วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 05:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 106 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ในการปฏิบัติธรรมชั้นสูงขึ้นไป ที่ถึงขั้นที่จะให้เกิดญาณ หรือปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง จนกำจัดอาสวะกิเลสได้

ก็ยิ่งต้องการจิตที่สงบนิ่ง ผ่องใส มีสมาธิแน่วแน่ยิ่งขึ้น ถึงขนาดระงับการรับรู้ ทางอายตนะต่างๆได้หมด

เหลืออารมณ์ที่กำหนดไว้ทำการแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อกำจัดกวาดล้างตะกอนที่นอนก้นทั้งหลาย

ไม่ให้มีโอกาสขุ่นอีกต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 06 ก.พ. 2010, 22:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจธรรมแท้ๆก็อย่างบทความที่ว่า


ขันธ์ ๕ หรือ ชีวิต เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตามกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท

ส่วนต่างๆ สัมพันธ์กัน เนื่องอาศัยกัน เป็นปัจจัยแก่กัน จึงทำให้กระแสหรือกระบวนการนี้ดำเนินไปอย่าง

มีเหตุผล และคุมเป็นรูปร่างต่อเนื่องกัน

ในภาวะเช่นนี้ชีวิต จึงเป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ คือ อยู่ในภาวะแห่ง อนิจจตา ไม่เที่ยง ไม่คงที่

อนัตตา ไม่มีส่วนใดที่มีตัวตนแท้จริง และไม่อาจยึดถือเอาเป็นตัวตนได้

ทุกขตา ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้น และ สลายตัวอยู่ทุกขณะ และพร้อมที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ได้เสมอ

ในกรณีที่มีการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความไม่รู้

viewtopic.php?f=7&t=28157&p=167478#p167478

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณค่ะ :b8:

วันนี้มีข้อสงสัยว่าตอนนั่งกรรมฐาน ยิ่งรู้สึกว่ามีความสุข ใจและกายสงบผ่อนคลายมากขึ้นๆ
(แต่ตึงที่หัวไหล่และเข่าทั้งสองข้าง และตัวยังโยกอยู่แต่โยกเบาๆ แค่พอรู้สึกว่าโยก
ส่วนเมื่อยขาก็ยังมีแบบพอกำหนดแล้วจะหายแล้วกลับมาเมื่อยใหม่ นิมิตไม่มี แต่เสียงก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง)
มือที่วางซ้อนกันอยู่ที่ตักจะคลายออกมาเอง พอเอามือมาซ้อนกันใหม่ก็คลายออกอีก
อยากทราบว่าที่ถูกควรเอามือมาซ้อนกันใหม่หรือปล่อยไว้อย่างนั้นคะ

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 07 ก.พ. 2010, 17:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีการปฏิบัติกรัชกายได้แนะนำคุณรินไว้มากแล้วกระทู้ก่อนหน้า

กระทู้นี้จะพูดถึงตัวธรรมแท้ๆ มากหน่อยนะครับ

ความสุขข้อปฏิบัติเกี่ยวกับความสุขพระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้

พิจารณาดูครับ


หลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนาสำหรับปฏิบัติต่อความสุข ๓ ข้อ คือ

“ภิกษุทั้งหลาย ความพยายามจะมีผล ความเพียรจะมีผลได้อย่างไร ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

๑. ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม

๒. ไม่ละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม

๓. ไม่หมกมุ่นสยบในความสุขนั้น”

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

ม.อุ.14/12/13 ตรัสเพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนากับลัทธิของนิครนถ์ ซึ่งเป็นคำสอน

ประเภทอัตตกิลมถานุโยค

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รินรส เขียน:

วันนี้มีข้อสงสัยว่าตอนนั่งกรรมฐาน ยิ่งรู้สึกว่ามีความสุข ใจและกายสงบผ่อนคลายมากขึ้นๆ
(แต่ตึงที่หัวไหล่และเข่าทั้งสองข้าง และตัวยังโยกอยู่แต่โยกเบาๆ แค่พอรู้สึกว่าโยก
ส่วนเมื่อยขาก็ยังมีแบบพอกำหนดแล้วจะหายแล้วกลับมาเมื่อยใหม่ นิมิตไม่มี แต่เสียงก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง)
มือที่วางซ้อนกันอยู่ที่ตักจะคลายออกมาเอง พอเอามือมาซ้อนกันใหม่ก็คลายออกอีก
อยากทราบว่าที่ถูกควรเอามือมาซ้อนกันใหม่หรือปล่อยไว้อย่างนั้นคะ



อ้างคำพูด:
วันนี้มีข้อสงสัยว่าตอนนั่งกรรมฐาน ยิ่งรู้สึกว่ามีความสุข ใจและกายสงบผ่อนคลายมากขึ้นๆ


เป็นธรรมดาครับคุณริน ขณะใดจิตสงบอยู่กับกรรมฐาน ก็มีความสุข เพราะกิเลสสงบราบคาบลง

คุณรินจะลองทดลองดูด้านตรงข้ามบ้างก็ได้ คือ ขณะใดมีความสุขสงบดังว่าแล้ว

หาเรื่องหาเหตุคิคออกนอกกรรมฐาน (พอง-ยุบ หรือ ลมหายใจ) เช่นว่า คิดเรื่องงาน คิดเรื่องแฟน

คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ เป็นต้น ดู

แล้วสังเกตกายใจดูว่า ขณะนั้นต่างกับก่อนหน้านั้นยังไง ทดลองได้ครับ ไม่เสียหายอะไร :b1:


อ้างคำพูด:
(แต่ตึงที่หัวไหล่และเข่าทั้งสองข้าง และตัวยังโยกอยู่แต่โยกเบาๆ แค่พอรู้สึกว่าโยก
ส่วนเมื่อยขาก็ยังมีแบบพอกำหนดแล้วจะหายแล้วกลับมาเมื่อยใหม่ นิมิตไม่มี แต่เสียงก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง)


(อย่างที่บอกก่อนหน้าว่า อาการเหล่านี้ เมื่อเรากำหนดทันปัจจุบันขณะบ่อยขึ้นๆ ตัวโยกตัวเอียง ตัวบิด

ตึงไหล่ ตึงเข่าเป็นต้นเหล่านี้จะหมดไปในที่สุด แต่ระยะนี้ก็อย่างที่เน้นๆเกือบทุกครั้งว่า รู้สึกอย่างไร

เป็นยังไง ทั้งทางกายทางใจ ที่ช่วงไหนตอนใด ให้กำหนดรับรู้ช่วงนั้นตอนนั้นเดี๋ยวนั้นครับ)


อ้างคำพูด:
มือที่วางซ้อนกันอยู่ที่ตักจะคลายออกมาเอง พอเอามือมาซ้อนกันใหม่ก็คลายออกอีก
อยากทราบว่าที่ถูกควรเอามือมาซ้อนกันใหม่หรือปล่อยไว้อย่างนั้นคะ



ครั้นรู้สึกว่าคลายออกให้กำหนดรับรู้อาการนั้นตามนั้นเสียก่อน กำหนดแล้วก็ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ

ไม่ต้องจัดแต่งอะไรอีกครับ กำหนดกรรมฐานคือพองยุบเป็นต้นต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 ก.พ. 2010, 18:59, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีข้อธรรมพึงศึกษา คือ คำว่า “ตน” ในข้อที่ ๑.ที่ว่า “ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม”

ในที่นี้พระพุทธองค์ตรัสโดยนัยสมมุติ (สมมุติสัจจะ) เหมือนอย่างที่ตรัสว่า

อัตตา หิ อัตตโน นาโถ - ตนแลเป็นที่พึงแห่งตน

ตน หรือ อัตตา ในที่นี้ ก็ตรัสโดยสมมุติหรือโดยบัญญัติ ซึ่งเขาตั้งใช้สื่อสารกันเข้าใจในสังคม เช่น นาย ก.

นาง ข. เป็นต้น

แต่...ที่ตรัสว่า รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ ตรัสโดยนัยปรมัตถ์หรือโดยสภาวธรรม

ตามที่มันเป็นเองโดยธรรมชาติ

อธิบายที่ว่า “ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม” ในทางจริยธรรมก็เช่นว่า เอาสิ่งเสพติดเป็นต้น

เข้าสู่ร่างกาย (เข้าสู่ตน)

ส่วนในทางลัทธิศาสนาก็อย่างลัทธินิครนถ์ที่ทรมานตน เช่น นอน นั่งบนตะปูเป็นต้น หรืออดข้าวอดน้ำ

แม้แต่พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็ใช้วิธีเหล่านี้โดยกำมือจนเล็บทิ่มเข้าไปในเนื้อ ฯลฯ

มองให้ใกล้บ้านเราเข้ามา ก็มีบางสำนักใช้ไฟลนตามตัว เพื่อให้เกิดทุกขเวทนา แล้วก็ดูเวทนา ฯลฯ


ข้อ ๒-๓ ระยะนี้คุณรินได้เสวยสุขอันชอบธรรมจากการปฏิบัติกรรมฐาน ก็พึงเสพสุขนั้นตามเหตุตามผล

ของมัน...แต่จิตใจจะไม่สยบต่อสุขเช่นว่านั้น คือไม่เป็นทาสของความสุขนั้นแม้ประณีตสักปานไดก็ตาม


ดูตัวอย่างเปรียบเทียบ

๑. ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม

๒. ไม่ละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม

๓. ไม่หมกมุ่นสยบในความสุขนั้น

“ภิกษุทั้งหลายรูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ ไม่

เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้น พึงเห็น

ด้วยสัมมาปัญญา ตามที่มันเป็นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา มิใช่เราเป็นนั่น นั่นมิใช่ตัวตนของเรา”

(สํ.ข.17/42/28)

“ภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ ไม่เที่ยง...เป็นทุกข์....เป็นอนัตตา

แม้ภาวะที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้รูป... เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณเกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง...

เป็นทุกข์....เป็นอนัตตา

รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณซึ่งจากสภาวะที่ไม่เที่ยง...เป็นทุกข์...

เป็นอนัตตา จักเป็นของเที่ยง...เป็นสุข...เป็นอัตตาได้จากที่ไหน”

(สํ.ข.17/45-47/29-30 ในบาลีท่านแยกพูดทีละอย่าง แต่ในที่นี้ท่านแปลรวบความ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 08 ก.พ. 2010, 09:41, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากมีสงสัยในข้อธรรมต่างๆ จะขออนุญาตซักถามได้ไหมคะ

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 07 ก.พ. 2010, 23:42, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รินรส เขียน:
หากมีสงสัยในข้อธรรมต่างๆ จะขออนุญาตซักถามได้ไหมคะ


ได้ครับ แต่เปิดช่องให้ตนเองหน่อยว่า คำถามนั้นกรัชกายรู้ก็จะตอบให้ชัดๆ ไม่ต้องตีความ

หากไม่แน่ใจตอบคลุมๆเครือๆก็ไม่ตอบ อย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่ง ถามเรื่องชาติที่แล้วเกิดเป็นอะไรทำกรรมอะไรไว้ ฯลฯ อย่างนี้ไม่ตอบ เพราะไม่รู้

หรือว่าตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร ก็ไม่ตอบ เพราะไม่รู้อีกเช่นกัน :b1: :b32:

สรุปแล้วก็คือ รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ตรงไปตรงมาอย่างนี้ดีไหมครับ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้อ่านกระทู้ “กรรมกับอนัตตาขัดกันหรือไม่”
viewtopic.php?f=2&t=18847

ทำให้นึกถึง คำว่า “เจ้ากรรมนายเวร” ซึ่งได้ยินมานานตั้งแต่จำความได้
ถ้าพูดในแง่สมมติ “เจ้ากรรมนายเวร” มีตัวตน
แต่ถ้าพูดในแง่สภาวะหรือปรมัตถ์ “เจ้ากรรมนายเวร” ไม่มี เช่นเดียวกับที่ไม่มีผู้ทำกรรม และผู้รับผลกรรม ใช่ไหมคะ
(สรุปความเข้าใจของตัวเองได้เท่านี้ค่ะ ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร)
หากเข้าใจผิดขอความกรุณาชี้แนะด้วยค่ะ :b8:

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างนี้ครับ

เฉพาะศัพท์ เจ้า/นาย ที่ “เจ้ากรรม” “นายเวร” ในตำราทางศาสนา ไม่เคยพบเห็นว่ามีมาคู่กัน (น่าจะ

เป็นคำเสริมมาทีหลัง) เห็นแต่ “กรรม” “เวร”

“กรรม” มาคำเดียวโดดๆ ก็มี สมาสกับศัพท์อื่นก็มี

มีความหมายหลายนัย (เท่าที่นึกได้ตอนนี้)

ที่สมาสกับศัพท์อื่น เช่น

“กรรม” แปลว่า การกระทำ เช่น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม -การกระทำทางกาย

การกระทำทางวาจา การกระทำทางใจ


กรรม ที่มีความหมายลึกซึ้ง คือ กรรมทางใจ คือ มโนกรรม ศึกษาลิงค์นี้ (แต่ยังไม่เรียบร้อยนัก)


viewtopic.php?f=4&t=19058&p=86391#p86391


“กรรม” แปลว่า การงาน (หมายถึงการงานที่อาศัยเลี้ยงชีพ)

ดังพุทธพจน์กระทู้ (กรรม กับอนัตตา...) เช่นว่า

สัตว์ทั้งหลาย ผู้ไม่รู้ก็พร่ำกล่าวว่า คนเป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่บุคคลจะเป็นพราหมณ์เพราะชาติ

(กำเนิด) ก็หาไม่ จะมิใช่พราหมณ์เพราะชาติก็หาไม่ จะชื่อว่าเป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม

ไม่ใช่พราหมณ์ก็เพราะกรรม เป็นชาวนาก็เพราะกรรม (การงานอาชีพที่ทำ) เป็นศิลปินก็เพราะกรรม

เป็นพ่อค้าก็เพราะกรรม เป็นคนรับใช้ก็เพราะกรรม เป็นโจรก็เพราะกรรม


"กรรม" แปลว่า การงานของจิต สมาสกับศัพท์อื่น กรรมฐาน (กรรม+ฐาน)

ดูคำแปลลิงค์นี้

viewtopic.php?f=2&t=23002&p=115939#p115939


ส่วน “เวร” ในธรรมบทมีเล่าไว้ คือหมายถึงการจองเวรกันและกัน


ความหมาย สมมุติหรือบัญญัติ กับ สภาวะหรือ ปรมัตถ์ ทำความเข้าใจเพิ่มเติมที่


viewtopic.php?f=2&t=19996

หรือติดตามลิงค์นี้

viewtopic.php?f=2&t=29011&p=176293#p176293

ที่โต้แย้งเห็นต่างกับสหายธรรมคนหนึ่งอยู่

บางทีการโต้แย้งกัน อาจทำให้ผู้ฟัง/อ่าน มีคำตอบให้กับตนเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ก.พ. 2010, 08:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณค่ะ :b8:

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Buddha.jpg
Buddha.jpg [ 254.89 KiB | เปิดดู 4646 ครั้ง ]
ขออภัยคุณรินก่อนนะครับ :b8:

คำพูดข้อแนะนำหรือคำอธิบายอื่นใด ที่กรัชกายตอบคุณไป คุณพึงค้นคว้าหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกนะครับ

สอบค้นดูจนเข้าใจด้วยตนอีกครั้งหนึ่ง อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อกรัชกายทันที

เช่นเดียวกัน วิธีปฏิบัติฝึกหัดทำกรรมฐานที่กรัชกายแนะนำคุณตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้

คุณก็พึงหัดปฏิบัติให้รู้แจ้งประจักษ์ด้วยตนเอง ว่าเป็นอย่างนั้นๆจริง ตามที่มันเป็นของมันเอง :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ก.พ. 2010, 11:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสริม คห.บนอีกหน่อย (เต็มๆ ตาม link)

คุณรินครับ วิธีปฏิบัติกรรมฐานมีมาก ผู้ที่ใช้อาการพอง-ยุบ เป็นต้น ก็เป็นวิธีหนึ่งในจำนวนวิธีปฏิบัติอันมากมาย

นั้น แต่ข้อสังเกตวิธีใดก็ตาม ควรเป็นไปเพื่อกำจัดกิเลสมีนิวรณ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของทุกข์ สรุปก็คือการ

ปฏิบัติต้องเป็นไปเพื่อกำจัดทุกข์นั่น ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคตแสวงหา

พิจารณาการสนทนาระหว่าง พระสารีบุตร กับพระพุทธเจ้า(ตัดมา) ดังนี้



พระพุทธเจ้า. “ก็ในเรื่องนี้ เมื่อเธอไม่มีญาณ เพื่อกำหนดรู้จิตในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบันเช่นนี้แล้ว ไฉนเล่า เธอจึงได้กล่าวอาสภิวาจาอันยิ่งใหญ่นักนี้

บันลือสีหนาทถือเป็นเด็ดขาดอย่างเดียว (ดังที่กล่าวมาแล้ว)”


พระสารีบุตร:“พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ไม่มีญาณกำหนดรู้จิตในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต

อนาคต และปัจจุบัน ก็จริง แต่กระนั้น ข้าพระองค์ทราบการหยั่งแนวธรรม”

“พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนเมืองชายแดนของพระราชา มีป้อมแน่นหนา มีกำแพงและเชิงเทินมั่นคง

มีประตูๆ เดียว คนเฝ้าประตูพระนครนั้น เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา คอยห้ามคนที่ตนไม่รู้จัก

ยอมให้แต่คนที่รู้จักเข้าไป

เขาเที่ยวตรวจดูทางแนวกำแพงรอบเมืองนั้น ไม่เห็นรอยต่อหรือช่องกำแพง แม้เพียงที่แมวลอดออกได้

ย่อมคิดว่า สัตว์ตัวโตทุกอย่างทุกตัวจะเข้าออกเมืองนี้ จะต้องเข้าออกทางประตูนี้เท่านั้น ฉันใด

ข้าพระองค์ก็ทราบการหยั่งแนวธรรม ฉันนั้นเหมือนกันว่า

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ เท่าที่มีมาแล้วในอดีต ทรงละนิวรณ์ ๕

ที่ทำจิตให้เศร้าหมอง ทำปัญญาให้อ่อนกำลังได้แล้ว มีพระทัยตั้งมั่นดีในสติปัฏฐาน ๔

ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง
จึงได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่จะมีในอนาคต ก็จัก (ทรงทำอย่างนั้น)

แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละนิวรณ์ ๕....มีพระทัยตั้งมั่น

ในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง จึงได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
(เช่นเดียวกัน)”


viewtopic.php?f=7&t=28007&st=0&sk=t&sd=a

ถ้าไม่เริ่มต้นด้วยการกำจัดนิวรณ์ก่อนแล้ว อย่างอื่นนอกจากนี้ก็เป็นแต่เพียงความฝัน

วิธีปฏิบัติใด ไม่เป็นไปเพื่อกำจัดกิเลสมีนิวรณ์เป็นต้น วิธีนั้นควรพิจารณา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ก.พ. 2010, 17:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์คะ ช่วงนี้ยังไม่มีคำถามค่ะ :b8:

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 18 ก.พ. 2010, 20:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


VDO Clip คลิป : คนค้นฅน กัน... ชีวิตที่นับถอยหลัง (16-02-10)


http://www.thaivdoclip.com/html/19654.html

ซึ่งให้คติธรรมทางภาวนามัยกุศล

(ลิงค์นี้คิดว่าคงไม่เคลื่อนอีก)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 18 ก.พ. 2010, 23:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 106 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร