วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 01:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




02.jpg
02.jpg [ 24.86 KiB | เปิดดู 2107 ครั้ง ]
ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมส่วนปัจจุบันเป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณ [ญาณในการพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม]

รูปที่เกิดแล้วเป็นปัจจุบัน ชาติแห่งรูปที่เกิดแล้วนั้นมีความเกิดเป็นลักษณะ
ความเสื่อมมีความแปรปรวนเป็นลักษณะ

เวทนาเกิดแล้ว สัญญาเกิดแล้ว สังขารเกิดแล้ว วิญญาณเกิดแล้ว จักษุเกิดแล้ว ฯลฯ ภพเกิดแล้วเป็นปัจจุบัน

ชาติแห่งภพที่เกิดแล้วนั้นมีความเกิดเป็นลักษณะ ความเสื่อมมีความแปรปรวนเป็นลักษณะ


การพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งรูปขันธ์ โดยความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยว่า…..
….. เพราะอวิชชาเกิดรูปจึงเกิด
….. เพราะตัณหาเกิดรูปจึงเกิด
….. เพราะกรรมเกิดรูปจึงเกิด
….. เพราะอาหารเกิดรูปจึงเกิด
….. แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความเกิด ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งรูปขันธ์

การพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์โดยความดับ แห่งปัจจัยดับว่า…..
….. เพราะอวิชชาดับรูปจึงดับ
….. เพราะตัณหาดับรูปจึงดับ
….. เพราะกรรมดับรูปจึงดับ
….. เพราะอาหารดับรูปจึงดับ
…..แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความแปรปรวน ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์


แก้ไขล่าสุดโดย มหาราชันย์ เมื่อ 07 ต.ค. 2009, 20:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 09:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนาขันธ์ โดยความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยว่า...
.....เพราะอวิชชาเกิดเวทนาจึงเกิด
.....เพราะตัณหาเกิดเวทนาจึงเกิด
.....เพราะกรรมเกิดเวทนาจึงเกิด
.....เพราะผัสสะเกิดเวทนาจึงเกิด
.....แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งการเกิด ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนา

การพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเวทนาขันธ์ โดยความดับแห่งปัจจัยว่า...
.....เพราะอวิชชาดับเวทนาจึงดับ
.....เพราะตัณหาดับเวทนาจึงดับ
.....เพราะกรรมดับเวทนาจึงดับ
.....เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ
.....แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความแปรปรวน ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเวทนาขันธ์

การพิจารณาเห็นความเกิดแห่งวิญญาณขันธ์ โดยความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยว่า…..
….. เพราะอวิชชาเกิดวิญญาณจึงเกิด
….. เพราะตัณหาเกิดวิญญาณจึงเกิด
….. เพราะกรรมเกิดวิญญาณจึงเกิด
….. เพราะนามรูปเกิดวิญญาณจึงเกิด
….. แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความเกิด ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่ง วิญญาณขันธ์

การพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ โดย ความดับแห่งปัจจัยว่า
….. เพราะอวิชชาดับวิญญาณจึงดับ
….. เพราะตัณหาดับวิญญาณจึงดับ
….. เพราะกรรมดับวิญญาณจึงดับ
….. เพราะนามรูปดับวิญญาณจึงดับ
….. แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะแห่งความแปรปรวน ก็ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไป แห่งวิญญาณขันธ์

พระโยคาวจรเมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕ ประการนี้
…..เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งวิญญาณขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๑๐ ประการนี้
…..เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๒๕ ประการนี้
…..เมื่อพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๒๕ ประการนี้
…..เมื่อพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมพิจารณาเห็นลักษณะ ๕๐ ประการนี้

ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจุบัน เป็น อุทยัพพยานุปัสนาญาณ ฯ

รูปขันธ์เกิดเพราะอาหารเกิด
ขันธ์ที่เหลือ คือ เวทนา สัญญา สังขาร เกิดเพราะผัสสะเกิด
วิญญาณขันธ์เกิดเพราะนามรูปเกิด ฯ

เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้มีปัญญาไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
ไม่ควรหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละไปแล้ว
และสิ่งใดที่ยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็ยังไม่ได้ไม่ถึง

ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ในที่นั้นๆ ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน
บุคคลนั้นมารู้แจ้งธรรมนั้นแล้ว
ควรเจริญธรรมนั้นไว้เนืองๆ

ความเพียรควรทำเสียในวันนี้แหละ
เพราะใคร่เล่าจะพึงรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้
การผลัดเพี้ยนกับพระยามัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มีเลย
มุนีผู้สงบระงับ ย่อมกล่าวสรรเสริญบุคคลผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่
มีความเพียรเผากิเลสไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างนี้นั้นแลว่า
ผู้มีราตรีเดียวเจริญ ดังนี้แล้ว ได้บรรลุอรหัต
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระโลมสติยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.




เจริญในธรรมครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร