วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 23:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระเขมกะ: ผมไม่เห็นคล้อยสิ่งใดเลยในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ว่า เราเป็นอัตตา หรือ เป็นอัตตนิยะ

(สิ่งที่เนื่องด้วยอัตตา)

พระเถระทั้งหลาย : ถ้าอย่างนั้น ท่านเขมกะ ก็เป็นพระอรหันตขีณาสพสิ ?

พระเขมกะ: ผมไม่เห็นคล้อยสิ่งใดเลยในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ว่า เราเป็นอัตตา หรือ เป็นอัตตนิยะ

ก็จริง แต่ผมก็มิได้เป็นอรหันต์

อนึ่งผมยังมีความรู้สึกถือติดอยู่ในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่าเรามีอยู่ ทั้งที่ผมก็มิได้เห็นคล้อยไปว่า เราเป็นนี้


พระเถระทั้งหลาย : ที่ท่านกล่าวว่า เรามี นั้น ท่านว่าอะไรเป็น เรามี

ท่านว่ารูปเป็น เรามี หรือว่าเรามี นอกเหนือจากรูป

ท่านว่า เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็น เรามี หรือว่าเรามีนอกเหนือจากเวทนา...

สัญญา...สังขาร...วิญญาณ

ที่ท่านกล่าวว่า เรามี นั้น ท่านว่าอะไรเป็น เรามี ?


พระเขมกะ: ผมมิได้ว่ารูปเป็น เรามี และก็มิได้ว่าเรามีนอกเหนือจากรูป

ผมมิได้ว่าเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็น เรามี

และก็มิได้ว่าเรามีอยู่นอกเหนือจากเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็น เรามี

และก็มิได้ว่า เรามีอยู่นอกเหนือจากเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ

แต่กระนั้น ผมก็ยังมีความรู้สึกติดอยู่ในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่าเรามีอยู่

ทั้งที่ผมก็มิได้เห็นคล้อยไปว่า เราเป็นนี้

เปรียบเหมือนดังกลิ่นอุบล ปทุม หรือบุณฑริก ผู้ใดกล่าวว่า กลิ่นของกลีบ หรือว่า กลิ่นของสี

หรือว่ากลิ่นของเกสร เขากล่าวอย่างนี้ จะชื่อว่าพูดถูกไหม ?


พระเถระ ท. : ไม่ถูกเลยท่าน

พระเขมกะ: จะตอบให้ถูก จะว่าอย่างไรล่ะ ท่าน ?

พระเถระ ท. : จะตอบให้ถูก ก็ต้องว่า กลิ่นของดอก สิท่าน

พระเขมกะ: ฉันนั้น เหมือนกันแล ท่านทั้งหลาย ผมมิได้กล่าวว่ารูปเป็น เรามี และก็มิได้ว่าเรามีอยู่นอก

เหนือจากรูป

มิได้ว่า เวทนา ฯลฯ วิญญาณ เป็น เรามี และก็มิได้ว่าเรามีนอกเหนือจากเวทนา ฯลฯ วิญญาณ

แต่กระนั้น ผมก็ยังมีความรู้สึกถือติดอยู่ในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า เรามีอยู่ ทั้งที่ผมก็มิได้เห็นคล้อยไปว่า

เราเป็นอันนี้

ท่านทั้งหลาย สังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง ๕ เป็นสิ่งที่อริยสาวกละได้แล้วก็จริง แต่กระนั้น มานะว่า “เรามี”

ฉันทะว่า “เรามี” อนุสัยว่า “เรามี” ที่ตามคลออยู่ (คือ อย่างละเอียด) ในอุปาทานขันธ์ ๕

อริยสาวกนั้นก็ยังละไม่ได้ *

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

* ตั้งแต่ต้นถึงตอนนี้เป็นพระอนาคามี (สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ที่ละได้แล้ว คือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา

สีลัพพตปรามาส กามราคะ และปฏิฆะ

สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ที่จะต้องละต่อไปคือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมัยต่อมา อริยสาวกนั้น พิจารณาเห็นอยู่เนือง ๆ ซึ่งความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไปในอุปาทานขันธ์ ๕

ว่ารูปดังนี้ สมุทัยแห่งรูปดังนี้ อัสดงแห่งรูปดังนี้

เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณดังนี้ สมุทัยแห่งเวทนา...วิญญาณดังนี้ อัสดงแห่ง

เวทนา...วิญญาณดังนี้

เมื่ออริยสาวกนั้น พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไปในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เหล่านี้อยู่เสมอๆ

มานะว่า “เรามี” ฉันทะว่า “เรามี” อนุสัยว่า “เรามี” ที่ตามคลออยู่ในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕

ซึ่งท่านยังถอนไม่ได้นั้น ก็จะถึงซึ่งความถอนไปสิ้น (คือ บรรลุอรหัตผล เป็นอรหันต์ในตอนนี้)

เปรียบดังผ้าที่สกปรก มีรอยเปื้อนจับติด เจ้าของนำไปมอบให้แก่ช่างซักฟอก

ช่างซักฟอกขยำขยี้ผ้านั้นในน้ำด่างขี้เถ้า ในน้ำเกลือ หรือในโคมัย แล้วซักล้างในน้ำใสสะอาด

แม้ว่า ผ้านั้นจะสะอาดขาวผ่องแล้วก็จริง

แต่กระนั้น กลิ่นน้ำด่าง หรือ กลิ่นโคมัย ที่แทรกติดอยู่ก็หาหมดสิ้นไปไม่

ช่างซักมอบผ้านั้น คืนให้แก่เจ้าของ เขาก็เอาเก็บใส่ไว้ในตู้อบกลิ่น ทีนั้นกลิ่นด่างหรือกลิ่นโคมัยใดๆ

ที่แทรกติดอยู่ซึ่งยังไม่หมดไป ก็จะหายไปได้โดยเด็ดขาดฉันใด (ความที่แสดงมาข้างต้นนี้)

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

(สํ.ข.17/226-229/156-161)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จ. พระอรหันต์ปัญญาวิมุต กับพระอรหันต์อุภโตภาควิมุต


อานนท์ เมื่อใดภิกษุรู้ซึ่งสมุทัย ความอัสดง อัสสาทะ (ส่วนดี) อาทีนพ (ส่วนเสีย)

และนิสสรณะ (ทางออก) แห่งวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒* เหล่านี้ ตามที่มันเป็นจริงแล้ว

เป็นผู้หลุดพ้นด้วยไม่ถือมั่น ภิกษุนี้ เรียกว่า เป็นปัญญาวิมุติ


อานนท์ เมื่อใดภิกษุเข้าวิโมกข์ ๘ เหล่านี้โดยอนุโลมบ้าง เข้าโดยปฏิโลมบ้าง เข้าทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลม

บ้าง ย่อมเข้าก็ได้ ออกก็ได้ ในคราวที่ต้องการ ซึ่งข้อที่ต้องการ เท่าเวลาที่ต้องการ และเพราะอาวะ

ทั้งหลายสิ้นไป เธอได้ประจักษ์แจ้งเข้าถึงอยู่ ด้วยความรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้ทีเดียว ซึ่งเจโตวิมุตติ

ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้

ภิกษุนี้ เรียกว่า เป็นอุภโตภาควิมุต


(ที.ม.10/65-66/83-84)


:b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55:

* วิญญาณฐิติ = ที่ตั้งแห่งวิญญาณ มี ๗ คือ

๑.สัตว์ที่กายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน

๒. สัตว์ที่กายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน

๓. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน

๔.สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน

๕.-๗ อรูปภพ ๓ ข้อแรก มีอากาสานัญจายตนะ เป็นต้น: อายตนะ (แดน) ๒ คือ

อสัญญีสัตตายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ; บางที รวมวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒

เข้าด้วยกัน เรียกว่า สัตตาวาส ๙

ที่กล่าวถึงวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ อย่างนี้ เป็นเพียงวิธียักเยื้องเทศนาอย่างหนึ่งเท่านั้น

จะใช้ขันธ์ ๕ แทนที่ลงไปก็ได้ เพราะครอบคลุมเนื้อความทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 24 ธ.ค. 2009, 21:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉ.พระพุทธเจ้า กับ พระปัญญาวิมุต

ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะหายติด หมดใคร่

ดับเสียได้ ไม่ถือมั่นรูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ

เขาจึงเรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


แม้ภิกษุปัญญาวิมุต ก็เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะหายติด หมดใคร่ ดับเสียได้ ไม่ถือมั่นรูป...

เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เขาจึงเรียกว่า ปัญญาวิมุต



ในเรื่องนั้น อะไรเป็นความพิเศษ เป็นข้อหย่อน เป็นข้อแตกต่างระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ

กับ ภิกษุปัญญาวิมุต ?....

พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ เป็นผู้ให้กำเนิดมรรคาที่ยังไม่เกิด เป็นผู้ยังประชุมชนให้รู้จักมรรคา

ที่ยังไม่มีใครรู้จัก เป็นผู้บอกทางที่ยังไม่มีใครบอก เป็นผู้รู้ทาง เป็นผู้ชำนาญทาง เป็นผู้ฉลาดในทาง



ส่วนสาวกทั้งหลายในบัดนี้ เป็นผู้ดำเนินตามทาง เข้ามาสมทบในภายหลัง นี้แลเป็นความพิเศษ

เป็นข้อยิ่งหย่อน เป็นข้อแตกต่าง ระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับ ภิกษุปัญญาวิมุต


(สํ.ข. 17/125-6/81)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร