วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 03:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ครั้งหนึ่งดิฉันเคยถูกเพื่อนฉุดกระชากลากถูให้เดินเข้าร้านขายเครื่องสำอางด้วยกัน
เป้าหมายของเธอคือการระดมซื้อเครื่องบำรุงผิวพรรณสารพัดชนิด
ส่วนเป้าหมายของดิฉัน (หลังจากใช้เวลาหลายนาทีเพื่อรับประสาทรับภาพ
และกลิ่นให้คุ้นเคยกับสถานที่ แห่งนั้นแล้ว) คือการเปิดหูเปิดตาว่า
โลกแห่งความงามในยุคสมัยปัจจุบัน ก้าวล้ำไปถึงขั้นไหนแล้ว

หยิบจับดูอยู่หลายชิ้น บางชิ้นพอจะพยักเพยิด แสร้งทำเป็นว่ารู้จักได้
ในขณะที่บางชิ้นทำเอาดิฉันอึ้งไปนานนับนาที เพราะเพ่งพินิจพิจารณาก็แล้ว
อ่านคำอธิบายหลักกล่องก็แล้ว ก็ยังไม่แน่ใจว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออะไร
และเขาใช้มันทำอะไรกัน?!…

เตร่อยู่แถวตู้และชั้นวางสินค้าสักพัก ก็ชักเซ็ง ดิฉันจึงเปลี่ยนเป้าหมายใหม่
ลองเดินเลียบๆ เคียงๆ ไปโฉบเฉียดตรงมุมที่เจ้าเพื่อนตัวดี
กำลังยืนเมาท์อย่างออกรสกับคุณพนักงานขายบ้าง
หวังไว้เต็มที่ว่าจะลักลอบสอดแนมความรู้เรื่องการบำรุงรักษาเส้นผม
ผิวพรรณ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ผู้หญิงพึงจะรู้ เอาไว้เป็นวิทยาทาน…ไหนๆ ก็มาแล้วนี่

แต่ฟังไปได้สักพัก ดิฉันก็ชักท้อ…อะไรกันเนี่ย?!
ทำไมขั้นตอนมันยุบยับเยอะแยะขนาดนี้?! แค่ฟังเฉยๆ ก็งงจะแย่
แล้วจะรับไปปฏิบัติตามได้อย่างไรกัน?! แถมดิฉันยังนึกไม่ออก
ว่าหากทำครบหมดทุกขั้นตอนอย่างที่คุณพนักงานสาวสวยเธอว่า
เราจะต้องหมดเปลืองเวลาวันละกี่นาที
สำหรับการโปะพอกผิวหน้าและเรือนร่างด้วยครีมสารพัดกระปุกนั่น
เวลาทำมาหากินจะเหลือไหมล่ะคราวนี้?!
แถมยังค่าใช้จ่ายสำหรับเจ้าครีมสารพัดนั่นอีก…วันนั้นดิฉันเพิ่งจะรู้ว่า
ราคาในการชะลอความแก่ระดับพื้นผิวนั้น มันหนักหนาสาหัสเอาการทีเดียว

ว่าแล้วจึงเก็บมาสงสัยต่อว่า ทีโรคภัยไข้เจ็บที่มักจะเดินทางมาเยือน
พร้อมๆ กับความชราเล่า…เราให้ราคากับค่าป้องกันมันขนาดไหนกัน?

ถ้าเอาเพื่อน คนรอบข้าง รวมถึงตัวดิฉันเอง เป็นบรรทัดฐานตอบได้ว่า
เราใส่ใจกับโรคชราน้อยมาก คล้ายกับได้ทำใจยอมรับแล้วว่า
อย่างไรเสียแก่แล้วก็ต้องป่วย เป็นของคู่กัน
กังวลไปก็หาประโยชน์อันใดไม่ได้
ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว

คำถามที่ตามมาก็คือ เราสามารถชะลอความเสื่อมชำรุดของร่างกายภายใน
เหมือนอย่างที่เราชะลอความหย่อนยาน
และแห้งเหี่ยวของผิวพรรณภายนอกไม่ได้จริงหรือ?

งานวิจัยหลายชิ้นที่ดิฉันอ่านพบ ให้คำตอบว่า "ไม่จริงเลย"
เราสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บยามแก่เฒ่าได้
เฉกเช่นเดียวกับที่เราสามารถพิทักษ์ผิวหน้า เส้นผม และผิวกาย
ให้รอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อของกาลเวลาได้
แถมสนนราคาสำหรับการณ์นี้ก็น้อยนิดอย่างเทียบไม่ได้
กับเครื่องประทินผิวสารพัดประเภท
เคล็ดลับสำคัญอยู่ที่ "การรับประทาน" ค่ะ


แท้จริงแล้ว เรื่องของการกินเพื่อยืดอายุ เป็นหัวข้อให้พูดถึงกันมานานโขแล้ว
เช่นที่มีการเก็บสถิติกันไว้ก็คือ งานวิจัยเรื่องดังกล่าวชิ้นแรก
เกิดขึ้นเมื่อนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์
ทำการทดลองโดยจำกัดปริมาณแคลอรีในอาหารกับหนูในห้องทดลอง
ในปี 1935 หรือเมื่อเกือบ 70 ปีมาแล้ว และสิ่งที่พบในคราวนั้นก็คือ
ปริมาณแคลอรีที่หนูทดลองเหล่านั้นบริโภค
มีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับโอกาสในการเป็นโรคมะเร็ง
การทำงานของหลอดเลือด และโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ อีกหลายชนิด

จนถึงทุกวันนี้เรื่องดังกล่าวก็ยังได้รับความสนใจจากนักวิชาการ
และผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอย่างสูง ข้อมูลจากปี 2000 ระบุว่า
สถาบันซึ่งดูแลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บจากความชราโดยเฉพาะในอเมริกา
(National Institute on Aging หรือ NIA)
ให้งบประมาณเพื่อศึกษาในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ถึง 3 ล้านดอลลาร์ต่อปี

คุณหมอโรเบิร์ต รัสเซลล์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยทัฟ ต์สบอสตัน
กล่าวว่า เรื่องของความแก่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการ
ซึ่งหมายความว่า เราไม่ได้ตื่นขึ้นในเช้าวันหนึ่งแล้วพบว่า
อ้าว…นี่ฉันแก่ซะแล้ว ตอนเข้านอนยังสาวอยู่เลย…อะไรอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นปฏิบัติการกินพิทักษ์แก่ จึงควรเริ่มเสียแต่เนิ่นๆ
คือ เมื่อคุณยังอยู่ในวัยที่ยังแข็งแรงพอ
ที่จะลุกเดินไปหยิบอะไรมารับประทานเองได้
ไม่ใช่รอจนถึงขวบปีที่ต้องวางกระดิ่งไว้ข้างตัว
เพื่อสั่นเรียกลูกหลานเวลา นึกอยากทำธุระใดๆ

อาหารประเภทแรกที่ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการทั้งหลายแนะนำให้รับประทาน
ก็คือ ผักใบเขียวและผลิตภัณฑ์จากนม
ซึ่งมีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง
ทั้งนี้ก็อย่างที่ทราบกันว่า แคลเซียมจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก
นอกจากนั้น เส้นใยในพืชยังช่วยรักษาความสมดุล
ในการทำงานของระบบลำไส้ และสารอาหารบางชนิด
ที่มีอยู่ในผักและผลไม้ยังจะช่วยป้องกันการทำงานอันผิดปกติของเซลล์ต่างๆ
ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย

นอกจากนั้น ยังมีสถิติที่น่าสนใจซึ่งลงตีพิมพ์ใน
Journalof the American Medical Association
ฉบับวันที่ 26 เมษายน 2000 ระบุว่า
ผู้หญิงที่รับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ
จะมีโอกาสเสียชีวิต (ไม่ว่าจะด้วยโรคใดก็ตาม)
น้อยกว่าผู้หญิงซึ่งรับประทานสุ่มสี่สุ่มห้า ถึงร้อยละ 30

และไม่นานมานี้ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน
ก็ออกมาประกาศถึงผลการศึกษาของตนที่พบว่า
ปริมาณแคลอรีที่ร่างกายได้รับ จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของยีน
และหัวใจอย่างยิ่งยวด โดยคุณหมอโธมัส พรอลลา ระบุว่า
"ถ้าคุณลดปริมาณการบริโภคแคลอรีในแต่ละวันลง 20-40 เปอร์เซ็นต์
จากปกติก็จะช่วยชะลอการเกิดโรคหัวใจลงได้
หรืออาจจะป้องกันไม่ให้คุณต้องล้มเจ็บจากโรคหัวใจเลยก็ได้
แม้ว่าคุณจะเริ่มต้นในวัยกลางคนแล้วก็ตาม"


เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เนื่องจากว่า เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น
เซลล์ในร่างกายก็มีแนวโน้มที่จะแปรสภาพไขมัน
ประเภทที่มีการเผาผลาญช้าและพลังงานสูง
ไปเป็นคาร์โบไฮเดรตซึ่งมีการเผาผลาญเร็วมากขึ้นด้วย
ซึ่งจะส่งผลสืบเนื่องให้หัวใจมีกำลังอ่อนลง และเหนื่อยล้าง่ายขึ้น
และเมื่อหัวใจต้องทำงานหนัก
โอกาสที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวก็สูงขึ้นเป็นลำดับ
แต่เมื่อร่างกายได้รับแคลอรีในปริมาณที่ต่ำลง
การแปรสภาพพลังงานและไขมันดังกล่าว ก็จะต่ำลงด้วย

คุณหมอโธมัสอธิบายในส่วนนี้เพิ่มเติมว่า
"การลดปริมาณแคลอรีจะช่วยชะลอการเสื่อมของร่างกาย
ซึ่งมีสาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้น หากคุณรับประทานอาหารแคลอรีต่ำ
แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าทางอาหาร
ก็เท่ากับช่วยให้หัวใจชะลอการเสื่อมสมรรถภาพลงได้ด้วย"


ผลการศึกษาของคุณหมอโธมัสและชาวคณะ ได้รับการตีพิมพ์
ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences
ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิชาการในแวดวงเดียวกันอย่างกว้างขวาง
อาทิเช่น คุณหมอเอริค ราวัสซิน จากศูนย์การวิจัยเพนนิงก์ตัน
มหาวิทยาลัยหลุยเซียนา ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้
เพิ่งจะเริ่มการศึกษาคล้ายๆ กันกับของคุณหมอโธมัส

หมอเอริคแสดงความเห็นด้วยกับผลงานของคุณหมอโธมัส
โดยกล่าวเสริมว่า "ปริมาณแคลอรีที่ร่างกายบริโภค
จะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในหัวใจอย่างยิ่ง"

อย่างไรก็ดี คุณหมอเอริคกล่าวว่า แม้ในปัจจุบันจะไม่มีการศึกษา
ในเรื่องของอิทธิพลของแคลอรีต่อเซลล์กับมนุษย์
(ที่ผ่านมา นักวิจัยจะใช้วิธีทดลองกับหนูในห้องทดลอง
หรือเก็บตัวอย่างจากสัตว์) แต่ก็มีตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมที่แสดงให้เห็นว่า
การจำกัดการบริโภคแคลอรีจะทำให้คุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น
แม้เมื่ออยู่ ในวัยสูงอายุแล้ว
โดยคุณหมอเอริคยกตัวอย่างถึงชาวบ้านที่โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น

"โดยทั่วไปแล้ว คนที่โอกินาวาจะบริโภคแคลอรี่
น้อยกว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
และมีสถิติพบว่า คนที่นั่นมีเปอร์เซ็นต์ที่จะมีอายุยืนถึง 100 ปี หรือกว่านั้น
สูงกว่าคนในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศด้วย"

คุณหมอรอย วอลฟอร์ด จากมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ
ผู้แต่งหนังสือ The 120-Year Diet
(ภายหลังเจ้าตัวดัดแปลงเป็นหนังสืออีกเล่มชื่อ
Beyound the 120-Year Diet) ซึ่งปัจจุบันอายุ 76 ปีแล้ว
แต่ยังมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี
คือหนึ่งในผู้นำในการศึกษาเรื่องการจำกัดปริมาณแคลอรี
นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 เป็นต้นมา
สิ่งที่คุณหมอรอยพบก็คือ สัตว์ในห้องทดลองที่ได้รับ
การควบคุมการบริโภคแคลอรีนั้น
นอกจากจะมีอายุเฉลี่ยสูงกว่าเพื่อนพ้องตัวอื่นๆ
ที่ได้รับอนุญาตให้กินได้ตามสะดวกแล้ว ยังมีสุขภาพดีกว่าอีกด้วย


เช่น ในการทดลองครั้งหนึ่งของหมอรอย ในปี 1987
เขาทดสอบสมรรถภาพกล้ามเนื้อของหนู ในช่วงอายุต่างๆ กัน
โดยให้มันวิ่งไปในกงล้อหมุน ผลที่พบก็คือ หนูอายุ 31-35 เดือน
ที่ถูกควบคุมการบริโภคแคลอรี มีความแข็งแรงมาก
เท่าๆ กับหนูอายุ 11-15 เดือนที่ถูกปล่อยให้กินตามใจ
และเมื่อถึงการทดลองเรื่องประสาทการรับรู้
ผลก็ปรากฏออกมาในรูปแบบเดียวกันด้วย
นั่นก็คือ หนูวัยชรามีประสิทธิภาพด้านประสาทสูง
เทียบเท่ากับหนูหนุ่มสาว
เมื่อได้รับการดูแลเรื่องอาหารการกินอย่างถูกต้อง

หมอรอยเรียกการจำกัดปริมาณแคลอรีในโครงการของเขาว่า
CRON ไดเอ็ท (Calorie Restriction with Optimal Nutrition
หรือการควบคุมปริมาณแคลอรีโดยให้ผลทางโภชนาการสูงสุด)
โดยกล่าวด้วยความเชื่อมั่นสุดๆ ว่า การเอาใจใส่ในภาวะการกิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาหารที่มีปริมาณแคลอรีสูง
จะทำให้คนสามารถอายุยืนได้ถึง 120 ปี (ตามชื่อหนังสือ) เลยทีเดียว
นอกจากนั้น หมอรอยยังได้ออกมายืนยันเสียงแข็งว่า
ชาวอเมริกันควรจะลดน้ำหนัก ให้ต่ำกว่ามาตรฐานที่มีการตั้งค่ากันไว้
(จากการเปรียบเทียบระหว่างส่วนสูง) 10-25 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย


หมอรอยกล่าวว่า "โดยทั่วไป คนมักจะพูดว่า
ไม่อยากอยู่จน 120 หรอก เพราะแค่ 40 ก็คงจะหง่อมพอตัวแล้ว
แต่หารู้ไม่ว่า การควบคุมการบริโภคแคลอรีนั้น
นอกจากจะทำให้อยู่ได้นานๆ แล้ว
ยังจะช่วยให้ร่างกายคงสภาพสมบูรณ์แข็งแรงได้ยาวนานกว่าปกติด้วย"

แม้จะยังไม่มีข้อมูลชัดเจนที่จะมายืนยันว่า
เพราะเหตุใด CRON ไดเอ็ทของคุณหมอรอย
จึงช่วยให้คนอายุยืนขึ้น แต่จากข้อสังเกตของเจ้าตัว
"ผมสังเกตว่า ในสัตว์นั้น เมื่อมันตกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหาร
พลังงานในร่างกายก็จะเปลี่ยนหน้าที่
จากการผลิตและสร้างความเจริญเติบโต
ไปเป็นการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอแทน"


สำหรับผู้ที่เข้าใจว่า การควบคุมปริมาณแคลอรีในอาหารนั้น
เป็นเรื่องยุ่งยากเหลือทน คุณหมอรอยก็มีคำแนะนำให้เช่นกัน
เขาเองได้ยึดหลัก CRON ไดเอ็ท มาตั้งแต่ปี 1984 แล้ว
ทุกวันนี้หมอรอยมีน้ำหนักตัว 134 ปอนด์
ซึ่งแท้จริงแล้ว ตามมาตรฐานปกติ
หมอรอยควรจะมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 155 ปอนด์
เมื่อคำนวณจากส่วนสูง คือ 5 ฟุต 8 นิ้ว

"ผมเคยเป็นนักกีฬามวยปล้ำมาก่อน
ตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยชิคาโก
แต่หลังจากนั้นก็ต้องลดน้ำหนักตัวลงมา
เพราะฉะนั้น ผมพูดได้ว่า ผมรู้ดีทีเดียวแหละ
ว่าการที่ต้องควบคุมอาหารนั้นเป็นอย่างไร"
เพื่อการลดน้ำหนัก หมอรอยจำกัดปริมาณแคลอรีของตน
ให้เหลือ 1,600 กรัมต่อวัน คุณต้องให้เวลากับมันสักพัก
แล้วร่างกายก็จะปรับสภาพให้เคยชินกับการกินแบบนั้นได้เอง"

ตามความเห็นของคุณหมอรอย
ศตวรรษที่ 21 จะเป็นยุคของคนอายุยืน
วิทยาการด้านชีวภาพจะทำให้ช่วงอายุขัยของคนยืนยาวขึ้น
"แต่การควบคุมปริมาณแคลอรีในร่างกาย
คือสิ่งเดียวที่ให้ความมั่นใจกับคุณได้ในเวลานี้
ถ้าคุณอยากมีชีวิตอยู่ไปนานๆ เพื่อดูโลกยุคใหม่
และเพื่อให้แน่ใจว่า คุณจะยังมีกำลังวังชาพอที่จะเล่นสนุก
กับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเหล่านั้นได้
ก็ควรเริ่มดูแลตนเองเสียแต่ตอนนี้"


แน่นอนว่า ในความเป็นจริงแล้ว นอกเหนือจากอาหาร
ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพ
และอายุขัยของมนุษย์ แต่ในเมื่ออาหาร
เป็นแหล่งสร้างพลังงานหลักให้กับร่างกาย
การดูแลและเอาใจใส่มันสักหน่อย ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหายใช่ไหมคะ



ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 26 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2545
คัดลอกจาก...http://www.elib-online.com/doctors46/food_age001.html

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณที่เอามาให้อ่านนะครับ คุณลูกโป่ง
:b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ดีครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 21:34
โพสต์: 56


 ข้อมูลส่วนตัว


หุหุ ขอบคุณมากค่ะ

เป็นแนวทางที่ช่วยประหยัดครีมทางผิวได้อีกส่วนนึง :b12:

.....................................................
๐ การเป็นผู้ฟังบ้างก็ไม่เสียหายอะไร จะได้รู้ว่าสิ่งที่เข้าใจมากนั้นผิดหรือถูก ๐


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สาธุครับ คุณลูกโป่ง

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2015, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1024


 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes tongue

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร