกิดแล้วจะสุขจะทุกข์มากน้อยต่างกันนี้ เป็นเรื่องของบุญของบาป จะรวยหรือจะจนนี้เป็นเรื่องของบุญของบาปที่เราทำมา แต่เรื่องของร่างกายนี้เหมือนกันทุกคน มีอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ทำมาจากดินน้ำลมไฟ เป็นอนิจจังไม่เที่ยง เกิดแล้วต้องตายไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีตัวตน อันนี้เหมือนกันทุกคน

ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๘

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี







"..แทบทุกคนเคยเป็นมาแล้ว ทั้งเทวดา เจ้าฟ้า พระมหากษัตริย์ ยาจก วณิพก เศรษฐี คหบดี ตลอดจนสัตว์ใหญ่สัตว์น้อย เคยตายมาแล้วด้วยอาการต่างๆ ตายอย่างเทวดา ตายอย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ตายอย่างขอทานข้างถนน ตายอย่างสัตว์ ทั้งที่ตายเอง และทั้งที่ถูกฆ่าตาย

เคยมีทั้งสุข เคยมีทั้งทุกข์ เคยเป็นทั้งผู้ร้าย เคยเป็นทั้งผู้ดี น้ำตาเคยท่วมบ้านท่วมเมืองมาแล้ว กระดูกทับถมแผ่นดินนี้หาที่ว่างสักเท่าปลายเข็มจะปักลงก็ไม่พบ เปรียบกับชีวิตนี้เพียงชาติเดียว ชีวิตนี้จึงน้อยนัก จะห่วงใยแสวงหาอะไรอีกมาให้ชีวิตนี้ ที่จะสำคัญกว่าการห่วงหาทางหนีมือแห่งกรรม ที่ทำไว้มากมายในอดีตชาติ

กรรมใดมากกว่า แรงกว่า สำคัญกว่า กรรมนั้นจะส่งผลมากกว่า เร็วกว่า มั่นคงกว่า

แทบทุกคนมีชาติในอนาคตที่ไกลออกไป พ้นความรู้เห็นของใครทั้งหลาย จะเกิดเป็นอะไรต่อมิอะไรก็ได้ทั้งสิ้น ตามอำนาจของกรรมที่ได้ทำไว้แล้ว ทั้งที่ทำในอดีตชาติและที่ทำในชาตินี้ สำคัญที่ว่าได้ทำกรรมใดมากกว่า แรงกว่า สำคัญกว่า กรรมนั้นก็จะส่งผลมากกว่า เร็วกว่า มั่นคงกว่า ถ้าเป็นกรรมดี ก็จะให้ความสุขความเจริญ มีบุญห้อมล้อมรักษา ถ้าเป็นกรรมชั่ว ก็จะให้ความทุกข์ความเสื่อมโทรม มีบาปห้อมล้อมรังควาน.."

สุวฑฺฒโนวาท
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
(พ.ศ.๒๔๕๖–๒๕๕๖)







"..นิโรธะ....การปฏิบัติอานาปานสติ ถ้าไม่ถูกกับจริต มีความอึดอัดใจ หายใจไม่สะดวก ไม่สบาย ถ้าถูก มันจึงสบาย หายใจเบาลง แต่คนก็ชอบแต่ความสบาย ถ้าไม่สบายไม่ค่อยชอบ ถ้ามันสบาย มันก็หลงไปเสียกับความสบายล่ะ ถ้าเปลี่ยนบ้างมันจึงจะดี เปลี่ยนคือความเจ็บป่วยนั้น มันเปลี่ยนบ้าง มันจึงรู้ มันจึงตื่น หมายความว่าเปลี่ยน มันไม่เพลิน เวทนามันทรมาน ให้เขาปราบเอาบ้าง มันจึงดี เหมือนกันกับเด็กมันดื้อ มันคะนอง พ่อแม่ต้องเฆี่ยนเอาบ้าง มันจึงหายความคะนอง จิตของเรามันเป็นอย่างนั้น ถ้าอยู่ดีสบายแล้ว มันลืม ให้นั่งภาวนาเป็นสมาธิ ให้มันเป็นปัญญา คอยเตือนอย่าดื้อ อย่าคะนอง ให้กำหนดให้มันรู้ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนว่าให้มารู้จักทุกข์ ถ้ามันสบายแล้วมันไม่รู้จักทุกข์ มันมัวแต่เพลินไป ถ้ามันสบายแล้ว ให้มันไม่สบาย แล้วมันจึงกำหนดรู้จักทุกข์

พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าให้มันรู้จักทุกข์ ให้มันรู้จักพิจารณาแต่ทุกข์ พิจารณาให้มันเห็นชัด มันอยู่ที่ใจแล้ว มันจึงจะค้นหาเหตุ ทุกข์เป็นผล แล้วความทะเยอทะยานนั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ ค้นไปให้เห็นเหตุเกิดทุกข์ จะปล่อยวางความทะเยอทะยานความหลง อันสมุทัยนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สมุทัยสมมุติ สมมุติว่าผู้หญิง ผู้ชาย ว่าคน ว่าสัตว์ นั่นไปหลงสมมุติ พอใจเพราะความหลง สมุทัยก็มาจากความหลง พอมันขี้หลงเข้า หลงอยากเป็นอยากมี หลงสิ่งที่ไม่ชอบ รู้เหตุอันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุให้ท่องเที่ยวในสังสารจักรไม่มีที่สิ้นสุด ให้ปล่อยวางอันนี้

ปล่อยวาง คือไม่ยึดไม่ถือ รู้เท่ามัน เมื่อปล่อยวางแล้วนั่นแหละ จิตมันจึงจะสงบ จิตมันจึงจะมีความสุขความสบาย จิตไม่ดิ้นรน จิตสงบนั่นแหละ ให้รู้ว่าจิตเราสงบ จิตเราไม่เพลิดเพลินกับอารมณ์ ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม ไม่เพลิดเพลิน เฉย เป็นกลาง เรียกว่า “นิโรธะ” ปล่อยวางอันนี้ ความทะเยอทะยานหรือสมุทัย วางอันนี้แหละ ได้ชื่อว่าปล่อยเหตุ วางเหตุแล้วจิตสงบ จิตเป็นกลาง การค้นการพิจารณาเรื่องจิตนี้เรียกว่า มรรคปฏิปทา เรียกว่าข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

เราภาวนาบริกรรมอันใด มันสบายใจ บริกรรมแล้วก็ต้องพิจารณา “สมถะ” การบริกรรม “วิปัสสนา” เรียกว่า กำหนดพิจารณา เรื่องพิจารณาสังขารร่างกาย อันนี้เรียกว่าวิปัสสนา ทำไปพร้อมเมื่อบริกรรมไป บริกรรมไป พอจิตสงบสักหน่อย มันไม่ลงถึงที่ มันก็ต้องค้นคว้า ก็ค้นคว้าร่างกายของเรา ต้องพิจารณาสกนธ์กายของเรานี่แหละ กรรมฐานทุกคนนั่นแหละ พวกพระ พวกเณร พวกญาติโยมนั่นก็เป็นกรรมฐาน กรรมฐานหมด มีอยู่หมดทุกรูปทุกนาม

พระพุทธเจ้าว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เรียกว่า “ปัญจกรรมฐาน” กรรมฐานแท้ ให้พิจารณาอันนี้ ผมมันก็ตั้งอยู่บนศีรษะ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ผมไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก ขนก็ไม่ใช่คน เรามาสำคัญว่าขนเรา เล็บเรา ผมเรา ฟันก็ไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก หนังก็ไม่ใช่คน หนังสำหรับห่อกระดูกไว้เท่านั้นแหละ

อาการ ๓๒ นี่ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาแยกออกเป็นสัดเป็นส่วน อะไรเป็นคนเป็นสัตว์ ไม่สำคัญว่าผู้หญิงผู้ชาย ว่าเขาว่าเรา สำคัญที่คนเห็นผิด อาการ ๓๒ นี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า เยื่อในสมองศีรษะ เป็นต้น หมู่นี้เป็นคนละอย่างๆ มันไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่ามันไม่ใช่คนนะ

อีกอย่างพระพุทธเจ้าว่า ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมกัน เรียกว่า รูป รูปใหญ่ มหาภูตรูป สิ่งที่อาศัยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ

เวทนา คือความเสวยอารมณ์ สุขทุกข์ก็ดี สัญญา ความจำหมายโน่นหมายนี่ จำโน่นจำนี่ จิตเจตสิก คือ ความคิดความอ่าน ความปรุงขึ้นที่จิตคือวิญญาณสังขาร ความรู้ทางอายตนะทั้ง ๖ อันนี้เราว่ารูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เรียกว่า “ขันธ์” ไม่มีคนไม่มีสัตว์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ วิญญาณเป็นความรู้เท่านั้น รู้กันอยู่นี่แหละ ค้นไปค้นมาอยู่นั่น มองดู คนอยู่ไหน

สมถะ คือการบริกรรม วิปัสสนา การค้นคว้าอาการ ๓๒ นี่แหละ ค้นไป ไม่ส่งจิตไปที่อื่น เวลาเราทำสมาธิ เราต้องตั้งใจว่าเวลานี้เราจะทำหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือจะกำหนดให้มีสติประจำใจ ไม่ให้มันออกไปสู่อารมณ์ภายนอก ให้มีสติประจำใจอยู่ ไม่ให้ไปภายนอก เดี๋ยวนี้หน้าที่ของเราจะภาวนา จะทำหน้าที่ของเรา ไม่ต้องคิดการงานข้างนอก เมื่อออกแล้วจะทำอะไรก็ทำไป เวลาเราจะทำสมาธิทำความเพียรของเรา ต้องตั้งสัจจะลง ตั้งใจกำหนดอยู่ในสกนธ์กายนี้ กำหนดสติให้รู้กับใจ เอาใจรู้กับใจ ให้จิตอยู่กับจิต กำหนดจิตขึ้น ให้ทำให้มันพอ อาศัยศรัทธา วิริยะ เหตุทำให้มากๆ อันนี้แหละก้อนธรรม

พระพุทธเจ้าว่าก้อนธรรมอันนี้แหละ ก้อนธรรมหมดทั้งก้อน ธรรมไม่มีที่อื่น ไม่มีที่อยู่อื่น จำเพาะรูปใคร รูปเราเท่านั้น เป็นธรรมหมดทั้งก้อน ก้อนธรรมอันนี้ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน

พระพุทธเจ้าว่า ปัญจุปาทานักขันธา อนิจจา ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มีความเกิดขึ้นตั้งขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีความแตกสลายไปในเบื้องปลาย ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ขันธ์อันนี้เป็นทุกข์ มีทุกข์บีบคั้นอยู่ มีแต่ทุกขเวทนานั่นแหละ ความสุขมีนิดเดียว ผู้ที่พิจารณาเห็นตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสักหน่อยความสุขในโลกนี้ โลกคือสกนธ์โลกอันนี้ สกนธ์กายนี้ ปัญจุปาทานักขันธา อนัตตา ธรรมทั้งหลายสกนธ์กายอันนี้ ขันธ์ ๕ อันนี้ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายจะเป็นสังขตธรรมหรืออสังขตธรรมก็ตาม ไม่มีความประเสริฐ ไม่มีความดี พิจารณาเห็นสกนธ์กายว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแล้ว อันนี้เรียกว่าผู้ถึงวิราคะ วิราโค เสฏโฐ เป็นธรรมอันประเสริฐ

วิราคะคือความคลายกำหนัดจากอารมณ์ทั้งหลาย นี่เป็นธรรมอันประเสริฐ นั่นแหละเมื่อถึงวิราคะ เรียกว่า นิโรโธ ทุกข์ดับ มีความเบื่อหน่าย เหนื่อยหน่ายในความเป็นอยู่ของอัตภาพ นี่แหละเรียกว่าปล่อยวาง เห็นตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางตัณหา ความทะเยอทะยาน ความอยาก ความใคร่ในทางกิเลสกาม ความอยากเป็นอยากมี ถึงขั้นนี้ก็กิจสำเร็จแล้ว..“

จากหนังสือ อนาลโยวาท หลวงปู่ขาว อนาลโย
ประวัติ ปฏิปทา และคำเทศนา
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู
กัณฑ์ที่ ๔ นิโรธะ







..ตามหลักของพระพุทธศาสนา ถ้าใครพากันสร้างคุณงามความดี ก็จะได้มีความสุขตามที่ตนปรารถนาเอาไว้ในใจ เหตุฉะนั้นจะไปทำอยู่ที่ไหนก็ดี การทำทานการกุศลก็ได้ทำทานไปแล้ว การรักษาศีล ก็รักษาได้ตามกำลังของตนเองที่รักษาได้ บางคนก็ได้เจริญภาวนาฝึกฝนอบรมจิตใจ ให้จิตใจสงบเยือกเย็น เราจึงเห็นว่าทำไมบางคนถึงโกรธง่ายน้อ บางคนทำไมมีโลภะมากน้อ บางคนทำไมจึงเป็นคนที่เฉลียวฉลาด ฝึกฝนอบรมตนเองให้จิตใจเยือกเย็น หน้าแช่มชื่นเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส ไปทางใต้ทางเหนือก็ดี ไปทางใดก็ดี ทำไมจึงมีความสุขต่างกันอย่างนั้น ก็คือมาจากการฝึกฝนอบรมจิตใจ ก็ทำให้มีที่พึ่ง เมื่อนึกถึงบุญจิตใจก็มีความสุข นึกถึงการรักษาศีล ว่าตนเองมีศีล ตามกำลังของตนเองที่รักษาได้ ใจก็มีความสุข เมื่อฝึกฝนจิตใจ ให้มีความสงบได้ก็มีความสุข สามารถที่จะมีสติปัญญา รู้จักทางเดิน รู้จักวิถีชีวิตที่ตนเอง จะเดินทางเส้นไหน มันมีทางสองเส้น เส้นหนึ่งเดินไปแล้วก็มีแต่ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้น มีความทุกข์ ทางเส้นนั้นก็ควรที่จะหยุดเดิน ทางอีกเส้นหนึ่งเดินไปแล้ว มีแต่ความสุขเมื่อเดินไปข้างหน้า เราจะเดินทางไหน เราจะเปลี่ยนวิธีวิถีการเดินทางไหม..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..






"..จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าจมอยู่กับอดีต.."
"..พระองค์ทรงสอนให้พิจารณาธรรมทั้งหลาย ที่กายที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ไกลที่ไหน อยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละ ดังนั้นนักปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง เอาจริงเอาจังให้ใจมันผ่องใสขึ้น สว่างขึ้น ให้มันเป็นใจอิสระ ทำความดีอะไรแล้วก็ปล่อยมันไป อย่าไปยึดไว้ หรืองดเว้นการทำชั่วได้แล้ว ก็ปล่อยมันไป พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบันนี้ ที่นี้และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อยู่กับอดีตหรือนาคต

คำสอนที่เข้าใจผิดกันมาก แล้วก็ถกเถียงกันมากที่สุด ตามความคิดเห็นของตนก็คือเรื่อง "การปล่อยวาง" หรือ "การทำงานด้วยจิตว่าง" นี่แหละ การพูดอย่างนี้เรียกว่าพูด "ภาษาธรรม" เมื่อเอามาคิดเป็นภาษาโลกมันก็เลยยุ่ง แล้วก็ตีความหมายว่าอย่างนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบละซิ

ความจริงมันมีความหมายอย่างนี้ อุปมาเหมือนว่าเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันก็ได้ แต่แบกอยู่อย่างนั้นแหละ พอมีใครบอกว่า ให้โยนมันทิ้งเสียซี ก็มาคิดอีกแหละว่า "เอ...ถ้าเราโยนทิ้งไปแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ" ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมทิ้ง.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕)




"..ฉะนั้นการทำบุญให้ทานจึงเป็นกิจสำคัญมากเหนือสิ่งอื่นใด สำหรับผู้หวังพึ่งตัวเองทั้งปัจจุบันและอนาคตที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร เพราะสัตว์ที่มีกรรมทั่วไตรโลกธาตุต้องเป็นผู้รับผิดชอบตัวเองด้วยกัน ไม่มีใครจะคอยรับผิดชอบใคร ทั้งการเกิดในกำเนิดดีชั่วต่าง ๆ ตลอดการเสวยคือสุขหรือทุกข์หนักเบามากน้อย ต้องเป็นผู้เสวยกรรมของตัวทำไว้ทั้งสิ้น ไม่มีใครทำไว้เพื่อใคร ต่างทำไว้เพื่อตัว แม้ไม่มีเจตนาว่าทำไว้เพื่อตัวเองก็ตาม แต่ความจริงก็เป็นกฎตายตัวมาดั้งเดิมอย่างนั้น.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






อย่าดูถูกความดีแม้เพียงเล็กน้อย
...
เราอาจไม่มีทางรู้เลย ว่าสิ่งดีๆที่เราทำไปนั้น
มีความสำคัญเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อเรา
ทำจนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่มันอาจ
มีความหมายกับคนหลายคน จนก่อให้เกิด
ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาได้
อย่าประมาทความดีแม้เพียงเล็กน้อย
เพราะอาจมีอานิสงส์มหาศาล ในทำนอง
เดียวกัน ความชั่วแม้เพียงเล็กน้อยก็อย่า
ดูแคลนเพราะอาจก่อผลเสียอันยิ่งใหญ่ได้ ...
...
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล









“…**เครื่องวัดความเป็นมนุษย์

เครื่องวัดความเป็นพระอริยบุคคล

ไม่ใช่จะวัดด้วยระดับของการศึกษาเล่าเรียน

ไม่ว่าจะเป็นปริญญาทางโลก หรือปริญญาทางธรรม**

**‘มนุษย์’ คือผู้ที่เห็นจิตใจตัวเอง

ที่กำลังสับสนวุ่นวาย กำลังทุกข์-กำลังเดือดร้อน

แล้วหยุดได้

หยุดความคิดที่สับสน-วุ่นวายนั้น กาย-วาจาก็หยุดได้

เพราะเห็น-เพราะรู้-เพราะเข้าใจ ไม่ลืมตัว

จิตใจจึงสะอาด-สว่าง-สงบ**

‘สะอาด’

ก็เหมือนกับเสื้อผ้าที่เราเอามานุ่ง-มันไม่เคยสกปรก

ที่สกปรกนั้น เพราะถูกเหงื่อไคล-ฝุ่นละออง

ซึ่งเป็นวัตถุภายนอกมาจับ

‘สว่าง’

คือ เรารู้จักวิธีซัก

‘สงบ’

คือ เราไม่ต้องไปซัก-ไม่ต้องไปกวนมันอีก

เพราะมันดีอยู่แล้ว

ที่คนเราทำบุญกัน

เพื่อจะระงับความทุกข์ ความเดือดร้อนอันนี้

นึกว่าบุญนั้นจะช่วยได้

เพราะพ่อแม่-ครูบาอาจารย์สอนไว้อย่างนั้น

ก็เลยฝังหัวมาอย่างนั้น

แต่ที่ผมพูดมานี่

ไม่ได้อิงกับคำพูดของพ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์

แต่พูดไปตามความสามารถ

หรือความรู้-ความเห็นของตัวเอง

เพราะตัวเองเข้าใจอย่างนี้

ไม่ต้องพึ่งพ่อแม่-ครูบาอาจารย์ หรือใคร ๆ ทั้งหมด

อันนี้เรียกว่า **‘พึ่งตัวเองจริง ๆ เมื่อเรารู้แล้ว’**

ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม เพราะมันเป็นเรื่องสมมติพูด

แม้ที่ผมพูดให้ฟัง ก็ต้องสมมติพูดขึ้นมา

หลวงพ่อเทียน: เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ จะถามเธอ เดี๋ยวนี้จิตใจเป็นอย่างไร ?

เณร: เฉย ๆ ครับ

หลวงพ่อเทียน: ครู-จิตใจเป็อย่างไร ?

ครู: เฉย ๆ อยู่ครับ

**อันลักษณะเฉย ๆ นี้ มันมีอยู่แล้ว

ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน มันก็เป็นอยู่อย่างนี้

อันนี้แหละท่านเรียกว่า‘ความหลุดพ้น’

มันสะอาด-สว่าง-สงบอยู่อย่างนั้น**

*ไม่ใช่สงบโดยไปนั่งหลับตาอยู่ในถ้ำ

นั่นมันสงบแบบหนึ่ง เอาไปใช้กับการกับงานไม่ได้

เพราะมันหลับตา*

**อันความสงบแบบนี้ ทำงานอะไรได้ทั้งหมด**

เป็นครูสอนหนังสือก็ได้

เป็นพระ-เป็นเณร ไปสอนคนก็ได้…”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ







"วิปัสสนา คือเพชรน้ำเอก"

" .. "วิปัสสนาภาวนานั้น เป็นสุดยอดของการสร้างบารมีโดยแท้" และการกระทำก็ไม่เหนื่อยยากลำบาก ไม่ต้องแบกหาม ไม่ต้องลงทุน หรือเสียทรัพย์แต่อย่างใด แต่ก็ได้กำไรมากที่สุด

เมื่อเปรียบกับการให้ทานเหมือนกับการให้กรวดและทราย "ก็เปรียบวิปัสสนาได้กับเพชรน้ำเอก" ซึ่งทานย่อมไม่มีทางเทียบศีล ศีลก็ไม่มีทางเทียบกับสมาธิ และสมาธิก็ไม่มีทางที่จะเทียบวิปัสสนา

แต่ตราบใดที่เราท่านทั้งหลายยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพานก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อย โดยทำทุก ๆ ทาง เพื่อความไม่ประมาท "โดยทำทั้ง ทาน ศีลและภาวนาสุดแต่โอกาสจะอำนวยให้" .. "

"วิธีสร้างบุญบารมี"
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






พระพุทธเจ้าสั่งสอนให้พระสาวกฝึกตนให้เป็นสุภโร แปลว่าภาระดี พระอยู่ด้วยปัจจัยสี่ที่ญาติโยมนำมาถวายก็คือว่าเป็นภาระ ในการเป็นภาระไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีเสมอไป พระพุทธองค์ไม่สั่งเตือนพระว่าอย่าเป็นภาระแก่เขาเลย พระพุทธองค์สอนว่าเมื่อเป็นภาระแก่เขาแล้วให้เป็นภาระที่ดีคือสุภโร เพราะฆราวาสดูแลพระสงฆ์เป็นภาระ เขาจึงมีโอกาสทำทาน เรียนรู้เรื่องศีลธรรม และการภาวนา เมื่อพระมีข้อวัตรปฏิบัติที่ดีงาม และสามารถแนะนำฆราวาสในหลักธรรม ก็เรียกได้ว่าท่านเป็นภาระที่ดีของโยม

ผู้สูงอายุทั้งหลายอย่าเพิ่งกลัวว่าเป็นภาระแก่ลูกหลาน เป็นภาระแล้วเป็นภาระที่ดีคือสุภโร ให้ความอบอุ่น แบ่งปันความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิตอย่างดีงามให้กับเขา อย่ามัวแต่กังวลใจว่าจะเป็นภาระ แต่ให้ตั้งอกตั้งใจให้เป็นภาระที่ดีที่สุดที่เราเป็นได้

พระอาจารย์ชยสาโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร