วันเวลาปัจจุบัน 26 ธ.ค. 2025, 16:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2025, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5444


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
ใครตั้งใจทำดี
อย่าไปกังวลเรื่องปากคน
เพราะต่อให้เราดีขนาดไหน
หากไม่ถูกกิเลสเขา
เขาก็ไม่ชอบ ไม่เข้าใจ เขาก็ตำหนิ
ดังนั้นดีชั่วไม่ได้อยู่ที่เขาว่าเรา
แต่อยู่ที่เราเอง
ทั้งหมด...เรารู้เราเองก็เพียงพอแล้ว








ตัวเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นสิ่งไหน_หลวงปู่ฝั่นเมตตาให้โอวาทธรรมเรื่อง " มนุษย์ ๗ จำพวก "
มนุษย์ทั้งหลายมี ๗ จำพวก มนุษย์มี ๗ อย่าง

๑. มนุสสติรัจฉาโน
ทำไมจึงว่ามนุสสติรัจฉาโน
ดูซิ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
คือมันขี้เกียจขี้คร้าน รับอาหารแล้วก็นอน
ไม่รู้จักการกราบ ไม่รู้จักการไหว้ ไม่รู้จักการรักษาศีลภาวนา ทำบุญให้ทานอะไร เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานน่ะ
มนุษย์เช่นนั้นแหละตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ดูเอาซิ พิจารณาเอาซี ร่างกายเป็นมนุษย์แต่หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน

๒. มนุสสเปโต
ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่หัวใจเป็นเปรต
มันมีแต่โมโหโทโส อยากฆ่า อยากฟัน
ความทะเยอทะยานดิ้นรน มีพยาบาทอาฆาตจองเวร
ดูซิ ใจมันมีอาฆาต นี่แหละมนุสสเปโต
ร่างกายเป็นมนุษย์ เมื่อดับขันธ์ไปแล้วก็ไปเป็นเปรต

๓. มนุสสนิรเย
ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นนรก
หัวใจเป็นนรก คือมันมืด มันกลุ้มอกกลุ้มใจ
ให้ทุกข์ให้ร้อน ดูเอาซิ นั่นแหละนรก ดับขันธ์ไปแล้วก็ไปนรกซี่ ได้รับความทุกข์ยากความลำบากรำคาญ
นี่มนุษย์เช่นนี้ ทีนี้ถ้าไม่ไปเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า หัวใจต่ำช้า อย่างอธิบายมาแล้ว ต่ำช้ายังไงล่ะ เป็นใบ้บ้าเสียจริต หูหนวกตาบอด
ปากกืด กระจอกงอกง่อย ขี้ทูดกุฏฐัง ตกระกำลำบาก แน่ะ มนุษย์หัวใจเป็นยังงั้น
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อีกก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
ดูซิ ใจเราทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย
เอ้าดู อธิบายให้ฟัง ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเราไม่ต้องการ
ก็เลิกก็ละเสีย ให้รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักผิดรู้จักถูก รู้จักฟัง อธิบายให้ฟัง

๔. มนุสสเทโว
ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นเทวธิดา เทวบุตร
หัวใจมีทาน มีศีล มีภาวนา รู้จักเคารพนอบน้อม
รู้จักกราบรู้จักไหว้ ใจมีหิริโอตตัปปะ ละอายบาป
กลัวบาป ใจเบิกบาน ใจสว่างไสว ใจดี
ดับขันธ์ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวธิดา เรื่องเป็นอย่างนั้น
ดูเอาซิ

๕. มนุสสพรหมา
ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม หัวใจเช่นใด
มีพรหมวิหาร มีพรหมวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่
หัวใจว่างไม่มีอะไร เหมือนกะอากาศนี้แหละ
ว่างเปล่าหมด เหลือแต่อรูปจิต ดับขันธ์ไปเป็นพรหม ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม อยากรู้ก็ดูเอาซิ
ที่อยู่ของเราเป็นอย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลาย

๖. มนุสสอรหัตโต
ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระอรหันต์
คือละกิเลส ละตัณหา กิเลสคือใจเศร้าหมอง
ตัณหาคือใจทะเยอทะยานดิ้นรนกระวนกระวาย
ท่านละกิเลสตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา
ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ ละขาดในสันดาน ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิตใจ เมื่อดับขันธ์ไปก็เข้าสู่นิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสาร ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก

ก็เป็นแต่มนุษย์ ได้แต่มนุษย์ซิ
เราจึงมาฝึกหัดอบรมบ่มนิสัยของเรา เพ่งเล็งดูซิ
เราอย่าดูอื่น เรานั่งอยู่ก็นั่งดูใจของเรา ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศนะ ใจของเรามันเป็นอย่างไร เหมือนที่อธิบายให้ฟังไหมล่ะ มันไม่ดีตรงไหนก็แก้ไขซิ ทีนี้

๗. มนุสสพุทโธ
ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี้
ว่าเรื่องภพเรื่องชาติของท่าน บิดามารดาของท่านก็มี
บุตรภรรยาท่านก็มี ท่านเป็นมนุษย์ครือเรานี่แหละ
แต่ท่านประพฤติปฏิบัติ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
เป็นสยัมภู ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ไม่มีบุคคลผู้ใดหรือใครแนะนำพร่ำสอน รู้ด้วยตนเองเป็นสยัมภู รู้แจ้งแทงตลอดหมดซึ่งสารพัดเญยยะธรรมทั้งหลาย ไม่มีที่ปกปิด
สัตว์ทั้งหลาย ตนของท่าน บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ญาณความรู้ความเห็นในบุพพชาติเบื้องหลัง
เป็นอะไรๆมา ท่านรู้หมด เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
จุตูปาตญาณ จุติจากนี้ไปอยู่ในภพชาติใด ภพน้อยภพใหญ่ ท่านรู้หมด คือเหมือนอธิบายให้ฟังนี้
อาสวักขยญาณ สิ้นจากภพจากชาติท่านก็รู้หมด

-----
โอวาทธรรม

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ณ วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร
พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๑๘
20 สิงหาคม พ.ศ. 2442 - 4 มกราคม พ.ศ. 2520
( สิริอายุ 77 ปี 4 เดือน 15 วัน )







"ปัญญาเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยความสงบ อาศัยการฟังธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ แล้วก็ทำความสงบจิตให้เข้าถึงสมาธิ จิตถึงสมาธิแล้ว จะเห็นเรื่องการลวงของจิตด้วยตนเองชัดเจนทีเดียว

จิตที่เป็นสมาธิแล้วไม่หลอกลวง เป็นจิตตรงไปตรงมา เข้าถึงสัจธรรม เห็นทุกข์เป็นทุกข์จริงๆ เห็นความสงบเป็นสุขจริงๆ เห็นความทะเยอทะยานดิ้นรน เป็นความเดือดร้อนแท้ทีเดียว"

..... หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี






"..กรรมจำแนกแจกสัตว์ให้เป็นต่างๆ กัน และเสวยผลต่างๆ กันตามวิบากของตนที่ทำไว้ ใครเกิดเป็นอะไร อยู่ที่ใด ย่อมตกอยู่ในอำนาจแห่งกรรมดี ชั่ว สุข ทุกข์ด้วยกัน ไม่มีพิเศษจากกรรมต่างกันอะไรเลย ผู้ทำดี ผลที่สนองตอบก็เป็นสุข ผู้ทำชั่ว ผลนั่นก็เป็นทุกข์ คำว่าสุขหรือทุกข์มีได้ในสัตว์ทั่วไปไม่นิยมชาติกำเนิด เป็นเพียงหยาบละเอียดต่างกันเท่านั้น ทั้งกายหยาบ กายละเอียด สรุปแล้วก็คือเรือนร่างแห่งความสุข ทุกข์เราดีๆ นี่เอง จึงไม่ควรตื่นเต้นในการเกิดซึ่งเท่ากับการตาย ในขณะเดียวกัน ผู้ไม่อยากตาย แต่ยังปรารถนาอยากเกิดเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ก็เท่ากับปรารถนาความตายอยู่นั่นเอง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







#ศีลมีอยู่ในตัวเราแล้ว..!!

"... พระท่านเป็นผู้แนะนำวิธีรักษาและเก็บศีล
ไม่ใช่ท่านเป็นผู้ให้ เพราะศีล “มีอยู่”ในตัวเราแล้ว
คือท่านสอนวิธีปฏิบัติให้เพื่อแก้ว๓ดวงใสขึ้น
ศีล คือ เครื่องห่อแก้วให้สะอาดบริสุทธิ์
ภาวนา คือ ตัวพุทธะอยู่ลึกมาก

ศีลเป็นเปลือกที่ ๒
ทานเป็นเปลือกที่ ๓
ใครไม่มีจอบเสียมที่คมกล้า
ก็ไม่สามารถขุดเจาะลงไปถึงได้

เราต้องขุด ชั้นที่๑
ได้แก่ ทาน คือ พื้นดินส่วนหน้าซึ่งมีต้นหญ้า
และ ใบไม้ปิดอยู่เสียก่อน

ชั้นที่ ๒ได้แก่ ศีล คือ ดินแข็งแดงดำ

ชั้นที่ ๓ อาจพบหินหรือรากไม้
นี่คือการขุดรัตนะคือแก้วสารพัดนึก
ทานการกุศลเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆนอกตัวเรา
(เปรียบเหมือนเปลือกนอกหรือพื้นหญ้า)
ศีลอยู่ในกาย (คือดินแข็ง)
ภาวนาอยู่ในใจ (คือเพชรหรือหิน) ..."
--------------------------------------------------------
#พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
#พระอาจารย์ลี_ธมฺมธโร
วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง
จ.สมุทรปราการ (พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔)







ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น
รู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน
ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ ไปในสุคติ
ในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำ เพราะอำนาจศีล
คุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่ง
ที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์

ธรรมก็สั่งสอนแล้วจดจำให้ดี
ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติ
ทุกอย่างแน่นอน
...
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต






“ถ้าไม่ทำบาปจะไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาราวีเลย”

กฎแห่งกรรมนี้ไม่ต้องอาศัยตำรวจไม่ต้องอาศัยอัยการไม่ต้องอาศัยศาลมาตัดสิน กฎแห่งกรรมนี้จะเป็นทั้งตำรวจเป็นทั้งอัยการเป็นทั้งศาลผู้ตัดสิน พอทำบาปปั๊บนี้ตัดสินลงไปทันทีเลยว่าบาป ลงโทษไปอบายเท่านั้น ไปที่อื่นไม่ได้ ไปที่เดรัจฉานถ้าทำไปด้วยความไม่รู้ บางทีเราทำผิดกฎหมายโดยที่เราไม่รู้ เขาก็จับเราไปลงโทษเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ลงโทษหนักเหมือนกับคนที่รู้กฎหมายแล้วไปทำผิดกฎหมาย นี้ก็เหมือนกัน โทษมันมีเกิดขึ้น จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ถ้าทำบาปแล้วโทษจะตามมาทันที ความทุกข์จะตามมา

ขณะที่ยังไม่ตายนี้ โทษก็เกิดขึ้นก่อนในใจของเรา เวลาทำบาปแล้วใจจะไม่สบาย ใจจะมีความทุกข์ รู้สึกไม่สบาย อาจจะไม่สบายเพราะกลัวจะถูกจับไปลงโทษ กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าเราเป็นคนไม่ดีเราเป็นคนทำบาป คนเราอยากจะให้คนเขามองเราว่าดี ไม่ชอบให้ใครเขามาว่าเราว่าไม่ดี แต่พอทำบาปแล้วเราก็จะเกิดความกังวลขึ้นมาว่า เขาจะรู้หรือเปล่าว่าเราทำบาป มีความทุกข์เกิดขึ้นก่อน ผลของการทำบาปเกิดขึ้นในใจทันทีตั้งแต่ยังไม่ตาย และหลังจากที่ตายไปแล้ว บาปนี้ก็จะเป็นผู้ที่จะดึงให้ใจไปเกิดในอบายต่อไป ถ้าบุญมีกำลังน้อยกว่า

แต่ถ้าเราทำบุญทำทานมากกว่าทำบาป เราอาจจะพยายามไม่ทำบาปเลย แต่บางครั้งบางคราวอาจจะผิดพลาดไป เกิดอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมา อาจจะทำให้เราไปทำบาป เกิดอารมณ์อยากจะได้เงินทอง พอดีเห็นคนเขาวางกระเป๋าไว้ ก็เลยคว้ามับไป เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ความโลภอยากได้เงินทอง ก็เลยไปลักทรัพย์ของผู้อื่นทั้งๆ ที่ไม่มีเจตนา ไม่เคยคิดตั้งใจจะไปทำบาป แต่บางทีเกิดอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมา แล้วมีช่องทางให้ทำบาปก็อาจจะทำทันทีก็ได้ แต่ทำอย่างไงก็อย่าให้มันมากกว่าบุญที่เราทำก็แล้วกัน พยายามทำบุญให้มากๆ ทำทานให้มากๆไว้ แล้วพยายามห้ามใจอย่าไปทำบาปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเวลาตายนี้บุญจะมีมากกว่าบาป และบาปก็จะลงอาญาก่อน บาปจะแสดงผลไม่ได้ ก็จะให้บุญเป็นผู้ส่งผล บุญก็จะส่งให้ไปสวรรค์ก่อน นี่คือการขัดเกลาจิตใจ ชำระบาปเวรกรรมที่มีอยู่ในใจ

ถ้าไม่ทำบาปแล้วจะไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาราวีเลย เจ้ากรรมนายเวรนี้เกิดจากการทำบาปของเรา เราต้องเคยไปทำร้ายเขามาก่อน เขาถึงมาล้างแค้นเรา เขาถึงมาจองเวรจองกรรมกับเรา เช่นเดียวกับเวลาใครมาทำร้ายเรา เราก็จองเวรจองกรรมกับเขา งั้นถ้าไม่อยากจะมีเจ้ากรรมนายเวร อย่าไปทำบาป อย่าไปเสียเวลากับการอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร เพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่สนใจบุญอุทิศนี้หรอก เป็นบุญนิดเดียว เป็นเหมือนหยดน้ำที่ติดอยู่ในแก้วน้ำเท่านั้นเอง ไม่อิ่มไม่พอ เขาจะล้างแค้นให้ได้ เขาถึงจะสะใจ ต้องล้างแค้นต้องทำร้ายเราแบบที่เราไปทำร้ายเขาเท่านั้น เวรถึงจะหมดกันได้ แต่เวรก็ไม่หมดหรอก ถ้าเขามาทำร้ายเรา เราก็ไปจองเวรจองกรรมเขาอีก แล้วเราก็กลับไปทำร้ายเขาอีก พอไปทำร้ายเขา เขาก็มาจองเวรจองกรรมเราอีก

วิธีที่จะไม่มีเวรไม่มีกรรมนี้ก็คือ อย่าทำบาป แล้วก็ให้อภัย อย่าจองเวรจองกรรมกัน ใครทำร้ายเรา ให้อภัยเขาไป เรียกว่าอภัยทาน การทำบุญให้ทาน การให้ทานนี้มีอยู่ ๔ ชนิดด้วยกัน ให้ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองนี้เรียกว่าวัตถุทาน ให้วิชาความรู้เรียกว่าวิทยาทาน ให้ธรรมะคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่าธรรมทาน เช่นพิมพ์หนังสือธรรมะแจกนี้เรียกว่าธรรมทาน แล้วก็ให้อภัยเวลาใครเขามาทำร้ายเรา ก็อย่าไปจองเวรจองกรรม ให้อภัย ลืมมันไปคิดว่าผ่านไปแล้ว เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้ว อย่าไปมีเวรกันดีกว่า เพราะว่าถ้าเรากลับไปทำร้ายเขา เดี๋ยวเขาก็ต้องกลับมาทำร้ายเราอีก หนักกว่าเดิมอีก เราก็อย่าไปทำร้ายเขา อย่าไปทำบาปทำกรรม.

ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๘ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี







ละความหลงในรูปกับนาม :
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

อันพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้
พระองค์ก็ไม่ได้ปรารภถึงเรื่องอื่นใดหรอกความจริงน่ะ... ถึงแม้ว่าพระองค์จะปรารภเรื่องอื่นก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้ผู้ฟังได้มากำหนดรู้แจ้งใน "รูปกับนาม" นี้แหละ

แต่ถ้าหากว่า พระองค์จะแสดงแต่รูปกับนาม
หรือว่าขันธ์ห้านี้โดยตรงเรื่อยไปนี่คนฟังมันก็เบื่อ คนผู้มีอินทรีย์ยังอ่อนอยู่นั้นแทบจะไม่รู้จักเลย รูปธรรมเป็นอย่างไร นามธรรมเป็นอย่างไร แทบจะไม่รู้เลย นั่นแหละเมื่อพระองค์ได้อุปไมยอุปมาอะไร มาประกอบเข้าด้วยแล้วก็จึงพอรู้ได้ ..เป็นอย่างนั้น

ก็ความจริงแล้วดวงจิตของคนเราก็มาหลงอยู่กับรูปกับนามนี้ นี่แหละก่อนอื่นทั้งหมดเลยมันหลงอยู่กับรูปกับนามนี้ก่อนอื่น เมื่อมันหลงอยู่กับรูปกับนามนี้แล้วมันก็จึงหลงออกไป ในเรื่องอื่นนอกจากรูปกับนามอันนี้ออกไป เรียกว่า หลงไปทั่วแหละเมื่อมันได้หลงภายในนี้แล้วนะ

แต่ถ้ามันรู้แจ้งนามกับรูปอันนี้ตามเป็นจริงแล้ว
มันก็รู้แจ้งไปหมดเลยในวัตถุต่างๆในโลกสันนิวาสอันนี้ เพราะว่ามันมีสภาวะเหมือนกันนะ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแหละพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ไม่ควรที่จะเบื่อหน่ายในคำสอนของพระพุทธเจ้า ควรมาศึกษาสดับตรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะคำสอนของพระพุทธเจ้านี้พระองค์สอนให้เราละ
"ความหลง ความไม่รู้" นี้นะออกจากจิตใจนี้







ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
...
เราควรให้ความสนใจแก่หลักพระศาสนา
ให้มาก คือ เกิดการสังเกตว่า ประชาชน
หรือที่เรียกกันว่าชาวพุทธปัจจุบันนี้ มีความ
แกว่งไกวมาก แกว่งไกวไปตามเหตุการณ์
เรื่องราว หรือ บุคคล ไม่ได้หลัก
ถ้าหากเป็นคนที่มีหลัก รู้หลักพระศาสนา
ดีแล้ว ก็ยืนอยู่กับหลัก เหตุการณ์ เรื่องราว
อะไรต่างๆ ผ่านมา ถ้าเรายืนอยู่กับหลักแล้ว
เราก็ไม่หวั่นไหว เรามองเห็นแล้ว สิ่งนั้น
ก็ผ่านไป ยิ่งกว่านั้นเมื่อเรามีหลักแล้ว
เราจะสามารถวินิจฉัยได้ด้วยซ้ำไปว่า
สิ่งที่เกิดขึ้น หรือการกระทำทุกอย่าง
ที่เกิดขึ้น ถูกต้องหรือไม่ แทนที่จะต้องฟัง
ทางโน้นทีทางนี้ที ซึ่งอาจทำให้หวั่นไหวไป
ถ้าหากว่าดำรงตัวไม่ดี ดีไม่ดีก็จะหล่นไป
จากพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นคนที่มีหลักแล้ว
ก็ไม่ต้องเป็นห่วง อยู่ได้ตลอดเวลา เวลานี้
จะต้องให้คนสนใจเรื่องหลักพระพุทธศาสนา
ให้มาก แล้วก็อยู่กับหลักให้ได้ อย่างที่พูด
บ่อย ๆ ว่า อย่าเอาพระศาสนาไปแขวนไว้
กับบุคคล บุคคลมีอันเป็นอะไรไป
พระศาสนาของเราก็ร่วงหล่นไปด้วย ...








" กายเรานี้มีแต่เพียงธาตุสี่ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เรา เขา ผู้ปฏิบัติยึดหลักอันนี้ ภาวนาบ่อย ๆ พิจารณาให้มาก ๆ พิจารณาย้อนกลับไปกลับมา จิตจะค่อย ๆ ก้าวสู่ขั้นภูมิรู้ ภูมิธรรมเป็นลำดับ ๆ ไป"

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี







การฝึกหัดเบื้องต้นโดยมากก็มักถูกกับกรรมฐาน บทอานาปานสติ คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก โดยมีสติกำกับรักษาจิตอย่าให้เผลอในขณะที่ทำ ทำใจให้รู้อยู่กับลมเข้าลมออกเท่านั้น ไม่คาดหมายผลที่จะพึงได้รับมีความสงบเป็นต้น ทำความรู้สึกอยู่กับลมเข้า ลมออกธรรมดา

อย่าเกร็งตัวเกร็งใจจนเกินไป จะเป็นการกระเทือนสุขภาพทางกายให้รู้สึกเจ็บนั้นปวดนี้
โดยหาสาเหตุไม่เจอ ซึ่งความจริงสาเหตุก็คือการเกร็งตัวเกร็งใจจนเกินไปนั่นเอง

ควรมีสติรับรู้อยู่ธรรมดา ใจเมื่อได้รับการรักษาด้วยสติจะค่อยๆ สงบลง ลมก็ค่อยละเอียดไปตามใจที่สงบตัวลง ยิ่งกว่านั้นใจก็สงบจริงๆ ลมหายใจขณะที่จิตละเอียดจะปรากฏว่าละเอียดอ่อนที่สุด จนบางครั้งปรากฏว่าลมหายไป คือลมไม่มีในความรู้สึกเลย ตอนนี้จะทำให้นักภาวนาตกใจกลัวจะตายเพราะลมหายใจไม่มี

เพื่อแก้ความกลัวนั้น ควรทำความรู้สึกว่า แม้ลมจะหายไปก็ตาม เมื่อจิตคือผู้รู้ยังครองร่างอยู่ ถึงอย่างไรจะไม่ตายแน่นอน ไม่ต้องกลัว อันเป็นเหตุเขย่าใจตัวเองให้ถอนขึ้นจากความละเอียดมาเป็นจิตธรรมดา ลมหายใจธรรมดา ซึ่งทำให้เกิดความเสียใจในภายหลัง

ถ้ากำหนดเฉพาะลมหายใจเป็นอารมณ์อย่างเดียวไม่สนิทใจ จะตามด้วยการบริกรรมพุทโธ ก็ได้ไม่ผิด ผู้ชอบบริกรรมเฉพาะธรรมบทใดบทหนึ่ง เช่น พุทโธ ก็ได้ตามอัธยาศัยชอบไม่ขัดแย้งกัน สำคัญที่ให้เหมาะกับจริต และขณะภาวนาขอให้มีสติรักษา อย่าปล่อยให้ใจส่งไปตามอารมณ์ต่างๆ ก็เป็นอันถูกต้องในการภาวนา

คำว่า จิตใจ มโน หรือผู้รู้เป็นอันเดียวกัน คือเป็นไวพจน์ของกันและกัน ใช้แทนกันได้ เช่น กิน-รับประทานเป็นต้น เป็นความหมายอันเดียวกันใช้แทนกันได้ ตามปกติใจเป็นสิ่งละเอียดมากยากจะจับตัวจริงได้ ใจเป็นประเภทหนึ่งต่างหากจากร่างกายทุกส่วน

แม้อาศัยกันอยู่ก็มิได้เป็นอันเดียวกัน ร่างกายที่ตั้งอยู่ได้ย่อมขึ้นอยู่กับใจเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้าใจออกจากร่างไปเมื่อใดร่างกายก็หมดความหมายลงทันที โลกเรียกว่าตาย แต่ความรู้คือใจนี้ต้องไม่ตายไปด้วยร่างกายที่สลายตัวไป

เมื่ออยากทราบความจริงจากใจ จำต้องมีเครื่องมือพิสูจน์ เครื่องมือพิสูจน์ใจได้แก่ธรรมเท่านั้น นอกนั้นไม่มีสิ่งใดจะสามารถพิสูจน์ได้ การภาวนาเป็นการพิสูจน์ใจโดยตรง ผู้มีสติดีมีความเพียรมาก มีทางพิสูจน์ความจริงของใจให้เห็นชัดเจนได้เร็วยิ่งขึ้นผิดธรรมดา

คำว่าเครื่องมือคือธรรมนั้น โปรดทราบว่า ส่วนใหญ่คือสติปัฏฐาน ๔ และสัจธรรม ๔ เป็นต้น ส่วนย่อยแต่จำเป็นทั้งในขั้นเริ่มแรกและขั้นต่อไป ได้แก่อานาปานสติ หรือพุทโธ เป็นต้น เป็นบทๆ ไป ที่ผู้ภาวนานำมากำกับใจแต่ละบทละบาท เรียกว่าเครื่องมือพิสูจน์ใจทั้งสิ้น

เมื่อใจพร้อมกับเครื่องมือคือธรรมบทต่างๆ ได้รวมกันเข้าเป็นคำภาวนา มีสติเป็นผู้ควบคุมให้ระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ หรือธรรมบทใดก็ตามโดยสม่ำเสมอ ไม่ให้จิตเผลอออกไปสู่อารมณ์ภายนอก

ไม่นานกระแสของใจที่เคยสร้างอยู่กับอารมณ์ต่างๆ จะค่อยรวมตัวเข้ามาสู่จุดเดียว คือที่กำลังทำงานโดยเฉพาะได้แก่คำภาวนา ความรู้จะค่อยๆ เด่นขึ้นในจุดนั้น และแสดงผลเป็นความสงบสุขขึ้นมาให้รู้เห็นได้อย่างชัดเจน

: หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







. . สงสารมนุษย์ที่มัวเพลิดเพลินกับ “เงา”
ไม่เข้าเรื่องราวกับ “เด็กอมมือ”
ตายแล้วก็จะล่มจมกัน
ที่น่าเสียดายและสงสารมาก

แต่ช่วยอะไรไม่ได้
พากันทำตัวเหมือน “สัตว์ที่เขาขังไว้ต้มแกงเป็นอาหาร”
ยังมัวเพลินกันอยู่

ดูซิ สัตว์ที่เขากำลังจูงไปฆ่า
มันรู้ตัวเมื่อไร
ยังเพลินกัดหญ้าไปตามทาง

ถ้ามันรู้
จะไม่เพลินกัดหญ้าเป็นอันขาด
นอกจากมันจะ “ไล่ขวิด ไล่ชน”
คนที่จูงมันพุงทะลุไปในเวลานั้นเท่านั้น

...คนที่ “เชื่อธรรม”
ที่ให้ความปลอดภัยไร้ทุกข์แก่สัตว์โลก
ก็เป็นคนประเภทสัตว์ที่รู้ตัวว่าเขากำลังจูงไปฆ่านั่นเอง

จะไม่ประมาทนอนใจ
รีดไถกอบโกยกัน
แบบสัตว์กัดกินหญ้าตามทางในเวลาที่เขาจูงไปฆ่า

จะงด “สิ่งเลวร้ายมหาภัย”
แก่ตนและผู้อื่นทันทีไม่ชักช้า
ก้มหน้าทำแต่ “ความดีงาม สุจริตยุติธรรม”
ต่อกันถ่ายเดียว

โลกก็ “สงบร่มเย็น”
เพราะต่างเห็นใจกัน . .

โอวาทธรรม
จาก หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล
จังหวัดหนองบัวลำภู
#ธรรมะเตือนใจ #ข้อคิดชีวิต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร