วันเวลาปัจจุบัน 11 ส.ค. 2025, 22:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หาความสุขได้ที่ไหน

ในตอนกลางดึกมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอ ย่างรอบๆเสาไฟฟ้าข้างถนน
สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา
เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่
เลยถามขึ้นว่า 'ยาย..ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่?'


หญิงชราผู้นั้นตอบว่า 'ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ ยายทำตกหายไป ช่วยยายหาหน่อยซิ'
พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมด แต่ก็หาไม่เจอ
ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย


'ยาย..ยาย..ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน'

ยายตอบว่า 'ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป
แต่ห้องยายมันมืด ยายมองไม่ค่อยเห็น ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า

'...พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะ แล้วเดินหนีไป

เมื่อเราทำของหาย เราก็ต้องไปหาในที่ๆเราทำหาย
มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น
เช่นเดียวกัน เมื่อเราแสวงหาความสุข
เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป


มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนท์คลับ หรือสถานเริงรมย์ต่างๆ
หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือไปหาที่คนอื่น

ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน?
คำตอบก็คือ เราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา
จากใจเรา ดังนั้น เราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา


ที่มา : จาก 'แนวทางสู่ความสุข' โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
เช็ดใจ เปลี่ยนมุมมอง

มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทุกๆ เช้า ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบน
และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง
'เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน
ไม่รู้ใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่างไร'

สามีก็ตอบว่า 'อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน'

แต่ภรรยาก็แอบไปดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างข้างบนบ้าน และวิ่งกลับมางานสามีทุกเช้า
'เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว'


อยู่มาวันหนึ่งภรรยาวิ่งลงมารายงานสามีด้วยความแปลกประหลาดใจ
'ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด
อยากรู้เหลือเกินว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกอะไร หรือใช้วิธีใดซักผ้า'


สามีหัวเราะแล้วกล่าวว่า 'นี่ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน เมื่อเช้านี้ฉันตื่นแต่เช้ามืด
และไปเช็ดกระจกหน้าต่า งให้สะอาด ก่อนหน้านี้ กระจกมันสกปรก
เธอมองออกไปก็เห็นแต่ความสกปรก'


'ทุกข์' หรือ 'สุข' นั้น จิตใจเป็นตัวกำหนด แต่ถึงอย่างนั้น ผิด ชอบ ชั่ว ดี
ก็ยังถือเป็นภาระทางจริยธรรมของเราอยู่ ซึ่ง ...
หากเช็ดหน้าต่างแล้ว ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยม แต่ก็เพียงพอที่แสงจะลอดผ่าน
เพื่อประโยชน์แก่การ 'มอง' และ 'เห็น


โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 23:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



:b8: :b8: :b8:

แรงบันดาลใจสู่ธรรมะ ของ ’เจ็ต ลี’


แรงบันดาลใจสู่ธรรมะ ของ ’เจ็ต ลี’

เจ็ต ลี พระเอกกังฟูซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ได้หันมาศึกษาธรรมะในพุทธศาสนา
กระทั่งสามารถทะลายกำแพงการมีชื่อเสียงเงินทอง ซึ่งเขายึดติดมาเป็นเวลาหลายปีได้สำเร็จ
ปัจจุบันนอกจากการแสดงภาพยนตร์แล้ว เขายังหันมาช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมโลก
ในเรื่องการศึกษา สุขภาพ สภาพแวดล้อม และความยากจน ด้วยการตั้งมูลนิธิ
“China Jet Li One” ขึ้น

• จุดเริ่มต้นสนใจธรรม
เมื่อตอนที่เจ็ต ลีอายุ 8 ปี เขาเริ่มต้นเรียนวูซูหรือกังฟู “ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเรียนอะไร
รู้แต่เพียงว่าการได้เรียนในสถาบันวูซู จะทำให้ผมมีข้าวกิน”

ลีได้ลงมือฝึกฝนวูซูอย่างจริงจัง และปฏิญาณตนว่า
สักวันหนึ่งจะนำศิลปะการต่อสู้ของจีนออกไปเผยแพร่ทั่วโลก กระทั่งในช่วงอายุ
11-16 ปี ก็ได้รับเหรียญทอง 15 เหรียญในการแข่งขันวูซูแห่งชาติ
และได้เป็นตัวแทนไปเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ของจีนทั่วโลก ตามความฝันของตัวเอง


อย่างไรก็ดี ต่อมาเขาค่อยๆตระหนักว่า
ในขณะที่กังฟูทำให้ผู้ฝึกมีร่างกายแข็งแรง แต่มันไม่ได้ช่วยทำให้จิตใจเข้มแข็งไปด้วย
ไม่ได้ช่วยให้แก้ไขปัญหาต่างๆได้ และแม้ว่าเขาจะได้รับรางวัลสุดยอดนักกังฟู
ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในใจเขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เป็นสุดยอดจริงๆ
จากนั้นลีก็เริ่มหันมามองตัวเอง โดยการศึกษาไทเก็กและหยินหยางควบคู่ไปด้วย
ในที่สุดเขาก็เริ่มค้นพบความสงบภายใน


ในปี 1982 ชื่อเสียงของลี เริ่มโด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วเอเซียและและในแวดวงฮอลลีวูด
จากภาพยนตร์เรื่อง Shaolin Temple หรือในชื่อไทยว่า “เสี้ยวลิ้มยี่”
ตั้งแต่นั้นมา เขาก็เริ่มมีงานแสดงเข้ามาไม่ขาดสาย พร้อมกับเงินทองที่หลั่งไหลมา

ถึงแม้จะมีทั่งชื่อเสียงและเงินทอง แต่มีบางอย่างคอย
รบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา
“ผมก็เหมือนคนส่วนใหญ่ ใน 24 ชม. ผมจะใช้เวลานอน 10 ชม. และ 3 ชม.
เป็นเวลากิน คุย อยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่จะใช้เวลา 5 ชม.
คิดว่าจะทำยังไงเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น ส่วนเวลาที่เหลือก็จะเป็นเวลาที่มานั่งผิดหวัง”


• เดินหน้าศึกษา เข้าหาครูอาจารย์

ปี 1998 ลีได้ไปศึกษาพุทธศาสนานิกายวัชรยาน
กับพระอาจารย์ Chen-Cho Dorje De-Chen Dorje Do-Ngak Lingpa
เจ้าอาวาสวัด Mei Chen Palme ในมณฑลชิงไห่ ของจีน ตลอดระยะเวลา 5-6 ปี
ที่เขาได้เรียนรู้ธรรมะจากพระอาจารย์ ทำให้เกิดความซาบซึ้งในหลักธรรมคำสอน
และได้เข้าร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนา หลายแห่งทั้งในฮ่องกงและไต้หวัน อาทิ
การสนทนาธรรมกับพระอาจารย์เช็ง เย็น(มรณภาพเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 09) หัวข้อ
“นิรนามกับความไม่รู้” ที่กรุงไทเป เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2003
ท่ามกลางผู้สนใจเข้าฟังกว่า 1,500 คน


ลีกล่าวว่า การมีสติปัญญาช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการมีชื่อเสียงเงินทอง
โดย 5 ปีหลังจากที่หันมานับถือศาสนาพุทธ เขารู้สึกว่า ตอนนี้ตนพร้อมที่จะเผชิญกับ
ความล้มเหลวในเรื่องงานและความไม่แน่นอนในชีวิตได้อย่างมีความสุข


ขณะที่ พระอาจารย์เช็ง เย็น ก็เห็นด้วยกับลี และชี้ให้ เห็นว่า
การปฎิบัติตามวิถีพุทธมิได้หมายความว่า เราต้องหลีกเลี่ยงการมีชื่อเสียงเงินทอง
แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เราควรเรียนรู้ที่จะนำชื่อเสียงเงินทอง
มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะไม่ถูกควบคุมหรือได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้


เจ็ต ลี ได้ให้คำแนะนำแก่เด็กวัยรุ่นที่กำลังมีปัญหาในชีวิตว่า
“ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เมื่อเรามีปัญหา เรามักจะโทษคนอื่นและทุกๆอย่าง
โดยไม่ดูตัวเอง ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา ก็คือตัวเรานั่นเอง ถ้าเราได้ศึกษาธรรมะ
เราจะเกิดปัญญาและเห็นคุณค่าของตัวเราได้ชัดขึ้น เราสามารถเรียนรู้ที่จะมอง
ความต้องการ ทางด้านวัตถุ ชื่อเสียง เงินทองได้หลากหลายแง่มุม”


พระเอกกังฟูชื่อดังสารภาพว่า การมีชื่อเสียงทำให้เขาเครียดอย่างหนัก
ที่จะต้องพยายามครองความเป็นที่หนึ่งให้ได้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็รวบรวมสติปัญญา
และความเข็มแข็งที่ได้จากการศึกษาพระธรรม พร้อมที่จะเผชิญกับความสำเร็จ
และความล้มเหลวด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง


• คิดอำลาชีวิตในวงการแสดง เพื่อมาปฏิบัติธรรม
ความเลื่อมใสในพุทธศาสนาที่เต็มเปี่ยมในหัวใจของพระเอกกังฟูชื่อดังนั้น
ทำให้เขาคิดที่จะวางแผนอำลาชีวิตการเป็นนักแสดง ในช่วงวันเกิดของตัวเอง
ปี2004 เพื่อหันมาปฏิบัติธรรมอย่างเต็มตัว
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป “ชาง ไวปิง” ผุ้อำนวยการสร้างหนังทำเงิน “Hero”
และเป็นเพื่อนสนิทของลีบอกว่าไม่ทราบข่าวดังกล่าว แต่ยอมรับว่า ลีเป็นชาวพุทธที่เคร่งมาก


“มีอยู่ครั้งหนี่ง ขณะที่เราอยู่บนเครื่องบินเพื่อเดินทางไปสหรัฐ
ลีก็นั่งสมาธิ และสวดมนต์นานกว่า 4 ชม. ตั้งแต่ผมเริ่มนอนจนตื่นขึ้นมา” ชางพูด
แต่ในที่สุด ลีก็ไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ เพราะพระอาจารย์ที่วัด Mei Chen Palme
บอกเขาว่า “คุณยังต้องทำเป้าหมายในชีวิตของคุณให้บรรลุก่อน


ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น เขาจึงได้เข้าใจว่า เป้าหมายในชีวิตของเขาก็คือ
การใช้ความมีชื่อเสียงของตนช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา
และแบ่งปันความสุขจากการเกิดปัญญาเมื่อได้ศึกษาพระธรรม
หลายปีที่ผ่านมา ลีบอกว่า เขาได้เรียนรู้จากพระอาจารย์ว่า
มนุษย์สามารถบรรลุถึงความสุขขั้นสูงสุดได้ เพียงแต่ต้องลดความต้องการทางวัตถุให้น้อยลง


• เหตุผลที่มาเป็นชาวพุทธในวัชรยาน และผลแห่งธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ลีได้ตอบคำถามของแฟนคลับทางเวบไซต์ของตัวเอง ถึงสาเหตุที่เขาหันมาศึกษาและ
ปฏิบัติพุทธศาสนาในนิกายวัชรยาน ของทิเบต และสิ่งที่ได้ค้นพบ ว่า

“ในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรยั่งยืน มีการเริ่มต้น ก็จะมีการดับสูญ เมื่อดับสูญแล้ว
ก็จะมีการเกิดขึ้นใหม่ ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ คุณเกิดมา คุณก็ต้องตาย แล้วก็เกิดใหม่อีก
และตายอีก เป็นวัฏจักรเรื่อยไป ทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ชาวพุทธเรียกว่า ความไม่จีรัง


ชีวิตประกอบด้วยหลายช่วงเวลาในแต่ละช่วง เราก็มีจุดมุ่งหมายต่างกันไป
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อจบการศึกษา ก็ถึงเวลาที่ต้องหางานทำ แล้วเริ่มมีความรัก
ต่อมาก็แต่งงานสร้างครอบครัว แล้วหันกลับมาดูแลพ่อแม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ท้ายที่สุด คุณก็ตระหนักดีว่า ทุกสิ่งที่ทำไป ความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง
และทรัพย์สมบัติที่คุณสะสมมาชั่วชีวิต เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวคุณ เพราะเมื่อตายไป
ก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลของการกระทำทั้งสิ้น
คือเป็นเรื่องของเหตุและผล เมื่อผมได้ศึกษาธรรมะ ผมจึงเข้าใจถึงหลักในจักรวาลนี้


ศาสนาพุทธมีหลายนิกาย เช่น หินยาน มหายาน และวัชรยาน
ในแต่ละนิกายก็ยังแยกเป็นลัทธิย่อยๆอีก ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่ายๆก็คือ
เหมือนนักศึกษาเลือกเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่มีมหาวิทยาลัยใดดีกว่ากัน
การที่จะเลือกเรียนที่ใด ก็ขึ้นอยู่กับคณะที่สอน โดยรวมแล้ว นักศึกษาจะรู้เองว่า
ที่ใดมีคณะที่เขาต้องการเรียน ศาสนาพุทธแบบทิเบต ช่วยให้ผมเกิดแรงบันดาลใจ
และเป็นตัวเร่งให้ผมมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตดีขึ้น


ผมได้ค้นพบความสงบภายในจิตใจ และวิธีที่ทำให้รู้ก็คือ
เมื่อความสงบภายในเกิดขึ้น คุณไม่มีความต้องการ อยากมีอยากเป็นอีก
มีแต่ความต้องการให้ คุณไม่รู้สึกยินดียินร้าย นั่นแหละคือ หนทางนำไปสู่ความสงบภายใน
การรู้ตื่นและเบิกบาน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำกัดเฉพาะชาวพุทธเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้
ถ้าคุณรู้ว่า สิ่งใดที่ก่อให้เกิดทุกข์ และคุณรู้วิธีควบคุมมันได้
คุณก็สามารถจัดการทุกสิ่งในชีวิตในแง่บวก
การมีศรัทธาในศาสนาเป็นสิ่งที่ช่วยคุณได้ในเรื่องนี้
แต่มิใช่เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะนำคุณไปสู่การรู้ตื่นและเบิกบาน”


• พบสัจธรรมที่มัลดีฟส์
เมื่อปลายปี 2004 ได้เกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ขณะนั้น
ตัวเขาและลูกสาวคนเล็ก 2 คน อายุ 4 และ 2 ขวบ ซึ่งอยู่ระหว่างการพักผ่อนที่รีสอร์ตโฟร์ซีซั่น
ในหมู่เกาะมัลดีฟส์ เกือบโดนคลื่นยักษ์กวาดหายไปในทะเล

“เสี้ยวหนึ่งของวินาทีนั้น พวกเรากำลังเล่นน้ำอยู่ที่ชาย หาด และโดยไม่ทันตั้งตัว
น้ำก็ขึ้นมาถึงระดับคางแล้ว ผมคว้าตัวลูกคนหนึ่งไว้แน่น
ขณะที่แขกของโรงแรมหลายคนช่วยลากลูกอีกคนหนึ่งของผมขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย”

เหตุการณ์ครั้งนั้นเหมือนเป็นการเตือนพระเอกหนุ่ม ให้ตื่นรู้ขึ้นอีกครั้ง
และทำให้เขาเริ่มต้นทำในสิ่งที่ครุ่นคิดมาตลอดกว่า 10 ปี นั่นคือ
การใช้ความรู้และชีวิตที่เหลืออยู่ ทำประโยชน์ให้แก่โลกมนุษย์
และเมื่อเขาหันมานับถือ ศาสนาพุทธ เขาจึงตัดสินใจว่า
ถ้าเขาต้องการเพิ่มชั่วโมงแห่งความสุขในชีวิตให้มากขึ้น
เขาจะต้องเป็นผู้ให้และช่วยเหลือผู้อื่น
“ไม่มีอะไรที่จะรับประกันว่า คุณจะมีอายุยืนนานแค่ไหน คุณอาจจะอยู่ไม่ถึง 60 ก็ได้
และเมื่อคุณตาย ความฝันทุกอย่างของคุณก็จะตายพร้อมคุณไปด้วย
เมื่อก่อนผมจะคิดถึงแต่เรื่องของการเป็น “เจ็ต ลี” เท่านั้น แต่หลังจากนั้น
ผมบอกกับตัวเองว่า ผมต้องทำอะไรหลายๆอย่างให้สังคม”

• ฮีโร่ในจอ กลายเป็นฮีโร่ตัวจริง
นับแต่นั้น ฮีโร่ขวัญใจชาวกังฟู จึงเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ตามที่ตั้งใจไว้
โดยใช้เวลา 2 ปี ตระเวนไปทั่วอินดีย ยุโรป และอเมริกา
เยี่ยมชมหน่วยงานสำคัญๆ อาทิ มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ และองค์กร NGO ต่างๆ
เพื่อเรียนรู้การทำงาน

ต่อมาในปี 2007 เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิ “China Jet Li One” ขึ้น
โดยเน้นเรื่องการศึกษา สุขภาพ สภาพแวดล้อม และความยากจน
โดยชูหลักการว่า “คน 1 คน + เงิน 1 หยวน + ต่อเดือน = 1 ครอบครัวใหญ่”
ซึ่งหมายความว่า ถ้าแต่ละคนบริจาคเงินอย่างน้อย 1 หยวน หรือบริจาคเวลา 1 ชม.
ในแต่ละเดือน ก็จะกลายเป็นแหล่งความช่วยเหลือที่ทรงพลังให้แก่ชาวโลกที่ยังขาดแคลน
แบบแผนการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของเขา ถูกนำมาทดสอบ
เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ที่สร้างความเสียหายอย่างหนักในมณฑลเสฉวนของจีน
เมื่อเดือนพฤษภาคมปี ปี 2008 มีผู้เสียชีวิตราว 70,000 คน และไร้ที่อยู่อาศัยหลายพันคน
ด้วยข้อความของเจ็ต ลี ที่กระจายขอความช่วยเหลือ
ส่งผลให้วงล้อของมูลนิธิ “ONE” เริ่มขับเคลื่อน และภายในอาทิตย์เดียว
มีผู้บริจาคเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ต และ SMS ให้กับมูลนิธิของเขามากกว่า 260 ล้านบาท
“คุณต้องรู้สึกสบายใจ แม้ว่าจะบริจาคแค่ 1 หยวน และไม่ว่าจะบริจาคน้อยแค่ไหน
คุณก็มีสิทธิที่จะตรวจสอบว่ามูลนิธิได้รับเงินบริจาคเท่าไหร่ แล้วเอาเงินไปทำอะไร”
เขาอธิบาย
“ลองนึกดู ถ้ามีคนให้นาฬิกาเป็นของขวัญวันเกิดแก่คุณเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ทุกครั้งที่มองนาฬิกา คุณก็จะนึกถึงคนให้เสมอ ถ้าคุณเก็บของทุกอย่างไว้ในกล่องที่บ้าน
ก็จะไม่มีใครรู้ว่าของเหล่านั้นเป็นของคุณ ดังนั้น ยิ่งคุณให้ออกไปมากเท่าไหร่
คุณจะยิ่งได้รับกลับคืนมามากเท่านั้น”
ฮีโร่ตัวจริงพูดต่ออย่างภาคภูมิใจว่า “และนั่นเป็นเคล็ดลับในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข”
ทุกวันนี้ ลีบอกว่า “ผมสวดมนต์และทำสมาธิทุกวัน ภาวนาขอให้โลกเกิดสันติสุข
และมนุษย์ทุกคนเกิดพลังที่ดีงาม”

ประวัติ "เจ็ต ลี"
เจ็ต ลี (Jet Li) มีชื่อในภาษาจีนว่า หลี่ เหลียนเจี๋ย เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ.1963
ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นลูกคนสุดท้องในพี่น้องทั้งหมด 5 คน เขากำพร้าพ่อตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบ เมื่ออายุ 8 ขวบ เขาก็ได้รับการฝึกฝนวิชาวูซู ในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน
จากนั้นเขาก็อุทิศชีวิตให้กับกีฬาวูซู จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น จึงได้เป็นตัวแทน
นักกีฬาวูซูของจีนไปแข่งขันยังที่ต่างๆมากมาย จนได้เป็นแชมป์ถึง 5 ปีซ้อน
จากนั้นก็ผันตัวเองไปเป็นโค้ชทีมชาติกีฬาวูซู
หลังจากเป็นโค้ชทีมชาติอยู่หลายปี ก็ได้รับทาบทามให้มาเป็นพระเอกภาพยนตร์
เรื่อง Shaolin Temple ซึ่งออกฉายในปี 1982 ส่งผลให้เขาแจ้งเกิดในวงการแสดง
อย่างเต็มตัว จากนั้น ในปี1988 เขาได้ลงมือกำกับหนังของตนเองเป็นครั้งแรก
ในเรื่อง Born to Defence (1988)
เมื่อเขาย้ายมาอยู่ในฮ่องกง ก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังของฮ่องกงอย่าง ฉีเคอะ
ในเรื่อง Once Upon a Time in China (ปี 1991)
หนังประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในเอเชียและต่างประเทศ
ส่วนผลงานในฮอลลีวู้ดครั้งแรกคือเรื่อง Lethal Weapon 4 (ปี 1998)
โดยรับบทเป็นผู้ร้าย ซึ่งเป็นการพลิกบทบาทครั้งแรก แต่หลังจากเรื่องนี้ออกฉาย
ทำให้ชื่อ เจ็ต ลี ซึ่งเป็นชื่อภาษาอังกฤษของหลี่ กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
จากนั้นเขาก็กลับมาแสดงหนังกำลังภายในเรื่องเยี่ยมอย่าง Fearless (2006)
โดยเป็นทั้งนักแสดงและผู้อำนวยการสร้าง ว่าด้วยเรื่องราวของปรมจารย์กังฟูผู้ต่อสู้กับจิตใจของตน ตั้งแต่เกิดจนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต เป็นหนังที่ทำเงินทั่วเอเชีย
และโกยรายได้ไม่น้อยในอเมริกา
ผลงานที่รู้จักกันดีในบ้านเราคือ Shaolin Temple (1982) :
เสี้ยวลิ้มยี่ Swordsman II (1992) : เดชคัมภีร์เทวดา 2 Kung-Fu Cult Master (1993) : ดาบมังกรหยก The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor (2008) :
เดอะมัมมี่ 3 : คืนชีพจักรพรรดิมังกร

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 106 กันยายน 2552 โดยบุญสิตา)


คัดจาก
http://www.tamdee.net/main/read.php?tid-55.html


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 18 ก.พ. 2010, 00:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



กำแพงของหัวใจ

ผู้หญิงคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆน่ารักหลังหนึ่งริมทะเล กับสามีของเธอ

บ้านหลังนี้มีหน้าต่างอยู่บ้าง แต่ด้านที่หันเข้าหาทะเล กลับไม่มีหน้าต่างเลย
มีแต่กำแพงเก่าๆหนาๆอันหนึ่งตั้งอยู่

ผู้หญิงคนนี้เคยเอ่ยขึ้นมาว่า
"ถ้าเราทลายกำแพงนี้แล้วสร้างเป็นหน้าต่าง ก็คงจะทำให้รับลมทะเลอันสดชื่นได้เยอะเลย"


แต่สามีของเธอบอกว่า
"บ้านหลังนี้เก่ามากแล้ว ถ้าเราทลายกำแพง อาจทำให้บ้านทั้งหลังพังลงมาก็ได้"

ผู้หญิงคนนั้นเชื่อฟังสามี และก็ได้แต่เก็บความคิดอันนั้นไว้ในใจ เธอคิดว่าที่เขาพูดก็คงมีเหตุผลที่ดี
บ้านที่เก่าแล้วเราไม่ควรเปลี่ยนอะไรมาก

วันหนึ่ง สามีของเธอมาตายจากไป เธอต้องเผชิญหน้ากับการเป็นหม้าย การที่ต้องอยู่คนเดียว
เธอไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิตใหม่นี้ ไม่กล้าที่จะทำอะไรเลยสักอย่าง


เพราะเธอไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงมันจะทำให้เธอต้อง เผชิญกับอะไรบ้าง ถ้าเธอออกจากบ้าน
ไปหางานทำ ไปสร้างสังคมใหม่ ชีวิตของเธอจะพลิกผันไปเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้
เธอจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ปล่อยให้วันคืนผ่านไป โหยหาอยากให้อดีตกลับคืนมา
อยากให้วันคืนเดิมๆย้อนมา ทั้งๆที่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้


แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้น เธอมักจะฝัน เธอฝันบ่อยๆว่าเธออยากจะทลายกำแพงฝั่งที่ติดทะเลนั้น
เธอเตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อม แต่ก็ลังเล ไม่กล้าที่จะทำเสียที เพราะกลัวว่าบ้านจะพังลงมา

และทุกครั้งที่เธอตื่นนอน เธอก็จะมาด้อมๆมองๆที่กำแพง ใจหนึ่งก็อยากจะพังมันให้รู้แล้วรู้รอดไป
แต่อีกใจหนึ่งก็ยังนึกถึงคำที่สามีบอก "บ้านมันเก่ามากแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก"


และในที่สุด เธอก็อดรนทนไม่ไหว เธอเล่าความฝันให้เพื่อนบ้านของเธอฟัง
เพื่อนบ้านของเธอเป็นหนุ่มสาวนิสัยดีคู่หนึ่ง เมื่อพวกเขาได้ฟังดังนั้น ก็ไม่รอช้า
รีบคว้าอุปกรณ์ต่างๆแล้วมุ่งหน้ามาที่บ้านเธอ พวกเขาลงมือทลายกำแพงนั้นทันที
ในขณะที่หญิงเจ้าของบ้านพร่ำอุทานด้วยความหวาดกลัว
"ทำแบบนี้จะดีเหรอคะ" "บ้านอาจจะพังลงมาก็ได้"
"นี่ฉันกำลังปล่อยให้พวกคุณทำอะไรกันอยู่
ฉันบ้าไปแล้วรึเปล่า"


แต่เพื่อนบ้านผู้แสนดีของเธอก็ยังคงลงมือพังกำแพงต่อ ไป แล้วก็บอกกับเธออย่างอ่อนโยนว่า
"บ้านของคุณจะปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง"

และในที่สุด กำแพงนั้นก็พังทลายลงมา และบ้านของเธอก็ยังยืนหยัดอยู่อย่างสบาย
สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปก็คือ ลมเย็นๆแสนสดชื่นจากชายทะเล ที่พัดเข้ามาในบ้านเธอได้ตลอดวัน

ตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้ได้เข้าใจแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวขนาดนั้น บ้านของเธอ
และตัวของเธอ ไม่ใช่สิ่งที่เก่าเกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงได้


ทั้งบ้านของเธอ และตัวของเธอเอง เข้มแข็งพอที่จะรับสิ่งใหม่ๆ ถ้าเพียงเธอกล้าพอที่จะยอม
ให้สิ่งใหม่ๆนั้นเข้ามา

คุณล่ะ มีกำแพงแบบนี้อยู่ในชีวิตของคุณบ้างไหม มีบางสิ่งบางอย่างรึเปล่า
ที่ลึกๆในหัวใจเรียกร้องอยากจะทำ แต่คุณก็ไม่ยอมทำเสียที เพราะมัวแต่คิดว่า
นั่นมันไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ชีวิตแบบที่ฉันรู้จัก ไม่ใช่สิ่งที่ฉันวางแผนไว้ว่าจะทำ

คุณกลัวว่าเจ้าสิ่งใหม่ๆอันนั้นจะทำให้ชีวิตที่คุณสร ้างมาดิบดีจะต้องพังทลายลง

คุณกลัวที่จะต้องออกจากความคุ้นเคยเก่าๆ ออกจากชีวิตแบบเดิมๆที่คุณรู้จักดีมาตลอด

ทลายกำแพงนั้นลงเถอะนะ แล้วปล่อยให้สายลมแห่งความสุขพัดเข้ามาในชีวิตของคุณ

"อย่าติดกับวันที่ดีเก่าๆ อย่าอยู่กับความคุ้นเคยเก่าๆ อย่าให้วันคืนที่ดีเก่าๆมันทำร้าย
เปิดดวงใจของเธอค้นหา สิ่งที่เธอนั้นคอยไขว่คว้า ให้เวลารักษาและพาให้พบ....กับวันใหม่"


:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หยดย้อย เขียน:

กำแพงของหัวใจ

.....

ทั้งบ้านของเธอ และตัวของเธอเอง เข้มแข็งพอที่จะรับสิ่งใหม่ๆ ถ้าเพียงเธอกล้าพอที่จะยอม
ให้สิ่งใหม่ๆนั้นเข้ามา

คุณล่ะ มีกำแพงแบบนี้อยู่ในชีวิตของคุณบ้างไหม มีบางสิ่งบางอย่างรึเปล่า
ที่ลึกๆในหัวใจเรียกร้องอยากจะทำ แต่คุณก็ไม่ยอมทำเสียที เพราะมัวแต่คิดว่า
นั่นมันไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ชีวิตแบบที่ฉันรู้จัก ไม่ใช่สิ่งที่ฉันวางแผนไว้ว่าจะทำ

คุณกลัวว่าเจ้าสิ่งใหม่ๆอันนั้นจะทำให้ชีวิตที่คุณสร ้างมาดิบดีจะต้องพังทลายลง

คุณกลัวที่จะต้องออกจากความคุ้นเคยเก่าๆ ออกจากชีวิตแบบเดิมๆที่คุณรู้จักดีมาตลอด

ทลายกำแพงนั้นลงเถอะนะ แล้วปล่อยให้สายลมแห่งความสุขพัดเข้ามาในชีวิตของคุณ


"อย่าติดกับวันที่ดีเก่าๆ อย่าอยู่กับความคุ้นเคยเก่าๆ อย่าให้วันคืนที่ดีเก่าๆมันทำร้าย
เปิดดวงใจของเธอค้นหา สิ่งที่เธอนั้นคอยไขว่คว้า ให้เวลารักษาและพาให้พบ....กับวันใหม่"


:b8: :b8: :b8:


:b10: :b10: :b10:

เอ๋...ไหง๋ตอนจบเหมือนจะเป็นเพลงไปได้...หน๋ออออ...


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


. :b48: คุ๊กกี้ :b48: .

ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี
จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง
ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง
เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ
และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง


เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้
เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม
ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา


สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุง
ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น


เธอมองด้วยความโกรธ
แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา
ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป
เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า
“ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....
ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย”


ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร ชายหนุ่มค่อย ๆ
หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น
ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น


เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
“เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดะ ๆ
ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำธ”
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม


ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว
เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ
เธอตกใจมาก


ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน
เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า


มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง
เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท
เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง


มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด


มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น
และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง
ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย


นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น หลาย ๆ
สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี
แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า


"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?
เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่”????

. :b54: :b54: :b54: .



แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 18 ก.พ. 2010, 20:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


. :b42: ปรัชญาของจีน .. น่าสนใจดีนะ !! :b42: .


สิ่งที่แข็งที่สุด เอาชนะได้ด้วยสิ่งที่อ่อนที่สุด

เมื่อประตูบานหนึ่งปิด อีกบานหนึ่งก้อเปิด
แต่บ่อยครั้งที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด
จนไม่ทันเห็นว่ามีอีกบานที่เปิดอยู่


อย่ามัวค้นหาความผิดพลาด จงมองหาหนทางแก้ไข

อารมณ์ขันเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้
เพราะทันทีที่เกิดอารมณ์ขัน ความรำคาญ และความขุ่นข้องหมองใจ
จะมลายไปกลับกลายเป็นความเบิกบานแจ่มใสของจิตใจเข้ามาแทนที่


อย่ากลัวที่จะนั่งหยุดพักเพื่อคิด
หนึ่งนาทีที่คุณโกรธเท่ากับคุณได้สูญเสีย 60 วินาทีแห่งความสงบในจิตใจไปแล้ว


หนทางเดียวที่จะรักษาภาพพจน์ได้คือการซื่อสัตย์ตลอดเวลา

ผู้ชนะไม่เคยลาออก และผู้ลาออกก็ไม่เคยชนะ

ออกซิเจนสำคัญต่อปอดเช่นไร " ความหวัง " ก็เป็นเช่นนั้นมีความสำคัญต่อความหมายของชีวิต

การมีชีวิตอยู่นานเท่าใดมิใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ มีชีวิตอยู่อย่างไร

เราเข้าใจชีวิตเมื่อมองย้อนหลังเท่านั้น แต่เราต้องดำเนินชีวิตไปข้างหน้า

เราไม่อาจล้างมือที่แปดเปื้อนซ้ำได้เป็นครั้งที่ 2 ในสายน้ำไหล(สุภาษิต ทิเบต)

ไม่มีสิ่งใดช่วยให้คุณได้เปรียบคนอื่นมากเท่ากับ
การควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งอยู่ตลอดเวลาในทุกสถานการณ์
ความอดทนคือเพื่อนสนิทของสติปัญญา


พรสวรรค์ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ คือ การที่เราสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราได้

ในธรรมชาติไม่มีสิ่งใดดีพร้อม แต่ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง
เฉกเช่น " ต้นไม้อาจบิดเบี้ยวโค้งงออย่างประหลาด แต่ก็ยังคงความงดงาม "


มักพูดกันว่ากาลเวลาเปลี่ยนทุกสิ่ง แต่จริง ๆ แล้ว คุณต้องเปลี่ยนทุกสิ่งด้วยตนเอง

. :b53: :b42: :b42: :b53: .




โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ห้ามใช้ยางลบ

:b48: :b49: :b48:


สมัยเด็กๆ
ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่า

เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ ตอนนั้น
ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่
รู้เพียงแต่ว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ฉันก็อยากแก้ให้มันตรงสวย


แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น
ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกาึ้นั้นเสมอ
สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆ นั้นไปตามจินตนาการ
เช่นถ้าฉันตั้งใจวาดรูปหน้าคน
แต่ฉันเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไปต ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ
นั้นเป็นแว่นตาแทน


แม้ตอนนั้นฉันจะไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ
และแม้ฉันจะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน
แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ
แถมยังภูมิใจว่า ฉันสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ
และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง



เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น
แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน
นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน
และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น
และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ การที่ฉันเข้าใจว่า
ธรรมชาติของความผิดพลาด คือการที่มัน
เกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่อย่างถาวร ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด
แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมอง่า
ต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง


ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว
การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอน
ขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบ กลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ
รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ
และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น


ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม
แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบ
สิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้ ดังนั้นเราต้องตั้งใจ
และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมา
ไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็มาจากมือของเรา
เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก
แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง เราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง เพราะถึงอย่างไรฉันเชื่อว่า
ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้
โดยไม่ต้องใช้ยางลบะ


. :b48: :b49: :b48: .


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 18 ก.พ. 2010, 20:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟันธงกิน"เนื้อแดง"มาก เพิ่มเสี่ยงป่วยมะเร็ง-โรคหัวใจ

นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานใหม่ยืนยันว่า การกินเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป
ในปริมาณที่มากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพ


นักวิจัยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ศึกษาและเก็บข้อมูลจากผู้บริโภคกว่า 500,000 คน พบว่า ผู้ที่กินเนื้อแดง (เรดมีต) หรือเนื้อแปรรูปประมาณ 160 กรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับสเต๊ก 6 ออนซ์ มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคหัวใจ เมื่อเทียบกับผู้ที่กินเนื้อแดง หรือเนื้อแปรรูปแค่วันละ 25 กรัม หรือเทียบเท่ากับเบคอนชิ้นเล็กๆ บางๆ เพียงชิ้นเดียว
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่กินเนื้อขาว (ไวต์มีต) จำพวกเนื้อสัตว์ปีกและเนื้อปลา จะมีความเสี่ยงลดลงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บด ังกล่าว ผลการคำนวณยังพบว่า ร้อยละ 11 ของการเสียชีวิตในผู้ชาย และร้อยละ 16 ของการเสียชีวิตในผู้หญิงสามารถป้องกันได้ ถ้าพวกเขาหันมาบริโภคเนื้อแดงให้เหลือแค่วันละ 25 กรัม หรือเท่ากับเบคอนชิ้นบางๆ เล็กๆ 1 ชิ้น


นักวิจัยระบุด้วยว่า สารก่อมะเร็งจะเกิดขึ้นในช่วงที่นำเนื้อแดงไปปรุงเป็ นอาหารด้วยอุณหภูมิร้อนจัด เนื้อแดงประกอบไปด้วยไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ การบริโภคเนื้อแดงแต่น้อยจึงทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร ็งน้อยลง และลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ เพราะการกินเนื้อแดงน้อย จะส่งผลให้ความดันเลือดและระดับคอเลสเตอรอลลดลง


ข้อมูลจาก นสพ มติขน รายวัน



ฟันธงกิน"เนื้อแดง"มาก เพิ่มเสี่ยงป่วยมะเร็ง-โรคหัวใจ - สาเหตุทำไมชาวอเมริกันมีผู้ป่วยโรคมะเร็ง และ หัวใจ สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

เวปน่าสนใจ มีสาระ เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า เพื่อลด ความเสี่ยงจากโรคมะเร็งร้าย


http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080

เอกสาร งานวิจัย ที่น่าสนใจจาก ตปท เพื่อสุขภาพที่ดี กว่า ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งร้าย

for your healthy life เพื่อสุขภาพที่ดี กว่า ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งร้าย โรคหัวใจ

http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080

****************************************

http://www.watsai.net/webb/view.php?No=126


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 19 ก.พ. 2010, 11:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมืองมังสวิรัติ เป็นเมืองแรกของโลก เริ่มต้นแล้วใน “เบลเยียม”

“เมืองเกนต์” ในประเทศ “เบลเยียม” กลายเป็นเมืองแรกของโลก ที่ประชาชนทุกคนพร้อมใจกันกินมังสวิรัติอย่างน้อยสัป ดาห์ละ 1 วัน

“เมืองเกนต์” จะเริ่มโครงการเมืองมังสวิรัติ ในสัปดาห์นี้ โดยจะกำหนดให้วันพฤหัสของทุกสัปดาห์ งดทานเนื้อสัตว์ ซึ่งโครงการนี้ จะมีข้าราชการและสมาชิกสภาเมือง แสดงตนเป็นแบบอย่างให้กับประชาชนในการทานมังสวิรัติต ลอดทั้งวัน

ส่วนบรรดาเด็กนักเรียนก็จะทำตามโครงการนี้ในเดือนกันยายน

สำหรับโครงการเมืองมังสวิรัติ ได้ทำให้ทุกคนเกิดความหวังที่ว่า จะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมของ “เมืองเกนต์” นอกจากลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
โรคมะเร็งร้าย ซึ่งเป็นภัยคุกคามผลาญคร่าชีวิตเป็นอันดับต้น ๆ รวมถึง โรคหัวใจ โรคเก๊าท์ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันอุดตัน และ เลือดเป็นพิษ


เนื่องจากสหประชาชาติเผยว่า การทานเนื้อสัตว์มีส่วนทำให้โลกร้อน

เพราะปศุสัตว์ทำให้โลกเกิดก๊าซเรือนกระจกเกือบ 1 ใน 5 ที่ปล่อยสู่บรรยากาศ

นอกจากนี้ การเป็นเมืองมังสวิรัติ ยังช่วยต่อสู้กับโรคอ้วนลงพุงที่กำลังคุกคามสุขภาพ ประชาชนอยู่ในตอนนี้อีกด้วย

โดยทางเจ้าหน้าที่ของเมืองก็ได้จัดพิมพ์แผนที่ ถนนมังสวิรัติประมาณ 90,000 ฉบับ เพื่อช่วยประชาชนหาร้านอาหารมังสวิรัติรับประทานได้ง ่ายขึ้น

รุปภาพรายละเอียดจากเวป ข้างล่าง


http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1853


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิทานเซน : นรก สวรรค์ มีจริงหรือ?

นานมาแล้ว... มีนักรบซามูไรญี่ปุ่นคนหนึ่ง ขึ้นเขาไปหาอาจารย์ฮากูอิน เพื่อจะแก้ข้อข้องใจที่มีมานาน แต่ไม่กล้าถามใคร
เมื่อมาถึงก็ถามท่านฮากูอินว่า “ท่านอาจารย์ขอรับ ถ้าเราจะว่ากันตามความจริงแล้ว นรก สวรรค์ เป็นของมีจริงหรือไม่?”
ท่านฮากูอินหันขวับมาจ้องหน้านักรบคนนั้นทันที แล้วถามว่า “เธอเป็นใคร? “
“กระผมเป็นซามูไร ครับ” นักรบคนนั้นตอบ
ท่านฮากูอินกลับขึ้นเสียงถามอีกว่า “อย่างเธอนี่นะ เป็นซามูไร เจ้านายคนไหนนะ ช่างเอาคนอย่างเธอมาเป็นลิ่วล้อพลไพร่ หน้าอย่างกะขอทาน”


โดนหลู่เกียรติอย่างนี้ นักรบก็โมโหมาก ลุกขึ้นฉับไว มือกุมดาบ

ท่านฮากูอินยังกล่าวสำทับอีกว่า “ฮึ มีดาบด้วยหรือ คมหรือเปล่านะ ตัดหัวฉันได้ไหม?”

นักรบผู้นั้นชักดาบออกมาทันที


ทันใดก็ได้ยินน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตาของท่านฮากู อินว่า “นี่ไงล่ะ ประตูนรก ที่เธอกำลังเป็นอยู่ กำลังเหยียบประตูนรกอยู่ล่ะ ถ้ามีประตูแล้ว นรกจะมีหรือไม่ล่ะ?”

ฉับพลันทันที เหมือนกับนักรบก็สำนึกตัว ทรุดตัวก้มลงกราบท่านฮากูอิน แล้วก็ขอขมาและฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านก็เลยกล่าวต่อไปว่า “นี่ไงล่ะ ประตูสวรรค์ ที่เธอกำลังเป็นอยู่ กำลังเหยียบประตูสวรรค์อยู่ล่ะ ถ้ามีประตูแล้ว สวรรค์จะมีหรือไม่ล่ะ?”


:b42: :b42:


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b4: :b4: .... :b4: :b4:



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้ มาทิ้งไป

จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย

ขณะนั้นเองมีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้า

จึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า "โยมจะทำอะไรรึ"


หญิงสาว "อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มีแฟนๆ
ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"


หญิงสาวตอบ

พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า

"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่าในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"

หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า"ทำไมล่ะเจ้าคะ"

พระธุดงส์ตอบว่า"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"

หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า

"ไม่จริงหรอกค่ะดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"


พระธุดงส์ตอบ"โยมได้สูญเสียคนที่มิได้รักและห่วงใยโยมซึ่งจะมีค่าอันใด

แต่แฟนโยมซิที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม

ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"


:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 19 ก.พ. 2010, 11:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จ้างบุตรฟังธรรม

อนาถบิณฑิกะเศรษฐี เศรษฐีใจบุญชาวเมืองสาวัตถี เป็นพุทธสาวกผู้เคร่งครัด
ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างแข็งขัน ท่านมีบุตรชายโทนนามว่า กาละ
ไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรเลย พ่อแม่พี่สาวน้องสาว ต่างเป็นชาวพุทธที่เคร่งครัด
ทำบุญทำทาน เข้าวัดฟังธรรมกันหมด มีแต่นายกาละคนเดียวที่ไม่สนใจ
เอาแต่เที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา คบเพื่อนอันธพาล สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจ
แก่อนาถบิณฑิกะเศรษฐีผู้เป ็นบิดามาก


เศรษฐีนั้นเป็นทายกตัวอย่าง เป็นผู้นำชาวบ้านทำบุญกุศลย่อมร้อนใจเป็นธรรมดา
เมื่อคำนึงว่าตัวเองสามารถชักนำใครต่อใครให้ศรัทธาเลื่อมใสในทางบุญทางกุศล
แต่กลับไม่มีปัญญาอบรมลูกของตัวเองให้เป็นคนดีได้

วันหนึ่งจึงเรียกลูกชายมา กล่าวกับลูกชายว่า "ลูกอยากได้เงินใช่ไหม"

"อยากได้ครับ" เขารีบตอบ

"พ่อจะให้ลูกจำนวนมากทีเดียวแหละ แต่ขอให้ลูกไปวัดฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าทุกวัน ตกลงไหม"

"ตกลงครับ" เขาคิด แค่ไปนั่งฟังเทศน์ ทนๆ เอาหน่อยเดี๋ยวก็ได้ตังค์


ตั้งแต่วันนั้นมา นายกาละก็ไปวัดฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าทุกวัน เขาเลือก "ทำเล"
ที่เหมาะ แล้วก็นั่งพิงเสาหลับสบาย เมื่อพระองค์แสดงพระธรรมเทศนาจบ ก็ตื่นพอดี
รีบกลับบ้านไปทวงค่าจ้างจากพ่อได้เงินไปเที่ยวสบายแฮ

เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างนี้เป็นเดือน นายกาละก็ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรม ยังคงเที่ยวเตร่
สำเริงสำราญเช่นเดิม รสพระธรรมที่เขาไปฟังทุกวัน มิได้ซึมซับหัวใจเขาแม้แต่น้อย
เพราะมิได้ตั้งใจฟัง เข้าหูซ้ายออกหูขวา หรือไม่เข้าสักหูเลย (เพราะมัวแต่นั่งหลับ)


เศรษฐีผู้พ่อก็คิดหาอุบายใหม่ คราวนี้บอกว่าจะขึ้นค่าจ้างให้มากกว่าเดิม แต่ต้องจำ
คำเทศน์ของพระพุทธเจ้ามาเล่าให้ฟัง จำได้มากก็จะได้เงินค่าจ้างมาก

เขาตั้งอกตั้งใจฟังพระธรรมเทศนา จำได้วันละบทสองบทก็รับเงินจากพ่อไปตามเนื้องาน
ว่าอย่างนั้นเถอะ

หลายสัปดาห์ผ่านไป พระธรรมก็ค่อยๆ ซึมซับเข้าในจิตวิญญาณเขาทีละนิดละหน่อยโดย
ไม่รู้ตัว พระพุทธเจ้าทรงทราบความเปลี่ยนแปลงภายในใจของเขาดี

วันหนึ่ง ทรงเห็นว่านายกาละมี "อินทรีย์แก่กล้าแล้ว" (ภาษาพระ แปลว่า มีความพร้อม
ที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว) พระองค์ทรงบันดาลให้นายกาละหลงลืม
พอจำได้ตอนหนึ่งแล้วกำหนดจะจำตอนต่อไป จำตอนต่อไปได้ก็ลืมตอนต้น
เป็นอย่างนี้ไปจนทรงแสดงจบ


พอพระธรรมเทศนาจบลง ที่เขาลืมไปแล้วก็กลับจำได้หมด เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง
"สว่างโพลงภายใน" ใจทันที ว่ากันว่า นายกาละนั่งฟังธรรมตั้งแต่ค่ำจนจวนสว่าง
จบพระธรรมเทศนาเขาก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล

พอรุ่งเช้าเขานิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์ไปเสวย ภัตตาหารที่บ้าน
เขาอุ้มบาตรเดินนำหน้าพระพุทธองค์ตรงไปยังบ้าน

เศรษฐีผู้พ่อเห็นท่าทางของลูกชายวันนี้ผิดแปลกไปจากว ันอื่นๆ ก็นึกฉงนอยู่ในใจ
นายกาละกุลีกุจอปรนนิบัติพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์ โดยมิได้สนใจค่าจ้างดังวันก่อน


เศรษฐีก็นำห่อกหาปณะ (เงิน) มาวางไว้ต่อหน้าลูกชายบอกว่า "เอ้า นี่ค่าจ้างฟังธรรมของลูก"
นายกาละอายหน้าแดงโบ้ยให้พ่อนำห่อกหาปณะออกไป

พระพุทธเจ้าตรัสกับเศรษฐีว่า "คหบดี ลูกชายของท่านไม่ยินดีในทรัพย์สินเงินทอง
หรือสมบัติทางโลกใดๆ แล้ว บัดนี้ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลแล้ว"

พระองค์ตรัสพระคาถาสั้นๆ ว่า

"ยิ่งกว่าเอกราชย์ทั่วทั้งปฐพี ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกทั้งปวง
คือ โสดาปัตติผล"

ตั้งแต่นั้นมา ลูกชายเกเรของพ่อคนนี้ไม่เกเรอีกต่อไปแล้ว เธอได้สัมผัสรสแห่งอมตธรรม
เป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบันแล้ว ไม่มีทางหวนกลับสู่ที่ต่ำอีกต่อไป


ที่น่าคิดก็คือ "การจ้างให้ลูกฟังธรรม" เป็นเทคนิควิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผล พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย
น่าจะลองใช้วิธีนี้ดู หลังจากใช้สารพัดวิธีแล้วยังไม่สำเร็จ เด็กมันอยากได้เงินก็ย่อมเต็มใจทำ
แต่พอนานๆ เข้าพระธรรมอาจซึมซับใจลึกไปเรื่อยๆ จนละอายที่จะรับค่าจ้างอย่าง
นายกาละบุตรอนาถบิณฑิกะเ ศรษฐีก็ได้ ใครจะไปรู้ ไม่ลองไม่รู้ครับ...


(สำนวนของอาจารย์เสถียรพงษ์ วรรรณปก)


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ความหมายของการจุดธูป

การจุดธูปบูชา หรือ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือปฏิบัติกันมายาวนานนับพันๆ ปีแล้ว
ลองดูสิว่าที่ผ่านๆ มา เราใช้ธูปสักการะกันถูกต้องตามจำนวนรึเปล่า


ธูป 1 ดอก ไหว้ศพ เจ้าที่ วิญญาณธรรมดา ที่ไม่ได้ขึ้นชั้นเทพ

ธูป 2 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่

ธูป 3 ดอก ใช้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธคุณ ๓

ธูป 5 ดอก ใช้บูชาพระรัตนตรัย บูชารัชกาลที่ 5 ธาตุทั้งห้า หรือทิศทั้งห้า พระภูมิ

ธูป 7 ดอก ไหว้พระพรหม บูชาพระอาทิตย์ ถือคติคุ้มครองทั้ง 7 วันในสัปดาห์

ธูป 8 ดอก บูชาเทพเจ้าของชาวฮินดู

ธูป 9 ดอก บูชาแก้ว 9 ประการ พระพุทธคุณ ทั้งเก้า และพระเทพารักษ์

ธูป 10 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่ตามความเชื่อของชาวจีนบางกลุ่ม

ธูป 12 ดอก บูชาเจ้าแม่กวนอิม บูชาพระคุณของแม่

ธูป 16 ดอก บูชาเทพชั้นครู หรือ พิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญหมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น

ธูป 19 ดอก บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ เทวดาฟ้าดิน

ธูป 21 ดอก บูชาพระคุณของพ่อ

ธูป 32 ดอก ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ

ธูป 108 ดอก บูชาสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า

พึงระลึกไว้เสมอว่า การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพื่อขอพรก็จะไม่เป็นผลอะไร
หากคุณเองยังไม่ได้พยายามอย่างที่สุดและหาทุกหนทาง เพื่อจะช่วยเหลือตนเอง


:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 19 ก.พ. 2010, 11:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



:b12: :b12: :b12:

นิทานดีๆมีคติสอนใจที่ลึกซึ้ง...

.ลองอ่านดูนะ เทวดากับคนตัดไม้...........(new edition)
บ่ายวันหนึ่งระหว่างคนตัดไม้กำลังตัดไม้อยู่ริมน้ำนั้นขวานคู่มือก็หลุดมือ จมลงน้ำไป

คนตัดไม้ก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ริมน้ำ

ทันใดนั้นเองเทวดาก็ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วถามว่า "มีปัญหาอะไรรึ"

"ขวานผมตกลงไปในน้ำแล้ว และตรงนี้น้ำลึกมาก ต่อไปผมจะเอาอะไรไปตัดไม้หาเลี้ยงลูกเมียได้หละท่าน"


เทวดาได้ยินดังนั้นก็ดำน้ำลงไปสักพักแล้วขึ้นมาพร้อมกับขวานทองคำ

"เอ้าขวานนี้ใช่ขวานของเจ้าใช่รึไม่?" เทวดาถามคนตัดไม้

"ไม่ใช่ครับ"

เทวดาก็ดำน้ำลงไปอีกครั้งกลับขึ้นมากับขวานเงิน

"เอ้าแล้วขวานนี้หละใช่ของเจ้ารึไม่?"

"ไม่ใช่ครับขวานของผมทำจากเหล็กมีด้ามไม้เก่าๆ ไม่ใช่ขวานเงิน ขวานทอง"

เทวดาจึงดำลงน้ำไปอีกครั้งแล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับขวานเหล็กคู่มือคนตัดไม้


"เอ้าขวานของเจ้า แต่เราเห็นเจ้าเป็นคนดีซื่อสัตย์ไม่โกหก เราจะให้ขวานเงิน กับขวานทองคำแก่เจ้าไปด้วย เพื่อตอบแทนในการที่เจ้าเป็นคนดี"

คนตัดไม้จึงรับขวานไว้แล้วกลับบ้านด้วยความสุข

หนึ่งเดือนต่อมา

ระหว่างที่คนตัดไม้กำลังเดินเล่นอยู่ริมน้ำพร้อมกับภรรยาของเขาอยู่นั้น

ภรรยาก็ลืนตกน้ำไป

คนตัดไม้ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้ริมน้ำ

ทันใดนั้นเทวดาองค์เดิมก็ปรากฏกายออกมาอีกครั้ง

"เอ้าคราวนี้เจ้ามีปัญหาอะไรรึ"

"ภรรยาผมลื่นตกน้ำไปเมื่อกี้นี้ครับ"

ได้ยินดังนั้นเทวดาจึงดำน้ำลงไป

และขึ้นมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนกันกับเจนิเฟอร์ โลเปซ ตั้งแต่หัวจรดเท้า

"ผู้หญิงคนนี้ใช่ภรรยาเจ้ารึไม่?"

"ใช่แล้วครับ" คนตัดไม้ตอบทันที

เทวดาจึงโกรธมาก เพราะเห็นว่าคนตัดไม้โกหก และไม่ซื่อสัตย์เหมือนก่อน

"ขออภัยด้วยครับท่านเทวดา มันเป็นการเข้าใจผิดครับ" คนตัดไม้รีบชี้แจงทันใด


"ถ้าเกิดผมตอบว่าไม่ใช่ ผมเดาว่าท่านก็คงจะลงไปในน้ำอีกครั้ง แล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับผู้หญิงที่เหมือนกับ แคทธลีน ซีต้าโจนส์ และเมื่อผมปฏิเสธอีกท่าก็คงจำดำลงไปอีกครั้งแล้วนำภรรยาผมตัวจริงขึ้นมา สุดท้ายท่านก็คงจะให้ผู้หญิงอีก 2คนผมด้วย เพื่อตอบแทนที่ผมไม่โกหก แต่ว่า....ผมเป็นแค่คนตัดไม้จะมีปัญญาอะไรไปหาเงินเลี้ยงเมียพร้อมกัน 3คนได้หละครับ ผมจึงจำเป็นต้องตอบว่าใช่ตั้งแต่แรก"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อใดที่ผู้ชายโกหก

แสดงว่าชายผู้นั้นจะต้องมีเหตุผลจำเป็นในการโกหก และมีเจตนาดีอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่นคนตัดไม้รายนี้

เพราะฉะนั้น อย่าโกรธเวลาจับได้ว่าผู้ชายโกหกนะ......


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron