วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 02:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน aswakos ยกมาทั้งกระบิ .. เรื่องจิตก่อนตายนี่อย่าไปหวังนะครับ ต้องเป็นเรื่องประทับใจจริงๆ จิตจึงจะกระโดดไปคิดก่อนตายได้ เพราะคนเราสั่งตัวเองไม่ได้ สํญญา สังสาร (กองอวิชชา) มันสั่งเราอยู่ ถ้าเราสั่งตัวเองได้ เราก็เปลี่ยนบุคคลิคภาพของเราได้รายวัน

อ้างคำพูด:
แม้พรหมทั้งหลายที่มีฤทธิ์มาก มีรัสมีรุ่งเรือง มีอายุยืนเหล่านี้
ก็ต้องค่อย ๆ ตายทั้งสิ้น ท่านเหล่านั้น ยังต้องตกอยู่ในเวียนว่ายตายเกิด
ตามยถากรรมของตน
อนุโมทนาด้วย

กรัชกาย เขียน:
คุณศุภฤษก์ จัดอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โดยความเป็นเห็นเป็นผลสิ
ว่ากันด้วยเรื่องการตรัสรู้ หากจะถามว่าตรัสรู้อะไร ก็คือตรัสรู้ในอริยสัจจสี่ ผลของการตรัสรู้ ก็คือ อริยสัจจสี่ เพราะฉะนั้น อริยสัจจสี่ คือ ผลของการตรัสรู้ ไม่ใช่เหตุของการตรัสรู้

การอธิบายเรื่องอรอยสัจจสี่ จึงเป็นการอธิบายผล หรืออธิบายสภาวะของผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว ไม่ได้อธิบายวิธีการบรรลุธรรม การที่จะให้บุคคลตรัสรู้ได้ ต้องแสดงเรื่องที่มาของอริยสัจจสี่ เปรียบเสมือนอริยสัจจสี่เป็นผลมะม่วง การที่ได้ได้มาซึ่งผล ต้องเริ่มตั้งแต่ปลูก บำรุงดูแล จนให้ดอกออกผล

ในทางธรรม หรือข้อเท็จจริง การอธิบายเรื่องอริยสัจจสี่ไม่ได้อะไรเลย เพราะเป็นความรอบรู้ที่ดับทุกข์ไม่ได้ ไม่สามารถทำให้ผู้นั้นรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจจสี่ได้

พระพุทธองค์จะบอกเรื่องอริยสัจจสี่เฉพาะคนที่รู้ถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการเกิดมา คือการเกิดมาเพื่อดับทุกข์ เท่านั้น ไม่ได้สอนเป็นเรื่องแรก

ที่มาของอริยสัจจสี่ คือ การเข้าใจความจริงของโลกและชีวิตว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา หรือ ไม่เที่ยงเกิดดับ ถ้าเข้าใจจริงๆ ให้ฝังลึกลงในจิตใจ องค์ธรรมในมรรคจึงจะเกิด กลับไปดูเรื่องอริยสัจจสี่ พูดคำเดียวว่า อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง :b38:

กรัชกาย เขียน:
หลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าใช้สอนคนมีมากมาย เช่นคำสอนสำหรับผู้ครองเรือน ที่เรียกว่า คิหิปฏิบัติ
ขอบพระคุณครับที่นำมาบอกกล่าว พอมุ่งไปทางดับทุกข์อย่างเดียวแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ข้ามๆ ไปเหมือนกัน :b12:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กรัชกาย เขียน:
หลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าใช้สอนคนมีมากมาย เช่นคำสอนสำหรับผู้ครองเรือน ที่เรียกว่า คิหิปฏิบัติ
ขอบพระคุณครับที่นำมาบอกกล่าว พอมุ่งไปทางดับทุกข์อย่างเดียวแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ข้ามๆ ไปเหมือนกัน


ขอหลักธรรมที่ท่านว่า ดับทุกข์มาให้ดูสักตัวอย่างสิขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักคำสอนในสิงคาลสูตร- (ที.ปา.11/172-206/194-207)

พระอรรถกาจาย์กล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ให้เป็นคิหิวินัย -(ที.อ.3/167)

(นำมาให้ศึกษาเป็นตัวอย่างว่าคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนใช้แนะนำผู้คนทุกระดับ)


บุตรธิดา บำรุงมารดาบิดาผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องหน้า โดย

๑) ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ

๒) ช่วยทำกิจธุรการงานของท่าน

๓) ดำรงวงสกุล

๔) ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท

๕) เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน


มารดาบิดา ย่อมอนุเคราะห์บุตรธิดา ดังนี้

๑) ห้ามกันจากความชั่ว

๒) ฝึกอบรมให้ตั้งอยู่ในความดี

๓) ให้ศึกษาศิลปวิทยา

๔) เป็นธุระในการมีคู่ครองที่สมควร

๕) มอบทรัพย์สมบัติให้เมื่อถึงโอกาส

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิษย์ บำรุงครูอาจารย์ ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องขวา โดย

๑) ลุกรับ แสดงความเคารพ

๒) เข้าไปหา (เช่น ช่วยรับใช้ ปรึกษาซักถาม รับคำแนะนำ)

๓) ตั้งใจฟังและรู้จักฟัง

๔) ปรนนิบัติ ช่วยบริการ

๕) เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคัญ


ครูอาจารย์ ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ ดังนี้

๑) แนะนำฝึกอบรมให้เป็นคนดี

๒) สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง

๓) สอนศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง

๔) ยกย่องให้ปรากฏในหมู่พวก

๕) สร้างเครื่องคุ้มภัยในสารทิศ (สอนให้เอาไปใช้งานเลี้ยงชีพได้จริงๆ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สามี บำรุงภรรยา ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องหน้า โดย

๑) ยกย่องให้เกียรติสมฐานะภรรยา

๒) ไม่ดูหมิ่น

๓) ไม่นอกใจ

๔) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้าน

๕) หาเครื่องแต่งตัวมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส

ภรรยา ย่อมอนุเคราะห์ สามี ดังนี้

๑) จัดงานบ้านให้เรียบร้อย

๒) สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี

๓) ไม่นอกใจ

๔) รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้

๕) ขยันช่างจัดช่างทำเอางานทุกอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บำรุงมิตรสหาย ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องซ้าย โดย

๑) เผื่อแผ่แบ่งปัน

๒) พูดอย่างรักกัน

๓) ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

๔) มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน

๕) ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน

มิตรสหาย ย่อมอนุเคราะห์ ตอบ ดังนี้

๑) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน

๒) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน

๓) ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งได้

๔) ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก

๕) นับถือตลอดวงศ์ญาติของมิตร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นาย บำรุงคนรับใช้และคนงาน ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องล่าง โดย

๑)จัดงานให้ทำตามความเหมาะสมกับกำลังเพศวัยและความสามารถ

๒)ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเป็นอยู่

๓) จัดสวัสดิการดี มีช่วยรักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ เป็นต้น

๔) มีอะไรได้พิเศษมา ก็แบ่งปันให้

๕) ให้มีวันหยุดและพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาส


คนรับใช้และคนงาน ย่อมอนุเคราะห์นาย ดังนี้

๑) เริ่มทำงานก่อน

๒) เลิกงานทีหลัง

๓) เอาแต่ของที่นายให้

๔) ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น

๕)นำความดีของนายงานและกิจการไปเผยแพร่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คฤหัสถ์ บำรุงพระสงฆ์ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องบน โดย

๑) จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา

๒)จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา

๓) จะคิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา

๔) ต้อนรับด้วยความเต็มใจ

๕) อุปถัมภ์ด้วยปัจจัย ๔


พระสงฆ์ ย่อมอนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดังนี้

๑) ห้ามปรามสอนให้เว้นจากความชั่ว

๒) แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี

๓)อนุเคราะห์ ด้วยน้ำใจงาม

๔) ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง

๕) ชี้แจงอธิบายสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มชัด

๖) บอกทางสวรรค์ให้ (สอนวิธีการดำเนินชีวิตให้ประสบความสุข)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




0677.jpg
0677.jpg [ 54.75 KiB | เปิดดู 2812 ครั้ง ]
บำเพ็ญสังคหวัตถุ คือหลักการสงเคราะห์ เพื่อยึดเหนี่ยวใจคนและประสานสังคมไว้ ๔ ประการ คือ

๑.ทาน เผื่อแผ่แบ่งปัน

๒. ปิยวาจา พูดอย่างรักกัน

๓. อัตถจริยา ทำประโยชน์แก่เขา

๔. สมานัตตตา เอาตัวเข้าสมาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย เขียน:
หลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าใช้สอนคนมีมากมาย เช่นคำสอนสำหรับผู้ครองเรือน ที่เรียกว่า คิหิปฏิบัติ

ขอบพระคุณครับที่นำมาบอกกล่าว พอมุ่งไปทางดับทุกข์อย่างเดียวแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ข้ามๆ ไปเหมือนกัน


ขอหลักธรรมที่ท่านว่า ดับทุกข์มาให้ดูสักตัวอย่างสิขอรับ



ขอหลักธรรมปฏิบัติสำหรับดับทุกข์ครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 19:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาเรื่องฆารวาสธรรมที่ท่านกรัชกายนำมาแสดงด้วยครับ

กรัชกาย เขียน:
ขอหลักธรรมที่ท่านว่า ดับทุกข์มาให้ดูสักตัวอย่างสิขอรับ

ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ของชนทั้งหลายผู้อันผัสสะครอบงำแล้ว ผู้แล่นไปตามกระแสร์แห่งภวตัณหา ผู้ดำเนินไปแล้วสู่หนทางผิด ย่อมอยู่ห่างไกล ส่วนชนเหล่าใดกำหนดรู้ผัสสะด้วยปัญญา ยินดีแล้วในธรรมเป็นที่เข้าไปสงบชนแม้เหล่านั้น เป็นผู้หายหิวดับรอบแล้ว เพราะการดับไปแห่งผัสสะ ฯ
ทวตานุปัสสนาสตูร หาวรรคที่ ๓ สุตตนิบาท พระสุตันตะปิฏก เล่ม ๑๗ ขุทกะนิกาย

การกำหนดรู้ผัสสะด้วยปัญญา คือ การวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ การเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต ว่า สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นย่อมต้องสิ้นไปเป็นธรรมดา (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)

[๕๖] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลเมื่อรู้อย่างไร เห็นอย่างไร จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งจักษุ โดยความเป็นของไม่เที่ยงจึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด บุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งรูป ... จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัสสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิดขึ้น บุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งหู จมูก ลิ้นกาย ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนาทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด ดูกรภิกษุ บุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด ฯ

อวิชชาสูตร


สูตรนี้แสดงรายละเอียดเรื่องการภาวนา การรู้เห็นด้วยจักษุ หมายถึงปัญญาจักษุ แปลง่ายๆ ว่า เป็นความเห็น หรือดวงตาของปัญญา

[๑๔๒๐] ที. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ องค์แห่งธรรมเป็นเครื่องบรรลุโสดา ๔ เหล่าใด ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ธรรมเหล่านั้นมีอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็เห็นชัดในธรรมเหล่านั้น ข้าพระองค์ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ ใน พระธรรม ฯลฯ ในพระสงฆ์ ฯลฯ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ.

พ. ดูกรทีฆาวุ เพราะฉะนั้นแหละ ท่านตั้งอยู่ในองค์แห่งธรรมเป็นเครื่องบรรลุโสดา ๔ เหล่านี้แล้ว พึงเจริญธรรมอันเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา ๖ ประการ ให้ยิ่งขึ้นไป.

[๑๔๒๑] ดูกรทีฆาวุ ท่านจงพิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าเป็นของไม่เที่ยง มีความ สำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า เป็นทุกข์ มีความสำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่า เป็นอนัตตา มีความสำคัญ ในการละ มีความสำคัญในความคลายกำหนัด มีความสำคัญในการดับ ดูกรฑีฆาวุ ท่านพึงศึกษา อย่างนี้แล.

[๑๔๒๒] ที. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมอันเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา ๖ ประการ เหล่าใด ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ธรรมเหล่านั้นมีอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็ เห็นชัดในธรรมเหล่านั้น ข้าพระองค์พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่า เป็นของไม่เที่ยง มีความ สำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า เป็นทุกข์ ... มีความสำคัญในความดับ อีกอย่างหนึ่ง ข้าพระองค์มีความคิด อย่างนี้ว่า โชติยคฤหบดีนี้ อย่าได้ถึงความทุกข์โดยล่วงไปแห่งข้าพระองค์เลย

โชติยคฤหบดีได้ กล่าวว่า พ่อทีฆาวุ พ่ออย่าได้ใส่ใจถึงเรื่องนี้เลย พ่อทีฆาวุ จงใส่ใจพระพุทธพจน์ที่พระผู้มี พระภาคตรัสแก่ท่านให้ดีเถิด.

[๑๔๒๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสสอนทีฆาวุอุบาสกด้วยพระโอวาทนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปแล้วไม่นาน ทีฆาวุอุบาสกกระทำ กาละแล้ว.

[๑๔๒๔] ครั้งนั้น ภิกษุมากรูปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ทีฆาวุอุบาสกที่พระผู้มีพระภาคตรัสสอนด้วยพระโอวาทโดยย่อ กระทำกาละแล้ว คติ ของเขาเป็นอย่างไร อภิสัมปรายภพของเขาเป็นอย่างไร? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ทีฆาวุอุบาสกเป็นบัณฑิต มีปกติพูดจริง ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และไม่ยังตน ให้ลำบาก เพราะมีธรรมเป็นเหตุ ทีฆาวุอุบาสกเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพที่เกิดนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป.

ฑีฆาวุสูตร องค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดา พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค


ส่วนแห่งวิชชา ๖ ประการ คือ การสร้างวิชชา ๖ ทาง คือ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อให้เกิดวิชชา ไล่ดับอวิชชาที่สะสมในสัญญา

คำว่า "ท่านพึงศึกษา อย่างนี้แล" แปลว่าให้ศึกษาและปฏิบัติ ให้ฝีก ก็คือการภวนา

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค


การรู้เห็น ต้องทำติดต่อกันต่อเนื่อง และยาวนาน เป็นเรื่องของความเห็น (ทิฏฐิ) ไม่ใช่เห็นเป็นภาพ

รูปไม่เที่ยง คือ รูปปธรรมทั้งหมด หรือวัตถุทั้งหมดรอบๆ ตัว ไม่เที่ยง เกิดดับ คอมพิวเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าก็ใหม่ เก่า แล้วก็ต้องพังในที่สุด

เวทนาไม่เที่ยง คือ พอเกิดความพอใจ ไม่พอใจ ดีใจ เสียใจ ไม่ทุกข์ ไม่สุข ฯ ก็พิจารณาว่า พวกนี้ไม่เที่ยง เกิดดับ ยกตัวอย่าง อยากได้โน๊ตบุคตัวใหม่ ก็พิจารณาว่า ความอยากได้ไม่เที่ยง ความอยากก็หายไป

สัญญาไม่เที่ยง คือ เมื่อคิดถึงเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ หรือสบายใจ ก็ให้พิจารณาว่า ความนึกคิดหรือความทรงจำนี้ ไม่เที่ยง (เช่นพยายาทสัญญา ราคะสัญญา วิตกสัญญา ฯ)

สังขารไม่เที่ยง คือ ความคิดก็ไม่เที่ยง คิดเรื่องอะไร ก็พิจาราณาว่ามันไม่เที่ยง

วิณญานไม่เที่ยง หรือการรับรู้ไม่เที่ยง คือ รูปที่เห็นทางตา เสียงที่ได้ยินทางหู รสที่ได้รับทางลิ้น กลิ่นที่ได้ทางจมูก กายสัมผัส ใจคิดนึก แหลมขึ้นมาก็พิจารณาว่ามันไม่เที่ยง พระสารีบุตรกล่าวว่าให้ยังปัญญาให้เกิดตามจิตทุกครั้งที่ชวนะจิตเกิดขึ้นมาเพื่อเสวยอารมณ์ เปรียบปัญญาเหมือนรอยฝีเท้าที่เดินตามจิต

เอาแค่ปัจจุบันธรรม หรือสภาวะที่เกิดขณะปัจจุบัน แบบนี้เรียกว่า การรู้เท่าทันธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตให้เท่าทันปัจจุบัน

ฯลฯ (มีอีกเยอะ อยากรู้อีกก็อ่านอีกเยอะๆ พระสูตรเล่ม ๗ ถึง ๑๑)

เออ..... แล้วเทวดา อินทร์ พรหม ตายแล้วไปใหน(แล้วละ)

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 19:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เออ..... แล้วเทวดา อินทร์ พรหม ตายแล้วไปใหน(แล้วละ)


เรื่องของคนของตนยังไม่รู้ยังรู้ไม่หมด คือ ยังไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน จะตายเมื่อไหร่ ตายที่ไหน เวลาใด

อยู่ๆก็ไม่รู้จะไปทางไหน ฯลฯ

ตนของตนยังไม่รู้เลย เอาเรื่องนี้ให้จบก่อนแล้วค่อยไปรู้เรื่องดังกล่าว ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 19:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนี่ยเรืองของคน


ผมนั่งสมาธิน่ะครับ นั่งไปสักพักผมรู้สึกว่าตัวผมหมุนแบบหมุนติ้ว

เลยครับ หมุนจนผมปวดหัวคลื่นใส่เลยครับ หมุนประมาณ 5 นาที ก็

ปกติครับ มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ เป็นเพราะอะไรครับ



http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 97511.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมนั่งสมาธิน่ะครับ นั่งไปสักพักผมรู้สึกว่าตัวผมหมุนแบบหมุนติ้ว
เฮ่อ ... เห็นผมเป็นที่ปรึกษาคนนั่งสมาธิไปแล้วหรือไงท่าน :b5: ผมไม่ใช่ฤาษีพราหมณ์นะ :b4:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ผมนั่งสมาธิน่ะครับ นั่งไปสักพักผมรู้สึกว่าตัวผมหมุนแบบหมุนติ้ว


เฮ่อ ... เห็นผมเป็นที่ปรึกษาคนนั่งสมาธิไปแล้วหรือไงท่าน :b5: ผมไม่ใช่ฤาษีพราหมณ์นะ :b4:



สมาธินี่ของฤาษี ของพราหมณ์ดอกหรือครับ :b1:

แล้วไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 19:58, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร